การย้ายที่อยู่ไปเรื่อยๆคือสิ่งที่กนต์รพีทำมาตั้งแต่จำความได้
มีครั้งหนึ่งที่เธอนึกชอบบ้านใหม่และขอให้พ่ออยู่ที่นี่ถาวรแต่คำตอบที่ได้รับก็คือการส่ายหน้าปฏิเสธ
กนต์รพีรู้ว่าพ่อของเธอมีงานที่ไม่เป็นหลักแหล่งต้องคอยดูไซด์งานก่อสร้างไปเรื่อยๆและเมื่อเสร็จที่หนึ่งก็ต้องจำใจย้ายไปที่อื่นตามคำสั่งของนายจ้าง
เด็กหญิงวัยสิบสองขวบมองประตูโรงเรียนแห่งใหม่อย่างลังเลเพราะไม่อาจจะรู้ได้ว่าข้างในนั้นเต็มไปด้วยมิตรหรือว่าศัตรูแต่ประสบการณ์เท่าที่ผ่านมาของเธอทำให้กนต์รพีรู้ว่าส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีใครชอบเธอสักเท่าไหร่อาจเพราะรูปร่างที่สมส่วนจนเรียกว่าอ้วนบวกกับหน้าตาที่ไม่มีตรงไหนชวนมองเลยสักนิดทำให้ไม่มีใครอยากที่จะทำความรู้จักกับเธอ
กนต์รพีสูดหายใจเข้าเต็มปอดก่อนจะก้าวเท้าเดินเข้าไปในโรงเรียนอย่างมาดมั่นแต่ก็ยังพลาดอีกจนได้เมื่อเท้าซ้ายของเธอดันไปสะดุดก้อนหินจนล้มลงกับพื้นแต่ความเจ็บที่เกิดขึ้นก็ยังน้อยกว่าความอายที่ได้รับเมื่อตอนนี้สายตาของทุกคนในบริเวณนี้จ้องมาทางเธอเป็นตาเดียวกัน
“เป็นอะไรหรือเปล่าคะ”
เสียงหวานที่ดังมาจากทางด้านหลังทำให้คนเจ็บต้องหันไปมองพร้อมกับอาการตกตะลึงเมื่อได้เห็นใบหน้าของเจ้าของเสียงชัดๆ
“น้องคงเป็นเด็กที่ย้ายเข้ามาอยู่ใหม่ใช่มั้ยคะ”
สาวสวยหุ่นดีเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มพร้อมกับการยื่นมือไปช่วยพยุงคนที่นั่งอยู่ให้ลุกขึ้นมา
“ขอบคุณค่ะ”
“เดินระวังด้วยนะพี่เป็นห่วง”
คนพูดขยิบตาทีหนึ่งก่อนจะเดินเข้าไปในโรงเรียนปล่อยให้เด็กใหม่อย่างกนต์รพีได้แต่ยืนมองตาค้างพร้อมกับความคิดที่ล่องลอยไปไกลแสนไกล
ก็เธอไม่เคยคิดเลยว่าจะมีนางฟ้าอยู่ในที่แบบนี้
เสียงหัวเราะดังมาแต่ไกลจนธัญวรัตน์มาถึงนั่นแหละทุกคนในกลุ่มจึงเงียบเสียงลงและพากันจ้องไปยังคนมาใหม่แทน
“จะเอาจริงๆเหรอ”
เพื่อนในกลุ่มคนหนึ่งเอ่ยถามออกมาอย่างสงสัยเพราะเหยื่อรายใหม่ดูไม่น่าสนใจเลยสักนิด
“นั่นสิธัญฉันว่าปล่อยเด็กนั่นไปดีกว่า”
คราวนี้เป็นเสียงทักท้วงจากพิชญาเพื่อนที่ถือได้ว่าสนิทกับธัญวรัตน์ที่สุดในกลุ่มแต่ก็เหมือนคำถามนั้นจะไม่ได้สะกิดใจคนฟังสักเท่าไหร่เพราะตอนนี้ธัญวรัตน์คิดถึงเพียงความความสนุกของเรื่องราวที่กำลังจะเกิดขึ้นเท่านั้น
“ธัญฟังพวกเราอยู่เปล่า”
“ฟัง…แต่พวกเธอไม่ต้องกังวลไปหรอกแค่หนึ่งอาทิตย์เท่านั้น”
ธัญวรัตน์เอ่ยออกมาพร้อมกับสายตาที่ลุกเป็นประกายอย่างผู้ที่กำชัยชนะไว้
“ฉันว่าฉันทำให้ยัยเด็กใหม่มาสารภาพรักได้ภายในหนึ่งอาทิตย์หรืออาจน้อยกว่านั้น”
“เกินไปหรือเปล่าคิดว่าตัวเองเป็นอั้มพัชหรือไง”
เสียงเพื่อนหญิงในร่างชายเอ่ยขึ้นพร้อมกับการมองสำรวจสาวมั่นตั้งแต่หัวจรดเท้าแต่แล้วก็ต้องรีบดึงสายตาไปทางอื่นเมื่อถูกสายตาเหยี่ยวของธัญวรัตน์จ้องกลับมาราวกับจะจิกให้หัวหลุด
“อย่าพูดมากฉันทำได้ก็แล้วกันส่วนพวกเธอ! เธอ! เธอ! เตรียมกระเป๋าหลุยส์ให้ฉันคนละใบได้เลยจ่ะ”
พูดจบธัญวรัตน์ก็สะบัดก้นเดินจากไปพร้อมกับความมั่นใจที่มีอยู่เต็มเปี่ยมเหมือนเช่นทุกครั้งที่ผ่านมาและในครั้งนี้ก็เช่นกัน
เธอมองสายตาของยัยเด็กอ้วนคนนั้นออกและดูเหมือนว่าเหยื่อรายนี้จะเป็นหมูสมกับรูปร่างจริงๆ
กนต์รพีเดินเข้ามาในห้องเรียนอย่างอายๆเมื่อถูกอาจารย์เรียกชื่อพร้อมกับการให้พูดแนะนำตัวแม้จะถูกสั่งให้ทำอยู่บ่อยครั้งแต่เธอก็ยังรู้สึกประหม่าดังเช่นครั้งแรกๆและการแนะนำตัวก็เหมือนทุกครั้งเพราะเมื่อเธอพูดจบแทนที่จะได้รับเสียงปรบมือกลับกลายมาเป็นเสียงหัวเราะลั่นห้องแทนไม่เข้าใจเลยจริงๆว่าแค่เธออ้วนมันจะตลกอะไรนักหนา
“มานั่งนี่สิ”
น้ำเสียงแหบแต่เป็นมิตรดังขึ้นพร้อมกับการส่งยิ้มมาให้ทำให้คนได้รับรู้สึกใจชื่นขึ้นมาบ้างอย่างน้อยก็มีคนเป็นมิตรกับเธอแม้จะมีแค่คนเดียวก็ตาม
กนต์รพีนั่งลงตามที่เพื่อนใหม่เชิญชวนพร้อมกับการส่งยิ้มกลับไปให้อย่างเป็นมิตร
“หวัดดีเราชื่อษาเธอล่ะ”
“เรียกเราว่าพีก็ได้ยินดีที่ได้รู้จักนะ”
“เช่นกัน”
มาริษาเอ่ยรับอย่างเต็มใจแล้วการสนทนาของเพื่อนใหม่ก็เริ่มขึ้นแต่ก็จบลงอย่างรวดเร็วเมื่อถูกสายตาคาดโทษจากอาจารย์หน้าชั้นเรียน
การสำรวจโรงเรียนใหม่เริ่มขึ้นเมื่อถึงเวลาพักมาริษาจึงพาเพื่อนใหม่ตระเวนจนทั่วโรงเรียนแต่พอจะเดินกลับทั้งสองคนก็ต้องชะงักเมื่อมีใครบางคนเดินมาขวางทางเอาไว้
“เจอกันอีกแล้วนะคะ”
เจ้าของเสียงหวานเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มพร้อมกับการส่งสายตาดุไปยังมาริษาแต่เพียงครู่เดียวเท่านั้นก็เปลี่ยนมาเป็นหวานฉ่ำแล้วดึงกลับมายังเด็กใหม่แทนแต่เพียงเท่านั้นก็ทำให้คนถูกมองอย่างมาริษาถึงกับเข่าอ่อนเพราะรู้ถึงจุดประสงค์ของรุ่นพี่คนสวยดีเห็นแล้วก็รู้สึกสงสารเพื่อนใหม่ที่ต้องตกเป็นเหยื่อโดยไม่รู้ตัว
“มาสำรวจโรงเรียนกันเหรอค่ะ”
“ค่ะ ค่ะ”
กนต์รพีเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกักพร้อมกับใบหน้าที่เริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงโดยที่เจ้าตัวไม่สามารถปิดบังได้
“อากาศร้อนนะคะดูสิน้องหน้าแดงหมดเลย”
ธัญวรัตน์ไม่เอ่ยเปล่าแต่ค่อยๆเอื้อมมือไปเช็ดเหงื่อบนใบหน้าของคนหน้าแดงอย่างเบามือทำเอากนต์รพีตกใจจนต้องเดินถอยห่างออกมา
“กลัวพี่เหรอ”
“ปะ ปะเปล่านะคะพะ พีแค่เอ่อแค่…ตกใจ”
ประโยคที่ได้ยินเรียกเสียงหัวเราะจากธัญวรัตน์ได้เป็นอย่างดีไม่คิดเลยว่าเหยื่อคราวนี้จะอ่อนหัดมากขนาดนี้
ที่จริงแค่วันเดียวเธอก็มั่นใจว่าจะทำให้เด็กอ้วนคนนี้หลงแบบหงอหัวไม่ขึ้นได้แต่แบบนั้นมันจะไปสนุกอะไร
“เคยได้ยินเรื่องบุพเพมั้ยคะ”
“เอ่อ…ไม่เคยค่ะ”
“พี่ก็ไม่รู้จะอธิบายยังไงเอาเป็นว่าถ้าวันนี้เราเจอกันอีกครั้งแบบนั้นแหละที่เค้าเรียกว่าบุพเพ”
กนต์รพีมองคนที่พูดจบก็เดินจากไปอย่างเขินๆนี่เธอคงไม่ได้คิดเข้าข้างตัวเองเกินไปใช่มั้ยว่ารุ่นพี่สาวคนสวยที่เพิ่งหยอดคำหวานหูเมื่อสักครู่ชอบตัวเอง
“ตื่นๆไปที่อื่นกันเถอะ”
มาริษาเอ่ยขึ้นพร้อมกับการลากแขนคนเพ้อให้เดินต่อไปแต่กลับถูกกนต์รพีดึงแขนไม่ให้ไปไหน
“เดี๋ยวสิษารู้จักพี่คนนั้นมั้ย”
“คนไหน”
น้ำเสียงเซ็งๆของคนพูดทำให้กนต์รพีต้องหันมามองด้วยแววตาสงสัยแต่อีกฝ่ายก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีกนอกจากจะลากแขนเธอกลับห้องท่าเดียว
กนต์รพีมองออกไปนอกหน้าต่างพร้อมกับรอยยิ้มกว้างเมื่อนึกถึงใครบางคนแต่ก็มีบางอย่างที่ติดอยู่ในใจจนเธอต้องหันกลับมาหาเพื่อนที่นั่งข้างๆเพื่อจะหาคำตอบและเหมือนมาริษาจะรู้ตัวจึงได้หยิบหนังสือขึ้นมาอ่านทันที
“มีอะไรที่เราควรรู้หรือเปล่า”
คำถามทะลุหนังสือแต่มาริษาก็ยังนิ่งเงียบและตั้งใจอ่านต่อไปจนกนต์รพีต้องดึงหนังสือออกเพื่อจะได้คุยกันสะดวกขึ้น
“ทำอะไรของเธอเราจะอ่านหนังสือ”
“เราต้องคุยกันก่อนษามีอะไรอยากบอกเราหรือเปล่า”
“ไม่มีเราจะอ่านหนังสือเอามา”
มาริษาเอ่ยเสียงแข็งก่อนจะจัดการแย่งหนังสือกลับมาเปิดอ่านได้สำเร็จ
“ตั้งใจจังนะ”
“แน่นอน”
“ษานี่ก็เก่งนะ”
“ถ้าเก่งคงไม่ต้องมาอ่านหนังสือแบบนี้หรอก”
“เปล่าเราหมายถึงษาเก่งที่อ่านหนังสือกลับหัวได้”
คนฟังถึงกับหน้าชาก่อนจะค่อยๆวางหนังสือในมือลงพร้อมกับการหัวเราะออกมกลบเกลื่อนอย่างอายๆ
“ทีนี้จะบอกเราได้หรือยัง”
“เอ่อ…เรา”
“ทำไมล่ะเราเป็นเพื่อนกันไม่ใช่เหรอมีไรคุยกันตรงๆได้เลย”
กนต์รพียิ้มกว้างหลังจากพูดจบเธอมองออกว่าคนข้างๆมีอะไรบางอย่างอยู่ในใจและท่าทางจะเกี่ยวกับเธอโดยตรง
“ไม่มีอะไรมากหรอกเราแค่อยากให้พีอยู่ห่างพี่ธัญเอาไว้”
“พี่ธัญไหนเหรอ”
“รุ่นพี่ที่เราเจอเมื่อตอนกลางวันไง”
“ทำไมล่ะพี่เค้าดูใจดีออก”
“ก็ไม่รู้สิเราแค่เป็นห่วง…เรียนกันเถอะครูมาแล้ว”
มาริษาได้แต่พูดอ้อมๆเพราะหากเตือนตรงๆเธอคิดว่าเพื่อนใหม่คงไม่ฟังเป็นแน่และที่สำคัญหากเรื่องที่เธอพูดถึงหูรุ่นพี่กลุ่มนั้นล่ะก็…เธอได้กลายเป็นศพแน่!
ในที่สุดก็ถึงเวลากลับบ้านและเป็นโอกาสสุดท้ายของคำว่าบุพเพที่กนต์รพีรอคอยมาตลอดช่วงบ่ายแต่เธอก็ต้องพบว่าทุกอย่างของคำว่ารอคอยมันว่างเปล่าจริงๆ
เธอพยายามมองหาทั่วทุกที่แต่ก็ไร้เงาของรุ่นพี่คนสวยท่าทางดวงของเธอกับอีกฝ่ายคงจะเป็นได้แค่ความบังเอิญเท่านั้นเพราะยังไงซะกลับบ้านไปก็ไม่มีวันได้เจอกันอีก
กนต์รพีมองหินก้อนที่ทำให้เธอได้รับความอับอายแต่ก็ทำให้เธอได้เจอนางฟ้าใจดีและครั้งนี้เธอคงไม่โง่เดินไปสะดุดมันอีกเด็ดขาด
เธอเลือกเดินหลบไปทางอื่นพร้อมกับการยิ้มอย่างผู้มีชัยแต่เพียงแค่ก้าวผ่านไปได้ไม่กี่ก้าวกนต์รพีก็ต้องสะดุดล้มลงอีกจนได้เพราะเธอเอาแต่จ้องก้อนหินที่เป็นคู่อริเก่าแต่ดันลืมระวังก้อนอื่น
ให้มันได้อย่างนี้สิ!
“พี่ว่าน้องต้องไปไหว้เจ้าที่แล้วล่ะ”
น้ำเสียงหวานที่คุ้นเคยทำเอาคนที่กำลังหน้างอหงุดหงิดกับความซุ่มซ่ามของตัวเองถึงกับฉีกยิ้มกว้างก่อนจะหันไปหาเจ้าของเสียงอย่างดีใจจนออกนอกหน้า
“แปลก…ล้มแต่ดันมายิ้ม”
ธัญวรัตน์ยิ้มหวานตามแบบฉบับนางเอกก่อนจะเอื้อมมือไปช่วยคนที่นั่งอยู่ให้ลุกขึ้น
“เจ็บมากมั้ยคะ”
“เอ่อ ไม่ค่ะไม่เจ็บเลย”
รุ่นพี่คนสวยมองสำรวจคนพูดอยู่นานก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาด้วยรอยยิ้มที่กนต์รพีคิดว่ามันเป็นรอยยิ้มที่ตราตรึงใจและสามารถสะกดให้เธอหยุดหายใจได้ถ้าจ้องนานกว่านี้
“กลับบ้านดีๆล่ะระวังหน่อยนะคะเด็กน้อย”
คนพูดทำท่าจะเดินออกมาแต่เหมือนจะนึกอะไรขึ้นได้จึงหันไปมองหน้ารุ่นน้องคนใหม่อีกครั้ง
“ที่นี้คงเข้าใจคำว่าบุพเพแล้วนะพี่ชื่อพี่ธัญยินที่ที่ได้รู้จักอย่างเป็นทางการค่ะ”
กนต์รพีมองคนพูดอย่างอึ้งๆครั้นจะพูดแนะนำตัวกลับก็ทำไม่ได้เพราะรู้สึกชาไปหมดทั้งตัวดีแค่ไหนแล้วที่เธอยังหายใจได้อยู่
“พรุ่งนี้เจอกันนะคะน้องพี”
เมื่อทิ้งระเบิดรสหวานเป็นที่เรียบร้อยแล้วธัญวรัตน์ก็เดินยิ้มออกมาอย่างผู้มีชัยไม่คิดว่ามุขเสี่ยวๆแบบนี้จะยังใช้ได้ผลอยู่และดูเหมือนว่าจะเป็นผลดีมากกว่าที่เธอคิดซะอีก
“หมูติดบ่วงแล้วเตรียมของแลกเปลี่ยนได้เลย”
ธัญวรัตน์ ส่งข้อความหาเพื่อนในกลุ่มอย่างอารมณ์ดีจากนั้นก็เดินขึ้นรถไปโดยไม่ลืมที่จะหันมาส่งยิ้มหวานให้กับรุ่นน้องคนใหม่อีกครั้ง
ส่วนเหยื่อเคราะห์ร้ายที่ไม่รู้ตัวก็ได้แต่เดินบิดไปบิดมาเพราะคิดว่ามีคนเห็นรูปแท้ในร่างอวบของตัวเองแล้ว
นึกขอบคุณพ่อที่พาเธอมาเจอเรื่องดีๆแบบนี้สงสัยต้องกลับไปตอบแทนโดนการทำของอร่อยๆให้กินซะแล้ว,,,