ตอนที่ 11
เช้าวันจันทร์บนรถโดยสารสองแถวแดง
“อารมณ์ดีอะไรมาเหรอคะ ยิ้มแป้นเชียว” ดรุณีเอ่ยทักพร้อมกับหย่อนกายนั่งลงข้างๆ รุ่นน้องสาวร่างสูง พักนี่พวกเธอมักจะได้เจอะกันอยู่บ่อยๆ ทั้งที่โรงเรียน และโดยเฉพาะอย่างยิ่งบนรถสองแถวแดง พวกเธอมักจะได้ขึ้นคันเดียวกันอยู่เสมอ และทุกครั้งที่ได้เจอกันเด็กคนนี้ก็ยังคงความน่ารักช่างพูดช่างคุยกับเธอเช่นเดิม ไม่ได้มีท่าทีว่าขัดเคืองเรื่องที่เธอไม่ได้บอกว่ามีแฟนแล้วตามที่เธอกังวลแต่อย่างใด
“เปล๊า...เค้าไม่ได้ยิ้มสักกะหน่อย” ชลธิดาปฏิเสธเสียงสูงทั้งๆ ที่ยังยิ้มกว้างอยู่เลย
“อย่ามาก็เห็นๆ กันอยู่ว่ายิ้ม ดูซิเนี่ยตาปิดไปหมดแล้ว” น่าหมั่นเขี้ยวจริงๆ เชียว ขอหยิกแก้มป่องๆ นั่นสักหน่อยเถอะ
“โอ๊ยยย พี่โออ่ะเค้าเจ็บน้า~ ดูดิแก้มเค้าโย้ไปหมดแล้ว~” เจ้าเด็กแสบร้องโอดครวญ แต่ไม่วายถือโอกาสจับมือคนสวยที่หยิกแก้มตนแบบเนียนๆ ไปด้วย
“ก็เราอยากน่าหยิกเองนี่น่า” เมื่อแกล้งจนเป็นที่พอใจแล้วจึงลดมือลงมาวางไว้บนตัก แต่อีกคนก็ยังทำเนียนไม่ยอมปล่อยมือคนสวยไปง่ายๆ ก็มันนุ่มอ่ะขอจับนานๆ หน่อยก็แล้วกัน หุหุ
“เค้าไม่ได้น่าหยิกสักกะหน่อย น่ารักต่างหากล่ะ” ว่าพร้อมกับทำเป็นยักคิ้วหลิ่วตาใส่
“แหวะ น่ารักตายล่ะ ไอ้เรื่องทะเล้นเนี่ยทีหนึ่งไม่มีใครเกินเลยนะ” ดรุณีว่าอย่างหมั่นไส้ พลางใช้นิ้วชี้ข้างที่ว่างจิ้มไปที่หน้าผากมนแรงๆ
“ทำเป็นมาแหวะเค้านะ อย่าเผลอเปลี่ยนใจมาหลงรักความทะเล้นของเค้าก็แล้วกัน” ชลธิดาว่าอย่างงอนๆ
“ทำไมคะ ถ้าเกิดหลงรักขึ้นมาจริงๆ แล้วจะทำไมเอ่ย” ดรุณียิ้มขำ ดูเจ้าเด็กขี้งอนเอามือลูบหน้าผากตัวเอง
“ก็ไม่ทำไมหรอกค่ะ พี่ก็แค่จะกลายเป็นผู้หญิงที่มีความสุขที่สุดในสามโลกเลยน่ะสิ อิอิ” ชลธิดาลดมือลง ก่อนจะยิ้มทะเล้นจนตาปิด
“จะจริงเร๊อะ กลัวจะเสียใจซะมากกว่า ท่าทางจะเจ้าชู้ไม่เบาเหมือนกันนะเนี่ย” ดรุณีแกล้งทำเสียงสูง หน้าตาท่าทางออกจะระแวงหน่อยๆ
“หยาบคายอ่ะพี่ คนอย่างเค้ารักใครรักจริง ไม่หลอกไม่ทิ้งจริงๆ นะเออ”
“แล้วถ้าไม่รักล่ะ” ดรุณีรีบสวนกลับ
“ก็ไม่รักไงจ๊ะ แหมๆ ทำเป็นหลอกถาม เค้าไม่หลุดง่ายๆ หรอกนะ”
“ก็เห็นพูดเป็นต่อยหอย ไอ้เราก็นึกว่าจะเผลอหลุดอะไรออกมาบ้าง”
“บอกได้คำเดียวว่า ยากค่ะ ฮ่าๆ”
“ถามจริงๆ เถอะ เจอหน้าพี่ที่ไร หยอดได้หยอดดีไม่เบื่อมั่งหรือไงเรา”
“เดียร์ถือคติหยอดกันวันละนิดพาให้จิตแจ่มใสคะ”
“ระวังเถ๊อะ ไปหยอดกับใครเขามากๆ เดี๋ยวเขาเกิดคิดเป็นจริงเป็นจังขึ้นมาแล้วมันจะยุ่งเอาน้า”
“โธ่พี่ เดียร์ไม่ได้ไปพูดอย่างนี้กับคนอื่นเขาไปทั่วซะหน่อย จะมีก็แต่ยัยเอมกับพี่เท่านั้นแหละ ส่วนพี่เองก็มีแฟนแล้วคงไม่ได้สนใจคำพูดเด็กๆ อย่างเดียร์มากนักหรอก ใช่หม้า” ดรุณีได้ยินก็ยิ้มในหน้า นึกในใจว่าพี่เองก็แอบหวั่นๆ อยู่เหมือนกันนะคะน้องเดียร์
“อีกอย่างคนตัวสูงๆ อย่างเราก็ทำได้แค่หยอดไปวันๆ เท่านั้นแหละหว้า~” พูดจาตัดพ้อทิ้งทายให้อีกคนสงสัยเล่น
“ยังไงคะ” ดรุณีทำหน้าฉงน
“ก็...เค้าสูงกว่าพี่โอใช่หม้า~ ก็เลยเป็นได้แค่คนหยอด ส่วนพี่จูนตัวเตี้ยกว่า ก็เป็นคนแคระไง” เว้นช่วงไว้นิดนึงก่อนจะพูดต่อว่า
“แคะพี่ไปนอนกิน อร่อยอยู่คนเดียวเลย อิจฉาาาาาๆ” พูดอย่างเดียวไม่พอ ยังทำหน้ากรุ้มกริ่มส่อเสียดไปในทางอย่างว่าอีกด้วย
“บ้า!! นอนกงนอนกินอะไรกัน เซี้ยวใหญ่แล้วนะเรา นี่แนะ!” ดรุณีถึงกับอายหน้าแดง ระดมหยิกหมับเข้าที่แขนเด็กแสบแก้เก้อ
“โอ๊ยยๆ! คุณพี่ขาาาา เบาๆ ค่าาา คุณน้องเจ็บ ดูสิเนี่ยจะเขียวหมดทั้งแขนอยู่แล้ว” ชลธิดาบ่นกระปอดกระแปดพลางเอามือลูบแขนตัวเองป้อยๆ
“ก็อยากปากดีทำไมล่ะ ไม่ตบปากแตกก็บุญแล้ว” ดรุณีกระเง้ากระงอดใส่ มาพูดอย่างนี้ได้ยังไงกัน เธอไม่เคยทำแบบนั้นกับกฤตชยาซะหน่อย ถึงฝ่ายนั้นจะคอยรบเร้าเธออยู่เสมอก็เถอะ เต็มที่ก็แค่ให้หอมแก้มแล้วก็มีจูบบ้างนิดหน่อยเท่านั้นแหละ
“แหมๆ คนสวยขาโหด เค้าไม่ใช่ดีแต่ปากอย่างเดียวนะเออ อย่างอื่นเค้าก็ดีนะจะบอกให้ ลองสักครั้งแล้วจะติดใจเน้อ” ยังไม่เข็ด ยังจะไปยั่ว (โมโห) เขาอีก ก็แหม พอเห็นคนสวยหน้างอแล้วมันอดไม่ได้นี่นา
“เหรออออ ลองแล้วจะติดใจใช่ไหม งั้นขอลองหน่อยแล้วกันนะ นี่แน่ะๆๆ” คนสวยว่าหน้าเหี้ยมก่อนจะระดมหยิกใส่จอมทะเล้นอีกครั้ง
“โอ๊ยๆๆ พี่พอแล้วๆ ไอ้แบบนี้ไม่ต้องลองแล้วค่ะ” ชลธิดาบอกเสียงหลงรีบปัดป้องมือคนสวยเป็นพัลวัน ตายๆๆ เพิ่งจะรู้ว่าคนสวยๆ เขาก็ซาดิสม์เหมือนกันนะเนี่ย แล้วนี่เธอจะกลายเป็นมาโซคิสม์ไปด้วยหรือเปล่า
“ไม่ได้ค่ะ! ยังลองไม่พอ ของแบบนี้ต้องลองเยอะๆ นี่ๆ” ดรุณีไม่ยอม เด็กอะไรก็ไม่รู้ชอบพูดจากำกวมชวนให้คิดอยู่ได้
“โอ๊ยพอเถอะค๊าบพี่น้อง เดี๋ยวข้าน้อยจะกลายร่างเป็นเดอะฮัคเสียก่อน เขียวจนไม่เหลือความขาวแล้วเนี่ย” ชลธิดายกมือไหว้ปลกๆ เป็นการบอกว่าเธอยอมแพ้แล้ว
“อิอิ ดีสมน้ำหน้า อยากทะลึ่งทะเล้นดีนัก น่าจะหยิกให้เขียวทั้งตัวเลย คิกคิก” ดรุณีหัวเราะ
“โห....นี่นางฟ้าหรือซาตานกันแน่เนี่ยใจร้ายชะมัดเลย” ชลธิดาทำปากบื่น พลางใช้มือลูบตามเนื้อตัวที่โดนคนสวยระดมหยิกเมื่อกี้นี้
“บ่นมากจริง จะถึงแล้วเตรียมตัวลงได้แล้วไป๊ เดี๋ยวพี่จ่ายค่ารถให้เป็นค่าปลอบขวัญแหล่ะกันนะ” ดรุณีตั้งท่าเตรียมลุกขึ้นยืน
“ใจดีจังเน๊าะ” ชลธิดาเองก็ขยับเตรียมลุกยืนตามมั่ง
“เดี๋ยวเหอะประชดพี่เหรอ” ดรุณีหันขวับกลับมา ส่งสายตาเขียวๆ มองหน้าคนพูด
“ป่าวค๊าบบ เค้าชมพี่ต่างหาก คนอะไรก็ไม่รู้ทั้งสวยทั้งใจดี ดีเลิศประเสริฐศรีที่สุดในโลก” ร่างสูงรีบพูดประจบกลบเกลื้อน
“แล้วไป ไอ้เรื่องความสวยรู้ตัวมานานแหล่ะ ส่วนเรื่องใจดีเนี่ยไม่แน่ แล้วแต่อารมณ์” ดรุณีว่าก่อนจะเชิดหน้ายืนขึ้น
“จ้าๆ” อีกคนก็ยืนตาม
เมื่อรถมาถึงป้ายรถเมล์หน้าโรงเรียนแล้ว ทั้งคู่ก็ลงจากรถ ดรุณีรีบเดินไปจ่ายค่าโดยสารสำหรับสองคน แล้วก็เดินกลับไปหาชลธิดาที่ยืนคอยอยู่ไม่ไกล สองสาวกำลังจะเดินตรงไปที่ประตูโรงเรียนด้วยกัน แต่แล้วจู่ๆ ก็มีเสียงตะโกนเรียกร่างสูงจากทางด้านหลังเสียก่อน ทำให้เจ้าของชื่อชะงักฝีเท้าและหันกลับไปมองตามเสียงเรียก ไม่นานเด็กสาวในชุดนักเรียนรุ่นราวคราวเดียวกันก็วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาหาเธอ
“มีอะไรว่ะปู วิ่งหน้าตาตื่นมาเชียวแก” ชลธิดาถามเพื่อนร่วมห้องที่มาหยุดยืนหอบต่อหน้า
“แฮ่กๆ อิเก๋....อิเก๋มัน แฮ่กๆ” เด็กสาวพูดจาไม่ปะติปะต่อ เพราะหายใจไม่ทันด้วยความที่รีบร้อนวิ่งมาหาตัวช่วยนั่นเอง
“ใจเย็นๆ ไอ้ปูหายใจลึกๆ แล้วเล่ามาว่าไอ้เก๋มันทำไม เกิดอะไรกับมัน” ร่างสูงบอกเพื่อน
“อิเก๋ๆ มันโดนพวกเด็กโรงเรียนนู้นลากไปแล้ว ไอ้เดียร์แกต้องไปช่วยมันนะเว้ย” ปูเงยหน้าขึ้นมาจับแขนร่างสูงเขย่า พร้อมกับบอกเล่าเรื่องราวอย่างร้อนรน
“ลากไปไหน แล้วพวกมันมากันกี่คน” ฝ่ายนี้พอได้ยินก็หน้าตื่น รีบสอบถามข้อมูลให้มากกว่านี้
“ไปป่าละเมาะหลังโรงเรียน พวกมันมากันเป็นสิบเลยแก” ปูบอก ทั้งน้ำเสียงและหน้าตาบ่งบอกถึงความกังวล
“ซวยแล้ว! แล้วแกโทรหาไอ้นัทมันหรือยัง” เก๋และปูเป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกับณัฐกานต์หากเพื่อนเกิดปัญหาณัฐกานต์จะออกมาเคลียร์ด้วยทุกครั้ง
“โทรแล้ว แต่เมื่อคืนไอ้นัทมันไปนอนที่บ้านแม่มัน ตอนนี้มันยังอยู่บนรถเมล์อยู่เลย อีกตั้งนานกว่าจะมาถึง” ปูตอบน้ำเสียงลุกลนป่านนี้เพื่อนเธอจะเป็นอย่างไรบ้าง
ชลธิดารีบหยิบสมาร์ทโฟนสีดำขึ้นมา หมายจะปลดล็อคโทรเรียกกำลังเสริมที่น่าจะอยู่บนห้องเรียนกันแล้ว งานนี้ลำพังแค่เธอสองคนไม่พอแน่ แต่....
“บ้าชิบ! เสือกมาหมดอะไรตอนนี้ว่ะ” ชลธิดาสบถใส่อย่างหัวเสีย หน้าจอที่ดำสนิทบ่งบอกว่าแบตเตอรี่โทรศัพท์ไม่พร้อมให้ใช้งาน
“เอาอย่างนี้ เดี๋ยวแกกับฉันไปช่วยอิเก๋กันก่อน ส่วนพี่โอ เค้าวานให้พี่ไปบอกพวกไอ้อ้อมที่ห้องเรียนให้หน่อยได้ไหม บอกกับพวกมันว่าให้ไปเจอเค้าที่ป่าละเมาะหลังโรงเรียน รีบๆ ด้วยล่ะเค้ายังไม่อยากถูกยำให้พวกมันรุมกิน” พูดจบก็วิ่งออกไปทันทีไม่รอคำตอบใดๆ โดยมีเด็กที่ชื่อปูวิ่งตามไปติดๆ
ดรุณีรู้สึกกังวลกับเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นอย่างมาก เธอเป็นห่วงรุ่นน้องที่เพิ่งแยกจากไป เพราะเท่าที่ฟังดูคนพวกนั้นมีเป็นสิบ ส่วนคนที่วิ่งไปช่วยเมื่อกี้มีแค่สองคนแล้วจะไปสู้อะไรเขาได้ ยิ่งคำพูดติดตลกที่รุ่นน้องพูดทิ้งทายเอาไว้ ซึ่งเธอคิดว่ามันไม่ตลกเลยสักนิดเดียว กลับทำให้ยิ่งร้อนใจมากขึ้นไปอีก ดรุณีขยับเท้าออกจากตรงนั้นทันที เธอรีบวิ่งไปที่ประตูโรงเรียนจุดมุ่งหมายเดียวของเธอในตอนนี้คือห้อง ม.3/4
<
<
ห้องเรียน ม.3/4
“น้องอ้อมอยู่หรือเปล่า!!”
เพราะได้ยินเสียงตะโกนเรียกชื่อตัวเองดังลั่นที่หน้าประตู ทำให้เจ้าของชื่อหันขวับไปมองแบบเคืองๆ ว่าใครกันที่ส่งเสียงขัดจังหวะการเมาท์อย่างเมามันส์ ระหว่างเธอกับนุชนารถเรื่องเดทกับร่างสูงเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา และเมื่อมองไปตามเสียง ก็เห็นบุคคลที่รู้จักกันได้ไม่นานที่ไม่น่าจะมาปรากฏกายอยู่ที่นี้ได้เลย บวกกับการเรียกหาเธอแทนที่จะเป็นเพื่อนสาวร่างสูง ก็ยิ่งทำให้คนขี้สงสัยอดที่จะแปลกใจไม่ได้ ส่วนอีกคนที่ร้อนใจกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น เมื่อมองเห็นเป้าหมายที่ยืนนิ่งอยู่กับสาวตัวเล็กในห้อง ก็รีบสาวเท้าก้าวเข้าไปโดยไม่สนสายตาใครๆ ที่กำลังมองมาที่เธอ
“น้องอ้อมเด็กที่ชื่อเก๋มีเรื่อง ตอนนี้เดียร์กับปูกำลังไปช่วยอยู่ เดียร์บอกว่าให้พวกอ้อมตามไปที่ป่าละเมาะหลังโรงเรียนค่ะ รีบหน่อยนะคะพวกนั้นมากันเป็นสิบเลย” สิ้นเสียงหวานออกจะลนๆ ของสาวรุ่นพี่ พวกชโลธรต่างก็ลุกพรวดกันในทันที ก่อนจะหันมาบอกให้เพื่อนร่วมห้องช่วยเก็บกระเป๋าของพวกเธอไว้ให้ด้วย เพื่อนคนนั้นก็พยักหน้ารับอย่างรู้งาน
พวกของชโลธรต่างวิ่งกรูกันลงมาจากอาคารเรียน เพื่อตรงไปยังบริเวณด้านหลังของห้องน้ำหญิงเก่าที่ถูกปิดตาย โดยมีดรุณีวิ่งตามหลังลงมาติดๆ ด้วย เมื่อมาถึงจุดหมายแล้วทัศนีย์จัดการแหวกกิ่งไม้แห้งที่ขวางทางออก จนดรุณีมองเห็นโต๊ะเรียนเก่าๆ ที่มีเก้าอี้ไม้วางซ้อนอยู่บนนั้นอีกหนึ่งตัว ทั้งสองอย่างถูกจัดวางให้ชิดกับพนังของกำแพงซึ่งเป็นรั้วของโรงเรียน มันคงจะเป็นโต๊ะเรียนที่ชำรุดและไม่ได้ใช้งานแล้ว เด็กพวกนี้คงจะไปเก็บมันมาแล้วเอามาซ่อนไว้ที่ตรงนี้ เพื่อเอาไว้หนีออกไปนอกโรงเรียนสินะ
ดรุณีเห็นทัศนีย์ปีนขึ้นไปยืนบนโต๊ะเป็นคนแรก จากนั้นก็เหยียบขึ้นไปบนเก้าอี้อีกทอดหนึ่ง ก่อนจะขึ้นไปนั่งบนกำแพงและหย่อนตัวลงไปอีกฝากหนึ่ง ตามด้วยหนึ่งฤทัยซึ่งก็ทำแบบเดียวกัน จากนั่นก็เป็นชโลธร ขณะที่นุชนารถกำลังขยับเท้าตามเพื่อเตรียมตัวข้ามเป็นคนสุดท้าย หางตาของเธอก็เหลือบไปเห็นรุ่นพี่คนสวยทำท่าเหมือนจะตามมาด้วย ก็เลยชะงักเท้าแล้วหันมาถาม
“พี่โอจะทำอะไรค่ะ”
“พี่ขอไปด้วยนะเอม พี่เป็นห่วงเดียร์...เออ..เป็นห่วงพวกเรากลัวว่า......” ยังไม่ทันที่ดรุณีจะพูดจบประโยค นุชนารถก็พูดแทรกขึ้นมาเสียก่อน
“อย่าดีกว่าค่ะ ผ้าขาวแบบพี่ก็ควรอยู่ในที่ๆ ควรอยู่ อย่าเอาตัวไปเกลือกกลั้วกับพวกเราให้แปดเปื้อนเลยค่ะ” น้ำเสียงที่ดูนิ่งๆ แต่คำพูดฟังแล้วออกจะแปลกๆ ไปซะหน่อยนะ
“เอมพูดอย่างนี้หมายความว่าไง” ดรุณีขึ้นเสียงเล็กน้อย เธอไม่เข้าใจว่าทำไมเด็กคนนี้ถึงทำท่าเหมือนไม่อยากให้เธอไปด้วย ทั้งๆ ที่เธอเองก็เป็นห่วงร่างสูงเหมือนกัน
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ ที่เอมมันพูดก็เพราะว่ามันเป็นห่วง เพราะถ้าเกิดมีเรื่องราวใหญ่โตกันขึ้นมา จนถึงหูอาจารย์แล้วล่ะก็ พี่เองก็จะพลอยซวยไปด้วย ทั้งๆ ที่พี่เองไม่มีส่วนเกี่ยวข้องและไม่ได้ทำอะไรผิดด้วยเลย” ชโลธรพูดแก้ต่างให้เพื่อนสาว เพราะยังไม่อยากให้ทั้งสองคนมาผิดใจกันในเวลานี้
“แต่...” ดรุณีเสียงอ่อนลง
“ก็อย่างที่อ้อมมันพูดแหละค่ะ หวังว่าพี่คงจะเข้าใจ” นุชนารถตอกย้ำอีกครั้ง ทำเอาคนฟังสลดกับเหตุผลไปเลย
“อืมม....พี่โอค่ะ ถ้าพี่อยากช่วยพวกเราจริงๆ แล้วล่ะก็....พี่ช่วยเอากิ่งไม้พวกนั้นมาปิดไว้เหมือนเดิมจะได้ไหมค่ะ” ชโลธรเห็นรุ่นพี่สาวทำหน้าจ๋อยก็อดที่จะสงสารไม่ได้ ก็รู้นะว่าคงเป็นห่วงเพื่อนตัวสูงของเธอ แต่ถึงจะให้ตามไปด้วยก็ไม่มีประโยชน์อะไรอยู่ดี เผลอๆ จะกลายเป็นภาระพลอยทำให้คนอื่นเป็นห่วงซะมากกว่า ถ้าหากถึงคราวที่ต้องตะรุมบอนกันขึ้นมาจริงๆ
“ได้จ๊ะได้ เรื่องแค่นี้สบายมาก” ดรุณียิ้มออก อย่างน้อยก็ยังได้ช่วยเหลืออะไรบ้างล่ะนะ
“ขอบคุณค่ะ เออ แล้วพี่ก็ไม่ต้องห่วงไอ้เดียร์มันนะ ไอ้นั่นมันถึกจะตาย มันไม่ยอมถูกใครกระทืบง่ายๆ หรอก” ชโลธรยิ้มสวย บอกให้สาวรุ่นพี่คลายกังวล
“จ๊ะ พวกเราเองก็ระวังตัวด้วยนะ” ดรุณีบอก เธอเป็นห่วงเด็กพวกนี้ด้วยความจริงใจ
“ส.บ.ม.ย.ห. เรื่องแค่นี้จิ๊บๆ ค่ะพี่ ไปกันเถอะเอม ป่านนี้ไอ้เดียร์มันเหมาซัดอิพวกนั้นสลบไปหมดแล้วมั้ง” ชโลธรพูดติดตลก
“อืมม” นุชนารถรีบปีนโต๊ะตามชโลธรไปทันที ใจเธอตอนนี้บินไปหาคนตัวสูงตั้งนานแล้ว
<
<
ผลัวะ!! พลั้ก!! เพี้ยะ!! ตุบ!!
เสียงลงไม้ลงมือของเด็กมัธยมต้นสองคน ที่กำลังคลุกวงในกันอยู่ในขณะนี้มีให้ได้ยินเป็นระยะๆ แต่หากใครได้มีโอกาสเข้ามาดูในระยะใกล้ๆ ก็จะเห็นได้ว่า เด็กสาวร่างสูงหน้าตาน่ารักขัดกับท่าทางรุนแรงที่กำลังประเคนแม่ไม้มวยไทยใส่เด็กสาวอีกคนแบบไม่ยั้ง ชนิดที่เรียกว่าถ้าบัวขาวมาเห็นคงจะต้องเชิญไปอยู่ร่วมค่ายแน่ๆ
เพียงไม่นานเด็กสาวที่มีความสูงไล่เลี่ยกันแต่ตัวใหญ่กว่า ก็ลงไปนอนแอ้งแม้งอยู่กับพื้นเสียแล้ว 'กระดูกมันคนละเบอร์กันยะ! ให้มันรู้จักฤทธิ์เดชศิษย์เอกเจ๊พายซะมั่ง'
“ยังมีใครหน้าไหนอยากเจ็บตัวอีกไหม ถ้ามีก็เข้ามาเลย!” น้ำเสียงดุฟังดูเกรี้ยวกราดและสายตาที่ดุดันแต่แฝงไว้ด้วยความระมัดระวัง กำลังกวาดสายตามองไปยังคู่กรณีที่ยืนอยู่ล้อมรอบตัวเธอและเพื่อนสาวอีกสองคน
กลุ่มเด็กสาวต่างมองหน้ากันอย่างเลิ่กลั่ก ก็พวกตัวใหญ่ๆ ตบเก่งๆ ทั้งสามคน โดนยัยนี่สอยร่วงไปหมดแล้ว ที่เหลือก็มีแต่พวกตัวเล็กๆ แถมฝีมือก็ห่วยอีกต่างหาก แล้วจะเอาอะไรไปสู้กับยายเถื่อนนั้น
ที่แรกที่เธอกับปูมาถึงที่เกิดเหตุ ก็เห็นเก๋ถูกห้อมล้อมไปด้วยกลุ่มเด็กนักเรียนหญิงนับสิบคน และทั้งๆ ที่เพื่อนเธอลงไปนอนกองกับพื้นอย่างคนไร้ทางสู้แล้ว แต่หนึ่งในพวกนั้นกลับไม่พอใจยังคงเตะซ้ำเข้าไปที่ท้องของเพื่อนเธออีกหลายครั้งจนตัวงอ พอเห็นดังนั้นเธอกับปูก็วิ่งฝ่าวงล้อมตรงเข้าไปผลักอกเสียเต็มแรง จนเด็กคนนั้นล้มลงก้นจำเบ้ากับพื้นดินทันที
ชลธิดาและปูรีบเข้ามาประคองตัวเก๋ด้วยความเป็นห่วง โดนอะไรไปบ้างก็ไม่รู้แต่ที่แน่ๆ จากสภาพที่เห็นคงจะหนักน่าดูอยู่เหมือนกัน ร่างสูงนึกภาพไม่ออกเลยว่าถ้าหากปูไม่มาตามเธอให้มาช่วยแล้วล่ะก็สภาพของเก๋จะเป็นเช่นไร
“มึงอย่ามาทำปากดี ในเมื่อมึงเก่งนัก พวกเรารุมแมร่งเลยดูซิว่ามันจะแน่สักแค่ไหน” เด็กใจร้ายคนเดิมพูดเสียงดังขึ้นมา ในเมื่อตัวต่อตัวสู้ไม่ได้ก็หมาหมู่มันซะเลย
“ชิส์!!” ร่างสูงจิ๊ปากอย่างไม่พอใจ อิพวกนี้แมร่งไม่เคยรักษาคำพูดเลย พอตัวต่อตัวสู้ไม่ได้ก็คิดจะรุมกูเลยรึไง
และแล้วเหตุการณ์สิบรุมสามก็เกิดขึ้น ช่วงเวลานี้ไม่รู้ใครเป็นใคร รู้แต่ว่าต่างคนต่างเอาตัวเองให้รอดเสียก่อน เด็กคนหนึ่งตรงหรี่เข้ามาจะทำร้ายเก๋แต่ปูก็เข้ามาขวางเอาซะไว้ จึงเกิดการต่อสู้ตบตีกันอย่างไม่มีใครยอมใคร ทั้งจิกทั้งตบทั้งดึงผมสารพัดสุดแล้วแต่ใครจะงัดวิธีการใดออกมาใช้ ส่วนชลธิดาตอนนี้ดูน่าหนักใจสุด เพราะแต่ละคนที่เข้ามาหมายจะรุมเธอเสียให้ได้ เธอจึงจำเป็นต้องถอยบ้างสู้บ้าง สถานการณ์แบบนี้ปักหลักสู้อย่างเดียวไม่ได้ ชีวิตจริงมันไม่เหมือนในละครที่จะได้มีคิวบู้รับส่ง ชีวิตจริงมันรุมใส่กันอย่างเดียว มันไม่สนหรอกว่าเธอกำลังสู้อยู่กับใคร แต่พวกมันจะตามมาสมทบและจัดการกับเธอทันที!
สุดท้ายน้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ คนส่วนน้อยย่อมพ่ายแพ้ให้กับคนส่วนมาก เก๋และปูถูกเด็กพวกนั้นจับตัวเอาไว้ หน้าตาที่เคยขาวใสบัดนี้กลับแดงกล่ำไปด้วยรอยฝ่ามือ ซึ่งก็ไม่ต่างจากชลธิดาเท่าไหร่หรอก เด็กสาวใจร้ายคนเดิมที่เคยเตะเก๋ย่างสามขุมเดินตรงเข้ามาหา หยุดยืนตรงหน้าชลธิดาที่ถูกจับให้คุกเข่าและล็อคแขนทั้งสองข้างเอาไว้ เด็กคนนั้นจิกผมเธอให้แหงนหน้าขึ้นมา รอยยิ้มเหยียดแบบสะใจปรากฏขึ้นบนใบหน้า
เพี๊ยะ!! เพี๊ยะ!!
ฝ่ามือหนักๆ กระทบเข้ากับแก้มถึงสองครั้ง ใบหน้ากลมหันสะบัดไปตามแรงกระแทกทั้งซ้ายและขวา ความรู้สึกชาเกิดขึ้นที่ใบหน้าก่อนที่มันจะค่อยๆ เปลี่ยนไปเป็นความเจ็บแผ่กระจายไปทั่วทั้งแก้ม เสียงหัวเราะหึอย่างหยามเหยียดดังขึ้นในลำคอ แม้ตอนนี้เธอจะเป็นฝ่ายเสียท่าแต่แทนที่เธอจะหวาดกลัว แต่จิตใจของเด็กสาวกลับไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลย เธอกลับยกยิ้มเยาะดูถูกพวกหมาหมู่ไร้ศักดิ์ศรีจนเจ็บจี๊ดที่มุมปาก
“ไงล่ะเก่งนักไม่ใช่เหรอ ทำไมไม่เก่งให้ตลอดล่ะ ถุย!!” โดนตบขนาดนี้ยังจะทำหน้ายโสโอหังได้อีกนะมึง
อืมมมม....เต็มๆ น้ำลายเป็นฝอยๆ เกาะอยู่ตามใบหน้าที่มีรอยแดง นี่ถ้าไม่เกรงใจกับสถานการณ์ที่เป็นอยู่ เธอคงจะถามกลับไปแล้วว่า มึงแปรงฟันก่อนออกจากบ้านมาหรือเปล่า สงสัยเสร็จจากตรงนี้คงต้องกลับไปล้างหน้ากันหลายตลบ เผลอๆ อาจจะต้องไปขอน้ำมนต์มาล้างหน้ากันเสียด้วยซ้ำ แต่ก่อนที่จะมีการทรมานเชลยศึกมากไปกว่านี้ กองกำลังฝ่ายพันธมิตรก็มาถึงจุดปะทะกันเสียที โอ้วว ในที่สุดโชคเข้าข้างคนหน้าตาดีบ้างแล้ว
พลั้ก!!! เสียงกระแทกอย่างแรงพร้อมกับภาพของเด็กหญิงใจร้าย กระเด็นออกไปเพราะแรงถีบจากเรียวขาขาวที่แสนจะคุ้นเคย ผ่านหน้าชลธิดาไปแบบสโลว์โมชั่น (อันนี้เดียร์คิดไปเอง หุหุ)
รอยยิ้มกว้างปรากฏที่ใบหน้าของชลธิดาขึ้นอีกครั้ง เมื่อเธอนึกถึงน้ำสะอาดๆ และโฟมล้างหน้าที่แสนจะคิดถึง ว่าแล้วก็รีบยันกายลุกขึ้นยืนพร้อมกับสลัดแขนทั้งสองให้หลุดจากการจับกุม ก่อนจะหวนฟันศอกย้อนหลังเข้ากกหูขวาของเด็กสาวที่ล็อคแขนเธอเสียนาน ให้ล้มลงไปนอนดิ้นพราดด้วยความเจ็บปวด
“มาช้าจัง” ชลธิดาเอ่ยทักอัศวินขาขาวผู้ที่เข้ามาทำการช่วยเหลือในครั้งนี้
“โทษที นี่ก็รีบมาที่สุดแล้ว ว่าแต่แกเป็นอะไรมากรึเปล่า” ถามคนที่ยืนหันหลังชนกัน ตอนนี้เริ่มมีคู่กรณีสองสามคนมายืนล้อมกรอบพวกเธอสองคนบ้างแล้ว
“สบายมากโดนแค่นี้จิ๊บๆ ว่าแต่...ขาสวยไม่เปลี่ยนเลยนะ” ร่างสูงพูดก่อนจะก้มหลบมือเด็กสาวคนหนึ่งที่พุ่งตรงเข้ามาหา จากนั้นก็ปล่อยฮุกขวาสวนเข้าที่ท้องไปหนึ่งหมัด ทำให้เด็กคนนั้นลงไปนอนกุมท้องร้องโอดโอ้ย
“ไอ้บ้า! ปากดีอย่างนี้น่าจะปล่อยให้โดนอีกสักสองสามที แล้วค่อยมาช่วยนะ” นุชนารถว่า ก่อนจะโยนเข่าเข้าที่ชายโครงเด็กสาวที่ถูกเธอถีบไปก่อนหน้านี่ไปสองที จากนั้นก็แถมฝ่ามือหนักๆ ลงไปที่แก้มอีกไม่นับ จนเด็กสาวยืนไม่ไหวรูดตัวล้มลงไปกองร้องไห้อยู่ที่พื้น ส่วนอีกคนพอเห็นเพื่อนสู้ไม่ได้ก็เกิดความกลัว รีบวิ่งหนีออกไปจากตรงนั้นทันที
“ใจร้ายจังเลยน้า~ แกเนี่ย” ชลธิดาหันมาหาคู่สนทนา ซึ่งก็พอดีกับที่นุชนารถหันหน้ามาคุยด้วยเช่นกัน จึงทำให้เห็นแก้มป่องๆ นั้นมีรอยแดงเต็มไปหมด แล้วยังมีรอยเลือดที่มุมปากเสียด้วย นุชนารถรีบเข้าไปประคองใบหน้านั่นไว้ด้วยความเป็นห่วง
“เจ็บไหมมากเดียร์ ทำไมโดนเยอะอย่างนี้ แล้วไอ้จุดขาวๆ ที่หน้านี่มันอะไรอ่ะ” คนตัวเล็กสังเกตเห็น จึงถามถึงสิ่งผิดปกติบนใบหน้าร่างสูง
“ก็น้ำลายอิคนที่แกทีบหงายท้องไปไงล่ะ” ชลธิดาตอบเซ็งๆ ไม่รู้จะจัดการกับหน้าตัวเองอย่างไรดี
“ยี้...หยะแหยงอ่ะ รีบเช็ดออกเลยทุเรศ!” นุชนารถทำหน้ารังเกียจ พลางหยิบกระดาษทิชชูที่เธอมักจะพกติดตัวไว้เป็นประจำส่งให้ อีกคนก็รับไว้แล้วจัดการเช็ดหน้าเช็ดตาให้เรียบร้อย ก่อนที่จะเข้าไปช่วยเพื่อนที่กำลังบู้อยู่ทางนู้นอีกที
และแล้วเหตุการณ์ทุกอย่างก็สงบลง เมื่อกลุ่มเด็กสาวต่างถิ่นล่าถอยไม่เป็นขบวน เพราะสู้ฤทธิ์เดชของเจ้าถิ่นไม่ไหว แต่ยังไม่วายพูดฝากฝั่งความแค้นเอาไว้ ก่อนที่เพื่อนจะเข้ามาหิ้วปีกจากไป
“เอาไงดีล่ะทีนี่ สภาพแบบนี้กลับเข้าโรงเรียนไม่ได้แน่” ชโลธรขอความเห็น เมื่อเหตุการณ์เข้าสู่ภาวะปกติ
“คงต้องหาที่ล้างหน้าล้างตาทำแผลกันก่อนล่ะ ดูซิเนี่ยสภาพดูได้ทีไหนกัน” นุชนารถบอกพลางจับคางชลธิดาหันซ้ายขวาไปมา
“แต่อิเก๋เจ็บหนักอย่างนี้ จะให้ไปบ้านแม่อิหนึ่งคงไม่ไหวมันไกลเกินไป” ทัศนีย์บอก
“แล้วมีบ้านใครที่พอไปได้แล้วอยู่ใกล้มากที่สุดล่ะ” หนึ่งฤทัยถาม จะให้พาไปบ้านพ่อเธอก็ไม่ได้ซะด้วย ขืนพ่อรู้ว่ามีเรื่องกันมีหวังได้หัวเราะชอบใจ แล้วส่งเธอไปเรียนศิลปะป้องกันตัวเพิ่มอีกแน่ๆ
“..............” แล้วทุกคนก็เงียบไปเพราะกำลังใช้ความคิด
“อิปู...อิเก๋...กูมาช่วยแล้ววววว”
ทุกคนหันไปหาต้นเสียงโดยพร้อมเพรียงกัน และรอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของทุกคน ‘รู้แล้วว่าจะไปบ้านใคร’ณัฐกานต์วิ่งหน้าตั้งเข้ามาหาเพื่อนๆ ตั้งแต่เธอรับโทรศัพท์ของปูเรื่องเก๋เธอก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ เพียงแต่ว่าเวลานั้นเธอยังอยู่บนรถเมล์ ทำให้ไม่สามารถทำอะไรได้มากไปกว่าการรอจนกว่ารถจะมาถึง และเมื่อมาถึงแล้วเธอก็รีบใส่เกียร์หมาวิ่งมาหาเพื่อนในทันที แต่ดูเหมือนว่ามันจะสายไปเสียแล้ว
“แมร่งเหมือนหนังไทยเลย ตำรวจมาตอนจบ” คำพูดกวนๆ ของชลธิดาเรียกเสียงหัวเราะจากเพื่อนๆ ได้เป็นอย่างดี อีกครั้งแล้วกับมิตรภาพที่พวกเธอสร้างขึ้นมา (แบบไม่ได้ตั้งใจ) แม้มันจะไม่ใช่เรื่องที่ดีที่ควรเอาเป็นแบบอย่าง แต่อย่างน้อยมันก็ทำให้รู้ว่าพวกเธอไม่เคยทิ้งกัน
<
<
อีกฝากหนึ่งของกำแพงโรงเรียน
บนห้องเรียนของชั้น ม.4/2 อาจารย์ประจำวิชาคณิตศาสตร์ กำลังยืนอธิบายสูตรคิดคำนวณบนกระดานไวท์บอร์ดให้กับนักเรียนของเขาด้วยความตั้งใจ แต่คำอธิบายต่างๆ ที่อาจารย์กำลังสอนอยู่นี้กลับไม่ได้เข้าหัวเธอเลยสักนิดเดียว ทั้งๆ ที่เธอควรจะตั้งใจเรียนเพราะมันเป็นวิชาเก่งที่เธอชอบ แต่ตอนนี้มันกลับไม่เป็นเช่นนั้น ตอนนี้เธอรู้สึกอยากให้หมดเวลาเรียนไปเสียเร็วๆ ใจเธอกำลังจดจ่อให้ถึงเวลาพักเที่ยง เพื่อเธอจะได้ไปตามข่าวคราวของเด็กรุ่นน้องพวกนั้นว่าเป็นอย่างไรกันบ้าง ภายในใจกำลังกังวลปนความเป็นห่วงว่าพวกของชโลธรจะไปช่วยเจ้าเด็กแสบของเธอทันหรือเปล่า
“ป่านนี้จะเป็นยังไงกันบ้างนะ” ดรุณีคิ้วขมวดพึมพำกับตัวเองเบาๆ
“หืมม ว่าอะไรนะ.....โอๆ โอคะ” เมื่อเรียกแล้วยังไม่รู้สึกตัว กฤตชยาเลยเขย่าที่หัวไหล่แฟนสาวไปด้วย
“หะ หา อะไรคะจูน” คนสวยหันมาทำหน้างงๆ
“เป็นอะไรนะโอ ทำไมดูเหม่อๆ เราเรียกเท่าไหร่ก็ไม่ตอบ” สาวหล่อถาม
“แล้วจูนเรียกเราทำไมอ่ะ” ดรุณีไม่ตอบแต่เบี่ยงเบนโดยการถามคำถามกลับไปแทน
“ก็เมื่อกี้เราเห็นโอบ่นพึมพำอะไรก็ไม่รู้ ตั้งแต่เช้ามาโอดูแปลกๆ ไปนะ มีอะไรหรือเปล่า” สาวหล่อสังเกตเห็นอาการแปลกๆ ของแฟนสาว ชวนคุยก็ไม่ค่อยคุยและยังเผลอเหม่อลอยบ่อยๆ ด้วย
“ระ..เหรอ สงสัยบ่นหิวข้าวมั้งไม่มีอะไรหรอก” ดรุณีแถหน้าตาเฉย เธอจะบอกคนตรงหน้าได้อย่างไร ว่าเรื่องที่ทำให้เธอกังวลอยู่ตอนนี้คือเรื่องของเด็กรุ่นน้องยกพวกตีกัน ป่านนี้แล้วไม่รู้ว่าจะเป็นยังไงกันบ้าง อีกอย่างถ้าเกิดไอรดาหรือใครมาได้ยินเข้า แล้วนำไปบอกกับอาจารย์ล่ะก็เรื่องใหญ่แน่ๆ
“โอ...เราเป็นห่วงนะ ถ้ามีอะไรโอคุยกับเราได้ตอลด เรายินดีที่จะรับฟังเสมอนะ” กฤตชยาไม่อยากจะเชื่อ ก็หน้าตาท่าทางของดรุณีมันเหมือนคนหิวข้าวซะทีไหนล่ะ แต่จะทำอย่างไรได้ในเมื่อเจ้าตัวเขาไม่อยากบอก เขาก็คงทำได้แค่ส่งความห่วงใยไปให้เท่านั้น
“อืมม ไม่มีอะไรหรอก ขอบใจนะจูน” ดรุณียิ้ม เพื่อให้กฤตชยาคลายกังวลลง
“ขอบใจทำไม ก็เราเป็นแฟนกันนี่นา” สาวหล่อยิ้มตอบพลางเลื่อนมือมาเกาะกุมมือนุ่มของแฟนสาวเอาไว้
<
<
พักกลางวัน
สิ้นเสียงทำความเคารพตอนหมดชั่วโมงเรียน ดรุณีรีบขอตัวแยกออกมาจากกลุ่มเพื่อนในทันที โดยแสร้งบอกไปว่าปวดท้องจะรีบไปเข้าห้องน้ำและให้เพื่อนๆ ไปเจอกันที่โรงอาหารได้เลยไม่ต้องคอยเธอ แล้วก็รีบวิ่งออกไปจากห้องด้วยความรวดเร็ว ไม่ทันให้เพื่อนหรือใครได้ทัดทานอะไร ดรุณีใช้เวลาไม่นานก็มาถึงห้องเรียนของ ม.3/4 โชคดีที่ห้องเรียนของเธอกับรุ่นน้องตัวแสบอยู่อาคารเรียนเดียวกัน โดยห้องเรียนของชั้น ม.4 อยู่ชั้นที่สี่และห้า ส่วนของ ม.3 อยู่ชั้นที่สองและสาม
ดรุณีมาถึงแล้วแต่เธอยังเข้าไปในห้องเรียนไม่ได้ เพราะติดที่อาจารย์ผู้สอนยังไม่ออกจากห้อง เธอรอจนกระทั้งอาจารย์สั่งงานเด็กๆ เสร็จและเดินออกมา ตามด้วยกลุ่มเด็กนักเรียนที่ทยอยเดินกันออกมาจากห้องเพื่อลงไปยังโรงอาหาร ดรุณีพยายามสอดส่ายสายตามองหากลุ่มของชลธิดาก็ไม่พบ ซึ่งก็ยิ่งทำให้เธอรู้สึกกระวนกระวายมากขึ้นไปอีก จนกระทั้งเธอรู้สึกว่ามีใครมาสะกิดที่ไหล่เบาๆ จากทางด้านหลัง เธอจึงหันกลับไปมอง
“พี่มาหาใครเหรอ อ้าว...นึกว่าใครที่แท้ก็พี่โอคนสวยของไอ้เดียร์นี่เอง ว่าแต่พี่มาทำอะไรแถวนี่คะ” มิ่งขวัญพูดหยอกขึ้น เมื่อเห็นว่าคนที่มายืนป้วนเปี้ยนอยู่หน้าห้อง เป็นรุ่นพี่สาวคนสวยขวัญใจไอ้เพื่อนตัวดี แล้วก็พาลทำให้เธอนึกถึงวันที่ร่างสูงออกอาการอายจัด ถึงขนาดต้องวิ่งหนีเพียงเพราะโดนรุ่นพี่สาวแซวเรื่องผ้าถุง ที่แรกเธอก็งงๆ ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องวิ่งหนี แต่หลังจากวันนั้นเป็นต้นมาเธอถึงได้เข้าใจ เพราะไอ้เพื่อนตัวแสบมักจะชวนเธอไปซุ่มดูรุ่นพี่คนนี้อยู่เสมอ จนกระทั้งวันที่รู้ว่ารุ่นพี่สาวคนสวยมีแฟนแล้วนั่นแหละ ปฏิบัติการซุ่มมองคนสวยถึงได้ยุติลง
แต่ก็ดูเหมือนฟ้าจะกลั่นแกล้งคนปลื้มแฟนชาวบ้าน เมื่อเจ้าของตัวจริงของรุ่นพี่คนสวยเข้ามาตีสนิทกับเพื่อนสาวร่างสูง รวมทั้งเพื่อนๆ ทุกคนในกลุ่ม หลังจากนั้นเป็นต้นมาพวกเธอก็มักจะได้พูดคุยกับสาวหล่อที่ขยันแวะเวียนมาทักทายอยู่ด้วยเสมอ
“น้องขวัญ! เดียร์กับเพื่อนๆ กลับกันมาหรือยังคะ” ดรุณีถามไถ่รุ่นน้องอย่างร้อนรน
“ยังเลยค่ะ ไม่รู้ป่านนี้จะเป็นยังไงกันบ้าง ขวัญว่าจะโทรหาพวกมันตั้งแต่เช้าแล้ว แต่ยังไม่มีโอกาสเลย วันนี้เป็นอะไรไม่รู้อาจารย์เข้าเร๊วเร็วแถมยังออกช้าอีกต่างหาก ไม่มีจังหวะให้ขวัญได้ติดต่อกับพวกมันเลย” มิ่งขวัญบอก น้ำเสียงออกจะติดกังวลอยู่บ้าง เพราะตนเองก็รู้สึกเป็นห่วงไม่น้อยเช่นกัน แถมยังแอบเคืองเพื่อนตัวเองอยู่นิดๆ ที่ไม่มีใครคิดจะโทรมาบอกข่าวคราวกับเธอมั่งเลย
“ถ้างั้นน้องขวัญรีบโทรหาเพื่อนๆ เถอะ พี่เป็นห่วงพวกนั้นจะแย่แล้ว” ดรุณีคะยั้นคะยอให้มิ่งขวัญโทรหาเพื่อนๆ โดยเร็ว
“ค่ะๆ” มิ่งขวัญรีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา โทรหาชลธิดาก่อนเป็นคนแรกแต่ก็ต้องผิดหวังเมื่อไม่มีสัญญาณตอบรับจากหมายเลขที่ท่านเรียก
“...........โทรศัพท์ไอ้เดียร์ติดต่อไม่ได้อ่ะพี่”
“อ๋อ โทรศัพท์เดียร์แบตหมดน่ะค่ะ ขวัญลองโทรหาคนอื่นดูสิ” ดรุณีรีบบอก เธอเองก็ลืมไปแล้วเช่นกันว่าแบตเตอรี่โทรศัพท์ร่างสูงหมดไปตั้งแต่เมื่อเช้าแล้ว
“ค่ะๆ.........อ่ะ ติดแล้วพี่” มิ่งขวัญหันมาบอกรุ่นพี่สาวที่กำลังยืนลุ้นอยู่ข้างๆ หลังจากได้ยินเสียงสัญญาณโทรศัพท์
“ฮัลโหล” ถือสายรอไม่นานเสียงจากปลายสายก็ดังขึ้น แต่ยังไม่ทันที่ปลายสายจะได้พูดอะไรมากไปกว่าคำทักทาย มิ่งขวัญก็พูดสวนออกไปเสียแล้ว
“ฮัลโหลๆ ไอ้อ้อมพวกมึงเป็นยังไงกันบ้าง แล้วตอนนี้มึงอยู่ไหนกัน แล้วมีใครเป็นอะไรรึเปล่า แล้วๆ.....”
“โอ๊ยยยย ช้าๆ หน่อยอิขวัญ ใจคอแกจะถามไม่เว้นช่องไฟให้ฉันได้ตอบบ้างเลยรึไงกัน ยิงมาเป็นชุดอย่างนี้ใครมันจะไปตอบทันว่ะ เอาทีล่ะคำถามสิโว้ย!” เสียงชโลธรก่นด่ามาตามสาย ทำเอาคนโทรไปหาหัวเราะแห้งแก้เก้อ
“เออๆ โทษ