วันนี้เป็นอีกหนึ่งวันที่น่าเบื่อสำหรับธัญวรัตน์เพราะการที่ต้องทนเห็นหน้าคนที่ตัวเองไม่ชอบตลอดเวลามันทำให้เธอแทบจะไม่เป็นอันทำอะไร
แม้จะพูดคุยเฉพาะเรื่องงานเห็นหน้าเฉพาะเวลาจำเป็นแต่แค่เธอได้รับรู้ว่ามีคนๆนี้เดินป่วนเปี้ยนอยู่ใกล้ๆก็ทำให้เธอรู้สึกไม่ชอบใจแล้ว
เสียงเคาะประตูทำให้คนหน้างอต้องรีบปรับสีหน้าให้นิ่งมากที่สุดเพื่อกลบเกลื่อนอารมณ์เซ็งๆของตัวเองแต่พอเห็นว่าใครเดินเข้ามาในห้องธัญวรัตน์ก็ถึงกับผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ
“อาการหนักนะเพื่อนฉัน”
พิชญาเอ่ยอย่างนึกขำเพราะไม่เคยเห็นท่าทางเบื่อหน่ายมากมายขนาดนี้ของเพื่อนรักเลยสักครั้ง
“ก็ลองเป็นตัวเองดูบ้างสิแล้วจะรู้”
“ไม่ดีกว่าเห็นสภาพแกแล้วฉันรับไม่ได้จริงๆ”
“ถ้าจะมาซ้ำเติมกลับไปเลยนะ”
“ถ้างั้นไว้เจอกันใหม่ละกัน”
พิชญาเอ่ยขึ้นพร้อมกับการหันหลังเพื่อเดินกลับทำเอาเจ้าของห้องต้องรีบวิ่งไปดึงแขนเอาไว้แทบไม่ทัน
“อะไรมาแป๊บเดียวก็จะกลับ”
“ก็แกเป็นคนไล่จำไม่ได้เหรอ”
ธัญวรัตน์มองหน้าคนพูดที่ทำหน้างอนใส่อย่างขำๆก่อนจะดึงตัวเพื่อนรักให้มานั่งที่โซฟา
“อายุขนาดนี้ยังจะน้อยใจเป็นเด็กไปได้”
“ฉันยังเด็กอยู่โว๊ย”
“เด็กก็เด็กสิจะตะโกนทำไม”
“อายไรนี่ห้องผู้บริหารนะใครจะเข้ามาได้ยินได้”
พิชญาพูดเสียงดังลั่นก่อนจะนึกถึงธุระที่ทำให้ต้องพาตัวเองมาถึงที่นี่
“ว่าแต่แกเป็นยังไงบ้าง”
“เรื่องอะไรดีล่ะมีหลายเรื่องแย่ๆทั้งนั้น”
“ไม่ร้ายแรงอย่างนั้นมั้งธัญ”
เป็นคำพูดที่พิชญารู้สึกว่ามันไม่เข้าท่าเลยยิ่งมองเห็นความอึดอัดมากมายในดวงตาของเพื่อนรักก็ยิ่งรู้สึกว่าเรื่องที่เกิดขึ้นมันหนักมากเกินกว่าที่เธอคาดไว้ซะอีก
เสียงเคาะประตูทำให้บรรยากาศที่ตึงเครียดค่อยๆลดระดับลงมาแต่พอรู้ว่าใครคือคนที่จะเข้ามาใบหน้าที่เริ่มผ่อนคลายของเจ้าของห้องก็กลับมาบึ้งตึงอีกครั้ง
“มีอะไร”
“เอากาแฟมาเสิร์ฟค่ะ”
“สู่รู้นะฉันยังไม่ได้สั่งเอาไปเก็บเลย”
“แต่ว่า…”
“ไม่ต้องมาแต่ไปเลยไป๊ไม่อยากเห็นหน้า”
เจ้าของห้องเอ่ยหน้ามุ่ยก่อนจะหันไปหาเพื่อนสาวที่เอาแต่สะกิดแขนตัวเอง
“มีอะไร”
“ก็ไม่มีอะไรมากหรอกแค่จะบอกว่าฉันเป็นคนสั่งเอง”
ธัญวรัตน์ถึงกับชักสีหน้าใส่คนที่ทำให้ตัวเองหน้าแตกก่อนจะหันไปจ้องเขม็งยังคนที่แอบหัวเราะแต่จะเรียกว่าแอบก็คงจะไม่ถูกเมื่อเธอรู้ดีว่ากนต์รพีตั้งใจหัวเราะให้เธอได้ยินเพื่อยั่วโมโห
“เอ่อ…ตกลงจะรับหรือว่าให้เอาไปเก็บดีคะ”
เป็นประโยคที่ทำให้คนฟังแทบอยากจะกริ๊ดออกมาดังๆแต่เธอไม่มีทางทำแบบนั้นเพราะหากทำก็คงสมใจใครบางคน
“อยากกินก็ไปกินข้างนอกในนี้เหม็นสาบฉันว่าเธอคงกลืนไม่ลงหรอก”
จบประโยคธัญวรัตน์ก็ดึงตัวเพื่อนสาวให้เดินตามออกมาจากห้องทันทีทิ้งให้ใครอีกคนยืนทำหน้างงๆแต่พอนึกได้ก็ไม่ทันแล้วเพราะตอนนี้จะมองไปทางไหนก็ไร้เงาของเจ้านายสาว
ที่ร้านกาแฟธัญวรัตน์รู้สึกมีความสุขมากเหลือเกินแม้จะเป็นแค่ช่วงเวลาสั้นๆแต่เธอก็รู้สึกดีที่ได้ใช้ลมหายใจแยกจากคนที่แสนเกลียด
“ดูแกอารมณ์ดีจังเลยนะ”
“ก็ใช่น่ะสิ ฉันไม่ได้หายใจเอาอากาศบริสุทธิ์แบบนี้เข้าปอดมาหลายวันแล้ว”
“ขนาดนั้นเลยเหรอ”
“ใช่ที่สุด”
“ขอถามอะไรหน่อยสิ”
“อะไร”
“ทำไมแกถึงเกลียดเด็กนั่นจัง”
ธัญวรัตน์มองหน้าคนถามครู่หนึ่งก่อนจะหันไปหยิบแก้วกาแฟขึ้นมาดื่มเพื่อใช้ความคิด
มาคิดๆดูเธอเกลียดยัยนั่นเพราะอะไรนะ ทั้งๆที่คนอื่นๆที่ถูกเธอแกล้งพอพบหน้ากันเธอก็รู้สึกเฉยๆ
อ๋อ…รู้แล้ว!
“ก็เพราะยัยนั่นเป็นคนที่ด้อยที่สุดที่ฉันเคยลดตัวไปคุยด้วยน่ะสิ คิดดูสิทั้งอ้วนเตี้ยไม่มีชาติตระกูลฐานะก็จ๊นจนพูดรวมๆก็คือฉันไม่น่าหลงไปเลือกคนแบบนั้นตั้งแต่แรก”
“แค่นี้อะนะที่ทำให้แกถึงกับเกลียด”
“มีเยอะกว่านี้แต่ฉันว่าแค่นี้ก็มากเกินบรรยายแล้วสำหรับคำว่าเกลียด”
ธัญวรัตน์หน้าตึงทันทีเมื่อคิดถึงเรื่องอื่นๆที่เธอไม่สามารถพูดออกมาได้ยิ่งพอภาพของคืนวันงานเลี้ยงลอยผ่านเข้ามาเธอก็ยิ่งต้องรีบสะบัดหัวแรงๆเพื่อหวังให้ภาพทุกอย่างหลุดออกไปให้หมดแต่เหมือนยิ่งอยากลบภาพต่างๆก็ยิ่งชัดเจนขึ้นเรื่อยๆยังดีที่ได้มือของคนข้างๆมาเขย่าให้ตื่นจากฝันร้าย
พิชญาชี้ไปยังหญิงสาวสองคนที่กำลังเดินเข้ามาในร้านด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแต่ธัญวรัตน์ไม่ได้สนใจประเด็นความร่าเริงนั้นหรอกไอ้ที่เธอสนใจก็คือทำไมโลกต้องเหวี่ยงคนที่เธอเกลียดให้เข้ามาใกล้เธออีกแล้ว
“โลกกลมดีนะธัญ”
“ฉันว่าโลกแคบมากกว่าย้ายร้านกันเถอะ”
พิชญาจับแขนคนที่พูดปุ๊บก็ลุกปั๊บเอาไว้พร้อมกับการดึงให้กลับมานั่งที่เดิม
“มีอะไรค่อยพูดกันร้านใหม่”
“ฉันว่าเราไม่เห็นจะต้องหนีเลยแค่อยู่ส่วนของใครส่วนของมันก็สิ้นเรื่อง”
“แต่ฉันไม่อยากเห็นแม้แต่เงาของยัยนั่น”
“ถ้าอย่างนั้นเราก็ยิ่งห้ามหนีเพราะถ้าแกหนีแกก็ต้องหนีไปตลอดลืมไปแล้วเหรอเมื่อก่อนแกไม่เห็นจะต้องหลบใครแบบนี้แล้วถ้าแกบอกว่าเกลียดไม่อยากเห็นหน้าสมัยก่อนฉันก็เห็นว่าแกเกลียดคนเค้าไปทั่วแต่แกก็ไม่เห็นเคยหลบเลี่ยงแบบนี้”
คนฟังถึงกับจิกสายตาไปที่คนพูดจนพิชญาต้องหัวเราะออกมานน้อยๆเพื่อกลบสิ่งที่ตัวเองพูดพลาด
“สาบานได้มั้ยว่านี่คือคำแนะนำ”
“ร้อยเปอร์เซ็น”
“ถ้างั้นก็แล้วไป”
“แล้วแกจะเอาไงจะหนีหรือจะทำอย่างที่ฉันบอก”
ธัญวรัตน์นิ่งคิดครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าเห็นด้วยกับคำแนะนำของเพื่อนรักบางทีการเผชิญหน้าอาจทำให้เธอรู้สึกดีมากกว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้ก็ได้
มาทางอีกโต๊ะหนึ่งที่กำลังถูกจับตามองโดยไม่รู้ตัวกนต์รพีก็กำลังเอ่ยเล่าเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นให้กับเพื่อนรักฟังหลังจากที่ทนอึดอัดเก็บไว้คนเดียวจนแทบจะระเบิด
“ฉันว่าแกพักกินน้ำก่อนดีมั้ย”
มาริษาเอ่ยขึ้นหลังจากที่เห็นว่าเพื่อนรักแทบจะไม่เว้นวรรคในการพูดเลยสักคำหากเธอไม่เบรคไว้อาจน็อคได้เพราะหายใจไม่ทัน
“จบพอดี”
“อึดอัดน่าดูเลยเนาะ”
“มาก”
คำตอบสั้นๆแต่มาริษารู้ดีว่ามันมีความหมายที่ยืดยาวมากแค่ไหน
เธอรู้ว่ากนต์รพีไม่ได้เข้มแข็งเหมือนอย่างภาพลักษณ์ที่แสดงให้คนภายนอกเห็นแล้วยิ่งต้องมาเจอหน้าคนที่เป็นเจ้าของเงาหลอนในหัวใจเจ้าตัวคงรู้สึกแย่มากขึ้นไปอีก
แต่มาคิดดูอีกแง่หนึ่งเธอก็คิดว่ามันเป็นการดีเหมือนกันที่เพื่อนของเธอจะได้เห็นด้านเลวร้ายของผู้หญิงแบบนั้นใกล้ๆแล้วสักวันหัวใจของกนต์รพีก็จะชินชาไปเอง
“งั้นกินข้าวเยอะๆนะจะได้มีแรงไปสู้กับยัยแม่มดนั่น”
“ขอบใจแกมากนะอุตส่าห์มารับฉันออกมากินข้าว”
“อย่าคิดมากจะให้ฉันมารับทุกวันก็ได้นะฉันเต็มใจ”
“อย่าเลยที่ทำงานเราก็ใช่ว่าจะใกล้กัน”
“ฉันบอกแล้วไงว่าอย่าคิดมากกินๆเข้าไปเถอะน่ะ”
มาริษาพูดตัดบทเพราะขืนให้ถกเรื่องนี้ก็คงไม่มีคำตอบอะไรเปลี่ยนแปลงในเมื่อเธอเต็มใจที่จะทำโดยไม่รู้สึกลำบากหรือเป็นภาระเลยสักนิดการได้มากินข้าวกับกนต์รพีทำให้เธอรู้สึกมีความสุขอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
และทุกความรู้สึกมันดีมากจนเธออยากทำแบบนี้บ่อยๆ
กนต์รพีเงยหน้ามองเพื่อนรักที่นั่งเหม่อเหมือนกำลังใช้ความคิดอะไรบางอย่างขนาดเธอร้องเรียกยังไม่ได้ยินแล้วไอ้ข้าวเม็ดเล็กๆที่ติดอยู่ที่มุมปากของคนนั่งเหม่อก็ทำให้เธออดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้และก่อนที่โต๊ะข้างๆจะมาหัวเราะร่วมด้วยกนต์รพีก็ต้องเอื้อมมือไปเขี่ยเม็ดข้าวออกให้มาริษาเสียก่อนและนั่นทำให้เจ้าตัวตื่นจากภวังค์พร้อมกับการดึงสายตาเข้าหาคนที่กำลังทำอะไรสักอย่างที่ริมฝีปากของเธอ
“กะ กะแกทำอะไร”
เป็นการพูดที่มาริษารู้สึกว่าเอ่ยออกมายากมากกว่าครั้งไหนๆยิ่งสายตาของเธอประสานเข้ากับสายตาของกนต์รพีที่ตอนนี้กำลังส่งยิ้มมาให้ก็ทำให้รู้สึกร้อนผ่าวไปทั่วทั้งใบหน้า
อาการที่เกิดขึ้นชักจะทำให้มาริษากังวลใจกับตัวเองซะแล้วสิ
“ช่วยแกไม่ให้เป็นตัวตลกไง”
กนต์รพีเอ่ยตอบพร้อมกับการดึงมือกลับนั่นแหละถึงทำให้อารมณ์ปั่นป่วนของมาริษาค่อยๆเบาลง
“แกนี่กินข้าวเหมือนเด็กเลยนะจำได้มั้ยว่าตอนเรียนอยู่ฉันหยิบออกให้แกเกือบทุกมื้อที่เรากินข้าวด้วยกัน”
“อืมๆ”
มาริษาได้แต่พึมพำในคอเธอรู้ว่านี่คงเป็นความเคยชินของเพื่อนรักแต่ทำไมหัวใจของเธอมันกลับไม่เคยชินเลยสักครั้ง “เด็กหนอเด็ก”
“อย่ามาล้อ…ฉันรู้หรอกว่าที่แกหยิบออกให้ไม่ได้ทิ้งแต่แกแอบเอาไปกิน”
“จะบ้าหรือไง!”
กนต์รพีเอ่ยออกมาเสียงแข็งแต่เพียงครู่เดียวก็หลุดหัวเราะออกมา
“ฉันพูดถูกใช่มั้ย”
“แกเห็นด้วยเหรอ”
“ไม่เคยพลาดซักครั้ง
“น่าอายจังแกอย่าเอาไปบอกใครนะ”
“ก็ได้แต่แกห้ามทำให้ฉันโกรธไม่อย่างนั้นเรื่องนี้ถึงหูเดอะแก๊งค์แน่”
คนถูกขู่ทำหน้าเหรอหราก่อนจะรีบลุกไปนวดให้คนพูดเพื่อเอาใจแต่กนต์รพีจะรู้ตัวหรือเปล่าว่าทำให้หัวใจของเพื่อนรักกลับมาเต้นเร็วและแรงจนแทบจะทะลุออกนอกอก
“ฉันจะไม่ดื้อกับแกเลย”
หากเป็นแค่ประโยคคำพูดธรรมดาคงไม่สามารถทำให้มาริษาตัวแข็งทื่อได้แบบนี้แต่นี่คนพูดทั้งนวดทั้งเอาหน้ามาถูที่แก้มของเธอด้วยนี่สิ
“แกเป็นอะไรหรือเปล่า”
กนต์รพีเอ่ยถามอย่างสงสัยเมื่อเห็นเพื่อนรักนั่งนิ่งไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบแต่อย่างใดและความสงสัยเหล่านั้นก็ช่วยทำให้มาริษาฟื้นตัวได้ในที่สุดถึงแม้จะไม่มากแต่เธอก็ต้องผ่านสถานะการณ์ที่บีบหัวใจแบบนี้ไปให้ได้
“แกโอเคมั้ย”
“โอเคฉันแค่คิดอะไรนิดหน่อย”
“อะไรเหรอ”
“ก็คิดว่า…”
มาริษาเว้นวรรคก่อนจะค่อยๆดึงตัวเองออกจากการบีบนวดของคนด้านหลังจากนั้นก็คว้ากระเป๋ามากอดไว้หลวมๆ
“คิดว่าเม็ดเมื่อกี้แกเอาทิ้งหรือว่าเก็บกินน่ะสิ”
พูดจบมาริษาก็รีบวิ่งไปทางห้องน้ำทันทีเพราะตอนนี้ใบหน้าของเธอมันคงเปลี่ยนเป็นสีแดงอย่างชัดเจนแล้วเธอรู้สึกได้ดังนั้นคงต้องหลบไปปรับอุณหภูมิให้อยู่ในสภาวะปกติเสียก่อนแล้วค่อยออกมาเจอตัวต้นเหตุอีกครั้ง
ส่วนฝ่ายกนต์รพีก็ได้แต่อ้าปากค้างมองคนที่วิ่งหนีไปจนลับสายตาหากมาริษาออกมาคงต้องอธิบายกันยาวว่าเธอไม่ได้กินจริงๆ
ตอนเรียนก็ไม่ได้กิน!
ตอนนี้ยิ่งไม่ได้กิน!
จริงจริงนะ!