บทที่ 10
หล่อนพลิกตัวหันไปมองหน้ารูปไข่ที่ยังคงดูสวยงามแม้ต้องแสงเพียงนิดจากไฟข้างนอกที่พัก เธอรู้สึกอยากจะลูบไล้ไปตามโครงหน้านั้นจึงยื่นมือออกไป ค่อยๆ สัมผัสอย่างแผ่วเบาไม่ให้คนที่นอนอยู่ตื่น ความรู้สึกอย่างหนึ่งพุ่งขึ้นมา ปรางอยากจูบคนตรงหน้าเหลือเกิน
จู่ๆ คนที่คิดว่าหลับก็พลิกตัวไปอีกข้าง รักษณาลียอมรับว่าตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น หัวใจหล่อนเต้นแรงรัว รู้สึกว่าตัวเองทำผิดในทันที และที่สำคัญคือกลัวว่าข้าวหอมจะเกลียด เธอไม่รู้จะทำยังไงต่อไปจึงได้แต่นอนหงายหน้ามองเพดานและเผลอหลับไป
วรดาเริ่มรู้สึกตัวตอนที่มีอะไรบางอย่างที่ค่อนข้างเย็นมาสัมผัสบริเวณแก้ม จากนั้นก็ที่จมูก เปลือกตา และปาก ถึงตอนนั้นหญิงสาวรู้แล้วว่าไม่ใช่แค่ฝันหรือคิดไปเอง และคงจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากเพื่อนสาวที่นอนอยู่ตรงกลาง หล่อนตัดสินใจหันหน้าไปอีกทางเพราะไม่ชอบการกระทำนั้น เธอรู้แล้วว่าความแปลกที่เคยสงสัยในตัวเพื่อนทั้งสองคนคืออะไร ข้าวหอมไม่โทษปรางเนื่องด้วยเข้าใจในความรู้สึก แต่ก็ไม่อยากให้เป็นแบบนี้เลย
สาวจมูกโด่งคิดถึงคนรักซึ่งอยู่ไกล หวนรำลึกถึงวันแรกที่นอนกอดกันและปากบดเบียดในกระท่อมไม้ไผ่หลังนั้น สัมผัสนุ่มนวลอ่อนโยนยังคงตราตรึงอยู่ในความทรงจำไม่เสื่อมคลาย รวมถึงหลายครั้งต่อจากนั้นก็ล้วนเป็นความประทับใจที่ไม่อาจลืมเลือนได้เลย
ป่านนี้อีกฝ่ายจะเป็นอย่างไรนะ จะหลับรึยังก็ไม่รู้ คนร่างบางจะโดนตีไหม จะมีน้ำมีนวลขึ้นรึยัง สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องที่วรดาไม่อาจรู้ได้ บางทีครั้งหน้าเธอควรจะถาม ความเหนื่อยจากการไปน้ำตกเริ่มส่งผลให้เปลือกตาค่อยๆ ปิดลงอย่างช้าๆ หญิงสาวพยายามฝืนแต่สิ่งสุดท้ายที่จำได้คือใบหน้าของคนรักเพียงเท่านั้นเอง
ปพิชญาได้รับคำตอบเช่นนั้นจึงนอนนิ่งเงียบ เธอรู้ว่าคำเตือนไม่ได้ผลแต่อย่างใด หล่อนไม่อยากให้เพื่อนสาวทำอะไรไม่ดีแบบนั้นเลย เมื่อคนข้างๆ พลิกหันหน้าไปยังคนที่แอบชอบ คนหน้านิ่งก็นอนตัวแข็งด้วยความหวาดหวั่นลึกๆ แขนเรียวของปรางขยับ หัวใจเธอยิ่งเต้นแรง เด็กสาวอยากจะคว้ามือเรียวนั้นไม่ให้ทำสิ่งที่เธอเพิ่งเตือนไปแต่ก็อดใจไว้
ส่วนมากแล้วหล่อนจะนิ่งเงียบ แต่บางเรื่องโดยเฉพาะเรื่องนี้ทำไมถึงได้สนใจนักหนา เธอไม่เข้าใจตัวเองเลย บางทีอาจจะเพราะความเป็นเพื่อนจึงไม่อยากให้เกิดเรื่องขึ้นก็เป็นได้
เพียงครู่เดียวก็มีเสียงขยับตัวของคนที่นอนริมสุดข้างใน จันทร์ลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก พอเห็นเพื่อนซี้กลับมานอนหงายตามเดิมก็วางใจจนสามารถหลับตาลงได้
รุ่งเช้าทุกคนตื่นในเวลาไล่เลี่ยกัน อ้อยอาบน้ำเป็นแรกตามด้วยปรางและจันทร์ เมื่อสาวเงียบปิดประตูห้องน้ำ บรรยากาศในห้องนอนก็อึดอัดทันที
"ปราง" สาวสวยเรียกเสียงหวานนิ่ง เธอจ้องไปที่ใบหน้าของอีกฝ่ายซึ่งก้มมองมือตัวเองอยู่คล้ายไม่สนใจอะไร แต่วรดารู้ว่าเพราะเหตุใด
"หือ" ตาสีสวยเงยขึ้นมามองอย่างรู้สึกผิด
"เราเป็นเพื่อนกันนะ" เธอพูดประโยคเรียบง่ายออกไป ซึ่งมีความนัยแฝงหลายอย่างและคิดว่าคนตรงหน้าสามารถเข้าใจได้ไม่ยาก
"อืม" ใบหน้าที่ค่อนข้างจะน่ารักหมองลงไปอีก แต่ก็ยอมรับโดยดี
"เรื่องเมื่อคืนเราจะลืมไป ไม่ต้องห่วง" หญิงสาวพูดบอกและยิ้มให้เล็กน้อย
"ขอบใจนะ" น้ำเสียงอีกฝ่ายมีความรู้สึกหลายอย่างปะปนผสมกัน คล้ายกับทั้งเสียดายที่ไม่อาจเป็นได้มากกว่านี้ และดีใจที่เธอไม่ได้โกรธหรือติดใจอะไรนักกับสิ่งที่เกิดขึ้น
ไม่ช้าไม่นานปพิชญาก็ออกจากห้องน้ำมาพร้อมกับเอาผ้าขนหนูเช็ดหน้า แววตาที่นิ่งเฉยมองหล่อนสลับกับเพื่อนสาวอย่างประเมินอะไรบางอย่าง คนผมยาวเดาว่าจันทร์ก็คงรู้ว่าคืนที่ผ่านมาเกิดอะไรขึ้นบ้างจึงมีปฏิกิริยาอย่างนี้
"อือเกือบลืมเลย" ขณะที่ทุกคนกำลังขะมักเขม้นในการเก็บข้าวของลงกระเป๋าเพื่อเตรียมตัวกลับหล่อนก็ได้เอ่ยขึ้นมา
"อะไรเหรอ" เป็นจันทร์ที่ถามออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยปนความสงสัยเล็กน้อย
"ก็ลืมถ่ายรูปน่ะ เอากล้องมายังไม่ได้ใช้เลย" หล่อนบอกตรงๆ เมื่อจัดของจึงเพิ่งเห็นกล้องนอนอยู่ที่ก้นกระเป๋า
"อือ งั้นก็ไว้ถ่ายตอนออกจากที่นี่ละกัน"
"โอเค" หญิงสาวและปรางพูดพร้อมกัน
เมื่อคืนกุญแจห้องและจ่ายเงินเรียบร้อยทั้งสามคนก็มายืนหน้าที่พัก เมื่อมีคนผ่านไปมาก็ขอให้ช่วยถ่ายให้ จากนั้นทั้งหมดจึงจับรถกลับไปกรุงเทพฯ
หล่อนและเพื่อนซี้เดินเข้าบ้านของรักษณาลีเงียบๆ ปรางค่อนข้างซึมมาตลอดทางแม้จะพยายามร่าเริงแต่ก็ไม่สามารถปิดความรู้สึกกับหล่อนได้ เพราะรู้นิสัยดีจากการคบเป็นเพื่อนมาหลายปี
ภายในบ้านค่อนข้างเงียบเพราะครอบครัวของเพื่อนพาน้องชายไปเที่ยวสวนสนุก ตอนนี้ทั้งคู่จึงอยู่ในห้องนอนตามลำพัง
คนน่ารักวางกระเป๋าบนพื้นข้างเตียงนอนอย่างไม่ใส่ใจนักเหมือนคนหมดแรงและหมดอาลัยตายอยาก
"เมื่อเช้ามีอะไรรึเปล่า" หญิงสาวนั่งลงข้างๆ ถามอย่างห่วงใย
"ข้าว...ข้าวบอกว่าเราควรเป็นเพื่อนกัน" เพื่อนสาวพูดแล้วหยุดคล้ายรู้สึกแย่เกินกว่าจะตอบ ถอนหายใจอย่างหนักหน่วง
"อืม ข้าวทำถูกแล้ว" เธอพูดตรงๆ ถ้าข้าวหอมตอบรับคนข้างๆ สิถึงเป็นเรื่องแปลก เพราะคนที่ถูกพูดถึงนั้นตอนเอ่ยเรื่องแฟนก็ดูแสนจะภูมิใจและมีความสุข
"ปรางรู้" เด็กสาวพูดพร้อมการหยดของน้ำตา
"อย่าร้องไห้นะ" หล่อนคิ้วขมวดทันทีที่เห็นแบบนั้น รู้สึกเจ็บแทนคนข้างๆ อย่างอธิบายเหตุผลไม่ได้ นิ้วยาวเช็ดความเสียใจออกจากใบหน้าเกลี้ยงเกลา
คนตรงหน้าไม่พูดอะไรออกมาอีกแต่กลับกอดเธอเสียแน่น ความอบอุ่น ความเศร้า ความผิดหวังรวมกันอยู่ในคนๆ เดียว
ปพิชญากอดตอบหวังให้เพื่อนรับรู้ว่าทุกอย่างจะผ่านไปได้ด้วยดี สักวันจะต้องตัดใจจากข้าวหอมได้อย่างแน่นอน
"ปรางยังมีเรานะ" หญิงสาวพูดเมื่อคลายอ้อมกอดแล้ว
นัยน์ตาสีสวยมองมาที่หล่อน มีความรู้สึกบางอย่างผุดขึ้นมาเพียงชั่วครู่หนึ่งก่อนจะเลือนหายไปเสมือนว่าไม่เคยเกิดขึ้น
"จริงเหรอ" น้ำเสียงนั้นดูมีความหวัง เหมือนคนที่ลอยน้ำต้องการสิ่งยึดเหนี่ยว
"จริงสิ" เธอมองตอบด้วยสายตาจริงจัง ปกติหล่อนไม่ใช่คนที่จะล้อเล่นเรื่องอะไรอยู่แล้ว
"ขอบคุณนะ" คนน่ารักพูดแต่ใบหน้ากลับมองออกไปข้างนอกหน้าต่างซึ่งท้องฟ้ากำลังจะเปลี่ยนเป็นความมืดมิด
หญิงสาวรู้สึกดีใจที่น้ำเสียงนั้นดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เธอไม่ค่อยแสดงอารมณ์ความรู้สึกกับใครก็จริงแต่ยกเว้นเพื่อนสาวคนนี้คนเดียวที่ได้เห็นในสิ่งที่คนอื่นไม่มีวันได้พบเจอ
"อ้อยไปเที่ยวบ้านหนูไหม" พรรณรายเอ่ยขึ้นในตอนเย็นหลังเลิกงาน กลายเป็นกิจวัตรประจำวันไปเสียแล้วที่สาวผิวคล้ำต้องมายืนรอเธอที่หน้าประตูไร่เพื่อกลับด้วยกัน
"คิดก่อน" หล่อนตอบอย่างไม่แน่ใจว่าจะใช้วันหยุดในพรุ่งนี้ทำอะไร วันนี้ผลผลิตถูกเก็บจนหมดคนงานทุกคนจึงได้รับอนุญาตให้พักหนึ่งวันโดยที่ยังได้รับเงินอยู่ โดยไปรับได้ในเย็นของวันถัดไปที่มาทำงาน จะว่าใจดีก็ไม่ถูกนักเพราะที่นี่ทุกคนทำงานไม่มีวันหยุดตลอดทั้งปี
"คิดวันนี้แล้วจะตอบวันไหนล่ะ กลับบ้านไปแล้วก็ไม่ได้เจอกัน โทรศัพท์ก็ไม่มี" เพื่อนใหม่พูดอย่างรู้ทัน แถวนี้ก็แทบไม่มีใครมีโทรศัพท์ทั้งนั้น ยกเว้นแต่ร้านขายของที่มีตู้โทรศัพท์หยอดเหรียญตั้งอยู่เครื่องหนึ่งซึ่งมีคนแวะเวียนมาใช้บริการทั้งวันไม่ขาดสาย
"แล้วไปทำอะไรบ้าง" เธอถามอย่างต้องการรู้ว่าไปแล้วจะได้อะไร สำหรับเด็กสาวแล้วมันไม่น่าจูงใจเหมือนการไปบ้านของข้าวหอม เพราะในที่นั้นมีคนที่รักอยู่
"อืมก็กินข้าว แล้วก็เที่ยวแถวๆ บ้านไง บ้านหนูมีอะไรเยอะนะ" ทิฆัมพรนึกไม่ออกว่าที่บอกว่าเยอะนั้นมีอะไรบ้าง เพราะในบริเวณนี้ภูมิศาสตร์ก็เหมือนๆ กันหมด ถนนไม่ลาดยางหรือปูน บ้านสร้างด้วยไม้เก่าๆ ไม่ก็ปูนหยาบๆ หลายบ้านไม่มีไฟฟ้าหรือน้ำประปาใช้ พูดง่ายๆ ว่าแทบไม่มีอะไรเลยนอกจากธรรมชาติ
"ว่าไง" อีกฝ่ายถามย้ำอย่างต้องการคำตอบ
"แค่ช่วงเช้าละกัน" คนร่างบางตอบ เธออยากใช้เวลาที่แสนมีค่านั้นไปตามสถานที่ต่างๆ ที่เคยไปกับแฟนสาวมากกว่า คล้ายกับการย้อนอดีตเพียงลำพัง อย่างน้อยที่เหล่านั้นก็มีร่องรอยของข้าวหอมอยู่ในความทรงจำ
"ก็ได้ งั้นหนูมารับตอนเจ็ดโมงละกันกว่าจะถึงบ้านก็พอดีข้าวเช้าแหละจะได้กินด้วยกัน" หล่อนพยักหน้ารับรู้และตกลง