เสียงของหล่นลงพื้นทำให้คนที่หลับอยู่ถึงกับสะดุ้งตื่น พร้อมกับพบว่าตอนนี้เสื้อผ้าของตัวเองชุ่มเหงื่อไปหมดทั้งๆที่แอร์บนเครื่องเย็นฉ่ำขนาดนี้แต่...ก็ไม่ได้แปลกใจอะไรเพราะความฝันที่เพิ่งผ่านพ้นไปมันเป็นฝันร้ายที่เกิดขึ้นในชีวิตจริงและตามหลอกหลอนเธอมาตั้งแต่วันเกิดเรื่องและค่อยๆจางหายไปจวบจนวันนี้ที่มันย้อนกลับมาอีกครั้งอาจเพราะสถานที่ที่เธอกำลังจะไปนี่ก็ เป็นได้
ที่ดอนเมืองกนต์รพียืนรอคนมารับอยู่ครู่ใหญ่จนในที่สุดก็เจอตัวคนมารับเสียที
"กว่าจะมาได้นะ"
"รอนิดๆหน่อยๆทำมาบ่น"
มาริสาพูดหน้างอก่อนจะโผล่ตัวเข้ากอดเพื่อนรักที่ไม่ได้เจอกันมานานด้วยความคิดถึง
เนิ่นนานกว่าที่เพื่อนรักทั้งสองจะคลายอ้อมกอดออกและก็เป็นกนต์รพีที่หัวเราะออกมาอย่างเขินๆ
“กอดแค่นี้ทำเป็นเขินไปได้”
“ใครเขินจะบ้าหรือไง”
“งั้นมากอดใหม่”
มาริษาพูดพร้อมกับการอ้าแขนเดินเข้าไปใกล้คนปากแข็งแต่เธอก็ทำได้ไม่สำเร็จเมื่อถูกอีกฝ่ายใช้มือดันหัวเอาไว้
“แล้วบอกไม่เขิน”
“เอาเถอะน่ะพูดมากจะไปได้หรือยังเมื่อยแล้วนะ”
กนต์รพีบ่นพร้อมกับทำหน้ามุ่ยนั่นจึงทำให้คนมารับหยุดแซวเปลี่ยนเป็นคล้องแขนอีกฝ่ายแทนจากนั้นก็เดินไปที่รถด้วยกัน
เมื่อเดินทางมาถึงยังคอนโดของมาริษากนต์รพีแทบจะทิ้งตัวนอนลงที่เตียงแต่กลับถูกเจ้าของห้องดึงตัวเอาไว้
“อะไรอีก”
“ไปอาบน้ำก่อนสิ”
“ตื่นมาค่อยอาบทีเดียวตอนนี้ขอนอนก่อน”
“ไม่ได้! ถ้าไม่อาบก็ไปนอนนอกห้องเลยค่ะคุณชาย”
คนพูดชี้ไปยังประตูก่อนจะหันหน้าจริงจังมาจ้องกนต์รพีจนคนขี้เกียจอาบน้ำต้องจำใจทำตามอย่างไม่อาจขัดได้
หลังจากที่อาบน้ำเสร็จเรียบร้อยกนต์รพีก็เดินเข้ามานั่งที่เตียงพร้อมกับหันไปมองเจ้าของห้องที่ทำหน้าเข้มอยู่ที่หน้าคอมอย่างสงสัย
“ทำอะไร”
“แก้งานนิดหน่อย”
“มีอะไรให้ช่วยมั้ย”
“แค่ยอมมาเลี้ยงรุ่นก็เป็นพระคุณอย่างสูงแล้วล่ะค่ะ”
ประโยคแหนบแหนมจากเพื่อนรักทำให้กนต์รพีอดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้
นั่นสินะตั้งแต่จบมาเธอยังไม่เคยไปงานเลี้ยงรุ่นสักครั้งแต่พอคิดว่าจะต้องไปเจอใครบางคนก็ทำให้เธอนึกขยาดจนไม่อยากไปร่วม
นึกย้อนไปถึงวันที่แสนปวดใจและน่าอันอายในอดีตก็ทำให้หดหู่ใจเป็นที่สุดเพราะหากมีทางเลือกเธอจะไม่มีวันกลับไปที่โรงเรียนนั้นอีกแต่เพราะเส้นทางชีวิตของเธอมีแค่ทางเดียวดังนั้นการทนบากหน้าไปเรียนคือสิ่งเดียวที่ไม่อาจเลี่ยงได้
ใช่แล้วกนต์รพีไปเรียนที่นั่นต่อแม้จะถูกล้อเลียนเกือบทุกวันแต่ในที่สุดทุกคนก็พากันลืมเพราะมีเหยื่อรายใหม่เข้ามาเรื่อยๆนึกสงสารคนที่โดนชะตากรรมเดียวกับตัวเองแต่ก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้เพราะนับตั้งแต่วันที่รู้ว่าถูกยัยแม่มดหลอกเธอก็ตั้งใจไว้แล้วว่าจะไม่ขอเข้าไปเฉียดใกล้หรือแม้แต่ยุ่งเกี่ยวกับยัยนั่นอีก
“คิดอะไร”
จู่ๆคนที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตาทำงานก็ย้ายก้นมานั่งข้างๆกนต์รพีทำเอาคนที่กำลังอยู่ในภวังค์ต้องรีบดึงตัวเองกลับมา
“เปล่านิ”
“อ้าปากก็เห็นไส้ติ่งอย่ามาโกหก”
“ไม่ได้คิดอะไรจริงๆ”
กนต์รพีเอ่ยด้วยน้ำเสียงลนลานแต่ในที่สุดแล้วก็ต้องยอมรับในสิ่งที่เพื่อนรักพูด นี่สินะที่เขาเรียกมองตาก็รู้ใจสมแล้วที่มาริษาเป็นคนที่เธอให้ความสนิทสนมด้วยมากที่สุด
“ยังไม่ลืมอีกเหรอ”
“ไม่ใช่ไม่อยากลืมแต่มันลืมไม่ลงต่างหากทุกครั้งที่หลับตาหน้าของผู้หญิงใจร้ายคนนั้นก็โผล่มาทุกที”
คนพูดเอ่ยออกมาด้วยสีหน้าเศร้าจนมาริษาต้องแตะไหล่ของอีกฝ่ายเบาๆเพื่อส่งกำลังใจไปให้
“อีกหน่อยก็ลืมได้เองคงไม่ใช้เวลาทั้งหมดของชีวิตหรอก”
“ขอให้เป็นอย่างนั้น”
“ถ้าจะใช้เวลานานขนาดนั้นฉันว่าแกคงรักปักใจกับพี่ธัญแล้วแหละ”
“ไม่มีทาง!”
กนต์รพีตะโกนออกมาสุดเสียงทำเอาคนข้างๆถึงกับเด้งตัวหนีด้วยความตกใจและด้วยท่าทางของเพื่อนสาวทำให้คนพูดเริ่มรู้สึกตัวว่าเผลอทำอะไรแปลกประหลายออกมา
“เอ่อ โทษทีฉันลืมตัวไปน่ะ”
“ลืมตัวหรือว่าเป็นบ้าอยู่ๆก็พูดเสียงดังฉันว่าแกเป็นโรคกลัวพี่ธัญลิซึ่มมากกว่าสังเกตหลายครั้งละคุยกันทีไรเป็นแบบนี้ทุกที”
มาริษาเอ่ยขึ้นเมื่อนึกได้ว่าเวลาคุยเรื่องนี้กันทีไรเพื่อนรักต้องออกอาการหัวเสียแบบนี้ทุกทีแม้จะคุยกันผ่านทางโทรศัพท์ก็ตาม
“ขอโทษด้วยนะ”
เสียงอ่อยๆทำให้คนที่เหมือนจะหัวเสียเริ่มรู้ตัวว่ากำลังแสดงท่าทางหงุดหงิดออกมา
ใช่ว่ามาริษาอยากเป็นแบบนี้แต่เธอแค่ไม่อยากให้เพื่อนรักติดในบ่วงที่รุ่นพี่ใจร้ายสร้างขึ้นหากจะมีวิธีการใดช่วยได้แม้จะมีความหวังแค่เพียงเศษเสี้ยวเธอก็จะทำ
“ฉันไม่ได้โกรธแค่ไม่เข้าใจทำไมแกถึงไม่ลืมซะที”
“ไม่ใช่ไม่ลืมแต่มันลืมไม่ได้ต่างหากฉันพยายามแล้วแต่มันทำไม่ได้จริงๆ”
คนพูดเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาพร้อมกับการล้มตัวนอนทำให้การสนทนาต้องปิดฉากลงในทันทีและยิ่งได้เห็นอาการของเพื่อนรักเป็นแบบนี้มาริษาก็ยิ่งมุ่งมั่นที่จะต้องหาทางทำให้กนต์รพีหลุดพ้นจากเรื่องราวในอดีตและก่อนอื่นที่ต้องทำเป็นสิ่งแรกก็คือการเผชิญหน้า!
ในงานเลี้ยงรุ่นวันนี้กนต์รพีได้พบเจอกับเพื่อนเก่าที่เรียนด้วยกันเกือบครบทีมจะว่าไปเพราะการทนเรียนที่นี่จนจบทำให้ใครหลายๆคนเห็นใจและหันมาเป็นเพื่อนกับเธอในที่สุดนี่สินะที่เขาเรียกว่าฟ้าหลังฝน
“ว๊าวๆยัยหมูของเรากลายร่างเป็นเจ้าหญิงแสนสวยแล้วดูสิ”
เพื่อนผู้หญิงในกลุ่มเอ่ยแซวเสียงดังจนกนต์รพีต้องยกมือทำท่าจุ๊ๆที่ปากเพื่อให้คนพูดเบาเสียงลงแต่ยิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุเพราะตอนนี้ประเด็นเรื่องการเปลี่ยนแปลงของเธอตกไปเป็น หัวข้อการสนทนาเรียบร้อยแล้ว
“เอาเข้าไป”
“เอาน่ะเราทุกคนแค่ดีใจที่กนต์รพีของพวกเราเปลี่ยนร่างเป็นสาวสวยสุดเทห์สูงหุ่นดีเขย่าใจคนพบเห็นได้แบบนี้”
“เวอร์ไปมั้ย”
“เรื่องจริง”
จบประโยคทุกคนในโต๊ะก็ต่างพากันพยักหน้าเห็นด้วยรวมทั้งมาริษาที่เห็นด้วยแบบไม่มีข้อโต้แย้ง
กนต์รพีเปลี่ยนไปมากจริงๆแต่สิ่งหนึ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนเลยก็คือความจริงใจและรอยยิ้มสดใสที่มอบให้แก่ผู้คนรอบข้างหากใครได้เพื่อนเธอไปเป็นแฟนคงต้องคุมเข้มน่าดู
มาริษาสะดุดกับความคิดของตัวเองในเรื่องสุดท้ายไม่รู้ว่ามันเข้ามาในหัวได้อย่างไรแต่เธอยังหาคำตอบให้กับตัวเองไม่ได้เพราะตอนนี้แผนเผชิญหน้าของเธอกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว
กนต์รพีหัวเราะออกมาน้อยๆเมื่อเพื่อนๆในโต๊ะเริ่มเปลี่ยนเรื่องไปเผาคนอื่นบ้าง
นานแล้วจริงๆที่เธอไม่ได้สัมผัสกับบรรยากาศแบบนี้เพราะหลังจากจบจากมัธยมปลายจากที่นี่เธอก็ต้องไปเรียนที่อื่นแถมยังต้องทำงานไปด้วยเพื่อแบ่งเบาภาระของพ่อดังนั้นเธอจึงไม่ค่อยมีเวลานัดเจอเพื่อนๆและครั้งนี้ก็เหมือนโชคชะตานำพาให้เธอต้องย้ายกลับมาอยู่ที่นี่เพื่อนช่วยพ่อทำงานให้กับเจ้านายเก่านั่นจึงทำให้เธอมีโอกาสมางานเลี้ยงรุ่นในวันนี้
และเหตุผลสำคัญที่ทำให้เธอรับปากเพื่อนๆว่าจะมาก็คือคำบอกเล่าจากมาริษาว่าจะมีแค่รุ่นเธอเท่านั้นที่มา
แต่แล้วรอยยิ้มที่ประดับเต็มสองแก้มของกนต์รพีก็ต้องค่อยๆปรับระดับลดลงจนหมดไปในที่สุดเมื่อพบว่าใครกำลังเดินเข้ามาในงาน
“มาริษา!”
การเอ่ยเรียกชื่อเสียงแข็งทำให้เจ้าของชื่อถึงกับสะดุ้งจนเกือบทำแก้วน้ำในมือหล่อนแต่ยังดีที่เธอจับได้ทันก่อนจะรีบวางลงแลัวหันไปหาคนข้างๆด้วยหัวใจที่เต้นตุ๊มๆต่อมๆ
“แกหลอกฉันงั้นเหรอ”
“หลอกอะไรเปล่าซะหน่อย”
“ยังจะแก้ตัวอีกไม่หลอกแล้วฝูงที่นั่งอยู่โต๊ะตรงข้ามเรานั่นอะไร”
คนพูดชี้ไปทางกลุ่มคนที่มาใหม่ก่อนจะรีบดึงมือกลับมาจับที่แขนของเพื่อนรักที่ทำท่าจะลุกหนีไปที่อื่น
“ฉันขอไปเข้าห้องน้ำก่อนเดี๋ยวค่อยคุยกัน”
“ไม่ได้! คุยกันตอนนี้แหละเพราะเดี๋ยวฉันจะกลับแล้ว”
คราวนี้เป็นมาริษาบ้างที่ต้องฉุดแขนกนต์รพีเอาไว้เพราะเจ้าตัวกำลังจะทำอย่างที่พูดจริงๆและมันคงไม่ดีแน่ถ้าแผนการเผชิญหน้าต้องล้มเหลวแบบนี้
“จะบ้าหรือไงมาแป๊บเดียวก็จะกลับไม่คิดถึงเพื่อนๆหรือยังไง”
“คิดถึงแต่เดี๋ยวค่อยนัดคุยกัน”
“เดี๋ยวนี่เมื่อไหร่คิดบ้างสิว่ากว่าพวกเราจะว่างตรงกันได้มันยากขนาดไหน”
“แต่ว่าษา…”
“ไม่ต้องแต่เลย ก็ได้จะบอกให้ว่าทำไมถึงทำแบบนี้”
มาริษาพูดแทรกพร้อมกับการลากตัวกนต์รพีไปยังโต๊ะของกลุ่มเป้าหมายทันทีเธอก็อยากจะรู้นักว่าหากรุ่นพี่กลุ่มนี้เห็นการเปลี่ยนแปลงของเพื่อนเธอแล้วจะรู้สึกอย่างไรแต่ที่แน่ๆเพื่อนเธอนี่แหละที่ต้องเลิกหลบซ่อนซะที
กลุ่มของธัญวรัตน์มานั่งไม่ทันไรก็ต้องพบเข้ากับใบหน้าคุ้นเคยของรุ่นน้องที่ไม่รู้ว่าจะยกโขยงมาทำไม
“มีปัญหาอะไรมิทราบ”
“เปล่าค่ะพอดีพวกเราอยากมาทักทายรุ่นพี่น่ะค่ะ”
“มารยาทดีนิเสร็จหรือยังล่ะถ้าเสร็จแล้วก็กลับไปได้แล้ว”
ธัญวรัตน์เอ่ยขึ้นเพราะเธอรู้สึกไม่ถูกชะตากับคนพูดสักเท่าไหร่ยิ่งนานวันเธอก็ยิ่งไม่ชอบถึงขนาดไม่อยากเสวนาด้วย
“เกือบเสร็จแล้วล่ะค่ะแต่พอดีมีคนอยากจะทักทายพวกพี่ๆด้วย”
มาริษาเอ่ยขึ้นพร้อมกับการพยายามดึงตัวคนที่มุดอยู่ที่หลังของเธอให้ออกมาแต่เหมือนอีกฝ่ายจะรู้ตัวถึงได้ทำตัวแข็งต่อต้านตลอด
“จะหลบทำไม”
“กลับกันเถอะษาฉันอยากกลับบ้านแล้ว”
“จะกลับก็ได้แต่ต้องออกมาก่อน”
พูดจบมาริษาก็จัดการดึงตัวเพื่อนรักให้ออกมาจากต้านหลังเพื่อนอีกคนแต่ก็ทำไม่สำเร็จแล้วการฉุดกระชากก็หยุดลงเมื่อกลุ่มของธัญวรัตน์หัวเราะออกมาเสียงดังให้กับภาพที่เห็น
“ปล้ำจับหมูกันอยู่เหรอ”
“นั่นสิ พี่ว่าไล่เข้าคอกไปดีกว่ามั้ง”
“เธอก็ไปว่าอะไรน้องเค้าแบบนั้นว่าแต่กลิ่นขี้หมูลอยมาจากไหนน่ะ”
ช่างเป็นการประสานคำพูดที่เรียกเสียงหัวเราะได้ดีจริงๆแต่สำหรับมาริษามันไม่ตลกเลยสักนิดและอาจเพราะอารมณ์ที่จู่ๆก็ปะทุขึ้นมาทำให้เธอมีแรงที่จะกระชากคนที่ซ่อนตัวให้ออกมาได้และเพียงแค่กนต์รพีปรากฏตัวเท่านั้นแหละเสียงหัวเราะก็แทบจะหยุดลงทันทีเปลี่ยนเป็นการตกตะลึงเพราะไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่เห็น
“นี่กนต์รพีไงคะว่าแต่ตะกี้พี่ๆพูดอะไรกันนะคะ”
จบคำพูดของมาริษาคนที่เคยหลุดประโยคว่าให้กนต์รพีก็ได้แต่ก้มหน้าก้มตาเมื่อพบว่าบุคคลที่ตัวเองพูดถึงไม่ได้เป็นอย่างในอดีตที่ผ่านมาหน่ำซ้ำพอเอามาเปรียบกับตัวเองน้องหมูยังดูดีกว่าอีก
“เธอต้องการอะไร”
ธัญวรัตน์เอ่ยเสียงแข็งเมื่อเริ่มมองออกว่าอีกฝ่ายมีจุดประสงค์อะไร
“ก็บอกแล้วไงคะว่าพวกเราอยากจะมาทักทายรุ่นพี่”
“แต่ฉันว่าเธอตั้งใจมาหาเรื่องมากกว่านะ”
“เอ…ษาว่าพี่คงเข้าใจผิดแล้วมั้งคะถ้าพวกเราทำให้พี่คิดมากก็ต้องขอโทษด้วย”
“คิดว่าจะไปง่ายๆงั้นเหรอ”
ธัญวรัตน์ลุกยืนพร้อมกับการยกแก้วน้ำสาดไปยังมาริษาที่มองมาทางเธออย่างอวดดีแต่กลับถูกใครอีกคนเอาตัวมาบังไว้แทน
“นี่พี่จะทำอะไร”
มาริษาเอ่ยขึ้นก่อนจะรีบล้วงผ้าเช็ดหน้ามาซับที่ใบหน้าของกนต์รพีที่ตอนนี้เต็มไปด้วยน้ำแดง
“ฉันจะทำอะไรมันก็ไม่เกี่ยวกับเธอแล้วอีกอย่างอย่าคิดว่าเปลี่ยนแปลงตัวแบบนี้แล้วจะทำให้ฉันตกตะลึงได้ในสายตาของฉันเมื่อก่อนยัยนี่เป็นยังไงเดี๋ยวนี้ก็ยังเป็นอยู่”
“นี่พี่!”
“พอเถอะษาอย่าไปยุ่งกับคนแบบนั้นเลยเรากลับไปนั่งโต๊ะกันเถอะ”
“แต่ว่า…”
“ฉัน…ขอ”
กนต์รพีพูดเสียงเรียบพร้อมกับการจูงมือเพื่อนสาวที่กำลังโมโหให้ออกมาจากสถานการณ์เลวร้ายแบบนั้น
ผู้หญิงคนนั้นยังคงความร้ายกาจและน่ารังเกียจเหมือนเดิมนึกขอบคุณมาริษาที่ทำให้เธอได้เห็นสิ่งเลวร้ายแบบนี้กับตาอีกครั้งซึ่งมันจะตอกย้ำตัวเธอเองเสมอหากวันหนึ่งต้องเผชิญหน้ากับธัญวรัตน์อีก
แต่ถ้าจะให้ดี…อย่าได้เจอะเจอกันเลยเป็นดีที่สุด!