web stats

ข่าว

+-User

Welcome, Guest.
Please login or register.
 
 
 
Forgot your password?
ปัญหาการสมัครสมาชิก
วิธีเปลี่ยนสถานะเป็นนักเขียน
วิธีลงนิยาย
วิธีใช้งานบอร์ด

+-สถิติการใช้งาน

Members
Total Members: 880
Latest: Levitra5a
New This Month: 0
New This Week: 0
New Today: 0
Stats
Total Posts: 1553
Total Topics: 886
Most Online Today: 153
Most Online Ever: 601
(21 กันยายน 2024 เวลา 08:04:58 )
Users Online
Members: 0
Guests: 141
Total: 141

ผู้เขียน หัวข้อ: ประมูล... รัก ตอนที่ 19  (อ่าน 1718 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 2 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ UPsidedown

  • Moderator
  • หน้าใหม่
  • *****
  • กระทู้: 31
ประมูล... รัก ตอนที่ 19
« เมื่อ: 28 ธันวาคม 2013 เวลา 16:21:47 »
ตอนที่ 19.1
ขณะที่ดวงตะวันเคลื่อนตัวอย่างเชื่องช้า เดินทางข้ามท้องฟ้ามาได้ครึ่งหนึ่ง รถบัสสองชั้นคันใหญ่ที่ปณิตาและเด็กน้อยนั่งมาก็เคลื่อนตัวไปถึงจุดหมายปลายทาง รถโค้ชค่อย ๆ คลานเข้าไปจอดหลังอาคารเรียนของโรงเรียนวัด พอล้อรถหยุดหมุน ทุกคนที่อยู่บนรถก็ทยอยเดินตามกันลงมา  คนอาสาสมัครมาร่วมกิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์ประกอบด้วยนักเรียนสมาชิกชมรมจิตอาสา นักเรียนที่ไม่ได้เป็นสมาชิกชมรมแต่มีน้ำใจ บวกกับผู้ใหญ่มีน้ำใจที่ตามแฟนเด็กมา สิ่งแรกที่ทุกคนต้องทำคือเติมพลัง ทานข้าวทานน้ำ รับประทานข้าวกล่องอาหารเที่ยง จากนั้นก็เดินไปรับอุปกรณ์จำพวกแปรงขัด ผงซักฟอก และกระป๋องน้ำจากคุณครูของโรงเรียนวัด วันนี้ต้องช่วยกันขัดถูคราบโคลนบนพื้นผิวให้สะอาดเอี่ยม พรุ่งนี้จะได้ทาสีใหม่ เด็กมัธยมปลายตัวโตกว่าสี่สิบชีวิต ช่วยเด็กประถมตัวน้อยทำความสะอาดโรงเรียนที่เพิ่งประสบกับอุทกภัยครั้งใหญ่ เด็กวัยรุ่นหนุ่มสาวแรงดีขมีขมัน ช่วยกันคนละไม้คนละมือ ทำงานไปก็เล่นกันไป ส่งเสียงหัวเราะเฮฮากรี๊ดกร๊าดกันไม่หยุด ในขณะที่เพื่อนและรุ่นพี่ส่งเสียงหัวเราะร่าเริง แข่งกับเสียงแซ่กแซ่กของขนแปรงเสียดสีกับพื้นปูนซีเมนต์ เพื่อนสนิทของอรินทิพย์กลับเห็นว่าเพื่อนของตนแสดงสีหน้าอารมณ์ไม่เข้าพวก สาวน้อยตัวเล็กชื่อนิ้งมองเพื่อนที่กำลังขมวดคิ้วมุ่น ทำหน้าบึ้งตึง  ออกแรงกดด้ามไม้ยาวติดแพขนแปรงขัดพื้นแรง ๆ พอความสงสัยและเป็นห่วงสะสม เพิ่มปริมาณมากเข้า นิ้งก็เอ่ยปากถามเพื่อน
“อินเป็นไรอ่ะ? หน้ามุ่ยเชียว”
“เปล่า ไม่ได้เป็นอะไร”
อรินทิพย์ตอบเพื่อนด้วยเสียงเรียบ ๆ แอบปรายตาไปมองพี่สาวคนสวยที่ยืนขัดผนังห้องอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล สาวน้อยตัวเล็กชื่อนิ้งซึ่งมีนิสัยช่างสังเกตจึงลอบกลอกนัยน์ตาตาม เหล่มองไปยังพี่สาวชื่อเล่นว่าปริม คนที่ตามเพื่อนของเธอมาด้วย เมื่อเห็นข้างกายของพี่สาวคนสวยมีร่างของรุ่นพี่ประธานชมรมชื่อบอลตามติดเป็นเงาตามตัว นิ้งก็ถึงบางอ้อ สาวน้อยตัวเล็กสไลด์ตัวไปกระแซะ ยืนชิดเบียดไหล่ ใช้มือขวาป้องปาก แกล้งกระซิบถามเพื่อนเบา ๆ
“อินหึงพี่บอลเหรอ?”
“บ้าสิ! ไม่ใช่ซะหน่อย”
“แน่ะ ๆ อย่ามาปากแข็ง”
“จะหึงทำไม แฟนเค้าไม่ใช่พี่บอลนิ่”
อรินทิพย์พูดโดยไม่ยอมมองหน้าเพื่อนสนิท แต่เพื่อนตัวเล็กก็ช่างแสนรู้ นิ้งเอามือปิดปากหัวเราะกิ๊กก่อนจะกระซิบถามเพื่อนใหม่อีกรอบ 
“ใช่พี่ปริมคนนี้รึเปล่า... ที่สั่งซื้อเสื้อคู่รักลายแมว เอาไปใส่กับอินอ่ะ?” 
“... >//////<...”
“อ๊ายยย~ อินกับพี่ปริมเป็นฟะ... อุ๊บ!”
อรินทิพย์รีบส่งมือซ้ายไปปิดปากอุดเสียงกรี๊ดของเพื่อน คนอื่นที่ทำความสะอาดอยู่แถวนั้นหันมามองแวบหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้สนใจ คิดว่าเด็กสาวสองคนคงหยอกแหย่เล่นกันระหว่างทำงานเหมือนคนอื่น ๆ แน่นอนว่าปณิตาก็คิดอย่างเดียวกัน หญิงสาวละสายตาจากผนังห้อง หันไปส่งยิ้มให้คุณแฟนเด็กน้อยและส่งเสียงแซว
“เล่นอะไรกันคะ? นิ้งหายใจไม่ออกแล้วมั้งน่ะ”
อรินทิพย์เอามือที่ปิดครึ่งปากครึ่งจมูกออกจากใบหน้าของเพื่อน คนเพิ่งหายใจได้อย่างอิสระหอบหายใจดังฟื้ด ฟื้ด จากนั้นนิ้งก็วิ่งไปยืนหลบข้างหลังปณิตา สาวน้อยขยุ้มเสื้อยืดสีดำของพี่สาวคนสวย แกล้งส่งเสียงงอแงฟ้องร้อง
“พี่ปริมขา... อินรังแกนิ้งอ่า พี่ปริมจัดการเลย”
“เอ... พี่จะจัดการกับเด็กที่รังแกเพื่อนยังไงดีล่ะ?”
นิ้งรีบตอบ “ตีก้นเลยค่ะพี่ปริม ตีก้น อิอิ”
อรินทิพย์เห็นพี่ปริมเดินยิ้ม เงื้อมือเข้ามาหา ทำท่าว่าจะทำตามเสียงเรียกร้องของเพื่อนขี้ฟ้อง เด็กน้อยรีบยกไม้ขัดพื้นด้ามยาวขึ้นมาตั้งท่าตั้งรับ และพร้อมจะตอบโต้ ผู้ใหญ่ที่อยากจะหาเรื่องแต๊ะอั๋งสัมผัสก้นแฟนเด็กจึงต้องรีบถอยกรูดกลับฐานทัพ คนชงเรื่องให้ผู้ใหญ่แต๊ะอั๋งเพื่อนตัวเองเห็นอย่างนั้นก็หัวเราะขำเสียงดัง พอกลั้นขำได้ นิ้งก็ยื่นหน้าเอียงตัวไปกระซิบถามข้างหูพี่สาวคนสวย
“พี่ปริมกลัวแฟนเหรอคะ?”
ปณิตาอมยิ้ม หันไปเอามือป้องปากกระซิบตอบ “ไม่ได้กลัวแฟน แต่กลัวไม้ขัดพื้นที่แฟนถือค่ะ”

นิ้งได้แต่ตะโกนเสียงดังในใจ...

สรุปว่าได้คำตอบแล้ว... ชัดเจน
พี่ปริมเป็นแฟนของยัยอินจริง ๆ ด้วยอ่า
โอ๊ย... อิจฉา อิจฉา อิจฉา
อยากมีแฟนเป็นผู้ใหญ่ใจดี แถมหน้าตาดีแบบนี้บ้าง

สาวน้อยตัวเล็กกลับไปยืนประจำที่ หยิบแปรงมาขัดผนังพลางยิ้มกริ่ม มองเพื่อนสนิทซึ่งกำลังขมวดคิ้ว มองตรงมาทางเธอ นิ้งหัวเราะขำเมื่อเห็นอรินทิพย์เดินเข้ามาใกล้ ถามเธอด้วยเสียงเขียวเสียงเข้ม
“เมื่อกี้คุยกระซิบกระซาบอะไรกับพี่ปริม?”
“โหย ๆ ๆ... ฉันเพิ่งรู้นะว่าแกมีนิสัยขี้หวงขี้หึงขนาดนี้... หึงผิดคนแล้วย่ะ ดูโน่น พี่บอลชวนพี่ปริมคุยอะไรกะหนุงกะหนิงอีกแล้ว... โอ๊ะ!... อาจารย์ชัยเอาน้ำมาให้พี่ปริมด้วย... พี่สาวแฟนแกเสน่ห์แรงเป็นบ้าเลย”
อรินทิพย์รีบหันขวับไปมองพี่สาวคนสวย ภาพที่สะท้อนอยู่บนนัยน์ตาของเธอเป็นอย่างที่เพื่อนสนิทรายงาน คุณแฟนเสน่ห์แรงของเธอโดนหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่กลุ้มรุมรายล้อม คอยเอาอกเอาใจ เด็กสาวเห็นดังนั้นก็กัดริมฝีปากล่างด้านใน หัวคิ้วขยับเข้าใกล้กัน จ้องมองพี่ปริมแบบตาไม่กะพริบ

พี่ปริมเสน่ห์แรงเป็นบ้า...
คนที่จะเป็นบ้าไม่ใช่พี่ปริม
แต่เป็นแฟนเด็กของพี่ปริม

“ยัยอิน”
“อะไร?”
เสียงนิ้งเรียกชื่อเล่นของเธอ อรินทิพย์จึงเริ่มกะพริบตาเป็น เด็กสาวส่งเสียงห้วนถามเพื่อน ทั้งที่สายตายังจับภาพพี่สาวคนสวยเหมือนเดิม

สาวน้อยตัวเล็กชื่อนิ้งยิ้มขำสีหน้าและอาการของเพื่อนสนิท หลังจากเอามือปิดปาก หัวเราะคิก ๆ อยู่สิบวินาที นิ้งก็ยื่นหน้าเข้าไปใกล้หูเพื่อน เอามือป้องปาก กรอกเสียงใส่เข้าไปในรู

“หึงจนหน้ามืดแล้วแก อิอิ”
“..........”
คนที่โดนเพื่อนแซวรีบละสายตาจากภาพที่ทำให้เกิดอาการหน้ามืด อรินทิพย์กลับมาก้มหน้าก้มตา ออกแรงกดด้ามไม้ทำความสะอาด ขัดพื้นให้แรง ๆ เพื่อระบายความรู้สึกอึดอัด สาวน้อยคิดในใจ ตั้งแต่เกิดมา ลืมตาดูโลกมาเกือบสิบหกปี เธอยังไม่เคยเกิดอารมณ์ขุ่นมัวเพราะหึงหรือหวงใคร แบบนี้ แต่ถ้าเลือกได้ เธอไม่ขอมีประสบการณ์หึงได้ไหม มัน... มันทั้งอึดอัด ไม่พอใจ ไม่สบายใจ เคืองใจ มีแต่อารมณ์ด้านลบมากมายที่มารวมตัวสุมหัวกันอยู่ในใจ เธอรู้สึกไม่ดี ไม่ชอบความรู้สึกที่เป็นอยู่ในตอนนี้เลย

“น้องอิน... สีหน้าไม่ค่อยดีเลยนะคะ”
เสียงหวานนุ่มของพี่สาวคนสวยดังขึ้นด้านขวาใกล้ ๆ เธอนี่เอง อรินทิพย์จึงหันหน้าไปมอง ระหว่างที่เธอก้มหน้าขัดพื้น คิดอะไรฟุ้งซ่าน พี่ปริมมายืนข้าง ๆ เธอตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ เด็กน้อยได้แต่ยืนนิ่งจ้องมองสบตาคุณแฟนผู้ใหญ่เสน่ห์แรง อรินทิพย์ปั้นปากให้ยื่นนิด ๆ ทำหน้าง้ำหน่อย ๆ ยิ่งพอเห็นว่ารุ่นพี่หนุ่มน้อยและอาจารย์หนุ่มใหญ่เดินตามพี่ปริมมา เด็กน้อยก็ยิ่งทำหน้างอ พ่นลมออกทางจมูกดังฟู่ จากนั้นก็หันกลับไปตั้งใจทำงานขัดพื้นอย่างเดิม

ฝ่ายผู้ใหญ่ที่โดนแฟนเด็กทำหน้างอใส่ ปณิตาลอบยิ้ม เหลียวหลังเอี้ยวคอไปบอกกับอาจารย์ที่ปรึกษาของชมรมจิตอาสา
“สงสัยน้องอินจะแพ้กลิ่นคลอรีน ปริมขอพาน้องไปสูดอากาศบริสุทธิ์ข้างนอกแป๊บนึงนะคะ”
อรินทิพย์ไม่ทันได้อ้าปากแย้งว่าไม่ได้แพ้กลิ่นน้ำยาทำความสะอาด เพื่อนสนิทดันส่งเสียงเจื้อยแจ้วว่าใช่ แถมไม้ขัดพื้นในมือก็โดนแย่งไปถือ นิ้งริบอุปกรณ์ทำความสะอาดจากเพื่อนมา ปากก็บอกกับแฟนของเพื่อน
“รีบพายัยอินออกไปเลยค่ะพี่ปริม ก่อนที่เพื่อนของนิ้งจะเป็นลมออกหู หน้ามืดตามัว คิคิ”
ปณิตาหัวเราะเบา ๆ รีบจูงมือแฟนเดินออกจากห้อง เพราะคำพูดของสาวน้อยตัวเล็กชื่อนิ้ง คนอายุมากกว่าพอจะรู้แล้วว่าอรินทิพย์ทำหน้าง้ำหน้างอ งอนเธอเพราะอะไร แถมเพื่อนสนิทของแฟนยังพูดกันท่า ยั้งขาอาจารย์สิทธิชัยไม่ให้ตามเธอมาด้วยแบบนี้

ลูกแมวน้อยกำลังหึง... ชัวร์

ปณิตาคิดแล้วก็ยกหลังมือขึ้นมา ปิดบังริมฝีปากซึ่งกำลังยกมุมขึ้นเล็กน้อย ยิ้มขำแฟนเด็กขี้หึง เพราะยกมือขึ้นมาบังแค่ด้านหน้า อรินทิพย์ที่เดินขนาบข้างจึงสังเกตเห็นรอยยิ้มได้อยู่ดี

“ยิ้มอะไรคะ?... มีอะไรน่ายิ้ม?... แล้วนี่หาเรื่องพาอินออกมาทำไมคะ?... จะพาอินไปไหนเนี่ย?... อินไม่ได้เป็นอะไรซะหน่อย... รีบกลับไปช่วยทุกคนทำความสะอาดดีกว่า... อาจารย์ชัยคงชะเง้อชะแง้คอจนคอยาว ถือแปรงรอพี่กลับไป... ไหนจะพี่บอลอีกล่ะ เห็นมีเรื่องคุยกันไม่หยุดเป็นชั่วโมง ๆ”
เด็กน้อยปล่อยรถไฟขบวนคำถามและคำพูดออกจากสถานีริมฝีปาก รถจักรขบวนนี้ขับเคลื่อนด้วยพลังงานความหึง แต่ละตู้แต่ละโบกี้มีผู้โดยสารเป็นความแง่งอน ความขุ่นเคือง อารมณ์โกรธกรุ่น ๆ ผู้โดยสารทั้งยืนทั้งนั่ง เบียดเสียดกันมาอย่างอัดอั้น แต่ปณิตากลับยืนจังก้าคร่อมรางรถไฟ อ้าปากหัวเราะร่า รอให้รถด่วนสายหึงวิ่งมาชนอย่างไม่สะทกสะท้าน
“ฮ่า ๆ ๆ ๆ” แมวใหญ่หัวเราะชอบใจเสียงใส
“หัวเราะอะไรเล่า? พี่ปริมนี่ท่าจะเพี้ยน” แมวน้อยทำหน้างอ พูดต่อว่าเข้าให้อีก
“น้องอินจ๊ะ น้องอินจ๋า~” แมวตัวโตอมยิ้ม เรียกน้องแมวเสียงหวานหยดย้อย
“ไม่ต้องมาจ๊ะจ๋ากับเค้าเลย” แมวตัวน้อยสะบัดหน้าหนี สะบัดอุ้งเท้าหน้าให้หลุดจากการเกาะกุมของพี่แมวใหญ่อย่างงอน ๆ 
“หึงพี่เหรอคะคนดี?” แมวใหญ่ถามยิ้ม ๆ ใช้อุ้งเท้าหน้าสะกิดไหล่น้องแมว
“หึ... ไม่หึงเลยมั้งคะพี่ รู้ดีอยู่แล้วว่าอินหึง ยังจะมาถามอีกนะ” แมวน้อยพูดพลางเอียงไหล่หลบหลีก หนีอุ้งเท้าหน้าที่มาสะกิดของพี่แมว
“คิคิ... น้องอินหึงพี่จริง ๆ ด้วย ดีใจจัง... คนเรา ยิ่งรักมากก็ยิ่งหึงมาก พี่ปริมดีใจ๊ดีใจ” แมวตัวโตหัวเราะเสียงใส พูดจบแล้วก็ยิ้มกว้าง
“อ่อ... ที่ทำเป็นพูดคุยตีสนิทกับอาจารย์ชัย กับพี่บอล พี่แค่อยากจะแกล้งทำให้อินหึงเหรอคะ?”
แมวตัวเล็กหยุดเดิน หันไปทำหน้าโหด ร้องแง้วแง้ว พูดถามแมวใหญ่เสียงเขียว แมวใหญ่ยิ้มแหะทำหูเหี่ยว แมวน้อยจึงเดาคำตอบได้ว่าใช่อย่างที่ตนถามเดาแน่ ๆ เลย อรินทิพย์กัดริมฝีปากล่าง ส่งมือทั้งสองข้างโบยบินไปตบตีตามไหล่ตามแขนของคุณแฟนขี้แกล้งแบบไม่นับครั้ง
“เห็นอินไม่สบายใจแล้วพี่มีความสุขนักใช่ไหม... ใช่ไหม... ใช่ไหม... หึ... อินโป้งพี่ปริมแล้ว”
เด็กน้อยทั้งพูดทั้งตี จากนั้นก็ทำหน้าบึ้ง หมุนตัวกลับหลังหัน เดินลงส้นเท้าตึง ๆ กลับไปทางเดิม ผู้ใหญ่รีบพุ่งตัวตามหลังไปคว้าแขน แต่เด็กน้อยก็รีบแกะมือทิ้งอย่างไม่ไยดี ปณิตาเริ่มเหงื่อตก คุณแฟนเด็กโกรธเธอจริงจังเลยหรือนี่ หญิงสาวเดินดักหน้าดักหลังเด็กน้อย พร่ำพูดซ้ำ ๆ ว่าพี่ผิดไปแล้ว พี่ขอโทษ ยกโทษให้พี่นะคะคนดี ผู้ใหญ่พูดง้อเสียงหวาน ส่งนิ้วก้อยไปเป็นทูตสันถวไมตรี แต่แล้วทูตง้อของปณิตาก็ต้องผิดหวัง นิ้วก้อยทำข้อนิ้วงอเดินคอตกกลับมา เพราะอีกฝ่ายส่งนิ้วโป้งที่แรงเยอะกว่ามากดปลายนิ้วสัญลักษณ์ของการคืนดี นิ้วก้อยทูตสันถวไมตรีโดนนิ้วสัญลักษณ์แทนความโกรธกระทำการกดหัวจนหักงอ หัวทิ่มพับลงไปบนนิ้วข้าง ๆ ส่งผลให้นิ้วนางพลอยซวย โดนลูกหลงถูกหางเลขไปด้วยเลย

อรินทิพย์เดินกลับเข้าไปในห้องเรียนห้องเดิม หยิบไม้ขัดพื้นอันเดิมมาทำงานต่อ ปณิตาพยายามพูดอ้อนง้อเสียงอ่อนเสียงหวาน แต่เด็กน้อยก็ยังแสดงท่าทีเย็นชาห่างเหินหมางเมินใส่ ปณิตาถอนหายใจดังเฮ้อ ในสมองมีแต่เสียงตะโกนโวยวายโหวกเหวก

อ๊า... พี่แมวใหญ่จะทำยังไงดี? จะง้อยังไงดี?
แมวน้อยโกรธ แมวน้อยเคือง แมวน้อยงอน
แมวน้อยไม่มองตา แมวน้อยเมินหน้า แมวน้อยไม่พูดด้วย
แมวใหญ่เศร้า แมวใหญ่กลุ้ม แมวใหญ่กังวล แมวใหญ่ร้อนใจ

ปณิตาอยากจะเอาหน้าผากโขกกำแพงห้องเรียนที่เปื้อนโคลนแห้ง ใช้หัวไปกระแทกช่วยกระเทาะเศษดินให้ร่วงหล่นแทนการใช้แปรงขัด

เวลาล่วงเลยผ่านไปจนกระทั่งบ่ายแก่ ๆ เหล่าวิหคนกน้อยส่งเสียงจ้อกแจ้กจุ๊บจิ๊บให้เซ็งแซ่ บอกพ่อแม่เพื่อนฝูงให้เร่งหาหนอนจิกแมลง เพราะแสงแดดชักเริ่มโรยแรงลงทุกที ทางด้านแมวใหญ่ปณิตาก็ไม่ยอมน้อยหน้า ส่งเสียงร้องหง่าวแง้วแข่งกับนกจนเสียงแหบเสียงแห้ง
“น้องอินจ๋า... ยกโทษให้พี่ปริมเถอะนะคะ”
“..........”
“น้องอินจ๋า... พี่ปริมผิดไปแล้ว ให้อภัยพี่เถอะ”
“..........”
“น้องอิน... โอ่ย... เจ็บคอ... จะงอนนานเกินไปแล้ว พี่ปริมหมดมุกจะง้อแล้วนะคะ พูดอะไรกับพี่สักคำเถอะ”
“..........”
“จะตบจะตี จะทุบพี่จนตัวเขียวก็ได้ พี่ผิดไปแล้ว พี่ขอโทษ เลิกงอนพี่เถอะนะคะ”
“...........”
“โธ่... น้องอิน...”

อันที่จริงปณิตาไม่ได้อยากจะร้องแข่งกับนกแต่อย่างใด มันจำเป็นค่ะ มันจำเป็น เพราะเด็กน้อยยังงอนไม่เลิก ตลอดช่วงเวลาเกือบสามชั่วโมงที่ผ่านมา ปณิตาพูดเสียงหวานทำตาสำนึกผิดใส่ วิธีง้อแบบธรรมดานี้ใช้ไม่ได้ผล เด็กน้อยยังคงตั้งหน้าตั้งตาขัดพื้น ผู้ใหญ่จึงเปลี่ยนมาร้องเพลงง้อ ยึดไม้ขัดพื้นของคนงอนมาทำเป็นไมโครโฟน
“ให้อภัยสักครั้งหนึ่ง~ เธอคงไม่ใจร้าย~ ถ้าไม่สายไป มาคืนดีกันได้ไหม~....”
“...........”
“น้องอินจ๋า... ตอนนี้ไม่สาย เพราะนาฬิกาบอกว่าบ่ายสี่โมงแล้ว และน้องอินของพี่ก็ไม่ได้ใจร้ายนี่นา ลูกแมวน้อยจ๋า ให้อภัยพี่แมวใหญ่เถอะน้า”
ผู้ใหญ่คนง้อใช้เพลงให้อภัยสักครั้งของวงซินเดอเรลล่าเป็นทัพหน้า ส่งยิ้มหวานไปเป็นกองหนุน แถมยังส่งประโยคเล่นคำไปตีขนาบซ้ายขวา แต่ทัพงอนของเด็กน้อยก็ไม่ยอมแตกพ่าย ผู้บัญชาการทัพงอนทำหน้าง้ำ ตีแขนผู้บัญชาการทัพง้อไปหนึ่งที จากนั้นก็ยึดไม้ขัดพื้นที่ถูกนำไปใช้เป็นอุปกรณ์ประกอบการง้อคืนมา ปณิตารีบหันไปถามเสนาธิการนิ้ง ขอคำแนะนำด่วน เสนาธิการทหารสาวน้อยก็เลยจัดให้...
“พี่ปริมรู้จักเพลง Bo peep Bo peep ของวง T-Ara ไหม?”
ผู้บัญชาการปณิตาพยักหน้าหงึกหงัก “รู้จัก ๆ”
เสนาธิการนิ้งอมยิ้ม “มาเต้นเพลงนี้ง้อน้องแมวน้อยของพี่กัน ...อ่ะ... หนึ่งสอง สาม...
Bo peep Bo peep Bo peep Bo peep Bo peep Bo peep Bo peep ง้อ~...
Bo peep Bo peep Bo peep Bo peep Bo peep Bo peep ง้อแล่ว~...
Bo peep Bo peep Bo peep Bo peep Bo peep Bo peep Bo peep ง้อ~
Bo peep Bo peep Bo peep Bo peep Bo peep Bo peep ง้อแล่ว~ แง่ว แง่ว~”

แมวใหญ่โดนเพื่อนของลูกแมวน้อยยุยง ปณิตาบ้าจี้เต้นท่าแมวกวักง้อแฟน เด็ก ๆ แถวนั้นต่างพากันขำกลิ้ง ส่งเสียงกรี๊ดกร๊าดแล้วช่วยร้องเพลงและปรบมือให้จังหวะ ผู้ใหญ่คนเต้นง้อนี่ใช่ว่าจะไม่รู้สึกอาย ปณิตาเขินสายตาเด็กเล็กเด็กโตจนหน้าแดงหูแดง ไหนจะอาจารย์สิทธิชัยที่ยืนมองอยู่ด้วย แมวใหญ่ยอมลงทุนเต้นง้อจนเหงื่อท่วมตัว หน้าแดงแจ๋ แต่ลูกแมวงอนชายหางตามามองเพียงแวบเดียว แล้วก็หันหลังให้ ทำเป็นตั้งอกตั้งใจขัดพื้นต่อ ปณิตาจึงหยุดเต้น เป่าปากถอนหายใจพ่นความหดหู่ คิดในใจว่าพี่อุตส่าห์ข่มความอาย เต้นง้อให้ดูต่อหน้าธารกำนัล แต่น้องหันหน้าเหล่ตามาแลมองกันแค่หนึ่งวินาที

แง้ว... พี่แมวใหญ่เหนื่อย พี่แมวใหญ่ท้อ พี่แมวใหญ่เริ่มถอดใจ

ปณิตาส่งเสียงถอนหายใจอีกครั้ง น้องแมวยังงอนไม่หาย พี่แมวใหญ่จึงขอกลับไปตั้งหลัก หยิบแปรงที่ลอยอยู่ในกระป๋องน้ำมาขัดผนัง คิดกลวิธีง้อแบบอื่นต่อไป

เวลาผ่านไปนานนับชั่วโมง นาฬิกาติดผนังที่อยู่เหนือกระดานดำเห็นคนหลายคนมองมา อยากรู้เวลาเหรอจ๊ะ ดูเข็มบนหน้าปัดนี่ ตอนนี้เกือบจะหกโมงเย็นแล้วจ้ะ

ห้องเรียนชั้นล่างสิบห้องที่เคยถูกน้ำท่วมโดนขัดถูจนสะอาดเรียบร้อย ทุกคนต่างพากันเดินออกจากห้อง ปฏิบัติกิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์เสร็จสิ้นแล้ว แต่ปฏิบัติการง้อลูกแมวน้อยของพี่แมวใหญ่ยังไม่มีความคืบหน้า ปณิตาหิ้วกระป๋องน้ำ ทำหน้าจ๋อยหางตก เดินตามคุณแฟนเด็กน้อยไปอย่างเงียบ ๆ

ฮือ... น้องอินโกรธพี่มากขนาดนี้เลยเหรอคะ
ปริมเอ๊ย... อยู่ดีไม่ว่าดี ไม่น่าหาเรื่องใส่ตัวเล้ยยย~ (T=ω=T)

ปณิตาได้แต่พูดต่อว่าด่าตัวเองอยู่ในใจ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29 ธันวาคม 2013 เวลา 20:41:13 Admin »




ออฟไลน์ UPsidedown

  • Moderator
  • หน้าใหม่
  • *****
  • กระทู้: 31
ประมูล... รัก ตอนที่ 19.2
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: 28 ธันวาคม 2013 เวลา 16:24:46 »
ตอนที่ 19.2
หลังจากใช้บริการห้องน้ำของวัดและโรงเรียน อาบน้ำชำระคราบเหงื่อไคล  ต่อไปก็เป็นการรับประทานอาหารเย็น ทางผู้ใหญ่บ้านนำข้าวและกับข้าวหลายอย่างมาจัดเลี้ยงคนมีจิตอาสา แถมด้วยของหวานตบท้ายอย่างกล้วยน้ำว้าบวชชี ทุกคนที่เพิ่งออกแรงทำงานหนักต่างกินกันอย่างเอร็ดอร่อย บางคนขอเบิ้ลถึงสองจาน แต่มีอยู่คนหนึ่งที่จะไม่ยอมทานอะไรเลยถ้า...

“ถ้าน้องอินยังไม่ยอมยกโทษให้พี่ พี่จะไม่กินข้าว”

ปณิตาทำสีหน้าท่าทางจริงจังแน่วแน่ บอกกับเด็กน้อยซึ่งกำลังนั่งทานข้าวอยู่อีกฝั่งของโต๊ะสี่เหลี่ยมผืนผ้าตัวเดียวกัน ในเมื่อการง้อแบบหวาน ๆ ใช้ไม่ได้ผล ผู้ใหญ่ขอเปลี่ยนยุทธวิธี ขอใช้ยุทธศาสตร์ง้อแบบกึ่งประท้วงทรมานตัวเองดูดีกว่า เผื่อเด็กน้อยจะสงสาร ใจอ่อน ยอมยกโทษให้เสียที

อรินทิพย์กลอกนัยน์ตากลมโตไปมองจ้องสบตาคุณแฟนแวบหนึ่ง ก่อนจะหันมาตักข้าวเข้าปากต่อไป ส่วนเพื่อน ๆ พี่ ๆ ร่วมโต๊ะ ทุกคนต่างพากันส่งเสียงคำพูดอุทานแสดงความเห็นใจพี่ปริมของเธอ มีเสียงพูดขอร้องแทนดังตลอดเวลา ทุกคนสลับกันพูด บอกกับเธอว่าเลิกงอนเถอะ หายงอนเถอะนะ จะโกรธจะเคืองอะไรนักหนา ถ้าเธอไม่ยอมยกโทษให้ พี่ปริมก็จะไม่กินข้าวน้า ผู้ใหญ่ยอมง้อถึงขนาดนี้แล้ว พูดง้อออดอ้อนจนเสียงแหบเหมือนเป็ดป่วยแล้วนา ยกโทษให้พี่เขาเถอะนะ พี่ปริมน่าสงสารจังเลย พี่ปริมน่าสงสารจริง ๆ

อรินทิพย์ได้ยินทุกคำขอร้อง แต่เธอยังคงก้มหน้าก้มตา ตั้งใจทานข้าวจนหมดจานแล้วลุกขึ้นยืน จากนั้นก็เดินถือจานไปล้าง เธอค่อย ๆ ล้างภาชนะอย่างใจเย็น ริมฝีปากแอบยกยิ้มนิดหน่อย คิดว่าจะเลิกงอนแล้วล่ะ พี่ปริมคงได้รับบทเรียน ไม่กล้ากลั่นแกล้งล้อเล่นกับหัวใจของเธอ หลอกให้หึงยั่วให้หวงกันเล่น ๆ แบบวันนี้อีก

พอคว่ำจานชามที่เพิ่งล้างเสร็จ อรินทิพย์ก็เดินไปยังจุดตักอาหาร หยิบจานใบใหม่ขึ้นมา ตักข้าวและกับข้าวที่คุณแฟนชอบ เดินถือกลับมายังโต๊ะตัวเดิมที่เธอเคยนั่ง แต่ว่า...
“พี่ปริมไปไหนแล้วล่ะ?”
คำตอบของคำถามมาจากเพื่อนสนิทตัวเล็ก นิ้งชี้นิ้วไปทางสนามฟุตบอลแล้วบอกกับเธอ
“เห็นพี่ปริมเดินไปทางนู้นอ่ะ แต่ไม่รู้ว่าไปไหน... อินอ่ะ จะงอนอะไรมากมาย ใจร้ายกับพี่ปริมเกินไปละ เดี๋ยวเค้าไปยุให้พี่ปริมเลิกรักอิน หันมารักเค้าแทนดีกว่า”
“..........”
อรินทิพย์ไม่พูดอะไร แต่ถลึงตาทำหน้าดุใส่เพื่อน เด็กน้อยถือจานข้าวและแก้วบรรจุน้ำเปล่า เดินออกห่างจากโต๊ะที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและสายตาล้อเลียน เพื่อนพ้องน้องพี่ที่สนิทสนมกับเธอ ทุกคนรู้กันหมดแล้วว่าเธอกับพี่ปริมเป็นอะไรกัน รวมทั้งอาจารย์สิทธิชัยและรุ่นพี่ประธานชมรมก็ด้วย หรือทุกคนในที่นี้อาจจะรู้กันหมดแล้วก็ได้ >_<

เด็กน้อยเดินไปยืนตรงริมชายคาของโรงอาหาร อรินทิพย์ชะเง้อชะแง้คอ มองไปด้านหน้า สนามฟุตบอลว่างเปล่าไร้เงาผู้ใด เธอจึงเปลี่ยนมาเหลียวซ้ายแลขวา หันมามองสำรวจด้านข้างดูบ้าง แต่ก็ไม่พบร่างบอบบางสูงโปร่งของคนที่เธออยากจะเห็น คนง้อเขาเดินไปหาที่หลบถอดใจทิ้งที่ไหนกันล่ะนี่ ยามนี้รอบกายมืดมิดไร้แสงตะวันแล้วด้วย แถมอยู่ในเขตวัดอีกต่างหาก

แทนที่จะสุ่มทิศทาง เดินตามหาพี่แมวใหญ่อย่างไร้จุดหมาย อรินทิพย์กลับมาตั้งหลักในโรงอาหาร วางจานและแก้วน้ำลงบนโต๊ะ ล้วงโทรศัพท์มือถือออกจากกระเป๋า เธอใช้มันต่อสายไปหาพี่ปริม ถือสายรออยู่เพียงครู่ เสียงแหบแห้งก็ดังออกจากลำโพงเครื่องมือสื่อสาร
(ฮัลโหล)
“พี่ปริม พี่อยู่ไหนน่ะ?”
(ฮือ... น้องอินยอมคุยกับพี่แล้วเหรอ ยอมยกโทษให้พี่แล้วใช่ไหมคะ?)
อรินทิพย์อมยิ้ม พูดตอบคำถามแบบอ้อม ๆ “อินตักข้าวเอาไว้ให้แล้วนะคะ พี่อยู่ที่ไหน รีบมากินเร็ว”
(จ้า... พี่จะรีบไป รอเดี๋ยวนะ พี่ขอช่วยลูกไก่ที่อยู่ในไข่ก่อน... อุ๊ย! เดี๋ยวก่อนนะ...)
“???”
ตู๊ด ตู๊ด ตู๊ด

เด็กน้อยลดมือถือลง เอียงคอขมวดคิ้ว ทำหน้าตางงงวย เมื่อกี้พี่ปริมบอกว่าขอช่วยลูกไก่ที่อยู่ในไข่ใช่ไหม นี่เธอฟังไม่ผิดใช่ไหม พี่แมวใหญ่ไปเล่นซนอะไรกับไข่ของไก่วัดอยู่แน่ ๆ เลย

“เฮ้อ... พี่ปริมนิ่ ทำตัวเป็นเด็ก ๆ ไปได้”
เด็กน้อยเก็บโทรศัพท์มือถือเข้ากระเป๋าพลางบ่นพึมพำ อรินทิพย์นำจานข้าวและแก้วน้ำกลับไปยังโต๊ะตัวเดิมที่เพื่อนสนิทนั่งอยู่ เมื่อนั่งรอนานเป็นครู่ใหญ่แล้วพี่ปริมยังไม่มา เด็กสาวก็ฝากให้เพื่อนดูแลจานข้าว เดินออกไปตามหาคุณแฟน อรินทิพย์ลองเดินไปทางหลังตึกเรียน ถ้าจำไม่ผิด เธอเห็นว่าใกล้กับที่จอดรถบัส มีเพิงขนาดเล็กมุงด้วยใบจาก มีลำไม้ไผ่และเข่งไม้ไผ่เก่าอยู่ในนั้น มันเป็นที่สำหรับให้พวกไก่วัดได้อาศัยหลับนอนและวางไข่ เด็กน้อยเดินไปยังไม่ทันถึงจุดหมาย สายตาก็เห็นพี่ปริมถือไฟฉาย ส่งเสียงร้องวี้ดว้ายพลางยกขา กระโดดเหยง ๆ หลบหลีกไก่สองสามตัวที่ร้องโวยวายดังกระต๊าก กระต๊าก ตัก ตัก พวกมันทำท่าพุ่งหัวไปข้างหน้า วิ่งตามไล่จิกพี่ปริมอย่างไม่ลดละ ท่าทางที่ผู้ใหญ่วิ่งหนีไก่มันน่าขำ อรินทิพย์จึงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ แต่พอแสดงอาการขบขันไปได้สักหน่อย เด็กน้อยก็เปลี่ยนเป็นผ่อนลมออกจากปอดดังเฮ้อ อรินทิพย์ส่ายหน้าไปมา รีบก้าวเดินเร็ว ๆ ไปหาผู้ใหญ่ ร้องถามคนวิ่งหนีไก่ด้วยเสียงติดจะดุ ๆ ว่า...

“พี่ปริม... จะไปกวนไก่ให้มันไล่จิกเล่นทำไม? พวกมันจะหลับจะนอน” 
“เปล่านะ... พี่ไม่ได้... อ๊าย!... อย่าจิก!... คิดจะกวนพวกมันซะหน่อย”
อรินทิพย์ถอนหายใจดังเฮือกอย่างระอา คิดในใจว่าถ้าสิ่งที่พี่ทำอยู่ไม่ใช่การรบกวนการนอนของไก่ แล้วมันจะเรียกว่าอะไรได้ ถ้าไม่ไปกวนพวกมัน ไก่จะตื่นจนออกมาวิ่งไล่จิกเอาแบบนี้รึ เด็กสาวส่ายหน้าไปมาอย่างอ่อนใจแล้วตะโกนให้คำแนะนำ
“งั้นก็วิ่งมาทางนี้สิคะ ออกมาห่าง ๆ สิ พวกมันจะได้ไม่จิกพี่”
สิ้นสุดเสียงตะโกน ผู้ใหญ่ก็รีบวิ่งจี๋มาหาเธอ อรินทิพย์ขยับริมฝีปาก ตั้งท่าจะพูดตำหนิพี่แมวขี้เล่นว่าไปแหย่ไก่ทำไม แต่แล้วเธอก็ต้องหุบปากเงียบ เพราะพี่ปริมยื่นมือซ้ายให้เธอดูพร้อมกับชิงพูดก่อน
“พี่แค่อยากเอาลูกไก่ไปส่งคืนให้แม่ของมัน”
“นี่พี่จับลูกไก่มาเล่นเหรอ!?”
“เปล่านะ!... ตอนแรกมันยังอยู่ในไข่อยู่เลย หลังจากพี่เข้าห้องน้ำเสร็จ เดินผ่านที่นอนของพวกมัน พี่เห็นไข่ใบนึงมันกลิ้งตกลงมาจากรังของแม่ไก่ พี่ก็เลยเดินไปเก็บ...”
“แล้วทำไมพี่ไม่รีบเอาใส่ในรังคืนแม่ของมันล่ะ?”
“ก็พวกมันยอมที่ไหนล่ะ ไม่ใช่แค่แม่ของมันนะ เจ้าไก่ตัวผู้พอเห็นไก่ตัวเมียร้องโวยวาย มันก็ลุกขึ้นมาช่วยแม่ไก่วิ่งไล่จิกพี่ น้องอินก็เห็นนี่คะ เฮ้อ... อ่อ ตอนที่น้องอินโทรมาเมื่อกี้ ไข่ในมือพี่ก็ฟักออกมาเป็นตัวพอดีเลยล่ะ”
เจี๊ยบ เจี๊ยบ
ลูกไก่แรกเกิดในมือของผู้ใหญ่ส่งเสียงร้องเบา ๆ ต่อจากคำพูดของพี่ปริม ทำอย่างกับว่าอยากจะช่วยยืนยัน ช่วยเถียงแก้ต่างให้เจ้าของมืออุ่นที่กำหุ้มอุ้มตัวมันอยู่ อรินทิพย์จึงลดสายตาไปมองมันแวบหนึ่ง เธออมยิ้มและส่งนิ้วชี้ไปแตะหัวเล็ก ๆ มีขนสีเหลืองนุ่มฟูของมัน
“พี่ปริมก็ออกมาไกล ๆ รอให้พวกไก่เลิกแตกตื่นก่อน แล้วค่อยเอาลูกไก่ไปคืนแม่ของมัน”
เด็กน้อยบอกให้ผู้ใหญ่ปิดไฟฉาย เดินไปหลบหลังรสบัสคันใหญ่ซึ่งจอดอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล ไม่นานนักเจ้าไก่แจ้ตัวเตี้ยก็กลับไปนอน ตัวผู้เกาะคอนที่ทำด้วยไม้ไผ่แล้วนั่งนิ่ง ส่วนตัวเมียกระโดดขึ้นไปนอนในเข่งผุ ๆ ใส่ฟางแห้ง กกลูกเจี๊ยบและไข่ใบอื่นที่ยังไม่ฟัก ลูกแมวน้อยส่งสัญญาณมือ สะกิดไหล่พี่แมวใหญ่แล้วชี้ไปที่เพิงนอนของไก่ ปณิตาพยักหน้าแล้วเดินย่องเบาเป็นตีนแมว วกอ้อมไปด้านหลัง พาลูกไก่กลับไปส่งคืนให้แม่ของมันถึงรัง

ปณิตาหย่อนตัวลูกเจี๊ยบลงใกล้ก้นของแม่ไก่ จากนั้นก็เดินถอยออกมา หญิงสาวเดินกลับมาหาเด็กน้อย ส่งยิ้มและทำมือส่งสัญญาณโอเค บอกว่าภารกิจสำเร็จ ส่งตัวลูกไก่ให้แม่ของมันเรียบร้อยแล้ว แต่ว่า...

เจี๊ยบ เจี๊ยบ
เสียงลูกไก่ร้องดังขึ้นทางด้านหลังใกล้ ๆ นี่เอง
ปณิตาร้องอุทานว่าเอ๊ะ จากนั้นก็เหลียวหลังก้มตัว ภายใต้แสงจันทร์สลัว บวกกับแสงไฟจากห้องน้ำ หญิงสาวเห็นว่าตรงใกล้ส้นเท้าของเธอมีก้อนกลม ๆ ที่ขยับไปมาและร้องเจี๊ยบ ๆ ได้ เพื่อให้แน่ใจว่าใช่ ปณิตาบอกให้เด็กน้อยเปิดไฟฉาย พอเห็นหน้าเห็นตากันได้ถนัด เจ้าก้อนกลม ๆ สีเหลืองที่มีปีกสีดำสลับขาวและร้องเจี๊ยบ ๆ ได้ ก็ถูกเธอจับขึ้นมาอีกครั้ง
“อ๊า! เดินตามเค้ามาทามม้ายยย! อุตส่าห์ย่องเบาเอาแกไปส่งคืนแม่ได้แล้วเชียวนะ”
เด็กน้อยหัวเราะเบา ๆ “พี่ปริมเอามันไปส่งคืนใหม่อีกที คราวนี้รีบวิ่งออกมาเลยนะ”   
“จ้ะ”
แมวใหญ่ทำตามคำแนะนำของแมวน้อย เยื้องย่างย่องเบานำลูกไก่กลับไปวางไว้ในเข่งกับแม่ของมันแล้ววิ่งปรู๊ดกลับมา แต่ว่า...

เจี๊ยบ! เจี๊ยบ! เจี๊ยบ!
ลูกไก่ร้องเสียงดังลั่น มันวิ่งเร็วจี๋พร้อมกับกระพือปีกเล็ก ๆ สุดท้ายก็ตามมาหยุดยืนตรงปลายเท้าของแมวใหญ่
เจี๊ยบ เจี๊ยบ...
ลูกไก่ร้องเสียงเบาลง ก้มลงจิกปลายนิ้วโป้งเท้าของปณิตาเบา ๆ พอคนโดนจิกเท้าขยับขาหนี ลูกไก่ก็รีบเดินตาม อรินทิพย์เห็นอย่างนั้นก็หัวเราะก๊าก
“ลูกไก่มันคงนึกว่าพี่ปริมเป็นแม่ของมันแน่ ๆ เลย”
ปณิตาเองก็ขำ “เอ... น่าจะใช่ เพราะพอฟักออกจากไข่ มันเห็นหน้ากับได้ยินเสียงพี่เป็นคนแรก”
หญิงสาวอุ้มลูกไก่ที่หลงคิดว่าคนเป็นแม่ของมันขึ้นมา ปณิตาพามันกลับไปส่งคืนแม่ที่แท้จริงอีกครั้ง คราวนี้พอนำลูกเจี๊ยบกลับไปคืนแม่เสร็จเรียบร้อย หญิงสาวรีบวิ่งร้อยเมตร ไปยืนหลบแอบดูไกลถึงมุมตึก พอปณิตาเห็นว่าลูกไก่ตัวน้อยวิ่งตามเธอมาแต่ตามไม่ทัน มันเดินวนไปมา ชะเง้อคอพร้อมกับส่งเสียงเจี๊ยบ ๆ เรียกหาแม่ดังลั่น คนใจดีขี้สงสารเห็นลูกไก่ทำอย่างนั้นก็ทนไม่ได้ หญิงสาวรีบเดินกลับเข้าไปหาพร้อมกับส่งเสียง
“โถ ๆ ๆ เจ้าลูกเจี๊ยบร้องใหญ่ คงตกใจแย่เลยล่ะซิ... ไม่ต้องร้องน้า แม่อยู่นี่ แม่อยู่นี่”
พอได้ยินเสียงเธอเท่านั้นแหละ เจ้าลูกเจี๊ยบหลงแม่ก็วิ่งรี่มาทางนี้ทันที ปณิตาย่อตัวลงแล้วอุ้มมันขึ้นมา หญิงสาวหันไปพูดกับแฟนเด็ก
“พี่ทิ้งมันไม่ลงอ่า... มันนึกว่าพี่เป็นแม่ของมันจริง ๆ นะ”
“แล้วพี่จะทำยังไง? จะเอามันกลับไปเลี้ยงที่บ้านเหรอ?”
“อืม... แค่ลูกไก่ตัวเดียวเอง เอาไปปล่อยให้วิ่งเล่นจิกแมลงในสวนบ้านพี่ก็ได้มั้ง ตอนที่น้องอินไม่อยู่ พี่ว่าง ๆ เหงา ๆ จะได้มีลูกไก่เป็นเพื่อน... ดูสิ ๆ มันน่ารักออก”
ปณิตาพูดจบก็ลองปล่อยให้ลูกไก่ลงเดิน พอเธอก้าวเดินไปทางไหน ลูกไก่ก็เดินตามต้อย ๆ มีการปีนขึ้นมาเกาะบนหลังเท้าด้วย เด็กน้อยเห็นดังนั้นก็หัวเราะขำก๊ากจนตาปิด
“ฮ่า ๆ ๆ ๆ... พี่แมวใหญ่ขี้เหงา เข้าใจหาเพื่อนนะคะ... ไม่สิ ลูกไก่มันคิดว่าพี่เป็นแม่ของมันต่างหาก โอ๊ย... อินอยากจะขำตาย”

ลูกแมวน้อยลอบส่งสายตามองคนเดินเคียงข้าง พี่แมวใหญ่เดินอุ้มลูกไก่กลับไปยังโรงอาหาร อรินทิพย์อมยิ้มกลั้นขำ คิดในใจว่าความใจดีของพี่ปริมก่อเรื่องวุ่นอีกแล้ว ไปทำตัวใจดีถูกที่ถูกจังหวะ จะเอาไข่ที่กลิ้งหล่นจากรังไปคืนแม่ของมัน ไข่ดันฟักออกมาเป็นตัวคามือ เจ้าลูกเจี๊ยบเลยเข้าใจผิด กลายเป็นลูกไก่ที่หลงคิดว่าคนเป็นแม่ แล้วเด็กน้อยก็ต้องคลี่ยิ้มให้กว้างขึ้น เนื่องจากอรินทิพย์กำลังคิดว่า ถ้าพี่แมวใหญ่ไม่ใจดีแบบนี้ เธอคงไม่มีโอกาสได้เจอกับพี่ปริมหรอกจริงไหม เรื่องวุ่นวายของพี่แมวใหญ่กับลูกไก่ ทำให้ลูกแมวน้อยลืมเรื่องที่เคยโกรธเคยงอนไปโดยปริยาย

เมื่อเดินไปถึงโรงอาหารและนั่งลงประจำที่ คนอื่น ๆ พอได้รู้เรื่องราวที่มาที่ไปของลูกไก่หลงแม่ ทุกคนต่างพากันยิ้มขำ หรือไม่ก็หัวเราะก๊าก บรรดาเด็กสาวพากันมามุงดูลูกไก่ พอเห็นเจ้าลูกเจี๊ยบขนฟูสีเหลือง มีขนสีดำตรงปีก จิกกินเม็ดข้าวสุกที่แม่ไก่จำเป็นป้อนให้ เสียงกิ๊วก๊าวกรี๊ดกร๊าดว่าน่ารัก น่ารัก ก็ดังขึ้น หลายคนลองป้อนข้าวให้ลูกไก่กินบ้าง มันก็ยอมจิกกินไปได้หลายเม็ด และแล้วลูกเจี๊ยบกับพี่สาวคนสวยก็กลายเป็นดาวดังที่ทุกคนรู้จัก
 
หลังจากปณิตาซึ่งมาทานอาหารเย็นเป็นคนสุดท้ายล้างจานเรียบร้อยแล้ว อาจารย์สิทธิชัยก็เรียกทุกคนให้มาทำกิจกรรมสันทนาการร่วมกันก่อนนอน อาคารอเนกประสงค์ที่มีแค่หลังคามุงกระเบื้อง พื้นลาดปูนซีเมนต์เนื้อหยาบ กับเวทีทำด้วยไม้ ถูกใช้เป็นสถานที่ในการทำกิจกรรม อาจารย์สิทธิชัยยืนเด่นอยู่กลางเวที มือซ้ายถือโทรโข่ง มือขวามีกระดาษหนึ่งใบ อาจารย์หนุ่มใหญ่พูดผ่านเครื่องขยายเสียง นำเด็ก ๆ ร้องเพลงและเล่นเกม เมื่อถึงคราวที่ผู้เล่นเกมแพ้ต้องโดนทำโทษให้ออกมาเต้นท่าไก่ย่าง สมองของอาจารย์ก็เลยนึกคิดเชื่อมโยงไปถึงคนทำตัวเป็นแม่ไก่ ปณิตาจึงถูกอาจารย์หนุ่มใหญ่กรอกเสียงใส่โทรโข่ง เรียกให้ออกมาเต้นเป็นเพื่อนเด็ก ปณิตาฝากลูกไก่ให้เพื่อนสนิทของแฟนอุ้มมันเอาไว้ ยอมลุกออกไปยืนด้านหน้าเวที แต่งานนี้ขอจูงแฟนเด็กออกไปเต้นเป็นเพื่อนกันด้วย พอเสียงเพลงไก่ย่างดังมาจนถึงท่อนที่ร้องว่า เสียบตูดซ้าย เสียบตูดขวา เสียงกรี๊ดกร๊าดโห่ฮาก็ดังลั่นจนกระเบื้องมุงหลังคาสั่นสะเทือน เพราะไก่สาวปณิตาเต้นโดยไม่ยอมเอาไม้เสียบตูดตัวเอง แต่ไปจิ้มตูดไก่วัยกระเตาะหน้าใสชื่ออรินทิพย์ที่ยืนเต้นอยู่ข้าง ๆ ไก่วัยขบเผาะที่โดนแฟนแกล้งต่อหน้าผู้คนหมู่มากจึงเกิดอาการเขินจนหน้าแดงหูแดง

อรินทิพย์กัดริมฝีปากล่างก่อนจะวิ่งไล่จิก เอ้ย ไล่ตีพี่ปริมแก้อายไปหลายที ถึงจะกลับไปนั่งที่แล้ว แต่เด็กน้อยก็ยังตบตีแฟนผู้ใหญ่ขี้แกล้งไม่หยุด
“พี่ปริมอ่า... มาแกล้งจิ้มก้นแต๊ะอั๋งหนูต่อหน้าคนเกือบครึ่งร้อยแบบนี้ได้ยังไง จะงอนอีกรอบดีไหมเนี่ย”
“ฮ่า ๆ ๆ... ไม่ดีค่ะ ไม่ดี โอ๊ย!... อ๊าย! พอแล้ว ๆ เลิกตีพี่ได้แล้วค่ะ ถ้าไม่หยุดตี เดี๋ยวพี่จะจับน้องอินจูบโชว์ทุกคนเลยนะ อิอิ”
“กล้าเหรอ!”
เด็กน้อยกัดฟันถามพร้อมกับเงื้อมือขึ้นสูง ถลึงตาโต ๆ ใส่ ผู้ใหญ่กลัวแฟนก็เลยต้องหดคอยกไหล่ ตอบเสียงอ่อยว่า...
“ม... ไม่กล้า ไม่กล้าค่ะ”
“ฮึ”
“ไม่กล้า... ไม่กล้า... ซะเมื่อไหร่”
จุ๊บ! เสียงริมฝีปากแมวใหญ่ที่บอกว่า ไม่กล้า... ซะเมื่อไหร่ แตะกับแก้มของลูกแมว สิ้นเสียงดังกล่าว เสียงอย่างอื่นก็ดังตามมา...
“พี่ปริมอ้ะ! >//////<...” เสียงแมวน้อยเขินโวยวาย
เพียะ! ผัวะ! แปะ! แปะ! เสียงอุ้งเท้าลูกแมวทำร้ายร่างกายพี่แมวใหญ่
ฮะ ฮิ้ว ปิ๊ดปิ้ว... วี้ด! ว้าย! อ๊าย! อ๊าย!... จุ๊บแก้มกันด้วย! ทั้งหมดนี้เป็นเสียงเด็กหนุ่มเด็กสาวที่ตาไว เห็นเหตุการณ์พี่แมวใหญ่ยื่นริมฝีปากไปจุ๊บแก้มลูกแมว

เพราะการกระทำของพี่แมว ทุกคนที่เข้าร่วมค่ายจิตอาสากว่าสี่สิบชีวิต ณ ที่นี้จึงทราบโดยทั่วกันว่า แท้ที่จริงแล้ว พี่ปริมเป็นอะไรกับน้องอิน ^___^
............

 

Powered by EzPortal
    ต้นฉบับในเว็บไซต์เป็นลิขสิทธิ์ของผู้แต่งต้นฉบับที่นำมาลง
    copyright © Yuriread.com All rights reserved.