web stats

ข่าว

+-User

Welcome, Guest.
Please login or register.
 
 
 
Forgot your password?
ปัญหาการสมัครสมาชิก
วิธีเปลี่ยนสถานะเป็นนักเขียน
วิธีลงนิยาย
วิธีใช้งานบอร์ด

+-สถิติการใช้งาน

Members
Total Members: 880
Latest: Levitra5a
New This Month: 0
New This Week: 0
New Today: 0
Stats
Total Posts: 1553
Total Topics: 886
Most Online Today: 153
Most Online Ever: 601
(21 กันยายน 2024 เวลา 08:04:58 )
Users Online
Members: 0
Guests: 148
Total: 148

ผู้เขียน หัวข้อ: อยากให้รู้ว่ารัก : ตอนที่ 5  (อ่าน 1416 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ Admin

  • แอดมิน
  • เริ่มติด
  • *****
  • กระทู้: 251
  • I'm sociopath. I don't have feelings.
อยากให้รู้ว่ารัก : ตอนที่ 5
« เมื่อ: 27 ธันวาคม 2013 เวลา 15:02:45 »
ตอนที่ 5

พักกลางวัน

บรรยากาศในโรงอาหารก็เป็นดังเช่นทุกวัน เสียงเอะอะโว้ยวายเซ็งแซ่ยังคงมีเหมือนเดิมไม่ว่าจะผ่านพ้นไปกี่รุ่นกี่ปีก็ตาม แต่วันนี้กลับมีสิ่งหนึ่งที่ไม่เหมือนเดิม นั่นก็คือสายตาที่มองตามมายามที่พวกเธอเดินผ่านหรือย่างกายเข้าไปใกล้ เสียงซุบซิบและแอบหัวเราะแม้กระทั่งเสียงตะโกนแซวของเหล่าบรรดาเพื่อนพ้องน้องพี่ร่วมสถาบัน ที่รู้จักมักคุ้นเอ่ยถามให้ได้ยินกันตลอดเส้นทาง กลายเป็นคนดังในชั่วพริบตา

“แหม แค่ใส่ผ้าถุงในโรงเรียนแค่นี้ทำเป็นมองซะยังกับเห็นดาราเกาหมี เอ้ย!! เกาหลีอย่างนั้นแหล่ะ คิกคิก”

“อิหนึ่ง ถ้ามึงไม่มีอะไรจะพูดก็หุบปากไปเลย” ชลธิดาว่า

ที่แรกเธอก็ไม่มายด์หรอกนะว่าใครจะมอง เพราะไม่ค่อยแคร์สื่ออยู่แล้ว แต่พอเดินเข้าโรงอาหารมาเนี่ยสิ ความมั่นใจมันเริ่มหดหายไปทุกที  ลำพังไอ้สายตาที่มองมามันไม่เท่าไหร่หรอกนะไม่สะเทือนจิตเสียด้วยซ้ำ แต่ไอ้คำแซวที่ตะโกนไล่หลังหรือแม้กระทั่งเดินเข้ามาจับชายผ้าถุงขอดูใกล้ๆ ราวกับไม่เคยเห็นมันมาก่อนเนี่ยสิมันน่าด่า

“ว๊าว  วันนี้นุ่งผ้าถุงมาเรียนเลยหรือจ๊ะน้องเดียร์”

“อิเดียร์นี่มึงขโมยผ้าถุงแม่มึงมาใส่หรือไงว่ะ ฮ่าๆ”

“แฟชั่นมาใหม่เหรอคะพี่เดียร์  คิกคิก”

คำแซวแต่ละคำที่ได้ยิน ยังไม่น่าโมโหเท่ากับเสียงหัวเราะคิกคักๆ ที่ดังมาตลอดทางจนกระทั้งถึงโต๊ะอาหารของอิเพื่อนสาวห้าตัวที่เดินมากับเธอ ใครแซวที  อิพวกนี้ก็หัวเราะที ช่างไม่รู้จักรักษามารยาทในฐานะเพื่อนที่ควรปฏิบัติกันมั่งเลย  นี่ถ้าไม่ติดว่าเป็นเพื่อนที่คบกันมานาน  แม่จะตบล้างน้ำเรียงตัวกันเลยทีเดียว

“มื้อนี้รับอะไรกันดีล่ะเพื่อนสาว”  เป็นมิ่งขวัญเหมือนเดิมที่พอถึงโรงอาหารเมื่อไหร่ มันจะต้องถามว่ากินอะไรแบบนี้ทุกที

“เหมือนเดิม ถามทุกวันไม่เบื่อมั่งหรือไงว่ะ”  ชลธิดาตอบ ไม่รู้มันจะถามทำไมทุกวี่ทุกวัน ใครจะกินอะไรเดี๋ยวมันก็ไปซื้อกันเองแหละ

“มึงก็กินเหมือนเดิมทุกวัน ไม่เบื่อมั่งหรือไงล่ะ”   มิ่งขวัญย้อน แถมค้อนปอนด์ให้ด้วยหนึ่งที

“เหมือนกันทุกวันที่หน่ายยยย  วันจันทร์กินยำวุ้นเส้นกับไก่ทอด วันอังคารไข่พะโล้กับกระเพราไก่ วันพุธเขียวหวานไก่กับไข่ดาว เห็นป่ะไม่เหมือนกันสักวันเลย อ่ะโด่!”

“หนอยๆ ไอ้นี่ นับวันยิ่งจะกวนตรีนใหญ่แล้ว เดี๋ยวก็จับถลกผ้าถุงโชว์กลางโรงอาหารซะหรอกมึง”  มิ่งขวัญทำท่าทางเหมือนจะเข้ามาถลกผ้าถุงจริงๆ อย่างที่ขู่

“ก็ลองดูดิ  แล้วมึงจะรู้ว่านรกมีจริง”  แต่เจ้าคนกวนประสาทก็ไม่มีท่าทีว่าจะหลบเสียด้วย แถมยังส่งสายตาท้าทายกลับอีกต่างหาก

“เออว่ะ นรกแน่ๆ กูยังไม่อยากเห็นน้องมึงออกมาแสยะยิ้มให้หรอก แค่คิดก็.......บรื๋ยยยยยย.....สยองว่ะ  ฮ่าๆๆ”  มิ่งขวัญทำหน้าสยองชวนขนหัวลุก ล้อเลียนชลธิดาก่อนจะวิ่งหนีไป

“อ๊ายยยยย....ไอ้ขวัญ!! ไอ้ทะลึง!! มึงตายแน่!!!!” ด้วยพลังเสียงอันดังที่เกินกว่า 100 เดซิเบล  และท่าทางการถกผ้าถุงวิ่งไล่กวด ก็สามารถเรียกทุกสายตาบริเวณนั้นให้จับจ้องมาที่เธอสองคนได้อย่างง่ายดาย ไม่เว้นแม้กระทั่งกลุ่มคนที่เพิ่งเดินมาถึงโรงอาหารนี้

“เอ๊ะ! นั่นน้องเดียร์นี่”  ดรุณีทำหน้าตาตื่นชะงักฝีเท้าลงเมื่อได้เห็นรุ่นน้องจอมทะเล้นอีกครั้ง

“ใครเหรอโอ”  กฤตชยาหันมาถามด้วยความสนใจ คิ้วเข้มขมวดลงเล็กน้อยเมื่อจู่ๆ แฟนสาวที่คบกันมาได้หลายเดือนแล้วของตน เอ่ยชื่อใครสักคนที่เธอไม่รู้จัก
 
จูน  หรือกฤตชยา  เอื้อกิจ  ทอมหน้าตาดีออกจะสวยเสียด้วยซ้ำ ผิวขาวสะอาดดูดี แม้จะไม่สูงมากแต่ก็ไม่ได้เตี้ยรูปร่างเพรียวสมส่วน  กฤตชยาเป็นคนปากหวานคุยเก่งค่อนข้างเฟรนด์ลี่จึงเป็นที่กรี๊ดกร๊าดของเหล่าบรรดาชะนีผู้นิยมกินทอมเป็นอาหาร

กฤตชยากับดรุณีเริ่มคบกันตั้งแต่เทอมแรกที่ขึ้นชั้น ม.4 โดยกฤตชยาเป็นฝ่ายเข้ามาขายขนมจีบก่อน เพราะรู้สึกชอบดรุณีตั้งแต่แรกเห็น ทั้งรูปร่างหน้าตาก็เป็นที่ถูกอกถูกใจใครหลายๆ คนแล้วมีเหรอที่คนอย่างกฤตชยาจะยอมอยู่เฉยๆ ของแบบนี้มันต้องบริหารเสน่ห์กันหน่อย  ตั้งแต่นั้นมากฤตชยาก็คอยตามเทคแคร์ดูแลเอาใจใส่ดรุณีอยู่ไม่ห่าง จนในที่สุดดรุณีใจอ่อนยอมตกลงคบหาด้วย

“อ๋อ รุ่นน้องเมื่อเช้าที่เล่าให้ฟังไง”

“ไหนๆ คนไหน”  เพื่อนคนหนึ่งในกลุ่มถามอย่างกระตือรือร้น และพยายามมองตามสายตาของดรุณีไป  อยากจะเห็นนักว่ารุ่นน้องจอมทะเล้นที่เพื่อนสาวเล่าให้ฟังเป็นใคร  เพราะเท่าที่ฟังท่าทางจะน่ารักเสียด้วยสิ

“คนนั้นไง  ตัวสูงๆ กำลังวิ่งไล่เพื่อนอยู่อ่ะ” ดรุณีชี้ให้เพื่อนสาวดู

“โธ่! นึกว่าใคร  ที่แท้ก็ไอ้เด็กแสบนี่เอง คงจะใส่กระโปรงผิดระเบียบมาอีกแล้วล่ะสิ  ถึงได้นุ่งผ้าถุงร่อนไปทั่วแบบนี้”  เพื่อนคนเดิมพูดขึ้นมา เมื่อเห็นว่ารุ่นน้องที่ดรุณีพูดถึงคือใครก็ถึงกับเบ้ปาก

“ไอซ์รู้จักน้องเขาด้วยเหรอ”  ดรุณีหันมาถาม นึกสงสัยกับคำพูดเหยียดๆ ของเพื่อนที่พูดถึงรุ่นน้อง ก็ปกติไอรดาไม่ใช่คนที่จะพูดจาแบบนี้นี่

“อืม รู้จักดีเลยล่ะ แต่อย่าไปสนใจเลยโอ เด็กไร้สาระแบบนั้นเสียเวลาเปล่าๆ ไปหาข้าวกินกันดีกว่า”  ตอบแบบขอไปที พร้อมกับบอกให้เพื่อนสาวเลิกสนใจ แล้วเดินนำหน้าไปโดยไม่สนใจอะไรอีก

“น่านดิ  ไปกันเถอะโอ  จูนหิวจะแย่แล้ว”  กฤตชยาเห็นด้วยว่าแฟนเธอควรจะเลิกสนใจคนอื่นซะที  จึงดึงที่ศอกของดรุณีเบาๆ เพื่อเร่งให้แฟนสาวเดินตามมา

ดรุณีขยับเท้าก้าวตามอีกคนไปอย่างเสียไม่ได้ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะชำเลืองมองไปยังรุ่นน้องอีกครั้ง ที่ตอนนี้ไล่จับเพื่อนได้ทันตรงเข้าล็อคคอ แล้วใช้กำปั้นปั่นมะเหงกเข้าไปที่ขมับของผู้เคราะห์ร้าย พร้อมกับปล่อยเสียงหัวเราะร่าแบบสะใจ ดังแว่วมาจนถึงที่เธอเดินอยู่ ความทะเล้นแก่นเซี้ยวของอีกคนที่เธอเห็น สามารถเรียกลักยิ้มให้ปรากฏขึ้นบนแก้มขาวใสของเธอได้อย่างง่ายดาย

<

<

<

“โอ้ยยยย....กูจะเป็นลม ไอ้เชี่ยเดียร์แมร่งวิ่งเร็วชิหายเลย เหนื่อยก็เหนื่อย เจ็บก็เจ็บ”  มิ่งขวัญเดินมาทิ้งกายเหยียดยาวบนม้านั่งที่โต๊ะอาหาร นอนหอบแฮกๆ เป็นหมาหอบแดดเหงื่อผุดขึ้นตามขมับเต็มไปหมด ซ้ำยังบ่นเจ็บบริเวณขมับตรงที่โดนไอ้เพื่อนจอมโหดปั่นมะเหงกด้วย

“สมน้ำหน้า โตกันจนหมาเลียตูดไม่ถึงอยู่แล้ว ยังจะเล่นกันเป็นเด็กๆ อีก คนแมร่งมองกันทั้งโรงอาหารเลย”  ทัศนีย์ว่า แล้วหันมามองอีกคนที่มีสภาพไม่ต่างกันเท่าไหร่ ก็ส่ายหัวเบื่อหน่าย ‘อิพวกนี้มันโตแต่ตัวกันจริงๆ’

“ฉันว่าพวกเรารีบไปหาอะไรกินกันเถอะ มัวแต่ดูหมาบ้าสองตัววิ่งไล่กัดกันจนจะหมดเวลาพักอยู่แล้วเนี่ย”  ชโลธรร้องเตือนเพื่อนๆ เพราะตอนนี้เธอหิวจะแย่แล้วด้วย ขืนมัวแต่โอ้เอ้ไม่ได้กินข้าวกันพอดี

“ฉันเอาข้าวร้านป้าน้อยนะ  ราดอะไรมาก็ได้สองอย่าง เร็วๆ ล่ะ หิวมว๊ากกกกกกก  เหนื่อยด้วย อ่ะนี่ตังค์” ชลธิดาสั่งอย่างเอาแต่ใจพลางหยิบเงินมาวางไว้บนโต๊ะ ก็ไม่ได้อยากจะสั่งหรอกนะแต่คนมันเหนื่อยเดินไม่ไหวแล้ว

“โหยย  อิคุณนาย สั่งอย่างกับพวกฉันเป็นคนใช้เลยนะยะ” ทัศนีย์แขวะใส่ หมั่นไส้ไอ้คนนอนหนุนตักนุชนารถสบาย ‘ทีเมื่อกี้ล่ะวิ่งไล่กันอย่างกับคนบ้า พอจะไปซื้อข้าวทำเป็นไม่มีแรง ชิส์!’

“พวกแกไม่ใช่คนใช้นะว้อยยย แต่เป็นคนถูกใช้ต่างหาก ฮ่าๆ”  ยังไม่วายทำหน้าระรื่นใส่เพื่อนได้อีก

“ยังจะมามุขได้อีกนะมึง”  มิ่งขวัญพูดประชด

“นิดนึง แก้เหนื่อย อิอิ”  ชลธิดาทำหน้าทะเล้น แต่ไม่มีใครเห็นหรอกนอกจากนุชนารถ

“พอเลยๆ มัวแต่กวนกันไปกวนกันมา ไม่ได้กินกันพอดี ข้าวของเดียร์กับเอมเดี๋ยวฉันกับอิหนึ่งไปซื้อให้ ส่วนแกไอ้ขวัญแกจะกินอะไรบอกมาเดี๋ยวให้ไอ้ทัศไปช่วยซื้อ”  ชโลธรรีบชิงพูดขึ้นเสียก่อนที่จะมีใครพูดอะไรขึ้นมาอีก เพราะเธอชักจะเริ่มโมโหหิวขึ้นมาตงิดๆ แล้ว

“แกกินอะไร ฉันก็กินอย่างนั้นแหละ เอาเหมือนๆ กันเร็วดี”

“ถ้าอย่างนั้นก็กินข้าวป้าน้อยกันหมดนี่ล่ะกัน โอป่ะ”  ชโลธรสรุป

“โอ!!”  ทุกคนเห็นด้วยอย่างพร้อมเพียง เพราะต้องนี้กระเพาะน้อยๆ กำลังเรียกร้องอาหารกันหมดทุกคนแล้ว

หลังจากทานอาหารกลางวันและทำธุระส่วนตัวกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว กลุ่มของดรุณีก็ตกลงกันว่าจะขึ้นไปเตรียมตัวรอการเรียนในช่วงบ่ายที่ห้องเรียนเลย เพราะวิชาที่พวกเธอต้องเรียนต่อไปในสองคาบแรกของช่วงบ่ายวันนี้คือวิชาเคมี และวันนี้ก็เป็นเวรของกลุ่มดรุณีที่จะต้องไปขอกุญแจห้องที่ห้องพักอาจารย์ โดยตกลงกันว่าให้ดรุณีกับกฤตชยาไปหาอาจารย์ ส่วนที่เหลือรออยู่ที่หน้าห้องปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์

หลังจากที่ไขกุญแจห้องเรียบร้อยแล้ว ดรุณีและเพื่อนๆ ก็มานั่งคุยเล่นกันตามประสาที่โต๊ะทดลองติดริมหน้าต่างซึ่งเป็นที่ประจำของกลุ่มตน

โต๊ะเรียนของห้องนี้มีลักษณะเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดพอสมควร มันถูกออกแบบมาสำหรับการทดลองเล็กๆ โดยจัดให้มีเก้าอี้นั่งฝั่งละสามตัว รวมทั้งสองฝั่งก็จะทำให้เด็กนั่งเรียนได้กลุ่มล่ะหกคน

ขณะที่นั่งเมาท์มอยเรื่องนั้นเรื่องนี้กันอยู่ จู่ๆ เพื่อนคนหนึ่งที่นั่งติดริมหน้าต่างก็พูดแทรกขึ้นมาว่า...

“เฮ้ย! นั่นน้องคนนั้นนี่หว่า”  สาวอิสลามเชื้อสายแขกแท้จากปักษ์ใต้ร้องบอกเพื่อน เมื่อเห็นน้องผ้าถุงที่พูดถึงกันเมื่อตอนกลางวัน กำลังเดินอยู่กับกลุ่มเพื่อนบริเวณด้านล่างใกล้ห้องน้ำหญิงหลังตึกนี้

“น้องคนไหนว่ะ”  สาวหน้าหมวยรูปร่างผอมบาง ถามเพื่อนซี้หน้าแขก

“ก็น้องบ๊องของไอ้โอมันไง เดินอยู่ข้างล่างเนี่ย”  สาวแขกเฉลยให้หายสงสัย ตามด้วยประโยคบอกเล่า

ดุรณีลุกพรวดขึ้นมาทันทีที่ได้ยิน ขยับเท้าเดินไปที่ริมหน้าต่างทำเอากฤตชยารีบลุกตามแทบไม่ทัน ดรุณีมองลงไปข้างล่างก็เห็นรุ่นน้องสาวเดินอยู่กับกลุ่มเพื่อนตามที่สาวหน้าแขกบอกไว้จริงๆ ก็อมยิ้ม  ยิ่งเห็นว่ารุ่นน้องตัวดีกำลังหยอกล้อเล่นอยู่กับเพื่อนๆ ทั้งๆ ที่ถูกทำโทษให้ใส่ผ้าถุง และไหนจะยังถูกแซวจากคนรู้จักที่เดินสวนกันมาอีก แทนที่จะอายหรือโกรธแต่กลับทำหน้าทะเล้นฉีกยิ้มให้เสียอย่างนั้น ก็ยิ่งทำให้เธอประทับใจในความแก่นเซี้ยวมากขึ้นไปอีก  พอเห็นหน้าทะเล้นแบบนั้น เลยอดใจไม่ไหวขอแซวสักหน่อยแล้วกันไม่รู้ว่าเธอจะได้รอยยิ้มแบบนั้นกลับมาเหมือนกับคนอื่นหรือเปล่านะ

“น้องเดียร์” ดรุณีตะโกนเรียกออกไปโดยไม่ได้สนใจเพื่อนๆ ที่หันมามองเธอเป็นตาเดียว

“ใครเรียกว่ะ”  ชลธิดาได้ยินเสียงเรียกชื่อตัวเองแว่วๆ แต่หันซ้ายหันขวาไม่เห็นเจอใครนอกจากเพื่อนตัวเอง

“น้องเดียร์ วู้ๆ ทางนี้ๆ” เรียกอีกทีเสียงดังกว่าเดิม พร้อมรอยยิ้มกว้างเมื่อเห็นท่าทางเลิ่กลั่กของอีกคน

“ไอ้เดียร์ๆ มีสาวสวยเรียกมึงอยู่ข้างบนห้องวิทย์ว่ะ”  มิ่งขวัญบอกเพื่อนให้หายมึน

ชลธิดาแหงนหน้ามองดูตามตำแหน่งที่มิ่งขวัญบอก พอเห็นว่าสาวสวยที่ว่าเป็นใครก็ฉีกยิ้มกว้างจนตาหยียกมือขึ้นโบกทักทาย ‘นึกว่าใครทีแท้ก็นางฟ้าของเรานี่เอง อิอิ’   แต่ยังไม่ทันได้กล่าวทักทายตอบ รอยยิ้มที่ฉีกกว้างก็มีอันต้องหุบลง

“ผ้าถุงสวยดีนะ ท่าทางจะใส่สบายเน๊อะ คิกคิก”   น่านนางฟ้าของเธอเล่นเธอซะแล้ว

“อ๊ากกกกกก  อย่ามองน๊าาาาา”   ในทันทีที่ชลธิดาก้มลงมองสำรวจตัวเองก็แหกปากร้องลั่น พร้อมกับวิ่งหนีหายไปจากตรงนั้นในทันที ทำเอาเพื่อนๆ ยืนงงกันเป็นแถบๆ ว่าอินี่มันเป็นอะไร

ส่วนนางฟ้าคนสวยก็ยืนหัวเราะอยู่อย่างนั้น  เด็กคนนี้ทำอะไรบ๊องๆ ให้เธอดูอีกแล้ว นึกถึงใบหน้าตลกๆ ของคนที่วิ่งหนีไปก็ยิ่งชอบใจ เผลอยิ้มกว้างจนเห็นรอยบุ๋มที่แก้มสองข้างอย่างชัดเจน  ‘เด็กอะไรน่ารักน่าแกล้งชะมัด’

กฤตชยายืนมองดูกลุ่มรุ่นน้องด้านล่างอย่างไม่วางตา ทีแรกเธอก็มองจะจับผิดแฟนสาวกับรุ่นน้องที่ชื่อเดียร์นั้นอยู่หรอกนะ แต่สายตานักล่าดันเหลือบไปเจอของดีในกลุ่มรุ่นน้องนั้นเสียก่อน รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ปรากฏขึ้นที่มุมปาก ไม่นึกเลยว่าจะมาเจอของถูกใจเอาวันนี้ คิดแล้วก็อดเสียดายไม่ได้ ไม่รู้ว่าเด็กพวกนี้ไปอยู่ซอกมุมไหนกันมา เธอถึงไม่เคยเจอกับรุ่นน้องกลุ่มนี้มาก่อน  งานนี้คงต้องยกความดีให้กับแฟนสาวซะล่ะมั้ง  แต่ที่แน่ๆ สงสัยต้องไปหาทางตีสนิทกับไอ้เด็กโย่งนั้นซะแล้ว หึหึ

ชลธิดาหลังจากที่วิ่งเตลิดเปิดเปิงมาถึงห้องเรียนของตน จึงได้ก้มลงมองดูสภาพตัวเองอีกครั้ง   ผ้าถุงสีน้ำเงินแปร๊ดตัวยาวน่าเกลียดกับเสื้อนักเรียนสีขาวตัวโคร่ง ไหนจะรองเท้าสีดำวาววับ ดูยังงั๊ยยย ยังไงก็ไม่เข้ากันเลยสักนิด โธ่ๆ ทำไมสาวน้อยแฟชั่นนิต้าอย่างเธอ ถึงแต่งตัวได้น่าขำเช่นนี้

พอเห็นความทุเรศของตัวเองแล้วก็หน้าแดงขึ้นมาอีก ความอับอายที่ไม่เคยรู้สึกรู้สาตั้งแต่เช้ายันบ่าย เดินผ่านตาใครก็ตั้งมากมาย โดนแซวมาก็เยอะไม่เห็นรู้สึกไม่เห็นแคร์  แต่ทำไมพออยู่ต่อหน้านางฟ้าของเธอทั้งสายตาทั้งน้ำเสียงยามที่ล้อเลียนมา ทำไมเธอถึงได้รู้สึกอับอายขายขี้หน้าเช่นนี้ แล้วถ้าเจอกันคราวหน้าเธอจะทำหน้าอย่างไรดี

“อายชะมัดเลย” ว่าแล้วก็ถอนหายใจออกมาเสียยาว

หลังจากวันนั้นเป็นต้นมา ชลธิดาจอมตื่นสายกลับกลายเป็นตื่นแต่เช้ามาโรงเรียนได้ทุกวัน จนมารดาและเพื่อนๆ ทุกคนต่างแปลกใจในความเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ในครั้งนี้ พอใครถามถึงสาเหตุ ก็ปฏิเสธเสียงแข็งว่าไม่มีอะไร แล้วก็อ้างเหตุไปเรื่อยว่าตื่นแต่เช้าแล้วรถสองแถวมันว่างดีมีที่นั่งสบายไม่ต้องโหนให้เมื่อย เธอไม่ได้โกหกนะเพียงแต่ว่าบอกไม่หมดต่างหาก ว่าจุดประสงค์ที่แท้จริงในการแหกขี้ตาตื่นแบบนี้คือรุ่นพี่สาวคนสวยแม่นางฟ้าของเธอนั่นแหละ  ดังนั้น ทุกครั้งที่ขึ้นรถสองแถว เธอมักจะพกความหวังเล็กๆ มาด้วยเสมอ

แต่ก็ไม่สมหวังหรอกเพราะโอกาสที่จะได้เจอกันมันมีน้อยมาก รถสองแถวก็เยอะและรุ่นพี่ที่หมายปองจะมารอขึ้นรถที่ป้ายไหนเวลาใดไม่รู้เลย จึงได้แต่คอยมองหายามที่อยู่ในโรงเรียนแทน เจอบ้างไม่เจอบ้างเป็นวันๆ ไป แต่ถึงเจอก็ไม่ค่อยได้คุยอะไรกันมากนัก ส่วนใหญ่จะส่งยิ้มทักทายกันเสียมากกว่า แต่แล้ววันนี้เหมือนโชคชะตาจะเข้าข้าง เมื่อรุ่นพี่สาวคนสวยเดินขึ้นรถสองแถวมาให้ชลธิดาสมหวังเป็นครั้งแรก

ดรุณีเดินขึ้นรถสองแถวมา พอเห็นรุ่นน้องสาวร่างสูงนั่งอยู่บนเบาะรถอยู่ก่อนแล้วก็รู้สึกดีใจ ยิ่งพอเห็นเจ้าเด็กแสบฉีกยิ้มหวานจนตาปิดส่งมาให้ตน ก็อดที่จะส่งยิ้มหวานๆ ตอบกลับไปไม่ได้

“เจอกันอีกแล้วนะเรา”  ดรุณีหย่อนกายนั่งลงข้างๆ รุ่นน้อง

“มันคงเป็นโชคชะตาที่ทำให้เราได้เจอกัน”

“โอ้ เจอหน้าก็เสี่ยวเลยเฮะ” ดรุณีพูดยิ้มๆ

“ถึงจะเสี่ยวแต่ก็จริงใจนะเออ~~~” พูดพลางยักคิ้วให้ด้วย

“พูดอย่างนี้ คิดจะจีบพี่รึไงเรา หลงเสน่ห์เค้าล่ะสิท่า”  ดรุณีพูดอย่างอารมณ์ดี แต่อีกคนกลับทำสีหน้าเหมือนมีเรื่องให้ต้องคิดหนัก

“เฮอ~~~” เสียงถอนหายใจยาว เรียกความสนใจจากอีกฝ่ายได้เป็นอย่างดี

“เป็นอะไรไปคะ อยู่ดีๆ ถอนหายใจทำไม”

“ที่ถอนหายใจก็เพราะว่าเป็นทุกนะสิคะ” ตัวแสบแกล้งตีหน้าเศร้า

“ทุกข์? น้องเดียร์ทุกข์เรื่องอะไรคะ ปรึกษาพี่ได้ไหม” ดรุณีแตะที่หลังมือรุ่นน้องเบาๆ หวังจะช่วยคลายความกังวลให้อีกฝ่าย

“ก็........ทุก ทุกห้องหัวใจมีแต่พี่คนเดียว” บอกพร้อมกับรวบมือคนสวยมากุมไว้แทน

“เอ่อ แหม เป็นคำพูดที่เสี่ยวที่สุดตั้งแต่เคยได้ยินมาเลยนะคะเนี่ย”  ดรุณีหน้าขึ้นสี ถึงเธอจะมีคนมาขายขนมจีบมากมาย แต่ก็ไม่เคยมีใครใช้มุขเสี่ยวๆ แบบนี้จีบเธอมาก่อน แถมเธอดันชอบซะด้วยสิ  อาร๊ายยยย


“พี่คิดเหมือนเค้าไหม ว่าดวงเราสองคนคงสมพงษ์กันจังเลยเน๊าะ ถ้าไม่ใช่เนื้อคู่แต่ชาติปางก่อน ก็คงเป็นบุพเพที่ทำให้เค้ากับพี่มาเจอกัน” น่านเสี่ยวได้อีกไม่บันยะบันยังกันเลย จัดมาเป็นคอมโบเลยไหมคะน้อง

“แน่ใจ๋ ไม่ใช่ว่าคอยมาดักรอเพื่อเจอพี่หรอกนะ” ดรุณีแกล้งพูดหยอกเล่น แต่อีกคนดันอึ้งจริงไรจริงเสียนี้

“..............”‘ผู้หญิงคนนี้มีสัมผัสที่หกจริงๆ ด้วย’  ชลธิดาคิด

“เอ๊ะ! หรือว่าจริง นี่เรามาดักรอพี่จริงๆ เหรอ”  พอเห็นอีกคนนิ่งไป เธอเลยพลอยฉุกคิดขึ้นมาได้

เออใช่ พักนี้เธอมักจะเห็นรุ่นน้องตัวสูงคนนี้แว่บไปแว่บมาให้ได้เห็นตัวอยู่บ่อยๆ แต่กลับไม่ได้คุยกันสักที ก็เพิ่งจะมีวันนี้แหละที่มีโอกาสได้คุยกันเสียที แถมดูท่าทางจะเป็นคนคุยเก่งซะด้วย

“บะ บร้าาาเหรอ นี่มันบนรถนะพี่ ใครที่ไหนมันจะมาดักรอได้กัน  เพ้อป่ะ!” ชลธิดาปฏิเสธหน้าเสีย เผลอหลุดอาการซะขนาดนี้พี่เขาจะจับได้ไหมว่ะเนี่ย

“เพ้อไม่เพ้อไม่รู้ แต่ที่รู้ๆ พักนี้พี่เห็นเด็กโข่งที่ไหนก็ไม่รู้ ชอบมาด้อมๆ มองๆ อยู่เรื่อยเชียว”

“มะ ไม่จริงมั๊งงงงงง  คิดไปเองรึป่าว สงสัยจิตตกนะพี่  คนแก่ก็เงี๊ยหูตาฝ้าฟาง” ชลธิดาทำเสียงสูงต่ำเถียงหน้าตาย ‘เหอๆ เรื่องอะไรจะยอมรับเล่า เสียหน้าหมด’

“ก็เราไง พี่เห็นหรอกนะเจ้าเด็กโรคจิต! คิดจะเป็นสโตกเกอร์รึไง”  ดรุณีว่าพลางชี้หน้าเจ้าผู้ร้ายปากแข็ง

“เฮ้ย! เค้าป่าวโรคจิตนะ เค้าก็แค่อยากเจอพี่เฉยๆ เท่านั้นเอง  อ่ะ!!” รีบแก้ตัวอย่างลนลาน กว่าจะรู้ตัวก็เผลอสารภาพสิ้นไส้ไปเสียแล้ว   อาร๊ายย....ซวยแล้วไง

“นั่นแน่....ยอมรับสารภาพแล้วใช่ไหมเจ้าเด็กน้อย”  ดรุณียิ้มชอบใจที่จับผิดเด็กได้

“พี่อ่ะ เค้าไม่ใช่เด็กน้อยแล้วน้า~ เค้าโตแล้วเห็นไหม สูงกว่าพี่ตั้งเยอะแหนะ”  ไม่พูดเปล่า ยังทำท่าทางวัดระดับส่วนสูงที่ศีรษะด้วยมือ

“โตแต่ตัวนะสิเรา แล้วทำไมตอนเจอกันที่โรงเรียนไม่เข้ามาคุยกับพี่ดีๆ ล่ะ จะมาด้อมๆ มองๆ ทำไมกัน หืมม”

“ก็ๆ ไม่เอาหรอก เค้ากลัวโดนกัดอ่ะ” ชลธิดาทำหน้าเจื่อน พูดพลางเอานิ้วเขี่ยแก้มตัวเองไปมา ก็ไม่รู้จะเข้าไปคุยยังไงในเมื่อพี่อยู่กับเพื่อนตลอดเลย แล้วไอ้ที่กลัวโดนกัดน่ะ ไม่ใช่กลัวพี่คนสวยหรอกนะ กลัวเพื่อนพี่ต่างหากเล่า!  ชลธิดาคิด

“แล้วทำไมตอนนี้ถึงคุยได้ล่ะ ไม่กลัวโดนกัดแล้วรึไง”  ดรุณีถาม เธอไม่ใช่แมวนะจะได้เที่ยวไล่กัดคนเขาไปทั่ว

“ถ้าเป็นพี่ไม่กลัวหรอก และถ้าพี่อยากกัดน้องก็เต็มใจนะ”

“งั้นมาเลย เดี๋ยวจะกัดให้จมเขี้ยวเชียว”  ดรุณีว่าอย่างหมั่นไส้ คว้าแขนรุ่นน้องขึ้นมาทำท่าจะกัดเสียจริงๆ แต่อีกคนก็ไว รีบชักแขนออกมา

“เย๊ย! เค้าล้อเล่นน่า นี่ใจคอจะกัดน้องจริงๆ เหรอค่ะคุณพี่ขาาาาาาาาาาา”  ชลธิดาลากเสียงยาวเลียนแบบหนังแม่นาคที่พึ่งจะดูแผ่นมา

“คิกๆ เรานี่ตลกดีเนอะ”  ดรุณีหัวเราะชอบใจ

“อ่ะๆ แน่นอนใครๆ ก็เรียกเค้าว่าเดียร์เชิญเยิ้มทั้งนั้นแหละ”

“บ้า! เขามีแต่เชิญยิ้มไม่ใช่เชิญเยิ้ม”  บอกพลางหัวเราะขำ

“ของเดียร์นะเชิญเยิ้มถูกแล้ว ขืนใช้เชิญยิ้มเดี๋ยวโดนเก็บค่าลิขสิทธิ์ย้อนหลังอานกันพอดี”

“คิดได้เนอะ นอกจากเสี่ยวแล้วยังบ๊องอีกต่างหาก”  ดรุณีพูดกลั้วหัวเราะ เช้านี้เธอรู้สึกมีความสุขกว่าทุกวัน โชคดีจริงๆ ที่ได้เจอะกับรุ่นน้องคนนี้





 

Powered by EzPortal
    ต้นฉบับในเว็บไซต์เป็นลิขสิทธิ์ของผู้แต่งต้นฉบับที่นำมาลง
    copyright © Yuriread.com All rights reserved.