บทที่ 2
ปารย์ครางในลำคอแผ่วเบา หล่อนคิดถึงเรื่องราวที่ผ่านมาแล้วร้อนรุ่มไปหมดราวกับมีไฟเผาอยู่ข้างใน เธอกัดฟันแน่นพยายามควบคุมอารมณ์ที่เกิดขึ้น การได้นอนในห้องเดียวกับผู้หญิงสักคนหนึ่งแล้วไม่ได้แตะเนื้อต้องตัวนั้น...ฆ่ากันชัดๆ
บางทีเธอคงต้องลองขอร้องป้าอีกสักครั้ง ถ้าให้ต้องทนอย่างนี้ตั้งปีหนึ่งหล่อนต้องตายแน่ๆ แต่แล้วจู่ๆ ความคิดบางอย่างก็พุ่งขึ้นมา สิ่งนั้นทำให้หญิงสาวต้องยิ้มในความมืด เปลี่ยนเพื่อนร่วมห้องเป็นคู่นอนซะก็หมดเรื่อง
ความคิดนี้ช่างง่ายดายและเชิญชวนให้ปออยากทำตาม เธอคิดว่าคงดีไม่น้อยไหนๆ ก็ต้องอยู่ด้วยกันอยู่แล้ว แถมไม่ต้องไปหาผู้หญิงคนอื่นให้เสียเวลา เสียค่าโรงแรม ตาสีน้ำตาลอ่อนมองไปที่เพื่อนร่วมห้องซึ่งนอนหลับโดยไม่ได้รับรู้ว่ากำลังถูกจ้องอยู่ ลมหายใจของอีกคนยังคงสม่ำเสมอ คืนนี้ปล่อยให้คนตรงหน้าหลับไปก่อน เพราะหลังจากนี้อีกฝ่ายคงไม่มีโอกาสได้นอนเต็มตา
รุ่งเช้าที่เธอลืมตาตื่นขึ้นมาก็พบว่าน้ำหวานได้ตื่นแล้ว แถมยังนั่งอยู่หน้าคอมด้วยท่าทางกระฉับกระเฉงผิดแปลกไปจากเมื่อวานโดยสิ้นเชิง หล่อนมองการกระทำนั้นอย่างสนใจ...เป็นผู้หญิงที่แปลกดี
ปารย์หาวเล็กน้อยก่อนจะตวัดผ้าห่มออกจากตัว หญิงสาวนั่งไล่ความมึนงงอยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะลุกขึ้น หยิบของใช้ส่วนตัวแล้วเดินออกจากห้อง หางตาของเธอเห็นว่าเพื่อนร่วมห้องไม่ได้สนใจเธอเลย ไม่เลย ไม่เหมือนเมื่อวาน วันนี้ทำไมถึงเปลี่ยนไป นั่นเป็นคำถามที่ติดอยู่ในความคิดของคนตัวสูงตลอดเวลาของการอาบน้ำ
คนผมสั้นคิดว่าคงง่ายดายในการทำให้อีกคนยอมมีอะไรด้วยถ้าอีกฝ่ายยังคงแสดงออกว่าสนใจหล่อน ไม่ว่าจะสนใจในแง่ไหนก็ตาม เธอรู้ว่าตัวเองหน้าตาดี เพื่อนๆ หลายคนมักจะพูดว่าหล่อนมีเสน่ห์แปลกๆ ปอไม่สนใจหรอกว่าที่ว่าแปลกนั้นคือแปลกอย่างไร ขอแค่ได้ทุกอย่างสมใจแค่นั้นเป็นพอ และครั้งนี้ก็เช่นกัน
สาวผมน้ำตาลเข้มยิ้มขณะที่แต่งตัว พลางคิดว่าก็ไม่ได้เปลี่ยนไปซะทีเดียว อย่างน้อยเรื่องนี้ก็ไม่ คนผมสั้นแต่งตัวช้ากว่าปกติ หล่อนต้องการล่อให้อีกฝ่ายมาติดกับ
“อรุณสวัสดิ์” เธอเปิดการสนทนาด้วยน้ำเสียงเนิบช้า เสียงที่ติดแหบเล็กน้อยนั้นยิ่งทำให้ดูเย้ายวน
“ดี” คนตรงหน้าละจากคอมพิวเตอร์มามอง คล้ายกับว่าก่อนหน้านี้ไม่ได้แอบดูหล่อนเลยแม้แต่นิดเดียว หญิงสาวเกือบยิ้มออกไป
“ทำอะไรอยู่” แม้คำพูดจะธรรมดาแต่ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนมองกวาดไปทั่วทั้งเนื้อทั้งตัวของผู้หญิงตรงหน้า มองราวกับจะกลืนกิน
“อ้อ ก็อ่านข่าวน่ะ หวานชอบประกวดแข่งขัน” เสียงใสพูดอย่างกันเองทั้งๆ ที่ไม่เคยคุยกันด้วยซ้ำ
“ดูด้วยสิ” เอ่ยออกไปแล้วคนจมูกโด่งไม่รอคำตอบรับหรือปฏิเสธ หล่อนเดินยืนย่อตัวอยู่ข้างหลังของเพื่อนคนใหม่ กลิ่นหอมอ่อนๆ ของสบู่ทำให้ต้องลอบกลืนน้ำลาย
“เอ่อ” อีกฝ่ายทำหน้าเหมือนแปลกใจ
“ไหนข่าว” เธอพูดราวกับว่าไม่เห็นปฏิกิริยานั้นทั้งๆ ที่ตัวเองจงใจให้เกิดขึ้น
“นี่ไง” คนผมยาวหยักศกกลับไปให้ความสนใจกับจอคอมพิวเตอร์พกพา แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่อาจปกปิดความประหม่าที่เกิดขึ้นได้
“เธอเรียนเก่งเหรอ” เป็นคำถามที่ไม่ได้ต้องการคำตอบที่แท้จริง ปอเอ่ยออกไปเพราะต้องการหาเรื่องคุยและชิดใกล้เพียงเท่านั้น
“นิดหน่อยน่ะ เราเด็กทุน” คำพูดของน้ำหวานเหมือนจะถ่อมตัว แต่ความรู้สึกของคนผมสั้นกลับบอกว่าเจ้าตัวภูมิใจ และมั่นใจในตัวเองมากในเรื่องนี้
“เรียนคณะอะไรล่ะ ถ้าคณะเดียวกันจะได้ช่วยๆ กัน”
“บริหารธุรกิจน่ะ” เธอถอยออกมาเล็กน้อยเพื่อให้คนตรงหน้าหายใจหายคอสะดวก หล่อนต้องไม่กดดันมากเกินไป เพราะอาจทำให้ลูกไก่ตัวนี้ถอยห่าง ของแบบนี้ความใกล้ชิดและสม่ำเสมอจะเป็นแรงกระตุ้นได้ดีกว่า
“คนละคณะ” หญิงสาวทำท่าเหมือนเสียใจ
“แล้วปอเรียนคณะอะไรเหรอ” อีกฝ่ายกระตือรือร้นอยากรู้ทันทีที่ปารย์ไม่บอก
“ศิลปศาสตร์ ภาษาฝรั่งเศส”
“เก่งจัง” นัยน์ตาสีเข้มนั้นชมอย่างจริงใจ ดูเหมือนจะเป็นครั้งแรกที่สาวผมสีเข้มรู้สึกได้
“ไม่หรอก” คำนี้เป็นความจริง หญิงสาวรู้ดีแก่ใจ หล่อนแค่หัวดี
“หิวแล้วไปทานข้าวกัน” คนตาสีอ่อนชักชวน
ปองกานต์ยิ้มแล้วพยักหน้าให้กับเพื่อนร่วมห้อง เธอรู้สึกงุนงงเล็กน้อยที่อีกฝ่ายเป็นคนเข้ามาพูดคุยทักทายก่อน ตอนแรกหล่อนคิดว่าจะค่อยๆ พยายามใกล้ชิดอีกคนทีละนิด เพราะคนที่มีลักษณะนิสัยแบบนี้มักจะไม่ชอบคนที่เข้าไปยุ่งวุ่นวาย แต่การณ์วันนี้พลิกกลับ ยิ่งตอนที่ปอยื่นหน้าข้ามไหล่เพื่อดูข่าวที่หล่อนอ่านแล้วนั้น ไม่รู้ทำไมเธอต้องประหม่า คนผมยาวไม่ชอบให้ทุกอย่างเป็นแบบนี้เลย ไม่ชอบที่ไม่มีอะไรเป็นไปตามแผนการที่วางไว้
ตลอดเวลาที่ทานข้าวอีกฝ่ายยังคุยอย่างสม่ำเสมอ น้ำหวานเริ่มชินกับคำพูดห้วนๆ แบบนี้แล้ว แต่นั่นก็ยิ่งทำให้ความน่าสงสัยเพิ่มขึ้นไปอีก เพราะคำพูดยังคงยืนยันตัวตนไม่เปลี่ยนแปลง แต่ทำไมการกระทำถึงเปลี่ยนไป จะว่าอยากเป็นเพื่อนก็คงไม่ใช่ ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงคงไม่เพิ่งมาเกิดขึ้นเอาวันนี้
“แล้วมีแฟนรึยัง” สาวตาสีเข้มยิ้ม
“ยัง เลิกไปสองปีแล้ว” เธอตอบสบายๆ หล่อนไม่ค่อยได้คบกับใครสักเท่าไหร่นัก และหวนคิดถึงแฟนคนล่าสุดกับเหตุการณ์เดิมๆ
“คุยกันหน่อยสิหวาน” เสียงของก้องทำลายสมาธิของเธอซึ่งกำลังตั้งหน้าตั้งตาทบทวนบทเรียนอยู่ในห้องเรียน หล่อนเป็นอย่างนี้เสมอรีบกินข้าวแล้วขึ้นมาอ่านหนังสือ
“มีอะไรเหรอ” หญิงสาวย่นคิ้วสงสัย ชายหนุ่มตรงหน้าเลิกตื้อให้เธอไปทานข้าวหรือดูหนังนานแล้ว
“เลิกกันเถอะ...คบกันอย่างนี้ก็เหมือนไม่คบ ชวนไปไหนก็ไม่เคยไป เวลาอยู่กันสองคนยังไม่มีเลย” สีหน้าเขาดูกลัดกลุ้มคล้ายกับอยากระบายมากกว่า
“หวานบอกตั้งแต่ก่อนคบแล้วนี่ว่าไม่ค่อยมีเวลา” ปองกานต์ถอนหายใจ มันเป็นความจริงที่เธอบอกเขา และแน่นอนมักไม่ค่อยมีใครสนใจคำเตือนกลายๆ นี้สักเท่าไหร่ แฟนคนนี้ก็เหมือนคนก่อนๆ ที่พูดว่าไม่เป็นไร เข้าใจ รับได้ แต่ลึกๆ แล้วทุกคนก็มักจะหวังให้หล่อนเปลี่ยนแปลง ลดธุระของตัวเองลงเพื่อเขา
“ตกลงค่ะ” คำพูดเรียบๆ เสียงแผ่วเบาหลุดออกมากจากปาก ไม่ใช่เพราะเสียใจแต่เพราะเบื่อหน่ายกับเหตุการณ์แบบนี้เต็มทน ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่อาจแสดงอาการตามใจตัวเองได้ ต้องแกล้งทำเป็นเสียใจ
“หวานเข้าใจ ขอหวานอยู่คนเดียวแปบนะ” คนผมยาวพูดทั้งๆ ที่ก้มหน้า
เด็กหนุ่มเดินออกไปเงียบๆ หล่อนมองนาฬิกาแล้วถอนหายใจอีกครั้ง ปองกานต์ตั้งใจตั้งแต่ตอนนั้นว่าจะไม่มีแฟนอีก มันไม่มีความจำเป็นกับชีวิตของเธอเลย ไม่เลยจนกว่าจะเรียนจบและทำอย่างที่ตั้งใจ
“เธอ” เสียงเรียกมาพร้อมกับแขนที่ถูกเขย่า
“คะ” คนหน้ารูปหัวใจยังรู้สึกงุนงงเล็กน้อย
“ถามแค่นี้เงียบเลยเหรอ” คำพูดนี้ทำให้หล่อนเริ่มกลับมาสู่ปัจจุบัน และจำได้ว่าคำถามสุดท้ายที่ได้ยินคือเรื่องแฟน
“อ้อเปล่า หวานคิดอะไรนิดหน่อย” เธอปฏิเสธ ไม่มีความจำเป็นต้องบอกรายละเอียดอะไรมากมายกับคนตรงหน้า รู้จักกันผิวเผินก็พอแล้ว
“อิ่มยัง” สายตาคมกริบนั้นมองมา มันช่างเต็มไปด้วยความมั่นใจ น้ำหวานคิดว่าก็สมควรอยู่ที่เจ้าตัวจะรู้สึกแบบนั้น หล่อนเองยังรับรู้ได้ถึงแรงกระตุ้นบางอย่าง อีกทั้งรูปร่างหน้าตาของคนตรงหน้าก็ถือว่าดีเลยทีเดียว
“อือ” สาวจมูกงอนตอบพร้อมพยักหน้าเล็กน้อย และทั้งสองก็หยิบจานข้าวของตัวเองไปเก็บยังที่วางจาน ที่นี่เน้นบริการตัวเองเป็นหลัก เพราะเป็นหอพักนักศึกษาไม่ใช่ร้านอาหารจึงไม่มีคนมาคอยเก็บให้
“อืม แล้วปอล่ะมีแฟนรึยัง” คนตากลมโตเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเป็นฝ่ายถูกถามเพียงอย่างเดียว ยังไม่รู้ข้อมูลของเพื่อนร่วมห้องสักเรื่องหนึ่ง
“ไม่มีหรอก ไม่ชอบมีแฟน” คนตรงหน้ายักไหล่เป็นเชิงว่าไม่สนใจ
“ทำไมล่ะ” หล่อนอยากรู้เหตุผล เพราะคนทั่วไปมักจะอยากมีกันทั้งนั้น นานๆ ครั้งถึงจะได้ยินใครพูดแบบนี้สักทีหนึ่ง
“ก็...ไม่สนุกน่ะ” รอยยิ้มแบบเมื่อวานปรากฏอีกครั้งหนึ่ง คนผมหยักศกก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีที่ว่าไม่สนุกนั้นเกี่ยวอะไรกับการเป็นแฟน อาจจะเพราะตัวเองไม่เคยใช้เวลาอยู่ด้วยกันกับใครเลยไม่เข้าใจก็เป็นได้ แต่ถึงอย่างนั้นก็ประหลาดอยู่ดี แทนที่จะเป็นคำว่าสนุกควรเป็นคำว่ามีความสุขมากกว่ารึเปล่านะ
“อยากถามอะไรรึเปล่า” ดวงตาสีอ่อนนั้นมองมา มีความท้าทายแฝงอยู่ลึกๆ
คิ้วเรียวอดขมวดไม่ได้ เธอกำลังชั่งใจว่าจะถามดีรึเปล่า จริงๆ หล่อนก็แค่สงสัย ไม่รู้คำตอบก็ไม่เป็นอะไร แต่เพราะคำพูดนั้น นัยน์ตานั้นทำให้หญิงสาวต้องกลับมาคิดทบทวนใหม่อีกครั้ง น้ำหวานรู้สึกไม่อยากยอมแพ้กับการท้าทายในครั้งนี้
“สนุกยังไงเหรอ” ปองกานต์ถามกลับด้วยน้ำเสียงใสแต่แฝงนัยยะไม่ต่างกัน
“ก็...อย่างว่าน่ะสิ” ตาอีกฝ่ายพราวระยับ ไม่รู้อะไรในสีหน้านั้นที่ทำให้เธอต้องลอบกลืนน้ำลายอย่างฝืดๆ แต่หล่อนก็พยายามควบคุมตัวเองไม่แสดงอาการอะไรออกไป หญิงสาวไม่ใช่จะไม่เคยฟังเรื่องแบบนี้ซะเมื่อไหร่ เพื่อนสมัยมัธยมปลายหลายคนเคยลึกซึ้งเกินเลยกับแฟนกันแล้ว และมักจะนำมาพูดคุยกันอย่างออกรส เธอฟังเพียงผ่านๆ แต่ไม่นิยมร่วมสนทนาด้วย
“อืมมม”
“อยากรู้อีกไหม” คำถามยังคงห้วนสั้น แต่เสียงเหมือนกำลังขำหล่อนอยู่
“ไม่ล่ะ” น้ำหวานไม่อยากจะสนใจหรือถูกดึงให้พูดคุยเรื่องนี้อีกจึงบอกปัดนิ่งๆ แทน
ต่างคนต่างมองกันนิ่งเหมือนหยั่งเชิง ไม่รู้ทำไมการคุยที่แสนธรรมดาถึงกลายเป็นสงครามเย็นได้ และเป็นหล่อนเองที่ละจากใบหน้ามีเสน่ห์นั้นมาจดจ่อที่จอคอมพิวเตอร์อีกครั้ง มันไม่ใช่การยอมแพ้แต่เพียงแค่พักเท่านั้น คิดจะชิงไหวชิงพริบหรือท้าทายเธอ เพื่อนร่วมห้องคนนี้คิดผิดแล้ว
-----------------------------------------------
บทที่ 3 ตามมาดึกๆ นะคะ อาจจะดึกมากใครยังไม่นอนรอกันได้นะคะ ^^