web stats

ข่าว

+-User

Welcome, Guest.
Please login or register.
 
 
 
Forgot your password?
ปัญหาการสมัครสมาชิก
วิธีเปลี่ยนสถานะเป็นนักเขียน
วิธีลงนิยาย
วิธีใช้งานบอร์ด

+-สถิติการใช้งาน

Members
Total Members: 880
Latest: Levitra5a
New This Month: 0
New This Week: 0
New Today: 0
Stats
Total Posts: 1553
Total Topics: 886
Most Online Today: 11
Most Online Ever: 601
(21 กันยายน 2024 เวลา 08:04:58 )
Users Online
Members: 0
Guests: 7
Total: 7

ผู้เขียน หัวข้อ: ประมูล... รัก ตอนที่ 4  (อ่าน 1372 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ UPsidedown

  • Moderator
  • หน้าใหม่
  • *****
  • กระทู้: 31
ประมูล... รัก ตอนที่ 4
« เมื่อ: 28 ธันวาคม 2013 เวลา 15:07:54 »
ตอนที่ 4
หลังจากวิ่งไล่ตามจับเด็กจอมกวนมาหวดก้นได้สำเร็จ ปณิตาก็ขับรถออกจากโรงพยาบาลกลับบ้านของตัวเอง ตัวของหญิงสาวน่ะถึงบ้านแล้ว แต่ทำใจกับสมองหล่นหายไปตอนวิ่งไล่เด็ก ใจของปณิตายังคงคิดถึง สมองยังคงคิดคำนึง เป็นกังวลวนเวียนอยู่กับเด็กหน้าใส ตอนนี้ใจของปณิตาร้อนรุ่มราวกับว่าคนที่ป่วยเป็นมารดาของเธอเสียเอง หญิงสาวรู้สึกเป็นเดือดเป็นร้อนแทนเด็กน้อยอย่างมากมาย

พอเข้าบ้านได้ รายงานตัวกับคุณนมแจ่มว่าจะไปอยู่ส่วนไหนของบ้านแล้วเรียบร้อย ปณิตาก็เดินหายเข้าไปในห้องทำงาน ตั้งป้อมนั่งหลังโต๊ะ เตรียมสมุดเปล่ากับปากกาให้พร้อม จัดการโทรศัพท์ไปหาหมอประจำตระกูล ขอคำแนะนำและขอเบอร์ต่อสายไปคุยกับหมอที่เชี่ยวชาญโรคเฉพาะทาง ทั้งแพทย์แผนปัจจุบันและหมอยาสมุนไพรไทยหรือจีน เธอปรึกษาไต่ถามวิธีการดูแลคนป่วยโรคมะเร็งทั้งก่อนและหลังได้รับการรักษาด้วยยาคีโม หลังจากโทรคุยก็ต่อด้วยการสืบค้นข้อมูลทางอินเทอร์เน็ต ปณิตานั่งรวบรวมข้อมูลอยู่ทั้งวันจนถึงเย็นเลยทีเดียว มารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่คุณนมแจ่มมาตามเธอให้ลงไปรับประทานอาหารเย็น

ปณิตาลงมานั่งประจำที่ตรงหัวโต๊ะ หญิงสาวอดมองไปทางที่นั่งด้านขวามือของตัวเองไม่ได้ เมื่อเช้ากับเมื่อวานมีเด็กน้อยมานั่งทานอาหารกับเธอด้วยนี่นา มื้อนี้ต้องกลับมานั่งกินคนเดียวอีกละ แล้วตอนนี้เด็กน้อยกำลังทำอะไรอยู่นะ? กินข้าวรึยัง? วันนี้อยู่นอนเฝ้าแม่ที่โรงพยาบาลหรือว่ากลับบ้าน?...
หญิงสาวเคี้ยวข้าวพลางคิดคำถาม จนกระทั่งข้าวหมดจาน

ในเวลาใกล้เคียงกัน...

เด็กน้อยที่วันนี้กลับบ้านเพื่อจัดการกับงานบ้านทั้งหลาย อรินทิพย์นั่งพับผ้าที่เพิ่งถูกซักและตากแห้ง เสื้อผ้าที่รอการพับเหลือเพียงไม่กี่ตัว เด็กสาวจัดการพับทบพวกมันให้เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าพร้อมกับฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดี พอหยิบจับชุดนอนลายคิตตี้สีชมพูหวานแหววขึ้นมา เด็กสาวหยุดฮัมเพลง จ้องมองชุดนอน แล้วก็เอาแต่อมยิ้ม
“ตอนพี่ปริมใส่ชุดนี้มันจะเป็นยังไงน้า~”
เด็กสาวถามเองก่อนจะตอบเอง
“คงจะน่ารักมากเลยล่ะ”


พอเห็นชุดนอน นั่งนึกถึงคุณพี่สาวใจดีผู้เป็นเจ้าของชุดนอน อรินทิพย์ก็นึกขึ้นได้อีกอย่างว่าเธอมีเรื่องจะต้องแจ้งให้พี่ปริมทราบ เสื้อผ้าที่พับแล้วถูกจัดเก็บเข้าตู้ เหลือแต่เพียงชุดนอนสีชมพูลายคิตตี้ที่ถูกแยกนำไปใส่ถุงกระดาษหูหิ้ว เด็กสาวเดินไปนั่งบนโซฟายาวในห้องนั่งเล่น หยิบโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่บนโต๊ะเตี้ยหน้าโซฟามากดหารายชื่อล่าสุดที่เธอเพิ่งบันทึกลงเครื่องเมื่อตอนสาย ๆ ของวันนี้ แค่เห็นชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอ ริมฝีปากเธอก็คลี่ยิ้ม

พี่ปริม

เด็กสาวกดโทรออก ต่อสายไปหาพี่ปริม แต่แล้วก็ต้องรีบวางเมื่อพบว่าสายไม่ว่าง อรินทิพย์ลองกดโทรออกอีกที เผื่อสัญญาณโทรศัพท์อาจจะขัดข้อง แต่ผลก็ยังเป็นเหมือนเดิม ได้ยินเสียง ตู๊ด ตู๊ด ดังถี่ ๆ
“เฮ้อ... พี่ปริมคุยกับใครอยู่นะ?”
ปี๊บ ปิ๊บ
เสียงโทรศัพท์ดังเตือนว่ามีข้อความเข้า อรินทิพย์กดอ่านข้อความดู
คุณมี 2 สายที่ไม่ได้รับ
สองสายที่ว่าก็คือ... “พี่ปริม”
เด็กสาวหัวเราะขำในลำคอเบา ๆ อย่าบอกนะว่าเมื่อสักครู่ที่เธอโทรไปแล้วสายไม่ว่าง พี่ปริมเองก็กำลังพยายามโทรเข้าเครื่องเธอ อรินทิพย์นั่งจ้องโทรศัพท์มือถืออยู่ครู่หนึ่ง พอเห็นว่ามันไม่ร้องเรียกเธอเสียที เด็กสาวจึงตัดสินใจกดโทรออกไปหาเบอร์โทรล่าสุดอีกครั้ง
“อ่าว!... สายไม่ว่างอีกละ”
แล้วเด็กสาวก็ต้องหัวเราะคิกคักเสียงดังกว่าเดิมเมื่อทางระบบเครือข่ายส่งข้อความมาบอกว่าเธอมีหนึ่งสายที่ไม่ได้รับ
“เฮ้อ... เราจะได้คุยกันไหมคะเนี่ย พี่ปริม”
อรินทิพย์พูดกลั้วหัวเราะ ลองสั่งให้เครื่องมือสื่อสารโทรออกไปหาหมายเลขเดิมอีกครั้ง คราวนี้การติดต่อสำเร็จ เสียงรอสายดังขึ้นหนึ่งครั้งก่อนจะเปลี่ยนเป็นเสียงของพี่ปริม ไม่มีการฮัลโหลเซย์ไฮ...

(เมื่อกี้คุยกับใครอยู่? พี่โทรหาตั้งหลายครั้งแต่สายไม่ว่าง แล้วนี่เมื่อกี้ที่คุยกับคนอื่นอยู่น่ะ เราเป็นคนโทรออกรึเปล่า? คุยโทรศัพท์นานมันเปลืองค่าโทรนะ ยังหาเงินเองไม่ได้ก็ต้องรู้จักประหยัดเข้าไว้ ถ้าไม่จำเป็นก็อย่าโทรนาน... วางสายล่ะนะ เดี๋ยวพี่โทรไปหาเอง)

การสนทนาเริ่มต้นด้วยคำถาม (ถามเสียงโหดเสียด้วย) ตามติดมาด้วยประโยคบอกเล่า ประโยคสั่งสอน ตบท้ายด้วยประโยคคำสั่ง ยังไม่ทันอ้าปากพูดอธิบายก็ได้ยินเสียงตู๊ด ๆ อรินทิพย์ลดโทรศัพท์ที่แนบหูลงพลางส่งเสียงหัวเราะ คราวนี้พอหน้าจอมือถือสว่างวาบ เสียงริงโทนยังไม่ทันดัง เด็กสาวก็รีบกดรับแล้วยกมันกลับมาแนบหูใหม่ อรินทิพย์ขอเป็นฝ่ายชิงพูดก่อนบ้าง
“พี่ปริมคะ พี่ได้ดูรึเปล่าว่าเมื่อกี้มีสายที่ไม่ได้รับน่ะ?”

(หึ... ไม่ได้ดู)

“งั้นอินให้เวลาสิบวินาที พี่ปริมลองดูซิว่าใครโทรไปหาพี่”

(อินโทรหาพี่เหรอ?)

“ค่ะ... ใจตรงกันตั้งสองสามรอบเลยนะคะ”

(งั้นเหรอ... ฮ่า ๆ ๆ ๆ พี่ก็ไม่ได้ดูหรอกค่ะ)

“พออินโทรติดก็ทั้งถามทั้งบ่น แล้วก็ตัดสายไปซะเฉย ๆ ไม่เปิดโอกาสให้อินอธิบายเลย”

(พี่ขอโทษ)

“แค่โทรไม่ติด ทำไมพี่ปริมต้องทำเสียงดุขนาดนั้นด้วย?”

(ก็... ก็... มันหงุดหงิดอ่ะ ว่าทำไมโทรไม่ติด สายไม่ว่าง แล้วก็สงสัยว่าน้องอินคุยกับใครอยู่)

“แหม... พูดแบบนี้นี่หมายความว่าอินคุยกับคนอื่นบ้างไม่ได้เลยเหรอคะ? คุยกับพี่ปริมได้คนเดียวเหรอ?”

ทางด้านปณิตาที่นอนคุยโทรศัพท์อยู่บนเตียง พอโดนเด็กถามแซว หญิงสาวก็เกิดอาการหน้าร้อน ไปพูดจาเหมือนแฟนขี้หึงรึผู้ปกครองขี้หวงอย่างนั้นกับเด็กสาวได้ยังไง เธอไม่มีสิทธิ์พูดแบบนั้นเสียหน่อย ขนาดกับคนที่ถูกเรียกว่าเป็นแฟนของเธอ เธอยังไม่เคยพูดแบบนี้เลย ปณิตายกนิ้วขึ้นมาเกาข้างหู รู้สึกทั้งขำทั้งเขิน และยิ่งเขินมากขึ้นจนต้องเอาหน้าไปซุกหมอนเมื่อได้ยินปลายสายหัวเราะขำคิก ๆ
พอเริ่มหายเขิน ปณิตาก็เงยหน้า วางคางบนหมอนแล้วพูดแก้ตัว 
“ไม่ใช่อย่างน้าน~... พี่ก็แค่สงสัยเฉย ๆ ค่ะว่าน้องอินคุยกับใครอยู่... เอ่อ... ว่าแต่... น้องอินมีอะไรจะคุยกับพี่คะ?”

(คือ... วันพรุ่งนี้คุณหมออนุญาตให้คุณแม่ออกจากโรงพยาบาลมานอนพักที่บ้านได้ค่ะ แล้วค่อยพาแม่ไปโรงพยาบาลอีกทีวันศุกร์ หมอนัดให้ยาคีโมครั้งแรกวันศุกร์หน้าค่ะ)

“พรุ่งนี้พี่ว่าง เดี๋ยวพี่ไปรับแม่ของน้องอินออกจากโรงพยาบาลเอง จะได้จัดการเรื่องจ่ายค่ารักษาให้ด้วยเลย”

(ขอบคุณค่ะ)

“จ้า ไม่เป็นไร... จะให้พี่ไปรับตอนกี่โมงคะ?”

(ตอนสาย ๆ... สักเก้าโมงสิบโมงก็ได้ค่ะ)

“งั้นพรุ่งนี้เก้าโมง พี่จะไปหาน้องอินที่บ้านก่อน แล้วค่อยไปโรงพยาบาลนะ”

(เอ่อ... ให้อินไปรอที่โรงพยาบาลก็ได้ค่ะ พี่ปริมจะได้ไม่ต้องขับรถอ้อมไปอ้อมมา)

“ไม่เป็นไรหรอก เพราะว่าตอนเช้า ๆ พี่ต้องไปทำธุระแถว ๆ บ้านน้องอินพอดี”

(เหรอคะ... อะไรจะพอดีขนาดนั้น?)

“พอดี... ก็ดีแล้วไง”

(พอดีเกินไปจนน่าสงสัยค่ะ ไม่ใช่ว่ากลัวอินจะเกรงใจก็เลยพูดแบบนั้นนะ โกหกนี่ผิดศีลข้อที่สี่นะคะ)
ปณิตาพ่นลมออกจมูก กลอกตาไปมา มาว่ากันแบบนี้ น้อยใจนะ เสียงที่พูดก็เลยห้วน ๆ 
“ในสายตาของอิน พี่เป็นคนชอบพูดโกหกพกลมรึไง?” 

(ไม่ใช่อย่างนั้นค่ะ! ที่อินพูดน่ะ เพราะอินคิดว่าพี่ปริมใจดียิ่งกว่านางฟ้าต่างหาก พี่อาจจะหาข้ออ้างมาพูดให้อินไม่ต้องรู้สึกเกรงใจไงคะ...)
จากหน้าหงิกเพราะน้อยใจ ตอนนี้ปณิตาเปลี่ยนสีหน้าเป็นยิ้มหวานปลาบปลื้ม เด็กน้อยบอกว่าเธอใจดีกว่านางฟ้าอีก อิอิ
แต่แล้ว... คนใจดียิ่งกว่านางฟ้าก็หุบยิ้มแทบไม่ทันเมื่อได้ยินประโยคที่เด็กน้อยกล่าวต่อมา
(พวกคนแก่... เอ๊ย! คนอายุมากนี่ชอบคิดมาก ขี้น้อยใจจริง ๆ เลยเนอะ พี่ปริมว่าไหม?)

“เดี๋ยวเถอะ! ถ้าเจอหน้านะ จะจับมาตีก้นให้ก้นบวมจนนั่งไม่ได้เลย คอยดู”

(อินแค่ถามความเห็นเฉย ๆ ยังไม่ได้พูดสักคำเลยนะคะว่าพี่ปริมแก่ เอ๊ย! อายุมาก... ร้อนตัวไปล่วงหน้าอีกแล้ว~)
ปณิตาหายใจเข้าออกแรง ๆ สองสามครั้งจนลมที่ผ่านเข้าออกรูจมูกเกิดเสียงดังฟื้ดฟ้าด เสียรู้เด็กอีกแล้ววุ้ย พูดถึงเรื่องอายุที่ห่างกันเกือบหนึ่งรอบปีนักษัตรทีไร เธอเผลอเต้นแร้งเต้นการ้อนตัวไปก่อนล่วงหน้าทุกที หญิงสาวอมยิ้ม บอกกับปลายสายว่า
“ก็เด็กจงใจพูดแหย่ให้ร้อนตัวนี่คะ พี่ก็ต้องทำเป็นร้อนตัวซิ พอดีว่าพี่เป็นคนที่เอาใจเด็กเก่งอ่ะค่ะ”

ทางด้านเด็กที่ถูกผู้ใหญ่พูดเอาใจ
ถึงแม้จะรู้อยู่แก่ใจดีว่าพี่ปริมคนสวยแค่อยากจะเถียงเพื่อแก้เก้อก็เถอะ แต่ว่า... เอิ่ม... ฟังแล้วทำไมทำให้แก้มเธอมันรู้สึกร้อน ๆ ได้น้า~
“พี่ปริมอ่า...”

(อะไรคะ?)

“เอาใจเด็กเก่งจริง ๆ นะเนี่ย”

(ขอบคุณที่ชม... เอาล่ะ ใจของน้องอินอยู่ที่พี่แล้ว เพราะโดนพี่เอาใจไง คิคิ)
อรินทิพย์ได้ยินเสียงคนเอาใจเด็กเก่งส่งเสียงหัวเราะร่วนมาตามสาย 
ส่วนเธอนั้นเงียบไปเพราะรู้สึกเขิน อมยิ้มกลั้นเขินจนเมื่อยแก้มแล้วนะเนี่ย เฮ้อ... พี่ปริมนะพี่ปริม พูดอะไรแบบนี้นะ เกิดเธอส่งใจไปให้จริง ๆ จะทำยังไง

เมื่อเช้าบอกว่าถ้าทำเธอใจแตก พี่ปริมจะรับผิดชอบ 

แต่ถ้าใจเธอไม่ได้แตก อยู่เต็มดวงครบสมบูรณ์ดี 
พี่ปริมจะรับผิดชอบไหม?
บ้าแล้ว! คิดอะไรของเธอเนี่ยยัยอิน!! ไม่ตลกเลยนะ >_<

เด็กสาวนั่งอมความเขิน ต่อว่าตัวเองไปอย่างนั้นพร้อมกับฟังเสียงหัวเราะสดใสของคุณพี่คนสวยอยู่พักหนึ่ง พอเสียงหัวเราะเริ่มจาง อรินทิพย์ก็เป็นฝ่ายเอ่ยปากถามอีกฝ่ายบ้างว่า

“ที่พี่ปริมโทรมาหาอิน พี่ปริมมีเรื่องอะไรจะคุยกับอินคะ?”

(อ๋อ... ไม่มีอะไรแล้วล่ะ เพราะพี่กะจะโทรไปถามว่าพรุ่งนี้พี่จะไปหาน้องอินได้ไหม บังเอิญจริง ๆ ที่น้องอินมีเรื่องทำให้พี่ต้องไปหาอยู่แล้ว พอดีเลย... อืม... พอดีอีกแล้วเนอะ)

“นั่นน่ะสิคะ... แต่พอดี ก็ดีแล้วไง ใช่ไหมคะ?”

(ช่าย~)
อยู่ดี ๆ ทั้งเธอและพี่ปริมก็หัวเราะพร้อมกัน หลังจากนั้นก็พูดคุยร่ำลาส่งท้ายอีกสองสามประโยค
แม้จะวางสายไปนานพอสมควรแล้ว อรินทิพย์ก็ยังคงนั่งยิ้มอยู่ที่เดิม เธอนั่งนึกถึงคำว่า “พอดี” หลาย ๆ อย่างที่เกิดขึ้นระหว่างเธอกับพี่ปริม...

เมื่อวานนี้...
พอดีว่าเธอกำลังอับจนไร้หนทาง
พอดีว่าเธอตัดสินใจทำอะไรโง่ ๆ สิ้นคิดอย่างประมูลขายพรหมจรรย์ของตัวเอง
พอดีว่าพี่ปริมเกิดอยากรู้อยากเห็นก็เลยเข้าร่วมการประมูล
พอดีว่าพี่ปริมเป็นคนดี รับฟังปัญหาของเธอแล้วคิดจะยื่นมือเข้าช่วยเหลือ

แล้วพอมาในวันนี้...
พอดีว่าเธอกับพี่ปริมต่างคนต่างคิดว่าจะโทรหากันในเวลาเดียวกัน
พอดีว่าพี่ปริมมีเรื่องให้มาหาเธอ ในขณะที่เธอมีเรื่องให้พี่ปริมมาหา
อืม...
“พอดี... ก็ดีแล้วเนอะ”
เด็กสาวพูดกับโทรศัพท์ในมือแล้วยิ้มกว้าง เธออยากให้ระหว่างเธอกับพี่สาวคนสวยมีเรื่องราวเกี่ยวกับคำว่าพอดีอีกเยอะ ๆ เลย

พอดี... ฉันรักคำคำนี้จัง โดยเฉพาะ...
เมื่อคำคำนี้มีคำว่าพี่ปริมมาเกี่ยวข้องเนี่ย...

.

.
เวลา 9.00 น. บวกลบไม่เกิน 10 วินาที

ปณิตาพารถยนต์อีโคคาร์สีขาวมุกคันเล็กมาจอดนิ่งสนิทหน้ารั้วบ้านของเด็กสาว เธอก้าวลงมาจากรถ เปิดประตูหลังเพื่อนำผลหมากรากไม้และของกินที่เธอลงทุนตื่นแต่เช้าเดินทางไปตลาดสดย่านชานเมืองเพื่อซื้อหามันมา ของทุกอย่างเธอปรึกษาหมอมาแล้วว่าดีต่อผู้ป่วยโรคมะเร็งที่กำลังจะทำคีโม

“โอ้โห! ซื้ออะไรมาเยอะแยะคะพี่ปริม?”
เสียงใสดังมาจากด้านหลัง ปณิตาจึงรีบสอดนิ้วเข้าไปในรูถุงพลาสติกหูหิ้วที่เหลือแล้วกลับหลังหัน พอเห็นหน้าหวานสวยใสของเด็กสาว ปณิตาก็กางยิ้มกว้าง แต่แล้วร่มยิ้มของเธอที่เพิ่งกางก็ต้องหุบลงกะทันหัน อยากรู้เหรอว่าใครทำให้เธอหุบยิ้ม โน่น... ยืนอยู่ข้างหลังอรินทิพย์

“สวัสดีครับพี่ปริม”
ตัวต้นเหตุคือเด็กหนุ่มหน้าตี๋ที่เธอจำได้แม่นยำว่าชื่อปิ๊ก

ปณิตาขมวดคิ้วมุ่น รู้สึกไม่พอใจที่โดนเด็กหนุ่มเรียกขานตนตามอย่างที่เด็กสาวเรียก แต่เธอก็มองข้ามมันไปอย่างรวดเร็วเพราะมีสาเหตุอื่นอีกที่ทำให้คิ้วสองข้างของเธอเกิดอาการอยากจะเข้ามารวมตัวกันเป็นเส้นเดียว
“สวัสดีค่ะปิ๊ก มาทำอะไรที่บ้านเพื่อนแต่เช้าเลยคะ?”
หญิงสาวปั้นยิ้มแกน ๆ ส่งให้เด็กหนุ่ม และต้องจูนเสียงตัวเองให้เรียบนิ่งไม่เจือความเคืองขุ่นด้วยความยากลำบาก รู้สึกว่าเธอจะปั้นหน้าปรับเสียงได้ดี เพราะเด็กหนุ่มชื่อปิ๊กส่งยิ้มจริงใจมาให้
“ผมมาให้อินอธิบายสอนการบ้านวิชาเคมีให้น่ะครับ”
ปณิตาปั้นยิ้มอันที่สองส่งให้เด็กหนุ่ม จากนั้นก็หันไปเรียกเด็กสาว
“อิน... มาช่วยพี่ถือของเข้าบ้านหน่อย”

“เอ่อ... ของทั้งหมดนี่พี่ปริมซื้อมาให้อินเหรอคะ?”

“ใช่”
เสียงคำว่า ใช่ นี่ สั้น ห้วน เรียบ มาพร้อมกับตาดุวาววาว และไม่ได้ปั้นยิ้มส่งให้อีกต่างหาก

เธอกำลังทำให้ฉันไม่พอใจอยู่นะ เข้าใจไหม?

ปณิตามองสบตาเด็กสาว อรินทิพย์ยกมือไหว้ กล่าวขอบคุณด้วยน้ำเสียงเบาหวิวจนเธอแทบจะไม่ได้ยิน ส่วนหัวของคิ้วเรียวบางโก่งสวยก็ย่นเข้าหากัน เด็กน้อยคงจะจับอารมณ์ความรู้สึกของเธอได้ว่ากำลังไม่พอใจ แต่คงยังข้องใจสินะว่าเธอไม่พอใจเรื่องอะไร ปณิตาจึงยื่นหน้าเข้าไปใกล้อรินทิพย์แล้วกระซิบเสียงโหด
“เดี๋ยวก็รู้...”
กระซิบไปเท่านั้นก่อน แล้วปณิตาก็ผละหน้าออกมายืนตัวตรง ส่งยิ้มหวานและพูดด้วยเสียงหวานปานแม่พระ
“รีบเอาของเข้าไปเก็บซะนะคะเด็กน้อย จะได้รีบไปรับคุณแม่ออกจากโรงพยาบาลกัน”

“ค... ค่ะ”
เด็กน้อยที่โดนน้ำเสียงกับสายตาแม่พระแช่แข็งรีบรับคำด้วยเสียงสั่น ๆ (สงสัยว่าจะหนาว) แล้วหิ้วข้าวของพะรุงพะรังเต็มสองมือ วิ่งปรู๊ดหายเข้าไปในบ้าน ปณิตาทำท่าว่าจะเข้าไปนั่งรอในรถ แต่ก่อนที่เธอจะปิดประตู เสียงเด็กหนุ่มก็ง้างมันเอาไว้ให้ยังคงเปิดอ้าเหมือนเดิม
“ให้ผมไปด้วยคนได้ไหมฮะ?”
เด็กหนุ่มถาม ปณิตาจึงปั้นยิ้มอันที่สามส่งให้ปิ๊ก
“ทำการบ้านวิชาเคมีเสร็จรึยัง?”

“ยังฮะ”

“งั้นก็หอบการบ้านเอากลับไปนั่งทำต่อ...ที่ บ้าน เธอ...จะดีกว่านะ”
ปณิตาพูดยิ้ม ๆ แต่แอบเน้นย้ำคำสามคำเป็นพิเศษ พอเห็นเด็กหนุ่มทำหน้าซื่อหน้างง ไม่เข้าใจความหมายแฝง หญิงสาวเธอก็เลยพูดให้เหตุผลต่อเนื่องไปว่า...
“ฉันกลัวเธอจะทำการบ้านไม่เสร็จ... แล้วอีกอย่าง วันนี้ฉันเอารถคันเล็กมา ไม่พอให้เธอนั่งไปด้วยหรอก”

“อ่อ... ครับ ๆ ขอบคุณนะฮะที่อุตส่าห์เป็นห่วงผมด้วยว่าจะทำการบ้านไม่เสร็จ พี่ปริมใจดีมากอย่างที่อินเล่าให้ฟังเลย”
ปณิตาปั้นยิ้มเป็นอันที่สี่ ยิ้มคราวนี้แอบมียิ้มของจริงเจือปนอยู่ด้วย มันก็เลยกว้างกว่ายิ้มปั้นสามอันที่แล้ว หญิงสาวปิดประตูรถดังปึง นั่งกอดอกขมวดคิ้วทำหน้ามู่ทู่ พอหันหน้าไปด้านขวา มองทะลุกระจกติดฟิล์มกรองแสงไปแล้วเห็นเด็ก ๆ พูดคุยอำลากันอยู่นั่นแหละ เธอก็หันหน้ากลับมา ตัดสินใจกดปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์ การเร่งแบบไม่อ้อมค้อมสักเท่าไหร่นั้นได้ผล เด็กสองคนหันมามองรถเธอทันทีก่อนที่นายปิ๊กจะเดินออกมา เด็กสาวเจ้าของบ้านเดินตามออกมาทีหลังเพื่อไขกุญแจล็อคประตูรั้ว
ถึงจะมองไม่เห็นเธอเพราะกระจกรถติดฟิล์มดำเคลือบสารปรอท แต่เด็กหนุ่มก็ยังอุตส่าห์ยกมือไหว้ลาเธอด้วย ปณิตาจึงลดกระจกลงแล้วส่งเสียงถาม
“ปิ๊กกลับยังไง?”

“รถเมล์ครับ”

“งั้นขึ้นมา เดี๋ยวฉันพาไปส่งที่ป้าย”

“ขอบคุณครับ”
ต่อมาหญิงสาวก็จอดรถ ปล่อยเด็กหนุ่มลงที่ป้ายรถเมล์แถวทางเข้าหมู่บ้าน พร้อมกับยิ้มปั้นอันที่ห้าบนใบหน้าของเธอ
พอเด็กหนุ่มปิดประตู รถยังไม่ทันได้เคลื่อนตัวต่อไปเลย ปณิตาทำหน้าโหดโดยไม่ได้ปั้น หันไปถามเด็กสาวด้วยเสียงดุ ๆ
“เมื่อกี้นอกจากเธอแล้ว ไม่มีใครอื่นอยู่ในบ้านด้วยใช่ไหม?”

“ไม่ใช่ค่ะ... ก็มีปิ๊กอยู่ด้วยไง”

“ฉันหมายถึงคนอื่นที่เป็นญาติรึเพื่อนของเธอ”

ปณิตาพูดขยายความต่อแล้วเหยียบคันเร่งออกรถ เพราะแรงอารมณ์ส่งลงไปถึงฝ่าเท้า ทำเอารถอีโคคาร์ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดเพราะล้อฟรีเลยทีเดียว พอหันไปมองอีกครั้งแล้วเห็นเด็กสาวนั่งเงียบ มองเธอด้วยสายตาเหมือนลูกหมาจะร้องไห้ ปณิตาก็ผ่อนแรงเหยียบคันเร่งลงและพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลเป็นเชิงสอน
“ถึงจะเป็นเพื่อนกัน แต่ก็เป็นเพื่อนผู้ชายนะน้องอิน เราไม่ควรเปิดโอกาส ปล่อยตัวเองให้อยู่ในสถานการณ์เสี่ยงแบบนั้น ถึงจะไว้ใจกันขนาดไหน สนิทกันแค่ไหนก็ตามแต่...”

พอได้ทราบเหตุผลว่าทำไมคุณพี่คนสวยถึงแสดงอาการโกรธเคืองไม่พอใจเธอ อรินทิพย์ก็ถึงกับอึ้งไป พี่ปริมยังพูดเตือนเธออีกว่า
“... และถึงแม้เราจะบริสุทธิ์ใจ ไม่มีอะไรในกอไผ่ก็ตามที แต่คนอื่นอาจจะไม่ได้คิดอย่างนั้น เห็นเด็กหนุ่มเด็กสาวอยู่ด้วยกันตามลำพังในบ้าน เขาก็อาจจะคิดในแง่ไม่ดี แค่คิดไม่ว่า เขาอาจจะเอาไปพูดนินทาส่งต่อความคิดในแง่ร้ายของตัวเองให้คนอื่นรู้ เราเป็นผู้หญิงนะ เป็นฝ่ายถูกมองว่าเสียหายกว่าผู้ชายอยู่แล้ว ยิ่งเป็นฝ่ายเปิดบ้านยอมให้ผู้ชายเข้ามาอยู่ด้วยกันสองต่อสองแบบนี้นี่ยิ่งเสียหายเข้าไปใหญ่... ทีหลังน้องอินต้องคิดให้มาก คิดให้เยอะ อย่าลืมว่าเราเป็นผู้หญิง ถ้าเกิดผู้ชายคิดจะทำมิดีมิร้ายเราขึ้นมาจริง ๆ ส่วนใหญ่เราสู้แรงเขาไม่ไหวหรอก ระวังตัวเองให้ดีนะคะ”

“ค่ะ... ขอบคุณที่เตือนที่สอนกันนะคะพี่ปริม”
อรินทิพย์พนมมือก้มหัวไหว้คุณพี่คนสวยแล้วนั่งก้มหน้าก้มตา สำนึกในความผิดของตัวเอง เธอไม่ทันได้คิดอย่างที่พี่ปริมกล่าวเตือนเลยสักนิด 
เพราะว่าปิ๊กเป็นเพื่อนสนิทของเธอ รู้จักกันมาตั้งแต่สมัยเรียนอนุบาล ก่อนหน้านี้ปิ๊กก็มาหาเธอที่บ้านอยู่บ่อย ๆ แต่ตอนนั้นมีคุณแม่อยู่ด้วย เธอลืมไปว่าเมื่อสักครู่มีแต่เธอที่อยู่บ้านคนเดียว

แปะ...

เมื่อรู้สึกว่ามีอะไรมาวางบนศีรษะ เด็กสาวจึงเงยหน้าขึ้นมาแล้วหันไปทางขวาซึ่งเป็นทิศที่เธอคิดว่าเจ้าของของอะไรก็ตามที่แปะอยู่บนหัวจะนั่งอยู่ แล้วก็เป็นอย่างที่เธอคิดจริง ๆ
พี่ปริมละสายตาจากถนนมาส่งยิ้มให้เธอแวบหนึ่ง มือที่วางแปะนิ่งอยู่บนศีรษะเธอเมื่อครู่เริ่มขยับลูบไปมาอย่างนุ่มนวล หูของเธอได้ยินเสียงพี่สาวคนสวยพูดเสียงอ่อนโยนกับกระจกหน้ารถ
“ที่พี่ต้องพูด ที่พี่ต้องว่า... เพราะพี่เป็นห่วงน้องอินนะ”
“
ค่ะ... อินรู้”

“ไม่โกรธพี่นะ?”

“ไม่โกรธค่ะ ไม่เลย ไม่แม้แต่นิดเดียว”
อรินทิพย์พูดปฏิเสธย้ำถึงสามครั้งซ้อนพร้อมกับส่ายหน้าไปมา เธอเห็นคุณพี่คนสวยหันมายิ้มให้ เธอจึงยิ้มกว้างตอบ มือที่วางอยู่บนศีรษะถูกสองมือของเธอจับลงมากุมเอาไว้
“อินรู้สึกดีนะคะที่รู้ว่าพี่ปริมเป็นห่วงอิน”
เมื่อพี่ปริมไม่ได้ชักมือนุ่มนิ่มออก อรินทิพย์จึงยังคงกุมมันเอาไว้อย่างนั้น ขณะที่รถจอดติดไฟแดง พี่ปริมหันมาสนทนากับเธอต่อจากเมื่อครู่ คุณพี่คนสวยขมวดคิ้วทำหน้ายุ่ง บอกกับเธอว่า

“เมื่อกี้ตอนเห็นน้องอินอยู่กับปิ๊กแล้วพี่ก็โกรธปรี๊ดดด~... ขึ้นมาเลย”

อรินทิพย์หัวเราะให้กับคำว่าปรี๊ดที่สูงแหลมลากยาวเฟื้อย จากน้ำเสียงเย็น ๆ และสายตาดุปลาบราวกับจะแช่แข็งเธอได้ เด็กสาวก็พอจะรู้อยู่ล่ะว่าพี่ปริมโกรธเธอมากขนาดไหน พอหัวเราะเสร็จเธอลองถามแหย่

“ความโกรธนี่แปรผันตรงกับความห่วงใช่ไหมคะ?”

“คงใช่”

“ท่าทางของพี่ดูเหมือนจะห่วงอินมาก... มากมายจนวรรณยุกต์หล่นหายเลยรึเปล่าคะ?”

ทางด้านปณิตา หญิงสาวฟังคำถามแล้วก็ต้องดึงคิ้วเข้าหากัน สมองอันชาญฉลาดคิดตามคำพูดของเด็กสาวอย่างรวดเร็ว
ห่วงมาก... มากมายจนวรรณยุกต์หาย
ถ้าไม้เอกหาย มันก็กลายเป็นคำว่า หวง น่ะซิ
หญิงสาวคิดออกแล้วก็อมยิ้ม หัวเราะหึหึ
ปณิตาโน้มตัวไปด้านซ้าย ยื่นหน้าเข้าไปใกล้เด็กสาว 
เธอหันไปพูดกับอรินทิพย์โดยแกล้งทำตาวาว ๆ
“วรรณยุกต์หายจนกลายเป็นหวงนี่ยังน้อยไป พี่ว่าพี่หวงน้องอินมาก... หวงมากมายจนใกล้เคียงกับคำว่าหวงที่ ว แหวนหาย แล้วเติมสระ อึ ใส่เข้าไปแทน”

คราวนี้กลายเป็นเด็กสาวที่ต้องขมวดคิ้วใช้ความคิดบ้าง
เอ...
หวง... ว แหวนหาย
กลายเป็น หง...
เติมสระอึเข้าไปซิ
หึง
O_O!!!
“หึงเหรอคะ!?”
เด็กสาวตะโกนคำตอบเสียงดังลั่นรถ

ปณิตาหัวเราะชอบใจเสียงดังลั่นรถเช่นเดียวกัน เพราะตอนนี้ใบหน้าขาวกระจ่างใสไร้สิวฝ้าของเด็กน้อยเปลี่ยนเป็นสีแดงแป๊ดเหมือนกับไฟจราจรไม่มีผิด แถมสองมือที่กุมมือเธออยู่นี่ก็บีบมือเธอซะแน่น หญิงสาวจึงเอามืออีกข้างหนึ่งซึ่งยังว่างอยู่ไปหยิกหยอกเขี่ยแก้มแดง ๆ เล่น
“ฮ่า ๆ ๆ ๆ... เขินจริงจังจนแก้มแดงเลย”

เด็กสาวเอียงหน้าไปมาหลบมือของเธอพลางพูดกึ่งบ่นกึ่งถาม 
“พี่ปริมอ่ะ... แกล้งพูดให้อินเขินเล่นใช่ไหมเนี่ย?”

“ฮ่า ๆ ๆ ก็อินอยากมาพูดแกล้งพี่ก่อนทำไม... เรามันคนละชั้นกันจ้ะเด็กน้อย เรื่องแหย่หยอดแกล้งทำให้คนเขินเนี่ย ของถนัดพี่เลยล่ะ รู้ไว้ซะ คิคิ”

“... >///////<...”
แล้วเด็กน้อยก็ปล่อยมือเธอและหันหน้าหนีไปด้านซ้าย แต่ปณิตายังคงส่งเสียงหัวเราะต่อไปได้เรื่อย ๆ เพราะถึงจะหันไปมองกระจกด้านข้าง แต่หูด้านขวาที่เธอเห็นชัดเจนนั้นแดงแจ๋ ฟ้องว่าเด็กน้อยยังไม่หายเขิน
“หันแก้มหนีใช่ไหม งั้นเขี่ยหูแดง ๆ เล่นแทนก็ได้”

“อ๊าย! พี่ปริมอ่ะ... ขี้แกล้ง”
ปณิตาเร่งระดับเสียงขำขึ้นได้อีกเมื่อเห็นเด็กสาวย่นคอส่งเสียงร้องอ๊าย อรินทิพย์หันมาตีมือเธอดังเผียะก่อนจะเอามือปิดหูเอาไว้ หญิงสาวขับรถไปยิ้มไป บางทีก็หันไปมองเด็กแล้วก็หัวเราะได้โดยไร้เหตุผล สงสัยว่าจะยิ้มและหัวเราะพร่ำเพรื่อไปหน่อย เด็กก็เลยแซว

“เดี๋ยวก็โกรธปรี๊ด เดี๋ยวก็ยิ้มหวาน อยู่ดี ๆ ก็หัวเราะได้... คนแก่ เอ๊ย! คนวัยทำงานนี่... อารมณ์แปรปรวนจังเลยนะคะ”

“อืม... สำหรับคนแก่ เอ๊ย! คนวัยทำงานอย่างพี่นะ ต้องเป็นเด็กสาวอายุประมาณ 15-16 หน้าตาน่ารัก ๆ... อยู่ใกล้ทีไรอารมณ์แปรปรวนปั่นป่วนได้ทุกที ไม่รู้เป็นอะไร”

“...>/////<...”

จากนั้นคนแก่... เอ๊ย! คนวัยทำงานอย่างปณิตาก็หัวเราะคิกคักชอบใจต่อไปได้โดยไม่โดนแซว เพราะคนแซวอายุประมาณ 15-16 หน้าตาน่ารัก ๆเอาแต่นั่งกัดริมฝีปากล่าง อมยิ้มอมเขินจนแก้มป่อง ก็เลยไม่สามารถขยับปากพูดแซวเธอได้อีก ปณิตาแอบเหล่ตามองเด็กสาวเป็นระยะ ๆ พลางคิดในใจ...
ตอนอมยิ้มแก้มป่องก็น่ารัก
ตอนเขินหน้าแดงก็น่าหยอก
ชักจะเข้าใจอารมณ์ความรู้สึกพวกที่รักเด็กขึ้นมานิด ๆ ละ
เอ๊ะ! แค่เข้าใจ... หรือว่าเรากลายเป็นพวกรักเด็กไปแล้วหว่า?
ไม่รู้ ๆ >_<
..............




 

Powered by EzPortal
    ต้นฉบับในเว็บไซต์เป็นลิขสิทธิ์ของผู้แต่งต้นฉบับที่นำมาลง
    copyright © Yuriread.com All rights reserved.