ตอนที่ 20.1
หลังจากเมื่อวานได้ทำการขัดถูคราบโคลนออกจากผนังและพื้นห้องของโรงเรียนวัดเรียบร้อยแล้ว วันที่สองของการบำเพ็ญประโยชน์ เหล่าผู้มีจิตอาสาต้องช่วยกันทาสีห้องเรียนให้เหมือนใหม่ หนึ่งในคนใจดีจิตใจงามที่อาสามาช่วยบูรณะโรงเรียนอย่างปณิตาเดินหิ้วกระป๋องสี ถือแปรง ไม่แตกต่างจากคนอื่น ๆ ยกเว้น...
“พี่ปริม เดินช้า ๆ หน่อยสิคะ รอเจ้าชิคกี้ด้วย”
ลูกแมวน้อยพูดเตือนยิ้ม ๆ บอกให้พี่แมวใหญ่ชะลอความเร็วในการก้าวขา เพราะอรินทิพย์เห็นว่าลูกไก่ที่เดินตามมาต้องกางปีกวิ่งถลา พยายามอย่างสุดชีวิตเพื่อจะวิ่งตามคนขายาวที่มันหลงนึกว่าเป็นแม่ให้ทัน
ทางด้านแมวใหญ่ พอโดนลูกแมวน้อยร้องเตือนก็หยุดยืนนิ่ง ๆ คอยลูกไก่ รอเจ้าลูกเจี๊ยบที่ถูกตั้งชื่อให้ว่าชิคกี้วิ่งกระหืดกระหอบมายืนตรงปลายเท้า เมื่อมันเดินมาถึง ปณิตาก็แกล้งวิ่งเหยาะ ๆ หนีมันไปอีกครั้ง เจ้าชิคกี้จึงทำหน้าตาตื่น รีบวิ่งหน้าตั้งพลางร้องเจี๊ยบ ๆ เสียงดัง แมวขี้แกล้งจึงหัวเราะขำลูกไก่ยกใหญ่ ลูกแมวน้อยเห็นดังนั้นก็เลยเดินตามไปตะปบไหล่พี่แมวพร้อมกับส่งเสียงตำหนิ
“พี่ปริมอ่ะ ไปแกล้งวิ่งหนีมันทำไม... ดูซิ มันวิ่งตามจนเหนื่อย ต้องอ้าปากหอบหายใจเลยเนี่ย”
เจี๊ยบ เจี๊ยบ
ลูกไก่ส่งเสียงร้องรับราวกับเห็นด้วยในสิ่งที่ลูกแมวน้อยพูด ต่อด้วยการก้มลงจิกนิ้วเท้าแม่บุญธรรมขี้แกล้งของมันสองครั้ง คนที่เห็นเหตุการณ์จึงพากันขำก๊าก ตัวของแม่ไก่จำเป็นเองก็อดหัวเราะเสียงใสไม่ได้ ปณิตาวางกระป๋องสีลง เธอทรุดลงนั่งชันเข่า ใช้มือจับอุ้มลูกไก่ขึ้นมา เพื่อตัดปัญหาเจ้าชิคกี้เดินไม่ทันคุณแม่ขายาว ปณิตาจึงให้มันเกาะอยู่บนไหล่ พอเธอเริ่มยืนและออกเดินอีกครั้ง เจ้าลูกไก่ที่ยืนอยู่บนไหล่ก็กางปีกออกเพื่อช่วยปรับสมดุลของร่างกาย มันเซไปมาอยู่สักพัก ลองผิดลองถูกจนรู้หนทาง ชิคกี้พับขาลงนั่งนิ่งแล้วพบว่าตัวจะไม่โอนเอน ปณิตาต้องหยุดเดินเป็นระยะ ๆ เพื่อเก๊กท่าชูสองนิ้ว เพราะบรรดาเด็กน้อยต่างเข้ามาขอถ่ายรูปเธอกับลูกเจี๊ยบบุญธรรมเป็นการใหญ่ หญิงสาวเองก็อยากมีรูปเก็บไว้ดูเล่นเช่นเดียวกัน ปณิตาหยิบยื่นโทรศัพท์มือถือของตัวเองให้น้องนิ้ง กวักมือเรียกให้แฟนมายืนข้าง ๆ ไหว้วานเพื่อนสนิทของแฟนช่วยถ่ายรูปให้ รูปที่นิ้งกดปุ่มจับภาพได้เป็นรูปของหญิงสาวยิ้มกว้าง เด็กน้อยยิ้มหวาน ส่วนลูกไก่นั่งนิ่งอยู่บนไหล่ของแม่บุญธรรม ชิคกี้เอียงหน้าไปทางขวา หันดวงตากลมเล็กของมันไปจ้องมองคนถ่ายรูป ปณิตากล่าวขอบอกขอบใจตากล้อง หญิงสาววางกระป๋องสีกับแปรงลงชั่วคราวเพื่อรับโทรศัพท์มือถือคืนมา จัดการส่งภาพถ่ายไปให้ใครบางคนได้ดูผ่านโปรแกรมแชท หลังส่งรูป ปณิตาจิ้มหน้าจอพิมพ์ข้อความบรรยายรูปตามไป บอกกับอีกฝ่ายว่า...
ปริมกับน้องอินค่ะคุณพ่อ
มีลูกเลี้ยงของปริมเกาะอยู่ตรงไหล่ด้วย
มันชื่อชิคกี้
หลานของพ่อเป็นผู้หญิงรึผู้ชายก็ไม่รู้
ยังระบุเพศไม่ได้ ต้องให้ผู้เชี่ยวชาญปลิ้นก้นมันดู XD
ปณิตาส่งข้อความไปหาบิดาเสร็จปุ๊บก็เก็บมือถือลงในกระเป๋า ก้มลงหยิบกระป๋องสีและแปรง เดินต่อไปยังห้องเรียน หญิงสาวเผลอส่งเสียงถอนหายใจแรง ๆ เมื่อคิดว่า...
ตอนนี้ยังระบุเพศหลานบุญธรรมของคุณพ่อไม่ได้
แต่... เพศของคนที่ปริมอยากจะใช้ชีวิตคู่ร่วมกัน ปริมระบุได้นะ
ถ้าคุณพ่อคุณแม่รู้ พวกท่านจะว่าอะไรไหมน้า?
แมวใหญ่แอบกลุ้ม แมวใหญ่แอบกังวลใจ (>人<“)
แน่นอนว่าเสียงพ่นลมออกจากปอดดังเฮือกของพี่แมวใหญ่ทำให้ลูกแมวน้อยที่เดินอยู่ข้าง ๆ สงสัย อรินทิพย์รีบหันไปถาม
“พี่ปริมเป็นอะไรคะ? อยู่ดี ๆ ก็ถอนหายใจซะดังจนเจ้าชิคกี้สะดุ้งเลย”
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ”
“พี่ปริมโกหก คนเราไม่มีใครถอนหายใจโดยไม่มีสาเหตุ”
ปณิตาอมยิ้ม ยอมรับแต่โดยดี “อืม... พี่โกหก”
“บอกให้อินรู้ได้ไหมคะว่าพี่ถอนหายใจเพราะอะไร?”
“เรื่องของ... เรา”
“เรา???”
“พี่พยายามจะคิดในแง่ดี แต่ก็อดเป็นกังวลไม่ได้”
คนอายุมากกว่าไม่ยอมพูดสาเหตุตรง ๆ เด็กน้อยฟังแล้วขมวดคิ้วมุ่น แต่ไม่นานนักอรินทิพย์ก็คิดได้ว่าเรื่องของ `เรา´ มีเรื่องให้เธอและพี่ปริมกังวลกลุ้มใจอยู่เพียงเรื่องเดียว
“พี่ปริมอย่ากังวลไปเลยค่ะ”
“รู้เหรอว่าพี่กำลังกังวลเรื่องอะไร?”
“เรื่องคุณพ่อคุณแม่ของพี่ไง”
“เก่งจัง”
“พี่ปริมไม่ต้องกังวลหรอกค่ะ ไม่ว่าคุณพ่อคุณแม่ของพี่จะคิดยังไง สิ่งที่เราต้องทำก็มีอยู่แค่อย่างเดียว ไม่เห็นจะแตกต่างกันเลย”
“ทำอะไรล่ะ?”
“ก็... รักษาคำว่า `เรา´ เอาไว้ไงคะ”
เด็กน้อยปิดท้ายคำพูดด้วยยิ้มกว้าง ส่วนผู้ใหญ่คนฟัง ปณิตากางยิ้มให้กว้างกว่า และไม่ได้ทำแค่กางยิ้มเพียงเท่านั้น งานนี้ปณิตาขอเริ่มงานทาสีก่อนใครเพื่อน แต่ไม่ใช่การทาสีขาวเคลือบผนังห้องเรียน หญิงสาวใช้ริมฝีปากแทนแปรง ทาใบหน้าของคุณแฟนเด็กน้อยให้เปลี่ยนจากสีขาวกลายเป็นสีแดง
จุ๊บ!
เสียงประกอบฉากริมฝีปากหยักสวยของผู้ใหญ่สัมผัสกับแก้มขาวเนียนใสของแฟนเด็ก
“พี่ปริมอ้ะ! >/////<”
เพียะ! เพียะ! เพียะ!
กรี๊ด! ว้าย! จุ๊บแก้มกันด้วย... ฮะ ฮิ้ว!
เจี๊ยบ! เจี๊ยบ!
หลังเสียงจุ๊บ เสียงอย่างอื่นก็ดังตามมาเป็นพรวน หนึ่งคือเสียงประกอบฉากฝ่ามือของเด็กน้อยลอยไปแปะท่อนแขนของผู้ใหญ่ อีกหนึ่งคือเสียงกรี๊ดกร๊าดโห่ฮาของบรรดาเด็กสาวเด็กหนุ่มผู้เห็นเหตุการณ์ และผู้เป็นพยานรักอีกตัวอย่างเจ้าชิคกี้ก็ร้องเจี๊ยบ ๆ เสียงดัง มันต้องกางปีกออกทั้งที่ยังนั่งอยู่ เพื่อประคองตัวเองเอาไว้ให้ดี มิฉะนั้นอาจจะตกหล่นจากไหล่ของแม่บุญธรรมที่กำลังเบี่ยงตัวเบี่ยงไหล่ หลบการโจมตีแก้เขินของคุณแฟนเด็กน้อย
เมื่อนึกถึงคำพูดของอรินทิพย์ ปณิตาทาสีห้องเรียนไปก็ยิ้มไป คนที่มีอายุมากกว่าในสัมพันธ์รักยังรู้สึกทึ่งแฟนเด็กไม่หาย หญิงสาวไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเด็กน้อยสามารถปัดเป่าความกังวลใจให้เธอได้อย่างง่ายดาย โดยใช้ประโยคสั้น ๆ ง่าย ๆ แค่เพียงประโยคเดียว บางครั้งบางที เด็กน้อยก็สามารถให้คำแนะนำเธอได้ เป็นเพื่อนคิด เป็นที่พึ่งทางใจได้ด้วย พี่แมวใหญ่คิดดังนั้นแล้วก็ส่งยิ้มหวานให้ผนังห้อง สไลด์ตัวสืบเท้าไปทางขวาหนึ่งก้าวยาว ๆ ส่วนของพื้นผิวบริเวณนี้ยังไม่ได้ทาสี ปณิตาจัดการขยับแปรง ปาดป้ายสีขาวให้เป็นตัวอักษรกับสัญลักษณ์อะไรบางอย่าง เสร็จแล้วก็หันไปเรียกคุณแฟนเด็กที่ยืนทาสีอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล
“ลูกแมวน้อยจ๋า... ดูนี่ ๆ”
“?”
อรินทิพย์หมุนคอไปทางขวา ขมวดคิ้วทำหน้าฉงน พี่แมวใหญ่เรียกเธอพลางชี้นิ้วไปทางผนังห้อง บ่งบอกว่าสิ่งที่อยากจะให้เธอดูมันติดอยู่บนนั้น ลูกแมวน้อยจึงเบนสายตาไปมอง เธอต้องก้าวถอยหลัง ถอยตัวไปอีกหน่อย พอได้เห็นได้อ่านตัวอักษรที่พี่แมวใหญ่ใช้แปรงเขียนเอาไว้ แมวเด็กก็กัดริมฝีปากล่างยิ้มเขิน เกิดอาการหน้าแดง รีบเดินปรี่เข้าไป เอาแปรงทาสีป้ายปาด ทาทับตัวอักษรที่คุณแฟนเขียนบนผนังว่า...
พี่ปริม น้องอิน มีสัญลักษณ์รูปหัวใจคั่นตรงกลาง >////<
นอกจากเธอแล้ว คนอื่นที่ทาสีอยู่ในห้องเดียวกันก็เห็นสิ่งที่พี่ปริมเขียนเมื่อครู่ เสียงกรี๊ดกร๊าดเป่าปากปิ๊ดปิ๊วจึงดังขรมลั่นห้อง อรินทิพย์ยิ้มเอียงอาย เอียงตัวเอาไหล่ชนพี่ปริมแล้วพูดเสียงอุบอิบ
“เค้ารู้กันหมดแล้ว ไม่ต้องประกาศหรอกค่ะ >/////<”
“พี่ล่ะอยากจะประกาศให้คนทั้งโลกรู้... ต่อให้ทุกคนบนโลกนี้ต่อต้าน ไม่ยอมรับความรักของเรา พี่ก็จะรักน้องอินเหมือนเดิม...”
“...>//////<...”
“ไม่สิ... พี่จะรักน้องอินให้มากกว่าเดิมด้วย เอาให้คนอื่นอิจฉาจนอกแตกตายไปเลย”
“...>//////<...”
เด็กน้อยรับคำหยอดหวานหูมาถือแล้วจะทำอย่างไรได้ นอกจากจะเอามันใส่ปาก อมยิ้มอมคำหวานของพี่ปริมจนแก้มเป็นสีแดงและพองออก ยิ่งมีเสียงจากเพื่อนและรุ่นพี่ที่ตะโกนแซวเอาว่าอิจฉา อิจฉา อิจฉาจนอกจะแตกตายอยู่แล้ว อรินทิพย์ก็ยิ่งเกิดอาการเขินหนัก พี่แมวใหญ่กล้าใช้แปรงป้ายสี เขียนข้อความบอกรักบนผนัง แถมยังกล้าเอ่ยปากประกาศว่ารักเธอต่อหน้าคนอื่นแบบนี้ ลูกแมวน้อยก็เลย...
โอ๊ย... เขินอ่า~ พี่ปริมนิ่ กล้าพูดกล้าทำไปได้
ลูกแมวน้อยอ๊ายอาย เขินสายตาคนอื่นที่มองมา >/////<
ลูกแมวขี้เขินกัดริมฝีปากล่างด้านใน ใบหน้าแดงแจ๋ยิ่งกว่าสีของผิวมะเขือเทศพันธุ์โรมาเรดเพียร์ยามสุกแก่ อรินทิพย์อยากจะเหวี่ยงแปรงทาสีทิ้งแล้ววิ่งหนีออกนอกห้อง แอบไปยืนหลบตรงมุมตึก เอามือประสานกันด้านหน้าแล้วบิดไหล่ไปมา บิดตัวไล่ความเขินให้หยดลงพื้น ทำให้ความเขินที่เปียกตัวเธอจนชุ่มโชกแห้งหมาดลงสักหน่อย แล้วค่อยเดินกลับเข้าห้องไปทาสีผนังต่อ
.
.
ช่วงหัวค่ำของวันจันทร์
ปณิตานั่งเอนหลังอยู่บนโซฟายาวในห้องนั่งเล่น ใบหน้าสวยคมมีรอยยิ้มประดับอยู่ตลอดเวลา ส่งเสียงพูดเจื้อยแจ้วอยู่คนเดียว นพเก้าที่กำลังจะเดินกลับห้องของตัวเองเหล่ตามองเจ้านายแบบผ่าน ๆ แล้วก็ต้องชะงักเท้า ตอนแรกนึกว่าปณิตาคุยโทรศัพท์ แต่เมื่อกี้เขาเห็นเจ้านายสาวเหยียดแขนชูมือสองข้างบิดขี้เกียจ ก็แสดงว่ามือไม่ได้ถือโทรศัพท์อยู่น่ะซิ ชายหนุ่มขมวดคิ้วเพราะนึกเป็นห่วง เจ้านายสาวทำงานหนักเกินไปจนเกิดอาการสติแตก ประสาทหลอนรึเปล่านี่ ต้องขอเดินไปดูสักหน่อย ถ้าเป็นอย่างที่เขานึกกลัวจริง ๆ จะได้รีบพาไปรักษาตั้งแต่เนิ่น ๆ
นพเก้าเดินย่องเบา เข้าไปหาปณิตาทางด้านหลังโซฟา เมื่ออยู่ในระยะใกล้พอที่จะพูดเรียกกันได้โดยไม่ต้องตะโกน ชายหนุ่มก็เริ่มส่งเสียง
“ปริม”
“.... ตอนกลางคืนพี่อยากเอากรงไปวางไว้ข้างเตียงนอนด้วย แต่นมแจ่มไม่อนุญาต...”
“ปริมครับ?”
“... พี่วางกรงมันไว้ข้างโต๊ะทำงาน...”
“ปริม?”
“... อยากจะหัวเราะก็หัวเราะไปสิ พี่ไม่สนใจหรอก...”
“???”
นพเก้าดึงหัวคิ้วเข้าหากันมากยิ่งขึ้น เขาลองเรียกเจ้านายสาวตั้งสามครั้ง แถมเสียงที่ใช้ก็ดังมากขึ้นตามลำดับ แต่ปณิตาก็ยังพูดคนเดียวไม่หยุด ราวกับว่าไม่ได้ยินเสียงของเขาเลย ในเมื่อใช้คลื่นเสียงแล้วไม่ได้รับการตอบสนองจากบุคคลเป้าหมาย นพเก้าจึงตัดสินใจเปลี่ยนมาใช้แรงกล ชายหนุ่มเดินเข้าไปใกล้ จับไหล่บางข้างหนึ่งพร้อมกับส่งเสียงเรียก
“ปริม”
“อุ๊ย!... พี่เก้าอ้ะ! ตกใจหมดเลย”
ปณิตาสะดุ้งจนไหล่ไหวแล้วหันมาส่งเสียงแหวใส่ นพเก้าจึงเห็นว่าตรงหูของเจ้านายสาวมีหูฟังอุดอยู่ บนโต๊ะเตี้ยตรงหน้าปณิตา มีคอมพิวเตอร์โน้ตบุ้คซึ่งกำลังเปิดโปรแกรมแชท หน้าจอแสดงภาพเคลื่อนไหวของเด็กสาว แฟนของเจ้านาย นพเก้าเห็นอรินทิพย์กำลังเอามือปิดปากหัวเราะขำ พอรู้ว่าปณิตาไม่ได้ทำงานหนักเกินไปจนเกิดอาการประสาทหลอนอย่างที่เขานึกกลัว นพเก้าก็เป่าปากอย่างโล่งใจ
เจี๊ยบ! เจี๊ยบ!
“อุ่ย!”
เสียงเจี๊ยบ ๆ ทำให้นพเก้าอุทานด้วยความตกใจ ชายหนุ่มชะโงกหน้า มองหาที่มาของเสียง เมื่อเห็นว่าเจ้าชิคกี้นั่งสงบเสงี่ยมอยู่บนตักของปณิตา ชายหนุ่มก็พูดเตือน
“แอบเอาชิคกี้เข้าบ้านอีกแล้วเหรอครับ เดี๋ยวก็โดนคุณแม่นมตีเอาหรอก”
“ชู่ว์... จุ๊ จุ๊ จุ๊... ถ้าพี่ไม่อยากให้ปริมโดนตี ก็อย่าพูดเสียงดังสิ”
นพเก้าอมยิ้ม เขาโน้มตัวลง เอาแขนท่อนล่างเท้าบนพนักโซฟา ลดเสียงพูดให้เบาอย่างที่เจ้านายสาวต้องการ ชายหนุ่มเตือนคนที่ตัวเองรักเหมือนน้องแท้ ๆ ด้วยความเป็นห่วง
“ปริมไม่กลัวติดโรคจากมันเหรอ? พวกไข้หวัดนกอะไรแบบนี้น่ะ”
“พี่พูดเหมือนน้องอินเลย”
ปณิตาพูดกับเขาพลางชี้ไปที่หน้าจอ นพเก้าเห็นอรินทิพย์พยักหน้า ขยับริมฝีปากพูดอะไรอยู่ เมื่อรู้ว่าอรินทิพย์คิดและพูดเหมือนกับเขา ชายหนุ่มก็ส่งยิ้ม โบกมือทักทายแฟนเด็กของเจ้านายผ่านกล้องเว็บแคมแล้วเดินจากไป ไม่อยากเป็นก้างขวางคอ ขัดขวางการคุยสนทนาของเจ้านายกับแฟน นพเก้าคิดว่าเขาควรปล่อยให้อรินทิพย์พูดจาเตือนปณิตาแทนเขาน่าจะดีกว่า คนเราเวลารักใครหลงใคร ชี้นกเป็นไม้ก็ยังพยักหน้าว่าใช่ตามนั้น แต่ถ้านพเก้าอยู่ฟังการสนทนา ชายหนุ่มก็จะพบว่าเขา...
คิดผิด!
ปณิตาอุ้มเจ้าชิคกี้ขึ้นมา หญิงสาวนำมันไปจ่อตรงหน้ากล้องของคอมพิวเตอร์แล้วพูดเสียงใส
“ดูซี่... เจ้าชิคกี้แข็งแรงดี กินข้าวเก่งจนตัวอ้วนกลมเลย ไม่น่าจะเป็นหวัดเป็นโรคอะไรง่าย ๆ หรอกค่ะ... พี่ศึกษาข้อมูลการเลี้ยงไก่พื้นเมืองมาแล้ว พรุ่งนี้พี่จะให้พี่เก้าพามันไปหยอดวัคซีนกันโรคนิวคาสเซิล พอมันอายุเจ็ดวันก็จะพาไปฉีดวัคซีนป้องกันโรคฝีดาษ”
(โรคพวกนั้นมันไม่ติดต่อสู่คนนี่นา อินกลัวว่ามันจะเป็นไข้หวัดนกมากกว่า บ้านเราห้ามฉีดวัคซีนด้วย ไหนจะพวกเหลือบไรที่ติดอยู่ตามตัวไก่อีกล่ะ อินว่า... พี่ปริมอย่าไปขลุกอยู่กับมันมากจะดีกว่านะคะ)
“เหลือบไรพี่ก็ไม่กลัว เพราะลุงพลที่อยู่ข้างบ้านพี่เขาเลี้ยงนกพิราบ ลุงเขาแบ่งน้ำยาสำหรับผสมน้ำอาบ ใช้ฆ่าเหลือบไรของพวกนกพวกไก่มาให้พี่ใช้ รับรองว่าเจ้าชิคกี้ตัวสะอาดเอี่ยม ไร้เหลือบไรริ้น ไร้ปรสิตดูดเลือด”
ปณิตาพูดจบแล้วก็พิสูจน์ความสะอาดเอี่ยมของเจ้าชิคกี้โดยการยื่นริมฝีปากเข้าไปใกล้มัน หญิงสาวทำท่าเหมือนจะจุ๊บหัวลูกไก่ ก็แค่เอาปากเข้าไปใกล้เท่านั้น แต่ด้วยมุมกล้อง สิ่งที่เด็กน้อยเห็นคือเธอจูบเจ้าชิคกี้จริง ๆ ปณิตาหัวเราะขำคิกคักเมื่อเห็นแฟนเด็กทำตาโตเท่าไข่ไก่ และยิ่งขำมากขึ้นอีกจนน้ำตาไหล เพราะอรินทิพย์ทำหน้างอใส่เธอผ่านกล้อง พูดบ่นเสียงอุบอิบออกแนวกระเง้ากระงอดน้อยใจ
(พี่ปริมอ่ะ พูดเตือนอะไรไปก็ไม่ฟังกันเลยนะ... รักชิคกี้มากกว่าอินอีกมั้ง)
“ฮ่า ๆ ๆ ๆ... น้องอินเป็นคนขี้หึงสุด ๆ เลยนะคะ รู้ตัวบ้างรึเปล่า? หึงพี่หวงพี่ แม้แต่กับหมากับไก่ก็ไม่เว้น ฮ่า ๆ ๆ ๆ”
ปณิตาหัวเราะร่า มองหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่แสดงภาพเด็กน้อยกัดริมฝีปากล่างด้านใน อรินทิพย์หันแก้มซ้ายให้เธอดูแล้วขยับริมฝีปากพูดแก้ตัวด้วยเสียงอุบอิบ
(ไม่ได้หึง แต่หมั่นไส้ค่ะ แค่หมั่นไส้)
“อ่ะจ้ะ แค่หมั่นไส้ แต่แอบน้อยใจนะคะ... เห็นพี่กอดหมา ทำท่าจุ๊บลูกไก่ก็ไม่ได้ ต้องงอนกันด้วย คิคิ ฮ่า ๆ ๆ ๆ... ลูกแมวน้อยแฟนพี่ปริม ตอนงอนก็น่าร้ากกก~”
(งอนแล้วน่ารักใช่ไหมคะ? อินจะได้งอนบ่อย ๆ... งอนจริงจังไม่พูดด้วย แบบเมื่อวานซืนน่ะ)
“โอ๊ะ! ไม่ ๆ ๆ ๆ... อันนั้นงอนหนักเกินไป อย่างอนพี่แบบนั้นอีกนะคะ ไม่เอานะ พี่ต้องง้อตั้งนานกว่าจะหายงอน ไม่เอาน้า อย่างอนพี่อย่างนั้นอีกน้า พี่ปริมจะไม่แกล้งให้น้องอินหึงแล้ว เข็ดแล้วค่ะ”
(ถ้าไม่อยากให้อินงอน พี่ก็เอาชิคกี้ไปเก็บไว้ในกรงเดี๋ยวนี้เลย อย่าเล่นกับมันมาก ห้ามแอบเอามันเข้าห้องนอนด้วย)
“น้องอินบอกว่าจะงอนพี่ ถ้าพี่เอาชิคกี้ไปนอนด้วยเหรอคะ กลัวพี่รักชิคกี้มากกว่าจริง ๆ เหรอ ฮ่า ๆ ๆ ๆ”
(ไม่ใช่! ที่อินพูดอย่างนั้น เป็นเพราะ... เพราะ... เพราะอินเป็นห่วงพี่ อินกลัวว่าพี่จะติดโรคไข้หวัดนกต่างหาก ไม่ได้กลัวว่าพี่จะรักชิคกี้มากกว่าอินซะหน่อย)
“เหรอ~”
เด็กน้อยส่งเสียงโวยวายหน้าดำหน้าแดง พูดจาละล่ำละลักแก้ต่าง ปณิตาอมยิ้ม เลิกคิ้วใส่เลนส์กล้องและพูดคำว่าเหรอเสียงลากยาว จากนั้นก็เอนหลังไปพิงโซฟา หัวเราะขำอย่างหนักจนต้องใช้ปลายนิ้วปาดเช็ดหยดน้ำที่ติดตรงหางตาออก พอเสียงหัวเราะเริ่มซา ปณิตาก็ยื่นหน้ากลับเข้าไปใกล้หน้าจอคอมพิวเตอร์อีกครั้ง เธอบอกกับเด็กน้อยว่า
“เจ้าชิคกี้อยู่กับพี่ตลอด ไม่ได้ไปคลุกคลีกับสัตว์ปีกตัวอื่น มันคงไม่มีโอกาสจะติดเชื้อไข้หวัดนกจากใครที่ไหน... พี่จะไม่เอามันเข้าห้องนอนหรอกค่ะ แต่ตอนไปทำงาน พี่คงเอามันไปด้วย เวลาที่มันไม่เห็น ไม่ได้ยินเสียงพี่ เจ้าชิคกี้มันจะเดินวนไปมา ร้องหาพี่ซะเสียงดังลั่น พี่สงสารมันน่ะ กลัวมันจะร้องมากจนเจ็บคอ”
(เฮ้อ... พี่จะทำยังไงกับชิคกี้ก็ตามใจค่ะ อินจะไม่พูดเตือนพี่แล้ว... ถ้าพี่เป็นไข้หวัดนกขึ้นมา อินจะไม่ไปเยี่ยมพี่หรอก)
เมื่อได้ยินคำขู่บ่อยเข้า ปณิตาก็ชักจะเริ่มรู้สึกกลัวนิด ๆ
“อ่าว! อย่ามาพูดซ้ำย้ำเรื่องไข้หวัดนกบ่อย ๆ สิคะ เกิดพี่ติดเชื้อไข้หวัดนกขึ้นมาจริง ๆ น้องอินจะทำยังไง?”
(คงทำได้อย่างเดียวคือพูดสมน้ำหน้าพี่ไงคะ เตือนแล้วไม่ฟัง... ถ้าพี่มั่นใจว่าจะไม่ติดโรคไข้หวัดนก พี่จะกลัวทำไมล่ะ?)
คำพูดถามย้อนแทงใจดำของลูกแมวน้อย ทำให้แมวใหญ่ยืดคอแล้วร้องเฮอะ ไม่ยอมรับหรอกว่ากลัว ปณิตายกตัวลูกไก่ขึ้นมา เอาคางแตะกับหัวเล็ก ๆ ของมันพลางพูด
“พี่ไม่ได้กลัวซะหน่อย... พี่จะเล่นกับชิคกี้ทุกวัน จะป้อนข้าวสุก ป้อนหนอนแห้งให้มันกับมือทุกมื้อเลยด้วย”
(เฮ้อ... จะทำอะไรก็ทำไปเถอะค่ะ อินจะไม่พูดไม่เตือนพี่แล้ว... วันนี้คุยกันแค่นี้นะคะ อินมีการบ้านต้องทำเยอะแยะเลย)
เพื่อความแน่ใจ ปณิตาเลิกคิ้วถามแฟนเด็ก “น้องอินไม่ได้งอนพี่นะ?”
(ไม่ได้งอนค่ะ)
“ไม่ได้งอนแน่นะ? ไม่ได้อิจฉาเจ้าชิคกี้มันนะ?”
(พี่หาว่าอินอิจฉาเจ้าชิคกี้เหรอ!?)
“คิคิ ฮ่า ๆ ๆ ๆ”
(หึ... งอน)
ลูกแมวน้อยทำแก้มป่องใส่แล้วสะบัดหน้าไปด้านข้าง พี่แมวใหญ่จึงหัวเราะขำคิกคิกจนหนวดกระดิกแล้วรีบพูดง้อ
“โอ๋ ๆ... ไม่งอนนะคะไม่งอน... พี่ก็แค่ถามแหย่ แกล้งน้องอินเล่นเท่านั้นแหละค่ะ... ยังไงซะ พี่แมวใหญ่ก็รักลูกแมวน้อยมากกว่าสิ่งมีชีวิตทุกตัวบนโลกนี้อยู่แล้วล่ะน้า~ พี่ปริมรักน้องอินที่สุดในโลกเลยน้า~”
(........)
แก้มป่องของลูกแมวยุบตัวลง มุมของริมฝีปากยกขึ้นนิดหนึ่ง พี่แมวใหญ่สังเกตเห็นว่าแมวเด็กมีอาการอย่างนั้นก็ยิ้มกว้าง ส่งนิ้วชี้ไปใกล้เลนส์กล้องแล้วพูดแซว
“อ่ะแน่ะ! ลูกแมวน้อยเขิน”
ลูกแมวน้อยเขินอมยิ้ม ก้มหน้าพูดเสียงเบา (อินไปทำการบ้านดีกว่า... แล้วค่อยคุยกันใหม่พรุ่งนี้นะคะ)
“จ้า... คืนนี้นอนหลับฝันดีนะคะ ลูกแมวน้อยของพี่”
.
.
สามวันผ่านไป...
ช่วงบ่ายของวันพฤหัสบดี อรินทิพย์ใช้เวลาคาบว่างไปกับกิจกรรมชมรม เธอเข้าไปช่วยรุ่นพี่ทาสีระบายตัวอักษรลงบนป้ายผ้าผืนใหญ่ ประกาศขอรับเงินบริจาค สมทบทุนซื้อคอมพิวเตอร์เพื่อการศึกษาให้โรงเรียนตำรวจตระเวณชายแดนแห่งหนึ่ง ขณะที่เด็กน้อยกำลังก้มหน้าก้มตา ตั้งใจทำงาน เสียงของอาจารย์ที่ปรึกษาชมรมก็ดังขึ้นจากด้านหลัง
อรินทิพย์หันขวับไปหาต้นเสียง เธอยกมือสวัสดีอาจารย์ทั้งที่ยังถือแปรงทาสี อาจารย์สิทธิชัยประกบมือกันตรงหว่างอกรับไหว้ รีบเอ่ยปากถามเธอโดยที่มือยังไม่ลดลงมาแนบลำตัว
“เจ้าชิคกี้สบายดีไหม?”
อรินทิพย์ขมวดคิ้วเล็กน้อย รู้สึกงงนิดหน่อยที่อยู่ดี ๆ อาจารย์ก็ถามถึงลูกไก่ที่พี่ปริมเอาไปเลี้ยง
“มันสบายดีค่ะ พี่ปริมเล่าว่าชิคกี้ยังติดพี่ปริมแจเลย พอเอามันออกจากกรง มันก็เดินตามพี่ปริมต้อย ๆ...”
“มันยังแข็งแรงดีนะ?”
“ก็... แข็งแรงดีนะคะ... ทำไมอาจารย์ถามแบบนี้คะ? รึว่า...”
อรินทิพย์ค้างคำพูดเอาไว้เพียงเท่านั้น เธอไม่อยากเอ่ยสิ่งที่คิดออกมา...
มันคงไม่ได้เป็นอย่างที่เธอนึกกังวล เตือนพี่ปริมไปเป็นสิบรอบหรอกนะ
ใช่ไหม?
เด็กสาวมองจ้องอาจารย์หนุ่มใหญ่ รอลุ้นฟังคำตอบโดยไม่ยอมกะพริบตา อาจารย์สิทธิชัยรู้ว่าลูกศิษย์กำลังรอ จึงรีบขยับปากพูดให้คำตอบแก่เด็กน้อย...
“อาจารย์ได้ข่าวจากหลวงพ่อว่าไก่ที่วัดเป็นโรคอะไรก็ไม่รู้ มีอาการซึม ๆ ขนยุ่ง ไม่ค่อยกินอาหาร ตายไปหลายตัว”
“O_O!!!”
“เอ่อ... เมื่อวานแม่ของเจ้าชิคกี้ตาย แล้ววันนี้ก็ตายไปอีกสี่ สองตัวในนั้นเป็นลูกเจี๊ยบพี่น้องของเจ้าชิคกี้น่ะ หลวงพ่อก็เลยแจ้งให้ทางปศุสัตว์จังหวัดเก็บซากไก่ไปพิสูจน์ ยังไม่รู้ผลว่าไก่เป็นอะไรตาย... อาจารย์ก็ได้แต่หวังว่ามันจะเป็นโรคระบาดเฉพาะในไก่ ไม่ติดต่อไปสู่คนนะ”
“........”
เด็กน้อยนั่งนิ่ง ฟังอาจารย์สิทธิชัยเล่าถึงการจากไปของแม่ไก่และพี่น้องท้องเดียวกันของชิคกี้ อรินทิพย์เกิดอาการเหงื่อตก มือไม้เหงื่อออกจนเย็นชื้นตั้งแต่ตอนที่ได้ยินประโยคแรกแล้ว เสียงของอาจารย์ยังไม่ทันจางหายดี แต่เด็กน้อยก็ขอเสียมารยาท ละสายตากลมโตฉายแววตระหนกไปมองทางอื่น อรินทิพย์หันหน้ากลับไปมองโต๊ะ วางพาดแปรงไว้บนกระป๋องสี เธอทำหน้าตาตื่น รีบลุกขึ้นยืนแล้ววิ่งปรี่ตรงไปยังกระเป๋านักเรียนที่วางอยู่บริเวณมุมขวาด้านในของห้องชมรม เด็กสาวรูดซิปช่องกระเป๋าด้านหน้าเร็ว ๆ ดังปื้ด ล้วงหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา กดโทรด่วนไปหาพี่ปริม
(ฮัลโหล... อะฮึ่ม... น้องอิน... ฟื้ด...)
“!!!”
พี่แมวใหญ่รับสายด้วยเสียงอู้อี้ขึ้นจมูก แถมมีเสียงสูดน้ำมูกด้วย ความรู้สึกเป็นห่วงเป็นกังวลของลูกแมวน้อยจึงเพิ่มปริมาณมากขึ้นอีกร้อยห้าสิบสองเท่า อรินทิพย์ถามคุณพี่สุดที่รักด้วยเสียงระรัว
“ทำไมเสียงพี่เป็นแบบนั้นล่ะ? ไม่สบายเหรอคะ!?”
(อื้อ... พี่รู้สึกปวดหัว ตัวร้อนหน่อย ๆ แล้วก็... ฟื้ด... น้ำมูกไหล... น้องอินไม่ต้องเป็นห่วง พี่คงเป็นแค่หวัดธรรมดา ๆ แหละค่ะ พี่กินยาแล้ว เดี๋ยวก็คงดีขึ้น... ฟื้ด)
“พี่รีบไปหาหมอเลยนะ! ไปหาหมอเดี๋ยวนี้เลยค่ะ!!”
(ใจเย็น ๆ ค่ะน้องอิน พี่ไม่ได้เป็นอะไรมากซะหน่อย)
ปลายสายพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ อรินทิพย์จึงรีบพูดอธิบายสาเหตุที่ทำให้เธอร้อนใจ รีบไล่พี่ปริมให้ไปหาหมอ
“อาจารย์สิทธิชัยเพิ่งเล่าให้อินฟังค่ะว่าแม่กับพี่น้องบางตัวของชิคกี้ตายแล้ว”
(เอ๋!!! แล้ว... แล้วมันเป็นอะไรตายล่ะ?)
“ไม่รู้ค่ะ อาจารย์บอกว่าไก่ที่วัดตายไปหลายตัวเพราะติดโรคระบาด มีอาการซึม ขนยุ่ง ไม่ค่อยกินอาหาร”
(ซึม! ไม่ค่อยกินอาหารเหรอคะ!?)
พี่ปริมถามเธอเสียงสูง อรินทิพย์ส่งเสียงดังอืมในลำคอ จากนั้นก็ต้องร้องหาและทำตาโต เพราะปลายสายเล่าให้เธอฟังว่า...
(วันนี้ชิคกี้ก็กินอาหารน้อย พี่เห็นมันนั่งหลับบ่อย ๆ ตั้งแต่เช้าละ พี่ว่า... มันดูซึม ๆ ผิดปกติอ่ะ)
“หา!!!... O_O!!!”
(เอ่อ... เอิ่ม... พี่... พี่... พี่คิดว่า... พี่คงต้องเลื่อนประชุมตอนบ่ายวันนี้ออกไปก่อน แล้วก็... รีบไปหาหมอ)
“ค่ะ... รีบไปหาหมอเลยนะคะ ส่งข้อความมาบอกอินด้วยนะว่าผลตรวจเป็นยังไง พี่เป็นอะไรกันแน่”
(ฮือ... พี่คงไม่ได้เป็นไข้หวัดนกใช่ไหมอ่า... ฟื้ด...)
พี่แมวใหญ่เริ่มใจเสีย ลูกแมวน้อยเองก็รู้สึกหวั่นใจ กลัวว่าเหตุการณ์จะเป็นไปตามที่พี่แมวใหญ่นึกกลัว อรินทิพย์เม้มริมฝีปากจนแน่น กลั้นความกังวลเอาไว้ แทนที่เธอจะพูดอย่างที่ใจคิด เด็กสาวเลือกที่จะพูดเสียงนุ่มปลอบโยนให้อีกฝ่ายรู้สึกดีขึ้น
“พี่อย่าเพิ่งตีตนไปก่อนไข้สิคะ ไปให้หมอตรวจดูก่อน พี่อาจจะเป็นแค่ไข้หวัดธรรมดา ๆ ก็ได้ค่ะ”
(พี่ไม่ได้ตีตนไปก่อนไข้นะคะ เพราะตอนนี้พี่เป็นไข้แล้วนี่... ฟื้ด... ฮือ...)
อรินทิพย์พ่นลมออกจากปอดดังเฮ้อ พี่แมวใหญ่นิ่ ยังจะมีกะจิตกะใจมาพูดเถียงกวนประสาทกันได้อีกนะ เพราะความรู้สึกหมั่นไส้ ลูกแมวจึงเลิกร้องมี้มี้ปลอบใจด้วยเสียงอ่อนหวาน หันมาแยกเขี้ยวร้องแง้วง้าวใส่พี่แมวใหญ่
“ถ้าพี่อยากรู้ว่าเป็นอะไรแน่ พี่ก็เลิกพูดเล่นคำตีสำนวนกับอินได้แล้วค่ะ... รีบเก็บข้าวของเลยนะคะ รีบโทรบอกให้พี่เก้าพาไปหาหมอด่วนเลย”
(จ้า... ฟื้ด... ฮือ... ลูกแมวน้อยทำเสียงดุใส่พี่ด้วยอ่า)
“ก็พี่ทำตัวสมควรให้โดนดุนี่คะ ยังไม่รีบวางสายแล้วไปหาหมออีก”
(จ้ะ ๆ... วางสายแล้วจ้ะ... โอ่ย... ดุยิ่งกว่าแม่อีก)
“พี่บ่นอะไร อินได้ยินนะ!”
ตู๊ด ตู๊ด ตู๊ด
เด็กน้อยลดโทรศัพท์ในมือลง อรินทิพย์มองหน้าจอเครื่องมือสื่อสารพลางถอนหายใจเบา ๆ เธอขอพูดความในใจให้โทรศัพท์ฟังบ้าง
“ที่อินเผลอบ่นพี่ ต่อว่าพี่ เพราะอินเป็นห่วงหรอกนะ... เฮ้อ…”
และแล้ว... ตลอดช่วงบ่ายของวันพฤหัสบดี อรินทิพย์ก็จัดการย้ายตัวเองไปนั่งเรียนหลังห้อง แทนที่จะนั่งแถวหน้า ๆ ตามปกติ หูของเด็กสาวฟังอาจารย์พูด มือขวากำด้ามปากกา ขยับยุกยิกจดเล็คเชอร์ แต่มืออีกข้างซุกแอบอยู่ใต้โต๊ะเรียน เด็กสาวกุมโทรศัพท์มือถือเอาไว้ในมือซ้าย รอคอยให้มันทำตัวสั่น รายงานเธอว่ามีข้อความสั้นเข้ามา อรินทิพย์นั่งหายใจไม่ทั่วท้อง นั่งลุ้นอยู่เป็นเวลาชั่วโมงกว่า ๆ ในที่สุด... เครื่องมือสื่อสารก็ขยับตัว ส่งแรงสั่นสะเทือนมาสู่มือเธอ เด็กน้อยรีบวางปากกาลง ละสายตาจากฉากสีขาวที่อาจารย์กำลังโชว์ภาพอธิบายการย่อยอาหารของจุลินทรีย์ อรินทิพย์ก้มหน้าก้มตา แอบจิ้มแตะหน้าจอมือถือ เข้าไปอ่านข้อความ
หลังจากสมองรับรู้ เห็นตัวอักษรบนหน้าจอโทรศัพท์ เด็กน้อยก็ไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมาอีกเลยตลอดคาบเรียน เพราะพี่ปริมพิมพ์ข้อความส่งมาหาเธอ บอกว่า...
พี่โดนคุณหมอสั่งกักตัว
รอฟังผลตรวจเลือดว่าเป็นอะไรแน่
คุณหมอบอกว่ามีโอกาสสูงที่พี่จะเป็นไข้หวัดนกอ่า T__T