ตอนที่ 23
ช่วงหัวค่ำของวันศุกร์ที่ 3 มกราคม 2557
ณ ห้องผู้ป่วยพิเศษในโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง อรินทิพย์และปณิตายืนอยู่ข้างเตียง ฟังคุณหมอรายงานอาการ
“คุณอรทัยมีการตอบสนองต่อยาคีโมดีมากครับ ก้อนเนื้อลดขนาดลงอย่างเห็นได้ชัด หลังจากให้ยาก็ฟื้นตัวได้เร็วเมื่อเทียบกับผู้ป่วยคนอื่น ครั้งนี้เป็นการฉีดคีโมครั้งสุดท้าย อีกหนึ่งเดือนครึ่งมาตรวจร่างกายตามที่หมอนัดเอาไว้อีกทีนะครับ”
อรินทิพย์และปณิตาประสานเสียงเอ่ยคำขอบคุณนายแพทย์รุ่นใหญ่แล้วหันไปมองสบตาคนป่วยที่นอนยิ้มอยู่บนเตียง คุณหมอเองก็ยิ้มกว้าง กล่าวว่ายินดีด้วยนะครับ จากนั้นก็ขอตัวออกจากห้อง
เด็กสาวขยับตัวเข้าไปใกล้เตียงอีกนิด จับเลื่อนผ้าห่มให้เคลื่อนคลุมปกปิดเกือบถึงคางของมารดา อรินทิพย์พูดด้วยน้ำเสียงร่าเริง
“เดี๋ยวคุณแม่ก็จะกลับมาแข็งแรงเหมือนเดิมแล้ว อินดีใจจัง”
“ต้องขอบคุณพี่ปริมของอินล่ะนะ”
คุณอรทัยคลี่ยิ้ม ปากบอกกับลูกสาว แต่สายตาจับจ้องคนที่ตนเอ่ยชื่อ ส่งกระแสความซาบซึ้งในบุญคุณไปให้ ปณิตาเห็นดังนั้นก็ส่งยิ้มตอบ
“ช่วยเหลือกันได้ก็ช่วยกันไปค่ะ พี่อรเองตอนไปพักฟื้นอยู่ที่ไร่ก็ช่วยแนะนำปู่รินทร์เรื่องการแปรรูปองุ่น ทางปริมเองก็ต้องขอบคุณพี่เหมือนกัน หลังให้คีโมคราวนี้ พี่อรจะไปพักที่ไร่อีกไหมคะ? ปริมจะได้บอกคุณปู่ล่วงหน้า”
แทนที่จะตอบคำถาม คุณอรทัยกลับพูดว่า “พี่มีเรื่องอยากจะรบกวนปริม”
“เรื่องอะไรคะ? บอกมาเลยค่ะ ไม่ต้องเกรงใจ”
“พี่ขอรบกวนให้ปริมช่วยดูแลลูกสาวพี่ด้วย”
ปณิตายิ้มกว้าง ส่งมืออ้อมไปจับไหล่ลูกสาวคุณอรทัย โอบเด็กน้อยเอาไว้ “พี่อรไม่ต้องเอ่ยปากขอ ปริมก็ดูแลให้อยู่แล้ว ไม่ต้องห่วงค่ะ”
“ที่พี่ต้องเอ่ยปากขอ เป็นเพราะว่าต่อไปนี้ ปริมคงต้องดูแลน้องให้มากกว่าเดิม”
“ทำไมพี่อรพูดแบบนี้ล่ะคะ? ตลอดเวลาที่ผ่านมานี่ ปริมยังดูแลน้องได้ไม่ดีพอเหรอ?”
“เปล่าค่ะ ไม่ใช่อย่างนั้น”
ปณิตาเอียงคอเล็กน้อย ขมวดคิ้วทำหน้าหมางง คุณอรทัยอมยิ้ม ก่อนจะพูดเฉลยให้คนงุนงง คิดตำหนิตัวเองได้หายจากอาการสงสัย
“ปริมคงต้องดูแลน้องให้มากกว่าเดิม เพราะพี่จะไปทำงานกับปู่รินทร์ที่ไร่น่ะ เรื่องนี้พี่คุยกับคุณปู่แล้ว...”
“เอ๋!... ถ้าพี่ไปอยู่ที่ไร่ แล้วจะให้น้องอินอยู่บ้านคนเดียวเหรอคะ? ปริมให้น้องย้ายมาอยู่บ้านปริมดีกว่า คราวนี้พี่อรจะมาพูดห้ามปริมไม่ได้นะ เพราะคุณพ่อคุณแม่ของปริมอนุญาตให้ปริมกับน้องคบกันแล้ว”
“พี่ไม่ห้ามหรอกค่ะ เพราะพี่คุยกับคุณพ่อคุณแม่ของปริมเรียบร้อยแล้วล่ะ”
ปณิตาได้ยินดังนั้นก็ฉีกยิ้มกว้างให้คุณอรทัย และหันไปยิ้มหวาน ทำตาวาววับวิ้ง ๆ ใส่เด็กน้อย คุณอรทัยสังเกตเห็นดังนั้นก็แอบจิกตา รีบพูดปราม
“พี่ตัดสินใจให้น้องไปอยู่กับปริม เพราะพี่ไว้ใจว่าปริมจะดูแลน้องได้ น้องเองก็บอกว่าไว้ใจและเชื่อใจปริม เพราะฉะนั้น... อย่าทำให้พี่กับน้องอินต้องผิดหวังนะ ถ้าปริมทำให้น้องเสียใจ พี่จะพาน้องหนีไปให้ไกล จะไม่ให้ปริมได้เห็นหน้าน้องอีกเลย”
“ไม่ต้องห่วงค่ะ ปริมรักลูกสาวของคุณแม่มาก จะดูแลเป็นอย่างดี ริ้นไม่ให้ไต่ ไรไม่ให้ตอม แต่อาจโดนปริมหอมแก้มวันละร้อยที อิอิ”
ปณิตาไม่ได้ทำแค่พูด เสียงหัวเราะคิกคักยังไม่ทันจางหายไปจากห้อง แก้มเนียนนิ่มของลูกสาวคุณอรทัยก็โดนจมูกกดแนบ ความหอมโดนฉกชิงไปแล้วสองฟอดภายในสองวินาที แบบนี้ถ้าให้อยู่ด้วยกัน 24 ชั่วโมง คุณแม่คิดว่าลูกสาวอาจจะโดนหอมแก้มเกินร้อยหนเสียอีกมั้ง คุณอรทัยยิ้มขำประโยคสุดท้ายที่ได้ยินและสิ่งที่ตนคิด ก่อนจะกลับมาทำตาค้อนเมื่อนึกย้อนถึงสรรพนามต้นประโยคเมื่อสักครู่
“แน่ะ! เปลี่ยนจากเรียกพี่มาเรียกว่าคุณแม่แล้วเหรอ เร็วไปค่ะปริม อีกสองปีค่อยเปลี่ยนสรรพนามนะ”
“ขอพูดซ้อมปากเอาไว้ให้ชินตั้งแต่ตอนนี้เลยไม่ได้เหรอคะ? ยังไงลูกสาวของพี่อรก็ต้องแต่งงานกับปริมอยู่ดี... นี่ปริมก็ว่าจะเปลี่ยนสรรพนามจากน้อง... จากลูกแมวน้อย ไปเป็นว่าที่ภรรยา ที่รักจ๊ะ ที่รักจ๋า มายเบ่บี๋ อะไรประมาณนี้ละ อิอิ อู๊ย!”
ปณิตาพูดกลั้วหัวเราะ แกล้งแหย่ให้เด็กน้อยเขินอาย จากนั้นก็ร้องครวญครางพร้อมทำตัวเอียงตัวงอไปด้านขวา เนื่องจากโดนมายเบ่บี๋ว่าที่ภรรยาถองศอกใส่สีข้างด้านซ้าย ผู้เป็นแม่มองลูกสาวทำร้ายร่างกายแฟนแก้เขินแล้วก็หัวเราะเบา ๆ คุณอรทัยรอจนกระทั่งทั้งสองสาวเลิกพูดแหย่สลับกับตบตีแกล้งหยอกกัน คนป่วยอมยิ้ม ดึงมือออกมาจากผ้าห่ม ยกนิ้วชี้ขึ้นพลางพูดกับปณิตาด้วยเสียงเข้ม
“ถึงพ่อแม่ของปริมจะรับรู้และอนุญาตให้คบกับน้องอินได้ แต่พี่ยังคงกฎเดิมไม่เปลี่ยนนะปริม... จนกว่าน้องจะเรียนจบ ม.ปลาย ห้ามปริมทำอะไรน้องมากกว่าจูบ เข้าใจไหม?”
“เข้าใจค่ะ”
ด้วยเหตุนี้...
เช้าวันรุ่งขึ้นซึ่งเป็นวันเสาร์ ปณิตาจึงตื่นแต่เช้าตรู่ สั่งให้นพเก้าขับรถตู้พาเธอไปรับคุณอรทัยออกจากโรงพยาบาล ต่อด้วยการจอดแวะหน้าบ้านทาวน์เฮ้าส์หลังเล็ก ขนกระเป๋าสัมภาระของคุณอรทัยขึ้นรถ ปณิตาพาเด็กน้อยเดินทางไปส่งคุณแม่ถึงไร่องุ่นของปู่นรินทร์และอยู่พักค้างคืนกันที่นั่นหนึ่งคืน พอเข็มนาฬิกาบอกว่าบัดนี้เป็นเวลาบ่ายสองโมงของวันอาทิตย์ ทั้งสองสาวก็พนมมือไหว้แล้วโบกมือบ๊ายบาย อำลาปู่นรินทร์กับคุณอรทัย นั่งรถกลับมายังกรุงเทพฯ รถตู้ต้องเลี้ยวซ้ายผละจากถนนใหญ่ชั่วครู่เพื่อแวะบ้านหลังเดิม ปณิตาและนพเก้าช่วยอรินทิพย์ขนข้าวของเครื่องใช้ขึ้นรถ สุดท้ายแล้วข้าวของทั้งหลาย รวมทั้งเด็กน้อยคนที่เคยพำพักอาศัยอยู่ในบ้านทาวน์เฮ้าส์ขนาดกะทัดรัด ก็ย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านหลังใหญ่โตราวกับวัง เจ้าของวังอย่างคุณปณิธีและคุณรวิวรรณรีบสั่งให้สาวใช้สองคนช่วยยกกระเป๋าของอรินทิพย์ไปส่งถึงห้องนอน คราวนี้เจ้าบ้านจัดให้เด็กน้อย คนรักของลูกสาวนอนชั้นสองของบ้าน ห้องอยู่ติดกันกับห้องของปณิตา หลังจากนั้น คุณท่านทั้งสองก็เรียกคนรับจ้างทำงานบ้านทุกคนให้มารวมตัวกันหน้าโซฟารับแขก บ้านนี้มีคนรับใช้ทั้งหมด 5 คนด้วยกัน หนึ่งคือคุณนมแจ่ม หัวหน้าแม่บ้าน สองได้แก่นางสาวสมปอง ผู้ช่วยแม่บ้านคนที่หนึ่ง สามคือนางสาวบุญเอื้อ ผู้ช่วยแม่บ้านคนที่สอง ลูกจ้างชายมีสองนาย ได้แก่นายนพเก้า ลูกชายของหัวหน้าแม่บ้าน ทำหน้าที่เป็นคนขับรถ ควบตำแหน่งหัวหน้าคนสวน คนสุดท้ายคือลุงทองใบ ทำหน้าที่เป็นคนดูแลสวนแบบเต็มตัว
เมื่อถึงเวลานัดหมายรวมพลคนใช้ คุณปณิธีและคุณนายรวิวรรณนั่งเคียงกันอยู่ตรงกลางเบาะหนังตัวยาว ผู้เป็นลูกสาวและเด็กที่ลูกสาวพามา นั่งกันตรงโซฟาเดี่ยวคนละตัว เมื่อเห็นว่าคนรับใช้ทั้งหมดมายืนเรียงแถวหน้ากระดานเรียบร้อยแล้ว คุณปณิธีก็เริ่มพูดชี้แจงแนะนำผู้มาอยู่อาศัยคนใหม่อย่างเป็นทางการ
“นี่หนูอรินทิพย์ หรือหนูอิน... เป็นว่าที่ลูกสะใภ้ของฉันเอง ขอให้ทุกคนปฏิบัติต่อหนูอินเหมือนกับว่าเด็กคนนี้เป็นลูกของฉัน...”
ปณิตายิ้มกว้าง นึกอยากจะปรบมือดัง ๆ ด้วยความยินดี คุณพ่อคุณแม่ให้การยอมรับเด็กน้อยคนรักของเธอถึงขนาดกล้าประกาศบอกคนรับใช้ภายในบ้านเลยนะนี่ หญิงสาวยิ้มกริ่ม ตั้งอกตั้งใจฟังว่าคุณพ่อจะกล่าวอะไรต่อไป
“เรื่องที่หนูอินเป็นคนรักของปริม ขอให้รู้กันเฉพาะคนที่อยู่อาศัยในบ้านหลังนี้ ถ้ามีใครถาม ให้บอกว่าหนูอินเป็นญาติห่าง ๆ ของคุณวิ... หากมีใครเปิดเผยความลับนี้แก่คนนอกก่อนถึงเวลาอันสมควร ถ้าฉันสืบรู้ว่าเป็นใคร คนคนนั้นจะโดนไล่ออก หรือถ้าสืบไม่รู้ว่าเป็นใคร ฉันจะไล่คนใช้ทุกคนออกยกแผง คนเก่าคนแก่อย่างนมแจ่มก็ไม่เว้น... เรื่องที่ฉันจะบอกมีเท่านี้ เอาล่ะ แยกย้ายกันไปได้”
ยิ้มที่เคยกางกว้างขวางของปณิตาหุบลงตั้งแต่หมดประโยคแรก หญิงสาว ย่นคิ้วเข้าหากัน แสดงสีหน้าข้องใจ เธอรอจนเหล่าคนใช้เดินออกห่างไปไกลแล้วจึงเอ่ยปากถามผู้เป็นบิดา
“ทำไมคุณพ่อถึงต้องปิดบังเรื่องที่ปริมกับน้องอินคบกันไม่ให้คนนอกรู้ด้วยล่ะคะ? ปริมอยากคบกับน้องแบบเปิดเผย ทำแบบนี้เป็นการไม่ให้เกียรติคนที่ปริมรักชัด ๆ”
คุณปณิธียกมือขึ้นมาหนึ่งข้าง ทำท่าปรามให้บุตรสาวใจเย็น ๆ พลางพูด
“ถ้าคนอื่นรู้ว่าหนูอินย้ายมาอยู่บ้านเดียวกันกับปริมตั้งแต่ยังเรียนไม่จบ ม.ปลาย คนเขาจะว่ายังไง? ถ้าปริมอยากจะให้เกียรติคนที่ปริมรักจริง ๆ ปริมควรรอให้ถึงเวลาเหมาะสมก่อน”
ฝ่ายคุณรวิวรรณก็บอก “เอาไว้ให้หนูอินเรียนจบก่อน จะให้เกียรติกันขนาดปิดโรงแรมห้าดาวจัดงานแต่งงานเลย”
ปณิตาฟังเหตุผลของคุณพ่อแล้วก็คลายปมหัวคิ้วออก พยักหน้ายอมรับ และเมื่อได้ฟังคุณแม่พูด เธอถึงกับหัวเราะก๊าก
“แค่ปิดโรงแรมห้าดาวเองเหรอคะ ปริมนึกว่าจะปิดเขาใหญ่ ใช้สนามหญ้าจัดงานเลี้ยง”
คุณปณิธีหัวเราะร่วน “ถ้าปริมมีแขกให้เชิญเยอะจนถึงขนาดต้องปิดเขาใหญ่ก็เอาสิ แต่หาตังค์ค่าจัดงานเอาเองนะ พ่อกับแม่ไม่ช่วย”
“ปริมมีตังค์น้า... เงินจากการประมูลโครงการคอมพิวเตอร์ประจำตำบลไง”
เมื่อลูกสาวพูดถึงเรื่องนี้ คุณปณิธีจึงนึกอะไรขึ้นมาได้
“พ่อคงต้องเชิญรัฐมนตรีพิสุทธิ์กับลูกชายมาทานข้าวที่บ้านเพื่อเป็นการขอบคุณเสียหน่อย ถ้าไม่ได้พวกเขาช่วย เราคงไม่ชนะการประมูล”
พูดจบประโยคปุ๊บ คุณปณิธีก็ลุกจากโซฟา เดินไปหาโต๊ะวางโทรศัพท์บ้าน รีบร้อนทำตามในสิ่งที่ตนได้พูดไปเมื่อสักครู่ เมื่อคุยธุระกับสหายสนิทเสร็จเรียบร้อย คุณปณิธีก็เดินกลับมายังโซฟารับแขก บอกให้ภรรยาและลูกทราบ
“วันพุธที่จะถึงนี้ พิสุทธิ์รับปากว่าจะมาทานอาหารมื้อเย็นกับเรา”
ปณิตารีบถามถึงบุตรชายของท่านรัฐมนตรีพิสุทธิ์ “แล้วคุณโจจะมาด้วยรึเปล่าคะ?”
คุณปณิธีพยักหน้า “มาสิ”
“ที่บริษัทเราชนะประมูลได้นี่ คุณโจเขารับหน้าที่ช่วยเราโดยตรงเลยค่ะพ่อ ปริมมีของขวัญขอบคุณจะให้คุณโจเค้าอยู่พอดี”
ปณิตายิ้มกริ่ม ในใจรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่นายพสิษฐ์ หรือโจ ลูกชายคนเล็กของรัฐมนตรีพิสุทธิ์จะมาหาเธอถึงบ้าน ไม่ใช่ว่าเธอแอบนึกคิดพิศวาส อยากพบหนุ่มหน้าตี๋คนนี้หรอกนะ สาเหตุที่ริมฝีปากของปณิตายกมุมขึ้นได้นั้น เป็นเพราะเธอไม่ค่อยอยากเจอเขาต่างหาก คุณพสิษฐ์มาหาเธอถึงบ้านแบบนี้ เธอก็ไม่ต้องนัดเจอเขาแบบเป็นการส่วนตัวเพื่อนำของขวัญไปมอบให้ คราวนี้เธอจะให้คุณพ่อเป็นคนออกหน้า มอบของขวัญให้ชายหนุ่ม เธอไม่อยากให้ความหวังกับเขา รู้อยู่แก่ใจดีว่าพสิษฐ์ชอบพอเธอฉันชู้สาว ปกติเธอกับชายหนุ่มมีโอกาสพบปะเจอะเจอกันอยู่เนือง ๆ ซึ่งในความคิดของปณิตา เธอกับพสิษฐ์พบหน้ากันบ่อยเกินไปเสียด้วยซ้ำ ถ้าไม่เพราะเรื่องงานที่เขาใช้เป็นข้ออ้างประจำในการมาขอเข้าพบ เวลากลุ่มเพื่อนสาวคนสนิทนัดเธอไปพบปะสังสรรค์กัน เธอก็ได้เจอเขาทุกที เนื่องจากพสิษฐ์เป็นเพื่อนของแฟนเพื่อน ชายหนุ่มหน้าตี๋แฝงตัวเข้ากลุ่มเพื่อนซี้ เข้ามาพูดคุยตีสนิทกับเธออย่างไม่เคอะเขิน และดูเหมือนว่าเพื่อนทุกคนในแก๊งจะรู้เห็นเป็นใจ ลุ้นให้เธอกับเขาลงเอย คบหาเป็นแฟนกัน แต่เธอก็ประกาศแล้วนะ บอกเพื่อนฝูงด้วยสีหน้าจริงจังว่าเธอกำลังเลี้ยงต้อย มีแฟนเป็นเด็กน้อยเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่สี่ แต่เพื่อนฟังแล้วกลับหัวเราะขำกันใหญ่ คิดว่าเธอพูดเล่นเสียนี่
ปณิตานั่งเหม่อ คิดอะไรเพลิน ส่วนอรินทิพย์ได้แต่นั่งเงียบทำตาแป๋ว ฟังผู้ใหญ่พูดคุยกัน เด็กสาวรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อยที่เธอจะได้มีโอกาสพบเจอรัฐมนตรีตัวเป็น ๆ ไม่ใช่เห็นแต่รูปตามหน้าหนังสือพิมพ์ หรือเป็นภาพเคลื่อนไหวในจอทีวี
.
.
เย็นวันพุธ
ปิ๊น ปิ๊น
เสียงแตรของรถยนต์อเนกประสงค์สีดำสนิทร้องเรียก ลุงทองใบคนสวนซึ่งกำลังกวาดต้อนเหล่าใบไม้ร่วงอยู่ริมกำแพงด้านหน้าจึงรีบเดินเร็ว ๆ ไปเปิดประตูรั้ว รถที่จอดรออยู่ด้านนอกจึงค่อย ๆ ขยับเขยื้อน เคลื่อนตัวผ่านประตูรั้วอัลลอยด์สีเงินเข้ามา และจอดนิ่งสนิทใต้หลังคาหน้ามุขของบ้านหลังใหญ่ในที่สุด บอดี้การ์ดชายร่างกำยำก้าวลงจากรถเป็นคนแรก เพื่อบริการเปิดประตูให้เจ้านาย คุณพิสุทธิ์ ผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย วันนี้ท่านรัฐมนตรี พร้อมด้วยลูกชายคนเล็ก นายพสิษฐ์ เดินทางมาพบปะพูดคุย ร่วมรับประทานอาหารมื้อเย็นกับคุณปณิธี เพื่อนซี้ที่รู้จักกันมาตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม พอเจอหน้ากันปุ๊บ คุณปณิธีก็ปรี่เข้าไปตบไหล่เพื่อน ยืนพูดคุยทักทายกันเสียงดังลั่นอยู่ข้างรถนั่นเอง ถ้าภรรยาอย่างคุณรวิวรรณไม่เอ่ยเตือนสามี บอกให้พาเพื่อนไปยังห้องรับประทานอาหารได้แล้ว กินไปคุยไปก็ได้ค่ะ ท่านรัฐมนตรีอาจจะต้องยืนคุยกับเพื่อนสนิทจนเมื่อยขา
ทางด้านลูกชายคนเล็กที่ติดตามคุณพ่อรัฐมนตรีมา หลังจากพนมมือไหว้ กล่าวสวัสดีทักทายเพื่อนของคุณพ่อรวมทั้งภริยาเสร็จ ชายหนุ่มก็ทำคอยาว ชะเง้อชะแง้ส่งสายตาเข้าไปในตัวบ้าน มองหาลูกสาวของเพื่อนคุณพ่อ
คุณนายรวิวรรณเหมือนจะรู้ใจว่าแขกกำลังมองหาใคร จึงพูดให้พสิษฐ์ฟังโดยที่ชายหนุ่มไม่ต้องส่งเสียงถามให้เปลืองพลังงาน
“ปริมอยู่ในครัวน่ะ วันนี้ลูกสาวอาลงมือทำกับข้าวเองเชียวนะ”
“จริงเหรอครับ! ไหนเพื่อนของปริมเคยคุยบอกผมว่าทำอาหารไม่เป็น”
“ปริมเริ่มเข้าครัวเป็น ตั้งแต่คนที่ปริมรักเขาชอบทำอาหารนั่นแหละ”
คุณนายรวิวรรณพูดยิ้ม ๆ ตั้งใจจะพูดกันท่าชายหนุ่ม ทราบดีว่าพสิษฐ์คิดอย่างไรกับลูกสาวของตนเพราะลูกเคยเล่าให้ฟัง ผู้เป็นแม่ลอบผ่อนลมออกจากปอด แอบนึกเสียดายอยู่ไม่น้อย ถ้าลูกสาวของตนรักชอบผู้ชายก็คงจะดี ที่ต้องเอ่ยปากพูดกันท่าแบบอ้อม ๆ นี่ เป็นเพราะสงสาร คุณนายรวิวรรณไม่อยากให้พสิษฐ์ถลำใจ มอบความรักให้ลูกสาวของตนไปมากกว่านี้ แต่คุณนายไม่ทราบเลยว่า ประโยคพูดกันท่าให้ตัดใจ จะกลายเป็นคำพูดให้ท่า ส่งเสริมให้เกิดผลลัพธ์ในทิศทางตรงกันข้าม
“ปริมเริ่มเข้าครัวเป็น ตั้งแต่คนที่ปริมรักเขาชอบทำอาหารนั่นแหละ”
พสิษฐ์ฉีกยิ้มหวานจนดวงตาตี่ ๆ กลายเป็นเส้นตรงทันทีที่ได้ยินคุณนายรวิวรรณกล่าวอย่างนั้น เพราะงานอดิเรกที่เขาโปรดปรานคือ เข้าครัว ทำอาหารรับประทานเอง!
ระหว่างนั่งรับประทานอาหารมื้อเย็น...
อรินทิพย์เคี้ยวข้าวแต่ละคำอย่างเชื่องช้า ดวงตากลมโตของเด็กสาวจับจ้องไปยังฝั่งตรงข้ามโต๊ะ...
ที่นั่งตรงนั้น... ตำแหน่งเก้าอี้ซึ่งอยู่ข้างพี่ปริมตรงนั้น คือที่นั่งประจำของเธอ
วันนี้เธอต้องสละตำแหน่งที่นั่งประจำให้แก่คุณพสิษฐ์ ต้องระเห็จมานั่งไกลถึงอีกฟากหนึ่งของโต๊ะ
ต้องเสียตำแหน่งที่นั่งประจำนั้นไม่เท่าไหร่ แต่คุณพสิษฐ์ หนุ่มหน้าตี๋หล่อเนี้ยบ ลูกชายของท่านรัฐมนตรี ยังแย่งหน้าที่เธอด้วยนี่สิ...
“วันนี้ปริมลงมือทำกับข้าวเองเลยเหรอครับ ผมคงทำบุญมาดี ถึงได้มีโอกาสชิมรสมือ”
คุณพสิษฐ์พูดยิ้ม ๆ นัยน์ตาภายใต้การปกป้องของเปลือกตาชั้นเดียวนั้นส่องประกายวาววับพราวพรายอย่างหยอกล้อ คุณพสิษฐ์พูดแซวพี่ปริมของเธอแบบนี้ได้ แสดงว่ามีความสนิทสนมกันพอสมควร และเขาคงรู้จักพี่แมวใหญ่สุดที่รักของเธอดี เพราะพี่ปริมเล่าให้เธอฟังเอง ว่ามีแค่เพียงเพื่อนซี้เท่านั้นที่รู้ว่าพี่ปริมเคยเข้าครัว แต่ก็เข้าไปเพื่อทำอย่างอื่น ไม่ใช่ทำอาหารอย่างแน่นอน ก่อนหน้านี้ ถ้าพี่แมวใหญ่ย่องเข้าครัวนี่ จุดประสงค์หลักคือหาอะไรกิน จุดประสงค์ที่สองคือเข้าไปเล่นจ๊ะเอ๋ แกล้งแหย่ให้คุณนมแจ่มซึ่งกำลังยืนหันหลังทำอะไรเพลินอยู่ต้องสะดุ้งโหยงเอามือทาบอก ร้องอุทานว้ายตาเถรหกตกกระโถน ทำให้คนแก่ตกใจเล่นเท่านั้นล่ะ
“แกงส้มปลาเนื้ออ่อนฝีมือปริมนี่อร่อยสุดยอดเลยครับ”
หลังจากใช้ริมฝีปากทำให้น้ำแกงส้มหายไปจากช้อน คุณพสิษฐ์ก็พูดเสียงนุ่มพร้อมกับส่งสายตาหวานเชื่อมให้พี่ปริมของเธอ ทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ก็นั่งกันอยู่เต็มโต๊ะ ถ้าไม่อาย ไม่เกรงใจเธอ ก็เกรงใจคุณพ่อคุณแม่ของพี่ปริมบ้างเถอะค่ะ
“บวบที่เอามาผัดนี่หวานดีนะครับ... หวานเพราะบวบที่เอามาผัด รึหวานเพราะคนทำหน้าหวานก็ไม่รู้”
คุณพสิษฐ์พูดพร้อมกับบริการใช้ช้อนกลางตักบวบหวานไปวางบนช้อนของพี่ปริม (ลูกแมวน้อยกัดฟัน ขอกระซิบย้ำคำบรรยายค่ะว่า “บนช้อน” ไม่ใช่แค่บนจาน) ตักบวบหวานให้พี่แมวใหญ่ของเธอทาน ลูกแมวน้อยไม่ว่า แต่นัยน์ตาคนตักที่มองพี่แมวสุดรักสุดหวงของเธอน่ะ หวานกว่าบวบถึงเจ็ดสิบสองจุดสามเท่าตัว แถมประโยคที่สองนั่น...
พูดจีบกันชัด ๆ!
แล้วพี่แมวใหญ่อ้ะ ส่งยิ้มกลับไปให้คุณพสิษฐ์ทำไม!
“ปลาหมึกคร้าบ ของโปรดของปริม ผมจำได้”
คุณพสิษฐ์เลือกตักเนื้อสัตว์ทะเลที่พี่ปริมของเธอชอบทานมากที่สุดจากจานผัดกะเพราทะเลรวมมิตร จัดแจงวางกับข้าวลงบนช้อนของพี่ปริมอีกครั้ง อรินทิพย์เห็นอย่างนั้นก็ถึงกับเก็บอาการเอาไว้ไม่อยู่ เด็กน้อยเริ่มทำหน้ายู่ ดึงหัวคิ้วเข้าหากัน กรามของเธอซึ่งก่อนหน้านี้ขยับเคี้ยวอาหารหยุดการเคลื่อนไหวชั่วคราว สมองเริ่มคิดคำถาม...
พี่ปริมกับคุณพสิษฐ์สนิทสนมกันมาก
รู้จักรู้ใจกันดีถึงขนาดนี้เชียวหรือ
ทำไมพี่ปริมถึงไม่เคยเล่าให้อินฟัง?
แล้วทำไมพี่ปริมถึงเอาแต่ยิ้ม ยิ้ม ยิ้มให้เขาอย่างนั้น
คุณพสิษฐ์แย่งหน้าที่... ที่ควรสงวนไว้ให้เธอทำได้แต่เพียงผู้เดียว
ทั้งการทำตาเชื่อมใส่อย่างนั้น
ปากหวานชื่นชมหยอดกันอย่างนี้
ควรจะมีแต่ลูกแมวน้อยของพี่สิ ที่จะทำแบบนั้นกับพี่แมวใหญ่ได้
ทำไมพี่แมวใหญ่นิ่งเฉย
ทำไมพี่แมวใหญ่ไม่พูด ไม่ปฏิเสธ ไม่ทำอะไรสักอย่างเลย
แต่ยิ้มรับน้ำใจ ปล่อยให้คุณพสิษฐ์แย่งหน้าที่ของอินได้
ฮึ่ม! ลูกแมวน้อยไม่พอใจ ลูกแมวน้อยโกรธ ลูกแมวน้อยหึง
ลูกแมวน้อยคิดในใจอย่างไม่สบอารมณ์ ความโกรธกรุ่นขุ่นเคืองทำให้เด็กสาวเผลอบดกรามกัดช้อนตักข้าวอย่างแรง คุณช้อนนั้นอยากจะร้องไห้โฮเพราะโดนเขี้ยวลูกแมวขบกัด ช้อนรีบวิ่งหนีไปหาคุณส้อมและทำด้ามสั่นด้วยความหวาดกลัว
“น้องอินอิ่มแล้วเหรอคะ?”
อรินทิพย์วางแก้วที่ระดับน้ำโดนจิบพร่องไปเพียงเล็กน้อยลงบนจานรอง เธอเงยหน้าขึ้นมา พยายามสั่งให้มุมปากยกขึ้นด้วยความยากลำบาก เปล่งเสียงอ่อยตอบคำถาม
“ค่ะพี่ปริม อินอิ่มแล้วค่ะ”
“วันนี้ได้ยินว่าการบ้านเยอะไม่ใช่เหรอคะ น้องอินจะรีบไปทำการบ้านล่ะสิ ตามสบายค่ะ”
อรินทิพย์ได้แต่พยักหน้าและยิ้มแหย แต่ถ้าใครสายตาดี ลองจับจ้องเพ่งมอง ลองสังเกตดวงตากลมโตของเธอสักหน่อย จะเห็นว่ามีน้ำตาจำนวนไม่น้อยเอ่อท่วมคลองนัยน์ตาจนเกือบจะล้น เด็กสาวพนมมือไหว้ลาแขกผู้ใหญ่ กับท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย อรินทิพย์กล้ามองสบตา แต่กับลูกชายของท่านรัฐมนตรี เด็กน้อยไม่อยากมองหน้า ไม่อยากมองดวงตาคู่ที่ส่งกระแสความรักและความปรารถนาไปยังพี่ปริมของเธออย่างเปิดเผย หลังจากอรินทิพย์พูดเสียงเบาว่าขอตัวนะคะ เธอรีบลุกจากเก้าอี้ ก้าวขาให้ยาวเพื่อเดินออกไปให้พ้นจากอาณาเขตห้องรับประทานอาหารให้เร็วที่สุด ความน้อยใจแล่นขึ้นมาจุกอกจนเด็กสาวรู้สึกปวดจี๊ดบริเวณหัวใจ เด็กสาววิ่งขึ้นบันไดไปยังชั้นสอง เปิดประตูห้องส่วนตัวแล้วปิดมันจนเกิดเสียงดังปึง อรินทิพย์เอนหลังพิงประตู กัดริมฝีปากล่างจนรู้สึกเจ็บ
วันนี้เธอไม่ได้บ่นให้พี่ปริมฟังเสียหน่อยว่าการบ้านเยอะ
การบ้านมีมากมายก็จริง แต่เธออาศัยเวลาคาบว่างทำงานที่อาจารย์สั่งเสร็จหมดแล้ว
พี่ปริมพูดแบบนั้น เพราะต้องการจะไล่กันเห็น ๆ
เห็นเธอเป็น กขค ใช่ไหม!