web stats

ข่าว

+-User

Welcome, Guest.
Please login or register.
 
 
 
Forgot your password?
ปัญหาการสมัครสมาชิก
วิธีเปลี่ยนสถานะเป็นนักเขียน
วิธีลงนิยาย
วิธีใช้งานบอร์ด

+-สถิติการใช้งาน

Members
Total Members: 880
Latest: Levitra5a
New This Month: 0
New This Week: 0
New Today: 0
Stats
Total Posts: 1553
Total Topics: 886
Most Online Today: 153
Most Online Ever: 601
(21 กันยายน 2024 เวลา 08:04:58 )
Users Online
Members: 0
Guests: 144
Total: 144

ผู้เขียน หัวข้อ: Love me..Love my dog บทที่ 2 (Rewrite)  (อ่าน 1518 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ ธันย์ธิวา

  • Moderator
  • หน้าใหม่
  • *****
  • กระทู้: 8
Love me..Love my dog บทที่ 2 (Rewrite)
« เมื่อ: 14 พฤษภาคม 2014 เวลา 23:07:36 »
Love me love my dog
บทที่ 2

ถนนสายนี้ดูโล่งผิดปกติ คงเป็นเพราะสายฝนที่พร่างพรมลงมาตั้งแต่ช่วงบ่ายจนถึงตอนนี้
ถนนสายบันเทิงที่เคยมีนักท่องราตรีพลุกพล่านจึงเงียบเหงา ทำให้บรรยากาศโดยรอบดูแปลกไป

ภายในรถย BMW สีดำคันเล็ก ‘พิชามญชุ์’ สาวร่างบางในชุดเดรสสีขาวที่เลอะเทอะไปด้วยเลือดของเจ้าหมาน้อยกำลังนึกถึงช่วงเวลาไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา
เมื่อเย็นวันนี้เธอมีประชุมสำคัญกับหุ้นส่วนบริษัทเกี่ยวกับปัญหาของวัตถุดิบที่จะใช้ในการดำเนินงานผลิตเครื่องประดับคอลเลกชั่นใหม่
ที่มีแผนจะเปิดตัวในอีกสามเดือนข้างหน้า กว่าการประชุมจะเสร็จสิ้นก็เกือบสองทุ่ม รีดพลังของแต่ละคนจนหมดเกลี้ยง
มื้อค่ำที่พิชามญชุ์นัดหมายไว้กับเพื่อนชายจึงต้องยกเลิกไป

และในขณะที่เธอกำลังจะขึ้นรถกลับบ้านด้วยความเหนื่อยล้า ลุง รปภ.ประจำออฟฟิศก็วิ่งกระหืดกระหอบมาบอกว่า
เจ้า “ดำมี่” สุนัขจรจัดที่เธอคอยให้ข้าวให้น้ำเป็นประจำนั้น ถูกอันธพาลรุมทำร้ายอยู่ในซอย

ทันทีที่ได้ยิน พิชามญชุ์กับก็รีบวิ่งไปยังจุดเกิดเหตุ เมื่อไปถึงทุกอย่างในบริเวณนั้นเงียบสงบ
เหลือแต่เพียงร่างของหมาน้อยที่นอนจมกองเลือดบนถนน พิชามญชุ์ใจหายวาบ เธอคิดว่ามันตายเสียแล้ว...
เธอขยับเข้าไปหามันใกล้ๆ ใจชื้นขึ้นเมื่อเห็นท้องของมันยังคงขยับขึ้นลงเล็กน้อยตามลมหายใจที่แผ่วเบา

“มันยังไม่ตาย” พิชามญชุ์ร้องบอก รปภ.ที่นำเธอมา และดูเหมือนเจ้าหมาน้อยยังคงจำเสียงเธอได้
มันส่งเสียงครางหงิงๆออกมาเบาๆ หางกระดิกได้เพียงเล็กน้อย มันคงเจ็บเกินกว่าจะขยับตัว

“ลุงคะ เดี๋ยวแพรวจะพามันไปหาหมอ ลุงช่วยแพรวอุ้มมันหน่อยได้ไหม” หญิงสาวเงยหน้าขึ้นถาม รปภ.

“จะดีเหรอครับคุณแพรว มันโดนมีดปักขนาดนี้ คงไม่รอดแน่ๆ” รปภ.ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่ไม่แน่ใจนัก

“พาไปอาจจะรอด แต่ไม่พาไปไม่รอดแน่ แพรวจะพาไปค่ะ” ว่าแล้วหญิงสาวก็ช้อนมือเข้าไปอุ้มเจ้าดำมี่ขึ้นมาทันที
เธอกระชับมันกับอ้อมแขนบอบบาง ระมัดระวังไม่ให้มีดที่ปักคาอยู่กระทบกับสิ่งใด
และแม้ว่าเธอจะรู้สึกถึงของเหลวเหนียวข้นที่กำลังซึมผ่านเนื้อผ้าเข้ามา แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจ

...เธอให้ข้าวมันตั้งแต่มันยังเป็นลูกหมา แม่ของมันก็อาศัยอยู่ซอยเล็กตรงนี้นี่ล่ะ
พิชามญชุ์ผูกมิตรกับมันครั้งแรกตอนที่แวะซื้ออาหารเช้าก่อนเข้าไปทำงาน ก็อาหารเช้าเป็นมื้อที่สำคัญที่สุด
แต่พวกลูกน้องของเธอกลับไม่ค่อยให้ความสำคัญเท่าไร เธอจึงต้องคอยหาซื้อเสบียงต่างๆมาให้อยู่เสมอ
และเมื่อวางไว้ไม่เกินสิบห้านาที เสบียงต่างๆก็ถูกลูกน้องเธอช่วยกันจัดการจนเกลี้ยงทุกครั้งไป

วันหนึ่งขณะเธอแวะซื้ออาหารเช้าตามปกติ ก็มีลูกหมาสีดำตัวเล็ก พุงป่อง ขี้ตากรัง เข้ามาเดินป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้เธอ
ก่อนเขยิบเข้ามาเรื่อยๆ จนมานั่งอยู่ข้างจุดที่พิชามญชุ์ยืนอยู่ แล้วแหงนมองเธอด้วยสายตาอ้อนวอนที่ทำให้หญิงสาวรู้สึกสงสารขึ้นมาทันใด

“หิวล่ะสิ” พิชามญชุ์มองมันด้วยความเอ็นดู ก่อนจะแบ่งชิ้นหมูปิ้งในถุงให้ หมาน้อยก้มลงดมชิ้นหมู ก่อนแหงนหน้ามองเธอแล้วกระดิกหางน้อยๆของมัน

“กินสิ ไม่มียาพิษหรอกน่า กินแล้วจะติดใจนะ” พิชามญชุ์พยักเพยิดกับมัน
คราวนี้ลูกหมาตัวนั้นก้มลงดมแล้วเริ่มกิน เธอยิ้มให้มัน มันเงยหน้ามายิ้มกับเธอ (เธอคิดว่าใช่นะ)
หางมันกระดิกให้เธอมากขึ้น หลังจากนั้นมันก็ติดสอยห้อยตามเธออยู่ในบริเวณนั้นทุกวัน จนใครๆก็ยกให้หมาตัวนี้เป็นลูกสมุนของเธอโดยปริยาย

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ครืดๆ...ครืดๆ สมาร์ทโฟนที่วางอยู่บริเวณหน้าคอนโซลสว่างวาบก่อนจะร่วงลงมาเพราะแรงสั่นจากเครื่อง
“อุ๊ย” พิชามญชุ์ตกใจ เพราะกำลังคิดถึงเรื่องเจ้าดำมี่อยู่เพลินๆ เธอพยายามจะคว้าโทรศัพท์ไว้แต่ไม่ทัน
ขณะที่เธอกำลังกังวลกับโทรศัพท์ที่หล่นลงไปบนพื้นรถ หางตาก็เหลือบไปเห็นรถกระบะอีกคันพุ่งเข้ามาอย่างเร็วจากเลนตรงข้าม
เท้าขวากระทืบเบรกสุดแรงไปตามสัญชาตญาณ

โครม!!!

พิชามญชุ์กรีดร้องเสียงดังหลังจากที่รถของเธอถูกรถอีกคันชนเต็มแรง โชคดีที่เข็มขัดนิรภัยรั้งตัวเธอไว้กับเบาะ รอดพ้นจากการกระแทกกับพวงมาลัย
“แม่ง ขับรถภาษาอะไรวะ” คนขับรถคันหน้าเดินหน้าตาถมึงทึงลงมาทุบกระจกรถของแพรวราวกับจะให้มันพังคามือ
ทั้งๆที่สภาพรถยนต์ของหญิงสาวนั้นเสียหายมากกว่าเขามากนัก

พิชามญชุ์รู้สึกจุกจนพูดอะไรไม่ออก แต่หญิงสาวพยายามรวบรวมสติก่อนปลดเข็มขัดนิรภัย เพื่อจะเปิดประตูรถลงไป
“ขอโทษจริงๆค่ะ ฉันไม่เห็นสัญญาณไฟเลี้ยวของคุณ เลยเบรกไม่ทัน” พิชามญชุ์อธิบาย เธอรู้สึกแน่นหน้าอก และเจ็บแปลบที่บริเวณข้อมือขวา

“ผิดแล้วยังมาด่าคนอื่น แม่งเอ๊ย ผู้หญิงก็เงี๊ยะ ขับรถห่วย ปากก็เสีย จ่ายค่าเสียหายมาเลย”

พิชามญชุ์เริ่มกลัวคู่กรณีที่ยืนอยู่ข้างหน้า ผู้ชายหน้าตาถมึงทึงคนนั้นเหมือนเข้ามาประชิดตัวเธอมากขึ้นทุกที

“คุณๆ เป็นอะไรมากไหม” เสียงนุ่มๆดังขึ้น พิชามญชุ์เงยหน้าขึ้นดู ก็พบผู้หญิงใส่แว่น คนที่เธอเพิ่งได้พูดคุยมาเมื่อครู่นี้
พิชามญชุ์ส่ายหน้า ไม่ใช่ว่าเธอไม่เป็นอะไร แต่เธอไม่รู้จะบอกอย่างไรมากกว่า

“จ่ายตังค์มาแล้วก็จบ จะได้ไปๆสักที” เสียงห้วนของคู่กรณีดังขึ้น

สาวแว่นสะบัดหน้าไปทางคู่กรณี ดวงตาวิบวับด้วยความไม่พอใจ เสียงนุ่มๆที่พิชามญชุ์ได้ยินทีแรกเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าว ราวสะกดอารมณ์โกรธ
“พี่จะมายืนตะคอกทำไม พี่ไม่โทรเรียกประกันพี่ล่ะ”

“เสียเวลากู รถพังอีก” ชายคู่กรณีท่าทางโมโหอย่างคุมอารมณ์ไม่อยู่

สาวแว่นหันมาถามผู้หญิงร่างบางที่ยืนพิงรถ “คุณโทรเรียกประกันแล้วหรือยัง”

พิชามญชุ์ส่ายหน้า เธอลืมเรื่องนี้ไปเลย ทั้งๆที่ควรจะทำเป็นอย่างแรก

“งั้นคุณรีบโทรเรียกประกันก่อนเถอะ” เสียงนั้นเหมือนคำสั่งกลายๆ สาวหน้าหวานจึงกลับเข้าไปหยิบโทรศัพท์ในรถ
มันช่างดูยากเย็นเมื่อโทรศัพท์ไหลไปอยู่ตรงไหนของพื้นรถก็ไม่รู้ ใช้เวลาพักหนึ่งกว่าจะพบโทรศัพท์แล้วต่อสายหาประกันตามที่สาวแว่นคนนั้นบอก

“เรียกทำไม เสียเวลา เวลาเป็นเงินเป็นทอง จ่ายเงินมาก็ เอามาห้าพันก็พอ คนจะรีบไป”

“รถชน เรียกประกัน มันก็ถูกแล้วนี่ พี่รีบโทรหาประกันให้มาเคลียร์สิ” สาวแว่นสวนกลับทันควัน

“มึงจ่ายมาก็จบ” เสียงห้วน แหบห้าว ที่พิชามญชุ์ลงความเห็นว่าเป็นน้ำเสียงที่ทุเรศที่สุดที่เคยได้ยินดังลั่น หน้าตาถมึงทึงขึ้นทุกที
“มึงจะจ่ายหรือไม่จ่าย”

“ไม่จ่าย” สาวแว่นพูดเสียงดังฟังชัด พิชามญชุ์อยากจะร้องกรี๊ดถูกใจ แต่มันก็อยู่ได้แค่ในความคิด

   ก่อนที่คู่กรณีของเธอจะทำอะไร มอเตอร์ไซค์ของประกันที่เธอเพิ่งโทรเรียกไปก็มาจอดอยู่ด้านข้าง

“รถคุณพิชามญชุ์ใช่ไหมครับ บาดเจ็บหรือเปล่าครับ” สายตาของเจ้าหน้าที่บริษัทประกันจับจ้องอยู่ที่ชุดเปื้อนเลือดของเธอ

“ไม่ได้เป็นอะไรมากค่ะ เอ่อ...นี่ไม่ใช่เลือดฉัน”

“แล้วประกันของคู่กรณีมาหรือยังครับ” เจ้าหน้าที่ถามพิชามญชุ์แต่หันไปมองคู่กรณี

“กูไม่ผิด กูเปิดไฟเลี้ยวมาแล้ว มันขับมาชน มันก็ต้องซ่อมสิ”

“สรุปคือไม่มีประกันใช่มั้ย” สาวแว่นพูดขึ้นมาลอยๆ

“ยังไงกูก็ไม่ผิด มันชน มันต้องรับผิดชอบ” คู่กรณีเสียงเบาลงแต่ยังคงยืนยันคำเดิม
หมอปั้นสังเกตอาการแล้วเริ่มสังเกตเห็นใบหน้าที่แดงก่ำ ก็เริ่มรู้สึกว่าคู่กรณีของสาวหน้าหวานอาจจะเมา

“งั้นไปตกลงที่โรงพักดีกว่า” สัตวแพทย์สาวตัดสินใจพูดขึ้นมาก่อนหันไปถามพิชามญชุ์ “ไปโรงพักเลยมั้ยคุณ”
ยังไม่ทันที่เธอจะตอบอะไร ประกันของเธอก็เดินมาบอกว่า

   “รถต้องลากแล้วนะครับ” พิชามญชุ์ยืนงง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้านี่ บอกตรงๆเลยว่าทำอะไรไม่ถูกเหมือนกัน

   “อืม งั้นคุณไปรถฉันก็แล้วกัน เรื่องลากรถคุณจะยังไง” สาวแว่นถาม

   “เอ่อ ฉันไม่รู้อ่ะ” หน้าตาเธอคงเหวอน่าดู เพราะสาวแว่นคนนั้นยืนหัวเราะเบาๆ แล้วถามต่อ “ในกรมธรรม์มีเรื่องลากรถมั้ยล่ะคุณ”
พิชามญชุ์ได้แต่ยืนอ้ำอึ้ง

สาวแว่นเลยหันไปสรุปง่ายๆ  “น้องๆ เรียกรถมาลากเลยก็ได้ ส่วนคู่กรณีสงสัยต้องไปเคลียร์ที่โรงพัก”
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14 พฤษภาคม 2014 เวลา 23:57:39 ธันย์ธิวา »




 

Powered by EzPortal
    ต้นฉบับในเว็บไซต์เป็นลิขสิทธิ์ของผู้แต่งต้นฉบับที่นำมาลง
    copyright © Yuriread.com All rights reserved.