บทที่ 3
จักรภพหรือที่ใครๆ ต่างก็เรียกว่าเสี่ยพุธเพิ่งกลับมาจากการดูแลงาน เขาเป็นผู้รับเหมาสร้างบ้านรายใหญ่ มีความชำนาญเป็นพิเศษเกี่ยวกับบ้านไม้ บ้านหลังนี้เขาสร้างด้วยตัวเองจึงใช้เวลานานกว่าจะเสร็จเพราะงานที่รับมานั้นดึงเวลาที่มีไปจนหมด
เกือบ 3 ทุ่มเมื่อชายวัยกลางคนเดินขึ้นบันไดบ้านซึ่งแข็งแรง ไม่มีเสียงเอี๊ยดอ๊าดให้รำคาญใจเหมือนบ้านใครหลายๆ คน
"พ่อคะ" เสียงหวานเรียกอย่างดีใจเมื่อเห็นหน้าเขา
เด็กสาวผิวอมชมพูเดินมากอด ศีรษะของเธอสูงยังไม่ถึงอกเขาเลยด้วยซ้ำ มือที่หยาบกร้านลูบผมสีออกน้ำตาลอย่างเอ็นดู วรดาเป็นลูกสาวคนเดียว แม่ของเธอนภสรจากไปหลังจากคลอดลูกเสร็จไม่กี่เดือน คงเพราะหญิงสาวอ่อนแอลงมากหลังจากมีเด็กน้อย เขาพยายามฉุดยื้อเอาไว้แต่สุดท้ายเธอก็เสีย วันนั้นเป็นวันสุดท้ายที่จักรภพร้องไห้
"วันนี้ทำอะไรบ้างล่ะลูก" ชายผมสีดำแซมเทาถามด้วยเสียงห้าวแข็งซึ่งเป็นเสียงปกติ
"เที่ยวแถวๆ นี้ค่ะพ่อ" ริมฝีปากชมพูเอ่ย สาวน้อยถอดแบบแม่มาแทบทุกสิ่งยกเว้นเส้นผมที่ตรงเหมือนเขา
"เที่ยวได้พ่อไม่ว่าหรอก แต่ระวังงูเงี้ยวเขี้ยวขอนะ แถวนี้ป่าเยอะสัตว์จะชุกชุม" ชายร่างสูงผิวเกรียมแดดเตือน จริงๆ เขาอยากพาลูกสาวคนสวยไปเที่ยวซื้อของในเมืองมากกว่า แต่พักนี้มีงานเข้ามามาก บางทีเป็นต่างจังหวัด เขาจึงต้องให้ลูกอยู่บ้าน ซึ่งก็พอวางใจได้เพราะมีคนรับใช้สองคนคอยดูแลอยู่ตลอด
"ค่ะพ่อ" ปากอิ่มยิ้มกว้าง
"แล้วนี่ไปคนเดียวหรือไปกับแม่แช่มล่ะ" เขานั่งลงที่ม้านั่งไม้ยาว รู้สึกเมื่อยล้าไปทั้งร่างกาย
"ไปกับเอ่อ...ข้างบ้านค่ะ"
"ข้างบ้าน อืม...ข้างบ้านก็มีแต่บ้านที่ขายอาหารอะไรสักอย่างนี่ พ่อไม่ยักรู้ว่าบ้านนั้นมีเด็กด้วย" พุธขมวดคิ้วหนาอย่างสงสัย ที่เขาเห็นก็คือผู้หญิงวัยกลางคนผิวเกือบคล้ำเดินอุ้ยอ้ายไปมาเพราะน้ำหนักที่มากเกินมาตรฐาน นอกนั้นเขาก็ไม่เห็นใครเลยสักคนเดียว
"มีค่ะ อายุพอๆ กัน" เด็กสาวแจงด้วยใบหน้าที่มีความสุข
"อืม ลูกมีเพื่อนเล่นก็ดีแล้ว แต่อย่าไปไหนไกลบ้านนักนะ ถ้าไปก็เอาแม่แช่มไปเป็นเพื่อนก็ได้" ชายวัยกลางคนบอกอย่างเป็นห่วง
"ไม่เอาค่ะ ป้าแช่มไปด้วยก็ไม่สนุกสิคะ ข้าวไปกับอ้อยสองคนก็พอค่ะพ่อ"
"ตามใจจ๊ะ อย่าลืมกลับมากินข้าวกินปลาละกัน เดี๋ยวจะไม่สบาย" หนุ่มใหญ่ลูบผมสวยนั้นอีกครั้งปล่อยให้ลูกสาวก้มหน้าก้มตาทำการบ้านต่อจากที่ค้างไว้
ทิฆัมพรหลับตาไม่ลง หล่อนนอนนิ่งอยู่บนเตียงนอนไม้ไผ่ ตามองมุ้งสีขาวเก่าที่เต็มไปด้วยรอยขาดซึ่งถูกมัดด้วยหนังยางไว้ เธอคิดมาตั้งแต่เย็นเรื่องพาอีกฝ่ายไปเที่ยว แต่สถานที่จำกัดมากถ้าไปโดยไม่มีเงิน ถ้ามีสักร้อยบาทคงจะไปในเมืองพาเดินชมนู่นนี่ จะให้เที่ยวแถวนี้ก็คงซ้ำจำเจจนเกินไป
คนหน้านิ่งถอนหายใจ เธอไม่เคยต้องกลุ้มเรื่องแบบนี้มาก่อนเลย เพราะพึงพอใจจะนั่งแค่ใต้ต้นไม้ต้นเดิมไปเรื่อยๆ
ภาพหนึ่งวูบเข้ามาในความทรงจำ เด็กสาวเริ่มจำได้คลับคล้ายคลับคลา เป็นสถานที่ที่เธอเคยไปเมื่อหลายปีที่แล้ว เริ่มด้วยการเดินและจากนั้นก็หลงจึงเจอเข้ากับที่นั้น
ริมฝีปากบางยิ้มออกมาอย่างพึงใจ อาศัยความทรงจำที่มีคงพอให้ไปถึงที่นั่นได้ หล่อนโตกว่าตอนนั้นมาก และไม่กลัวอะไรอีกต่อไปแล้ว
ฟ้าเพิ่งเริ่มสางสาวน้อยรีบลุกขึ้นเก็บมุ้ง พับผ้าห่มสีซีดให้เสร็จเรียบร้อย กวาดบ้านตามปกติ จากนั้นจึงเดินออกทางหลังบ้านแล้วมุ่งไปที่ป่าโปร่งซึ่งมีเสียงนกและแมลงร้องดังไปทั่ว เสียงไก่แว่วๆ มาจากที่ไกลๆ
หล่อนอยากจับปลาให้ได้สักตัวจึงมาที่ลำธารเล็กๆ ที่เดิม จริงๆ แล้วเป็นเรื่องยากที่จะทำได้เพราะปลาที่นี่ว่ายเร็วมาก ก่อนหน้านั้นเมื่อยังเด็กเธอเคยลองจับดู เอาไม้เสียบก็แล้วสุ่มครอบก็แล้วไม่เคยได้สักตัว หลังๆ จึงเก็บของข้างทางกินเสียมากกว่า เพราะไม่ต้องเหนื่อย แต่วันนี้อาจจะได้เดินทางไกลมีเสบียงหนักท้องติดไม้ติดมือไว้หน่อยคงดีกว่า
ปลาตัวใหญ่และเล็กหลายตัวว่ายอยู่บริเวณผิวน้ำ เธอกางเสื้อยืดของตัวเองที่หยิบติดมือออกมา และเดินลงน้ำอย่างใจเย็น
มือบางสองข้างดึงเสื้อยืดที่คอและชายเสื้อ ทำเป็นปราการกั้นหวังว่าจะจับได้สักตัว หล่อนค่อยๆ เดินต้อนปลาไปยังแอ่งที่เป็นหิน เจ้าพวกตัวเล็กๆ เล็ดลอดออกไปได้ ส่วนตัวใหญ่มีว่ายไปมาอยู่สองตัว ขณะที่มือบางกำลังจะรวบผ้าขึ้นเพื่อจับ ปลาตัวหนึ่งกระโดดข้ามแขนหนีไปได้ อีกตัวดิ้นขลุกขลักบนผ้าเก่าอย่างดิ้นรนต่อสู้
คนผมสั้นรวบชายผ้าทุกด้านมาจับไว้อย่างแน่นหนา เมื่อขึ้นมาจากน้ำหยิบหินก้อนกลมปลายแหลมท้ายทู่ขึ้นมาก้อนหนึ่งและจบชีวิตมันเสีย เธอไม่แกะผ้าก่อนจะทำเพราะไม่ชอบทนดูมันเวลาที่รู้ว่าจะตาย
ทิฆัมพรเดินตัวเปียกกลับมาที่บ้าน แม่ยังไม่ตื่นแต่อ้อยรู้ว่าอีกไม่นาน เพราะมารดาต้องออกไปซื้อของสดมาทำอาหารทุกวัน โดยขี่ไปยังตลาดเช้าไกลออกจากบ้านไปเกือบห้ากิโลเมตร
สาวเงียบวางเสื้อผ้าห่อปลาไว้บนโต๊ะเตี้ยๆ สำหรับวางผักของแม่ จากนั้นจึงเดินเข้าบ้านผลัดเสื้อผ้าเพื่ออาบน้ำ เมื่อเสร็จจึงแต่งตัวและหยิบปลาขึ้นมาล้างน้ำให้สะอาด เอามีดกรีดที่ช่วงท้องอันอ่อนนุ่ม ควักไส้ออกและทิ้งลงกระป๋องสีขนาดใหญ่ซึ่งถูกใช้เป็นถังขยะ
ใบตองถูกฉีกออกมาห่อหุ้มปลาซึ่งสุกแล้ว กิ่งไม้เล็กๆ กลัดตามรอยแยก และคนตัวสูงก็นั่งนิ่งๆ รอคนที่ยังมาไม่ถึง เธอลืมไปหลายเรื่อง เช่น ลืมนัดว่าจะเจอกันกี่โมง
"รอนานไหม" เสียงหวานใสมาพร้อมกับรอยยิ้มที่ประดับบนหน้าหวานสวย วรดาอยู่ในชุดเสื้อยืดสีฟ้า กางเกงยีนสีน้ำเงินเข้มพอดีตัว และเป้สีเดียวกับกางเกง
"ไม่นาน" เธอยิ้มตอบกลับไป หัวใจเต้นแรงขึ้นในทันที
"อ้อย แล้ววันนี้จะไปไหนกันเหรอ" เด็กสาวนั่งเคียงข้างเธอแล้วถามด้วยความสงสัย
คนหน้านิ่งยิ้ม เธอไม่พูดอะไรออกไปเพราะไม่รู้จะบอกอย่างไรดี หล่อนก็เรียกสถานที่นั้นไม่ถูกเช่นกัน ข้าวหอมควรรู้ด้วยตาของตัวเองจะเหมาะกว่า
"ไปเถอะ" มือซ้ายถือปลาน้อย มือขวาจับมือขาวๆ ของอีกฝ่ายอย่างเก้อเขิน เป็นครั้งแรกที่หล่อนทำแบบนี้กับคนอื่น
"เราจะเดินขึ้นเขากันเหรอ" เสียงเล็กๆ ถาม ตาสีน้ำตาลสวยเบิกกว้าง
"ใช่ แต่ไม่ไกลหรอก" หล่อนรีบบอกข้าวหอม ไม่อยากให้อีกฝ่ายกลัวเสียก่อน เด็กสาวไม่ใช่คนคุ้นเคยกับธรรมชาติเหมือนกันเธอ และการเดินขึ้นเขาก็ไม่ใช่เรื่องง่าย
"จริงเหรอ" มือบางถูกอีกฝ่ายรัดแน่นขึ้น
"จริงสิ เดินไม่ไกลหรอก เลียบๆ ตีนเขาไปอีกด้านเท่านั้นเอง" ทิฆัมพรบอกทั้งๆ ที่ไม่แน่ใจ ความทรงจำเธอขาดช่วงและสับสนพอสมควร
"อ้อยเคยไปบ่อยเหรอ" ใบหน้ารูปไข่ดูไม่แน่ใจสักเท่าไหร่
"เคย แต่นานมาแล้ว" เธอตอบตามจริง
"อ้อยพาข้าวกลับมาบ้านได้แน่นอน สัญญา" หล่อนบอกข้าวหอมด้วยน้ำเสียงจริงจังกว่าปกติ เพราะอยากให้คนข้างๆ เชื่อมั่นและไว้ใจอย่างเต็มที่
"ข้าวเชื่อ" เพียงแค่นั้นเด็กสาวก็รู้สึกชื่นใจในอก
เมื่อเดินมาได้สักพักใหญ่ๆ ฝีเท้าของคนข้างๆ เชื่องช้าลงมาก เธอพยายามลดความเร็วของตัวเองลงให้เท่าๆ กัน ไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นว่าหล่อนเดินนำแฟนไปไกล จนอีกฝ่ายอาจหลงป่าได้
"ไหวไหม พักก่อนดีกว่า" อ้อยเอ่ยอย่างรู้สึกเป็นห่วง
"นั่งตรงนี้นะ" มีหินเรียบๆ สองก้อนใหญ่พอให้ได้พัก หล่อนประคองคนหุ่นดีจนถึง
มือบางสีขาวคล้ำแดดเล็กน้อยปาดเหงื่อที่เต็มหน้าสวยๆ ของแฟนสาวออก เห็นได้ชัดว่าวรดาเหนื่อยมากกับการทำแบบนี้ บวกกับอากาศในป่าที่ออกจะร้อนชื้นพอสมควรเลยยิ่งไปกันใหญ่
มือเรียวถอนหายใจยาวๆ หลายครั้งก่อนจะปลดเป้สีน้ำเงินออกมาเปิดซิบ แล้วหยิบน้ำส่งให้เธอ อีกขวดให้ตัวเองโดยไม่มคำพูดจาใดๆ
หล่อนดื่มเล็กน้อย ดื่มน้ำมากๆ เวลานี้อาจทำให้จุกได้ เมื่อเห็นคนตรงหน้าดื่มอึกๆ จึงรั้งขวดของข้าวหอมไว้
"เดี๋ยวสำลักค่ะ" สาวสวยยอมทำตามอย่างง่ายดาย
"อ้อยเก่งจัง ไม่เห็นมีเหงื่อออกเหมือนข้าวเลย" เธอเก็บขวดน้ำใส่เป้ของอีกฝ่ายให้ จึงได้เห็นว่าในกระเป๋ามีขนมอีกหลายห่อถูกใส่ไว้
"เดินไปโรงเรียนทุกวันเลยชิน" ทิฆัมพรบอกเรียบๆ ระยะทางเท่าที่จำได้คร่าวๆ ก็น่าจะพอๆ กันจึงไม่เป็นปัญหาสำหรับเธอเลยแม้แต่น้อย
"อีกไกลไหมคะ" หน้าหวานพยักเล็กน้อยรับรู้ ก่อนถามถึงเส้นทางที่เหมือนจะทอดยาวออกไปไกลจนมองไม่เห็นปลายทาง
"อืม คงสักห้ากิโลเมตร" เธอกะเอาจากความรู้สึก
"เดินต่อเถอะ ไปถึงเดี๋ยวได้พัก" หล่อนบอก เพราะถ้าพักนานกว่าจะไปถึงแดดอาจจะแรงมากจนสาวสวยไม่ไหวก็เป็นได้
"อือ" ปากอิ่มเม้มอย่างตั้งใจ
"ถึงแล้ว" คนหน้านิ่งพูดปากยิ้มเล็กน้อย เธอหอบหายใจถี่ขึ้นเพราะต้องคอยประคับประคองคนตัวเล็กกว่าจึงไม่สามารถเดินสบายๆ ได้เหมือนเคย แต่หล่อนก็เต็มใจที่จะทำ
"สวยจัง" วรดามองไปยังเบื้องหน้าซึ่งมีสายรุ้งใหญ่พาดผ่าน มันอยู่ใกล้มากเสียจนคิดว่ายื่นมือออกไปคงถึง แต่นั่นเป็นเพียงภาพลวงตาของระยะทาง
"นั่งกัน" ทิฆัมพรเสนอ เธอปัดเศษใบไม้ออกจากโคนต้นเพื่อให้แฟนสาวนั่ง หล่อนหลับตาพิงต้นไม้พยายามคุมลมหายใจให้เป็นปกติอยู่พักหนึ่ง
"ข้าวไม่เคยเห็นรุ้งใกล้ขนาดนี้มาก่อนเลย" เสียงหวานเอ่ยอย่างประทับใจ ตาสีน้ำตาลอ่อนยังคงมองสีอันหลากหลายซึ่งโค้งลงอย่างไม่กระพริบตา
"คุ้มไหมคะ" เด็กสาวมองหน้าคนข้างๆ อย่างรอคอยคำตอบ
"อือ" หน้ารูปไข่พยักถี่ๆ
หล่อนถือวิสาสะหยิบเป้ที่ตักของข้าวหอมมาเปิดเพื่อส่งขวดน้ำที่เหลือให้อีกฝ่ายดื่มแก้กระหาย จากนั้นก็เอาไม้กลัดออกจากใบตอง
เวลาที่ผ่านไปทำให้ปลาดูไม่น่าทานเหมือนตอนที่เพิ่งย่างเสร็จใหม่ๆ ท้องของอ้อยร้อง หล่อนไม่ได้กินอะไรตั้งแต่เช้า เพราะตื่นเต้นและอยากเก็บไว้กินกับคนข้างๆ มากกว่า
สาวน้อยแกะเนื้อปลาครึ่งตัวไปไว้ที่ใบตองอีกใบและยื่นให้คนหน้าสวย ส่วนตัวเองก็หยิบเนื้อสีขาวนุ่มจากตัวโดยไม่ได้แกะรวมไว้ ก้างไม่ใช่ปัญหาสำหรับหล่อน
ต่างฝ่ายต่างลิ้มรสอาหารอย่างพึงพอใจเงียบๆ เมื่อเหลือแต่ก้างมือเรียวจึงจัดการแกะถุงขนมแล้วผลัดกันหยิบกินด้วยสีหน้าที่อิ่มอกอิ่มใจ
ใต้ต้นไม้นี้มีลมพัดเป็นระยะ อากาศเย็นสบายกว่าในป่าค่อนข้างมาก เวลาน่าจะเกือบบ่ายโมง ทิฆัมพรคาดเดาจากแสงของดวงตะวันที่ตกกระทบกิ่งไม้
"อ้อยมีอีกที่ให้ดู" เธอบอกหลังจากคิดว่าพักกันได้นานพอแล้ว
แฟนสาวยิ้มให้อย่างมีความสุข มีความเชื่อมั่นฉายชัดในดวงตาสีอ่อนนั้น หล่อนลอบยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะจูงอีกฝ่ายให้เดินไปทางด้านขวาของที่เดิม
เพียงแค่ไม่กี่นาทีกระท่อมไม้เล็กๆ ก็ปรากฏขึ้นในสายตา มันถูกสร้างไว้ค่อนข้างดีสำหรับในป่าเช่นนี้ เด็กสาวเจอมันโดยบังเอิญตอนที่พยายามหาทางกลับบ้านเมื่อหลายปีที่แล้ว
มือบางผลักประตูไม้ไผ่เข้าไปอย่างลำบาก เนื่องจากไม่มีใครใช้มานาน ภายในมีฝุ่นเกาะอยู่ทุกหนทุกแห่ง เธอออกไปข้างนอกแล้วหยิบใบไม้สดสองสามใบจากก้าน จากนั้นจึงปัดผงเหล่านั้นออก
"ทำไมในป่าถึงมีกระท่อมได้ล่ะอ้อย อ้อยมาสร้างไว้เหรอ" เสียงหวานมองไปรอบๆ อย่างสงสัย
"เปล่าหรอก ไม่รู้ใครมาสร้างไว้" คนผอมบางตอบตามจริง ไม่คิดจะโกหกเพื่อให้คนตรงหน้าแปลกใจ
"ถ้าอากาศไม่ร้อนก็ดีสินะ ข้าวอยากนอนจัง" สาวผมน้ำตาลพูดพลางเอาเป้วางลงบนแคร่แล้วเอนตัวลงไปนอนตะแคงอย่างไม่กลัวเปื้อน
"นอนด้วยกันสิ" ข้าวหอมบอก ตามองสบตากัน
หล่อนทำตามอย่างเขินอาย หัวใจดวงน้อยเต้นแรงจนหูเธออื้อไปด้วยจังหวะของหัวใจ ทิฆัมพรนอนตะแคงเช่นเดียวกัน
"พูดอีกครั้งได้ไหม" จู่ๆ คนหุ่นดีก็พูดขึ้นมาหลังจากมองหน้ากันอยู่สักพักใหญ่
สาวน้อยรู้ว่าคนตรงหน้าหมายถึงอะไร แต่เธอขัดเขินเกินกว่าจะสามารถเอ่ยออกไปด้วยใบหน้าที่นิ่งเฉยได้
"นะคะ" เสียงหวานร้องขอซ้ำ มือเรียวแตะที่แก้มบางของหล่อน
"อ้อย...รักข้าว" คนผมสั้นรู้สึกเหมือนหน้าร้อนผ่าว เสียงดวงใจดังก้องขึ้นกว่าเดิม เหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดพรายตามขมับ
"ข้าวก็รักอ้อยเหมือนกัน" เสียงใสเอ่ยออกมา หล่อนอยากฟังซ้ำอีกหลายๆ ครั้ง สำหรับเธอมันช่างไพเราะเหลือเกิน
เด็กสาวจับมืออีกฝ่ายไว้ทั้งๆ ที่ยังแนบอยู่ที่แก้ม มันค่อนข้างเย็นกว่าปกติ หล่อนดึงมาจูบเบาๆ บริเวณหลังมือ นัยน์ตาสีเข้มส่งความรู้สึกออกไปว่าซาบซึ้งใจแค่ไหนที่ได้ยิน
เสียง 'แปะ แปะ' ดังขึ้น เริ่มจากเล็กน้อยจนกลายเป็นเสียงที่กระหน่ำลงบนหลังคาไม้ไผ่ เป็นน้ำจากฟากฟ้าที่ไม่มีการเตือนล่วงหน้าแต่อย่างใด ทิฆัมพรนึกขึ้นได้ว่าเดือนนี้เริ่มเข้าฤดูฝนแล้ว
อากาศยังคงชื้น แต่มีความเย็นของหยาดน้ำแทรกเข้ามา เธอจึงเขยิบเข้าไปใกล้คนตรงหน้าจนแทบชิด มือบางกุมมือขาวไว้หวังว่าความอุ่นของร่างกายจะช่วยคลายความเย็นได้บ้าง
"หนาวไหม" หล่อนถามทั้งๆ ที่รู้คำตอบ แท้จริงเพียงแค่อยากฟังเสียงหวานๆ นั้น
"หนาว" ข้าวหอมตอบเสียงเบา
คนตัวสูงรั้งร่างที่ได้สัดส่วนให้แนบสนิทไปกับตัวของเธอ หล่อนไม่สนใจหัวใจบ้าๆ ที่เต้นแรงอยู่ตลอดเวลา
"อุ่นขึ้นไหม" น้ำเสียงนุ่มฟังดูห่วงใย
คนสวยไม่ตอบ แต่เงยมองขึ้นมา มีความรู้สึกบางอย่างอยู่ในแววตานั้นซึ่งทำให้ตัวเธอสั่นไหว หล่อนมองตาและโน้มหน้าลงไปใกล้
หล่อนเตะปากอิ่มนั้นอย่างเชื่องช้า มันนุ่มนวลชวนให้เธอขยับริมฝีปากของตัวเองเพื่อสำรวจได้อย่างเต็มที่ ลมหายใจทั้งเธอและข้าวหอมแรงขึ้น กระชั้นขึ้น บอกความรู้สึกและต้องการมากกว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้