Love me love my dog
บทที่ 5
วันนี้เป็นที่สามของการไปทำงานโดยไม่มีรถ รถของพิชามญชุ์คงใช้เวลาในการซ่อมแซมอีกอย่างน้อยก็ 2-3 สัปดาห์
เธอคงต้องเริ่มทำตัวให้ชินกับการเดินทางด้วยรถสาธารณะ จริงๆแล้วการจราจรในกรุงเทพฯก็ไม่ได้เหมาะที่จะใช้รถยนต์นักหรอก
แต่ด้วยงานในความรับผิดชอบของเธอทำให้จำเป็นต้องไปพบปะลูกค้าอยู่บ่อยครั้ง นี่คือสาเหตุให้เธอต้องขับรถฝ่าการจราจรอันคับคั่งไปทำงานทุกวัน
ถ้าจะถามว่าตอนที่ไม่มีรถใช้ พิชามญชุ์ชอบอะไรมากที่สุด ก็คงเป็นการเดินเข้ามาทำงานนี้นี่แหละ
เพราะเธอสามารถแวะซื้อเสบียงเผื่อลูกน้องและลูกสมุนตัวอื่นๆได้ตามรายทาง ไม่ต้องกังวลว่าจะต้องจอดรถตรงไหน
และในตอนนี้มือของหญิงสาวก็มีแต่ของกินพะรุงพะรังที่กวาดซื้อมาตั้งแต่ปากซอยจนเกือบถึงออฟฟิศ
ซึ่งล้วนแต่เป็นของกินที่ลูกน้องโปรดปรานทั้งนั้น ส่วนตัวของพิชามญชุ์เองนั้น แค่กาแฟร้อนแก้วโปรดกับแซนวิชสักคู่ก็เพียงพอที่จะอยู่ได้ไปถึงช่วงเที่ยง
“สวัสดีค่ะคุณแพรว เช้านี้รับเหมือนเดิมมั้ยคะ” เสียงใสๆของเจ้าของร้านกาแฟที่พิชามญชุ์เป็นลูกค้าประจำร้องทักมาตั้งแต่เธอยังเดินไปไม่ถึงเคาน์เตอร์
“สวัสดีค่ะ เหมือนเดิมค่ะ” พิชามญชุ์ยิ้มแย้ม ร้านนี้ทำกาแฟรสชาติเข้มข้นถูกใจเธอ แซนวิชก็เช่นกัน
“คุณแพรวเชิญนั่งตามสบายค่ะ เดี๋ยวไปเสิร์ฟที่โต๊ะค่ะ” นอกจากกาแฟรสดีแล้ว เจ้าของร้านนี้ยังมีอัธยาศัยเป็นเยี่ยม
เธอฝากท้องไว้กับร้านนี้เกือบทุกวันที่เข้ามาทำงานในออฟฟิศ พิชามญชุ์เลือกนั่งลงที่โต๊ะกาแฟตัวเล็กน่ารักตรงมุมด้านในของร้าน
พลางเปิดหนังสือนิตยสารที่หยิบติดมาจากหน้าเคาน์เตอร์ แต่ก่อนที่จะเริ่มอ่าน
สายตาของพิชามญชุ์ก็เหลือบไปเห็นผู้หญิงรูปร่างสูงโปร่งคุ้นตากำลังเดินผ่านประตูเข้ามา และหญิงสาวคนนั้นก็ดูจะชะงักไปเล็กน้อยเมื่อได้เห็นเธอเช่นกัน
“สวัสดีค่ะคุณหมอปั้น มาหากาแฟดื่มเหรอคะ” พิชามญชุ์ทักทาย ดูเหมือนว่าตั้งแต่เธอพาเจ้าหมาน้อยไปรักษาโรงพยาบาลนี้
เธอจะได้พบกับสัตวแพทย์คนนี้ทุกวัน ทั้งตอนไปดูอาการของหมาดำมี่รวมถึงเหตุบังเอิญเช่นตอนนี้
“สวัสดีค่ะคุณแพรว ไม่คิดว่าจะได้เจอที่นี่นะคะ” หมอปั้นทักตอบ พร้อมรอยยิ้มนุ่มๆที่พิชามญชุ์มีความเห็นว่ามันช่างดูอ่อนโยนและอบอุ่นซะจริง
“ออฟฟิศฉันอยู่เลยร้านนี้ไปนิดเดียวเองค่ะ ฉันก็เลยปวรารณาตัวเป็นลูกค้าประจำที่นี่ ว่าแต่หมอปั้นมาซื้อกาแฟไกลนะคะ” พิชามญชุ์กระเซ้า
“จริงๆร้านนี้ไม่ไกลหรอกค่ะ ด้านข้างนี่เป็นซอยลัด เดินไปทะลุที่หลังโรงพยาบาลได้เลย” หมอปั้นตอบ
“สวัสดีค่ะคุณหมอ เช้านี้รับเอสเปรสโซ่เย็นหรือโกโก้ร้อนคะ” เจ้าของร้านเสียงใสคนเดิมร้องถามมาที่ลูกค้าประจำอีกราย
“โกโก้ร้อนค่ะ” หมอปั้นสั่งแล้วนั่งลงที่โต๊ะตัวเดียวกับพิชามญชุ์
“ไม่ยักรู้นะคะว่าคุณปั้นก็เป็นลูกค้าประจำที่นี่ แพรวไม่เคยเห็นคุณที่นี่เลย” พิชามญชุ์วางนิตยสาร
เธอมาที่นี่แทบทุกวันแต่ไม่ยักจะเคยเห็นสัตวแพทย์สาวคนนี้ ทั้งๆที่รูปร่างสูงโปร่งเกินมาตรฐานหญิงไทยแบบนี้น่าสะดุดตาออกจะตายไป
“ฉันก็เป็นลูกค้าประจำประเภทฝากคนอื่นซื้อน่ะค่ะ มาเองบ้างบางที แต่พี่เจ้าของร้านนี่ก็จำแม่นเหลือเกิน” หมอปั้นไขข้อสงสัย
ก่อนที่พนักงานเสิร์ฟของร้านจะยกกาแฟและแซนวิชของพิชามญชุ์มาวางให้
“คุณหมอทานอะไรมาหรือยังคะ ทานแซนวิชด้วยกันไหมคะ อันนี้เป็นทูน่า คุณหมอทานได้หรือเปล่า” พิชามญชุ์เอ่ยถาม
จะให้เธอทานแซนวิชคนเดียวโดยที่อีกฝ่ายนั่งมองอยู่อย่างนี้เธอก็เขินแย่
“เช้าอย่างนี้กาแฟหรืออะไรร้อนๆแก้วเดียวฉันก็พอแล้วค่ะ” หมอปั้นตอบ แต่เจ้าแม่อาหารการกินอย่างพิชามญชุ์มีหรือจะยอม
“ไม่ทานอาหารเช้าอย่างนี้นี่เองถึงเป็นโรคกระเพาะ” พิชามญชุ์ทำหน้าตาจริงจัง “เดี๋ยวแพรวจัดให้แล้วกันค่ะ”
ว่าแล้วพิชามญชุ์ก็ลุกจากโต๊ะไปสั่งอาหารเช้าให้สาวแว่น
หมอปั้นมองตามหญิงสาวรูปร่างเล็กบางที่เดินออกจากโต๊ะไป คุณแพรวช่างดูสดใสแพรวพราวสมชื่อ
รอยยิ้มที่ประดับอยู่บนใบหน้าหวานๆนั้นทำให้คนรอบข้างรู้สึกอารมณ์ดีตามเธอได้ไม่ยาก และตั้งแต่หมอปั้นได้พบกับเธอในร้านนี้
ก็ดูเหมือนรอยยิ้มจะไม่หายไปจากใบหน้าเลยแม้แต่วินาทีเดียว
“เอ เมื่อกี้คุณหมอว่า มีทางลัดไปหลังโรงพยาบาลเหรอคะ” พิชามญชุ์ถามเมื่อกลับมานั่งที่
หมอปั้นพยักหน้าแทนคำตอบ ทางลัดตรงนี้ใกล้กับโรงพยาบาลมาก ผู้หญิงตรงหน้าจะได้ไม่ต้องเหนื่อยฝ่าการจราจรตรงถนนใหญ่
เพื่อไปเยี่ยมสุนัขตัวน้อยในอุปการะของเธอ
“เดี๋ยวตอนเดินออกไป ฉันจะชี้ให้คุณดูก็ได้ เผื่อเย็นนี้คุณจะได้ใช้ทางนี้เดินไปหาเจ้าหมาสปาตา”
“คุณหมอเรียกดำมี่ว่าไงนะคะ” พิชามญชุ์เกือบสำลัก วางแก้วแทบไม่ทัน
“อ๋อ เป็นนิคเนมที่คนในโรงพยาบาลเรียกกันน่ะค่ะ ก็มีที่มาจากที่มันโดนสปาตามานั่นแหละ” หมอปั้นตอบอ้ำอึ้งเล็กน้อย
เผลอตัวเรียกนิคเนมหมาในอุปการะของสาวหน้าหวานด้วยชื่อเฉพาะคนวงใน ตอนนี้ก็เลยเดาคู่สนทนาไม่ถูกเหมือนกันว่าจะโกรธหรือไม่
ที่เปลี่ยนชื่อหมาของเธอเป็นสปาตา
“กลายเป็นงั้นไป ฟังดูอย่างกะหมานักรบ” พิชามญชุ์บ่นเบาๆ แม้จะทำหน้ามุ่ยน้อยๆ แต่คนนั่งตรงข้ามกลับรู้สึกว่าน่ารักดี
“ว่าแต่ทำไมคุณถึงตั้งชื่อมันว่า ‘ดัมมี่’ ล่ะคะ ชอบเล่นเหรอคะ” คราวนี้พิชามญชุ์ถึงกับสำลักกาแฟจริงๆ
“แค่กๆ...ไม่ใช่หรอกค่ะ คือจริงๆแพรวเรียกมันว่า ดำ แต่พวกเด็กๆที่ออฟฟิศบอกว่ามันดูธรรมดาไป
ก็เลยเรียกมันว่า ดำมี่ เลยกลายเป็นชื่อนี้มาเรื่อยน่ะค่ะ”
หมอปั้นหยิบทิชชู่ยื่นให้พิชามญชุ์ เธอรับไปซับริมฝีปาก แต่ยังมีรอยเลอะที่คางเล็กน้อย
หมอปั้นพยายามชี้บอก แต่ก็ดูเหมือนพิชามญชุ์จะยังซับไม่ถูกเสียที หมอปั้นเลยหยิบทิชชู่แผ่นใหม่ เอื้อมมือไปซับคางให้พิชามญชุ์เบาๆ
“ขอบคุณค่ะ” พิชามญชุ์ตกใจเล็กน้อยกับการกระทำที่แสนอ่อนโยนของหมอปั้น ใจเธอเหมือนเต้นแรงขึ้นแม้ว่าอีกฝ่ายจะดึงมือกลับไปแล้ว
“โกโก้ได้แล้วค่ะคุณหมอ” พนักงานเสิร์ฟของร้านวางแก้วโกโก้ร้อนตรงหน้าคุณหมอหมาใจดี
รอยยิ้มและสายตาที่มองมาดูจะชื่นชมหมอปั้นเป็นพิเศษ พิชามญชุ์รู้สึกขัดตาขัดใจเสียจริง
“ขอบคุณค่ะ” หมอปั้นยิ้มตอบทั้งปากทั้งตา คราวนี้พิชามญชุ์ขัดใจมากกว่าเดิมอีกหลายเท่าตัว
“คุณหมอได้เครื่องดื่มแล้ว แพรวไม่กวนคุณหมอแล้วดีกว่า เอาไว้เราค่อยพบกันนะคะ” พิชามญชุ์รวบของพลางลุกขึ้นยืน
พยายามเรียกยิ้มให้กลับมาเหมือนเดิม คงดูเสียมารยาทพิลึกถ้าจะแสดงอารมณ์ขุ่นใจไปกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง
“ค่ะคุณแพรว แล้วพบกันเย็นนี้” หมอปั้นยังยิ้มระรื่น ไม่ได้รับรู้ถึงอาการที่เปลี่ยนไปของพิชามญชุ์
“ถ้าเดินไปทางลัดไม่ถูก ก็โทรถามฉันก็ได้นะคะเดี๋ยวจะเดินมารับ”
พิชามญชุ์ได้แต่ยิ้มแล้วขอบคุณหมอปั้น พลางตำหนิตัวเองที่ไปหงุดหงิดเสียอารมณ์ ก่อนจะเอ่ยลาแล้วเดินออกจากร้านกาแฟไปทางออฟฟิศของเธอ
โดยไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายไม่ได้ขยับไปไหน กลับยืนมองเธอจนลับตา พร้อมกับรอยยิ้มที่ดูมีความสุขเหลือเกิน
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
“เจ๊จิ๋วๆ คุณหมอของเจ๊มีอะไรดีๆเหรอ ช่วงนี้อารมณ์ดี๊ดี ไม่มีดุเลย” เจ้าหน้าที่สาวผู้ช่วยสัตวแพทย์กระซิบกระซาบกับพี่จิ๋ว ผู้ช่วยมือหนึ่งของหมอปั้น
ขณะกำลังช่วยกันทำแผลให้แมวเปอร์เซียสีขาวที่ไม่รู้ไปทะเลาะกับหมาแมวตัวไหนมาจึงได้แผลยาวเหวอะหวะที่บริเวณใบหูให้เจ้าของต้องรีบพามาส่งที่โรงพยาบาล
“เจ๊จะรู้ไหม อยู่ด้วยกันตลอดนี่” เจ๊จิ๋วกระซิบกลับ เจ๊ก็อยากรู้ แต่ไม่กล้าถามเรื่องส่วนตัวหมอปั้น กลัวจะเจอสายตาคมกริบตวัดกลับมาให้หน้าแหกเล่น
“ช่วยจับแน่นๆกว่านี้หน่อย มันขยุกขยิกแล้วหมอทำแผลไม่ได้” หมอปั้นเอ่ยเตือนผู้ช่วยสาว
เพราะผู้ช่วยของเธอตั้งหน้าตั้งตาซุบซิบกับผู้ช่วยอีกคนเสียจนเผลอจับแมวไม่แน่น เปิดโอกาสให้แมวขนฟูดิ้นรนจะหนีจากการทำแผลให้ได้
“ค่ะๆ ขอโทษที”
หมอปั้นไม่ได้ว่าอะไรผู้ช่วยมากกว่านี้ เมื่อผู้ช่วยหันไปตั้งใจจับแมวที่กำลังดิ้นและทำงานได้ถูกต้องตามที่สั่งแล้วก็ถือว่าไม่มีเรื่องอะไรที่ต้องตำหนิ
เมื่อเคสแมวเหมียวจบลง หมอปั้นก็เดินออกจากห้องรักษาไปยังห้องพักพนักงาน ที่จัดไว้เป็นห้องอเนกประสงค์สำหรับพนักงานมานั่งพัก หรือมารับประทานอาหาร
“ขนมใครน่ะ หน้าตาน่ากินเชียว” หมอปั้นเอ่ยถามเพื่อนสนิทที่กำลังนั่งกินขนมด้วยความเอร็ดอร่อย
“แม่สปาตาเอามาฝาก กินดิแก อร่อยมากเลย” หมอโบ เพื่อนสนิทของหมอปั้นตั้งแต่สมัยเรียนตอบทั้งที่ปากก็กำลังเคี้ยวขนมตุ้ยๆด้วยความอร่อยคูณสอง
เพราะหยิบเป็นชิ้นที่สองแล้ว
“คุณแพรวมาเหรอ” ปัณฑิการู้สึกหัวใจเต้นแรงขึ้นมาทันทีที่ได้ยินชื่อของสาวหน้าหวานคนนั้น คนที่แอบเข้ามาวนเวียนอยู่ในความคิดเธอตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้
“ใช่ แต่กลับไปแล้วนะ แวะมาดูสปาตาแล้วก็เอาขนมมาฝาก เออนี่ฉันซื้อผัดไทยเจ้าอร่อยมาเผื่อแก” หมอโบบุ้ยบ้ายไปที่ห่ออาหารที่วางอยู่บนโต๊ะ
“ขอบใจนะโบ ทุ่มนึงแล้วเหรอเนี่ย ลืมเวลาไปเลย” ปัณฑิกามองนาฬิกา รู้สึกเสียดายนิดหน่อยที่ไม่ได้เจอเจ้าของขนม
เธอเข้าเวรบ่ายในวันนี้ เจอเคสต่อเนื่องยาวนานมาจนแทบไม่ได้หยุด
“รีบกินเถอะแก เดี๋ยวเกิดมีเคสมหาโหด แกจะไม่มีเวลามากินนะ” หมอโบย้ำ เพราะที่นี่เป็นโรงพยาบาลสัตว์ขนาดใหญ่
เคสที่เข้ามาก็มักจะเป็นงานยาก งานโหดที่คลินิกรักษาสัตว์ทั่วไปไม่พร้อมที่จะรักษา
ด้วยเหตุนี้แหละที่ทำให้ชีวิตสัตวแพทย์อย่างพวกเธอต้องเป็นวงจรบิดเบี้ยวออกไป เวลาพักกับเวลาทำงานเหมือนจะเหลื่อมซ้อนกันชนิดที่คาดเดาไม่ได้
บางทีถึงเวลาเปลี่ยนเวรแต่ก็รักษาติดพัน บ่อยไปที่พวกเธอต้องใช้เวลาในการรักษายาวไปจนไม่มีเวลาจะพัก
“นั่นสิ คราวก่อนที่รับเจ้าสปาตามา นั่นก็ไม่ได้กินอะไรเลยนะ พี่ยังทึ่งเลยว่าหมอปั้นยืนทำเคสไหวได้ยังไง วันนั้นน่ะหนักๆทุกเคสเลยนะหมอโบ”
พี่จิ๋วเล่าให้หมอโบฟังอย่างออกรส
“ปั้นมันก็ยังงี้แหละพี่จิ๋ว เป็นตั้งแต่สมัยเรียน บางทีมันไม่กินอะไรเลยก็อยู่ได้ทั้งวัน ยิ่งช่วงสอบยิ่งไม่กิน เป็นช่วงจำศีลของมันเลยแหละ”
หมอโบนินทาเพื่อนซี้ระยะเผาขน เรียกเสียงหัวเราะคิกคักทั้งในวงและนอกวง
“เออ นั่งหัวโด่อยู่ตรงนี้แท้ๆ ไม่เกรงใจกันบ้างเลยนะ” ปัณฑิกาค้อนเพื่อนขวับๆ แต่มือกลับแกะห่อผัดไทยที่อยู่ตรงหน้าเนือยๆ
“เจ้าอร่อย...” “ที่สุดในสามโลก” ปั้นรีบต่อก่อนที่หมอโบจะพูดจบ
“นั่นแหละ เขี่ยอย่างกะไม่อร่อยงั้นแหละ วันหลังนะจะไม่ต่อคิวซื้อมาให้จริงๆด้วย นี่เห็นว่าชอบกันหรอกนะเลยอุตส่าห์ไปยืนรอซื้อเนี่ย” หมอโบบ่นเพื่อนหมอเสียงดัง
หางเสียงออกงอนเล็กๆ เพราะนี่เป็นผัดไทยเจ้าอร่อยที่ต่อคิวยาวร่วมชั่วโมงกว่าจะได้มา แถมร้านยังเล่นตัวไม่รับออเดอร์ล่วงหน้าทางโทรศัพท์อีกต่างหาก
ติ๊ง..ข้อความในโทรศัพท์ของหมอปั้นโชว์ขึ้น มันถูกส่งมาจากสาวหน้าหวานที่หมอปั้นเพิ่งจะคิดถึงอยู่ไม่กี่นาทีก่อน
(ทานข้าวเย็นหรือยังคะคุณหมอปั้น)
(กำลังทานค่ะ คุณแพรวล่ะคะ)
(กำลังทานอยู่เหมือนกันค่ะ
กำลังคิดว่าคุณปั้นจะลืมทานข้าวหรือเปล่า)
(ก็เกือบลืมไปเหมือนกันค่ะ)
(เมื่อตอนเย็นแพรวแวะเข้าไป
คุณหมอไม่ว่าง เลยฝากขนมไว้แทนนะคะ)
(เห็นแล้วล่ะ ขอบคุณนะคะสำหรับขนม)
(ดูแลสุขภาพด้วยนะคะ เดี๋ยวคุณหมอป่วย
น้องหมาน้องแมวจะไม่มีคนช่วยรักษา)
(ขอบคุณค่ะ)
(แพรวไม่กวนแล้ว
คุณหมอทานข้าวให้อร่อยนะคะ)
หมอปั้นอมยิ้มกับโทรศัพท์ ไม่ได้รู้ตัวว่าตกเป็นเป้าสายตาสองคู่ของคนสองคนที่นั่งอยู่โต๊ะเดียวกัน
“เฮ้ย ใครส่งไรมาอ่ะ” หมอโบทำหน้าเจ้าเล่ห์ใส่คนยิ้มกริ่มกับโทรศัพท์ พลางทำท่าชะโงกหน้ามาดู
“นั่นสิ ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ น่าสงสัยจริง แฟนเหรอหมอปั้น” พี่จิ๋วสำทับ
หมอปั้นส่ายหน้าปฏิเสธ แต่ใบหน้ากลับมีสีแดงระเรื่อ เล่นเอาคนแซวหัวเราะเอิ๊กอ๊ากชอบใจ
“ใครกันหนอ ทำให้หมอปั้นถึงกับเขินม้วนได้อย่างนี้” พี่จิ๋วแซวต่อ ส่วนหมอโบก็เป็นลูกคู่คอยส่งเสียงกิ๊วก๊าวให้ยิ่งอายมากกว่าเดิม
“หมอปั้นครับ มีเคสมาใหม่ครับ เป็นหมาโดนรถชน หมอต้นติดอีกเคสนึงอยู่ ผมเลยมาตามหมอน่ะฮะ” หนุ่มน้อยเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาล
เดินมาบอกปัณฑิกาในห้องทานอาหาร
“เห็นมั้ย ปากพระร่วงไหมฉัน” หมอโบหันมาย้ำกับหมอปั้น
“ใช่ แม่นมากกกก แกน่าจะเปลี่ยนอาชีพเป็นหมอดูนะ” หมอปั้นค้อนใส่เพื่อนวงโต ก่อนจะยกน้ำขึ้นดื่ม แล้วรีบเดินออกไป