web stats

ข่าว

+-User

Welcome, Guest.
Please login or register.
 
 
 
Forgot your password?
ปัญหาการสมัครสมาชิก
วิธีเปลี่ยนสถานะเป็นนักเขียน
วิธีลงนิยาย
วิธีใช้งานบอร์ด

+-สถิติการใช้งาน

Members
Total Members: 880
Latest: Levitra5a
New This Month: 0
New This Week: 0
New Today: 0
Stats
Total Posts: 1553
Total Topics: 886
Most Online Today: 153
Most Online Ever: 601
(21 กันยายน 2024 เวลา 08:04:58 )
Users Online
Members: 0
Guests: 148
Total: 148

ผู้เขียน หัวข้อ: อยากให้รู้ว่ารัก : ตอนที่ 12  (อ่าน 1941 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ Admin

  • แอดมิน
  • เริ่มติด
  • *****
  • กระทู้: 251
  • I'm sociopath. I don't have feelings.
อยากให้รู้ว่ารัก : ตอนที่ 12
« เมื่อ: 27 ธันวาคม 2013 เวลา 15:25:57 »
ตอนที่ 12

สาวสวยอดแปลกใจกับความเพียรพยายามของตัวเองในครั้งนี้ไม่ได้ เธอไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน ไม่เคยมีใครทำให้เธอต้องวุ่นวายใจ และสนใจมากมายขนาดนี้แม้กระทั้งแฟนตัวเอง แต่ความเป็นห่วงบวกกับอะไรสักอย่างที่เธอเองก็ไม่เข้าใจ ซึ่งดูเหมือนจะมีอิทธิพลมากมายเหลือเกินในตอนนี้ สั่งการให้เธอทำตามใจตัวเอง ดรุณีนอนมองหมายเลขสิบหลักบนหน้าจอโทรศัพท์เครื่องบางของเธออยู่อย่างนั้นมานานแล้ว เธอเฝ้าเพียรโทรออกเบอร์นี้มาตั้งแต่หลังเลิกเรียนจนกระทั่งมานอนแอ่งแม้งอยู่ในห้องนอนของตัวเอง แต่โทรศัพท์ของรุ่นน้องร่างสูงก็ไม่มีท่าทีว่าจะเปิดเครื่องมาแต่อย่างใด

“เฮอ~~~” สาวสวยถอนหายใจอีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้เป็นครั้งที่เท่าไรแล้วก็ไม่รู้

~ถ้าความคิดถึงมันฆ่าคนได้จริงจริง  ให้ทายว่าในวันนี้ฉันจะต้องตาย  กี่ครั้งแล้วรู้ไหมที่เธอไม่อยู่  ความคิดถึงมันทำงานทั้งวัน~

อยู่ๆ เสียงร้องเพลงของหมอหนุ่มรูปหล่อ ซึ่งเธอตั้งเป็นเสียงเพลงเรียกเข้าก็ดังขึ้น ดรุณีรีบคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาดู แต่พอเห็นชื่อที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอ อาการกระตือรือร้นเมื่อสักครู่ก็พลันหายไป

“ฮัลโหล”  คนสวยรับสายเสียงออกจะเนือยๆ อยู่สักหน่อย แต่คนต้นสายก็จับอาการผิดปกติเหล่านั้นไม่ได้เลย

“อยู่ไหนแล้วคะที่รัก ถึงบ้านหรือยังเอ่ย” เสียงหวานจากต้นสายดังขึ้นทำให้อารมณ์คนรับดีขึ้นมาหน่อย

“ถึงสักพักแล้วค่ะ กำลังนอนขี้เกียจอยู่บนเตียงเลย”  สาวสวยบอกคนโทรมาให้ทราบถึงกิริยาที่เธอกำลังทำอยู่

“แล้วจูนล่ะคะ ถึงบ้านแล้วหรือยัง” ดรุณีถามกลับไปบ้าง

“ยังอยู่บนรถเมล์อยู่เลย แต่ป้ายหน้าก็ถึงแล้ว”  สาวหล่อตอบกลับมา

“อ้าวทำไมไม่รอให้ถึงบ้านก่อนล่ะคะ แล้วค่อยโทรหาโอก็ได้”

“ก็คิดถึงนี่ ขืนรอให้ถึงบ้าน เราได้ขาดใจตายก่อนพอดี”  คำพูดหวานๆ ที่ส่งมาทำให้สาวสวยอารมณ์ดีขึ้นมาทันที

“แหม แค่ป้ายเดียวเองนะ คงไม่ทำถึงกับตายหรอกมั้ง” ดรุณีพูดอย่างหมั่นไส้กับคำหวานที่ต้นสายหยอดมาให้ได้ชื่นใจ

“โทรตอนนี้ดีแล้วล่ะคะ เพราะเย็นนี้เราต้องไปธุระกับที่บ้านคงจะไม่ได้โทรหาที่รักแล้ว”

“อ้าว เหรอคะ แล้วจะไปไหนกันคะบอกได้ไหมเอ่ย”  คนสวยลองถามหยั่งเชิงสาวหล่อดู

“บอกได้สิคะ เราไม่มีความลับกับที่รักอยู่แล้ว คืออย่างนี้ค่ะ แม่จ๋าจะไปเยี่ยมเพื่อนที่โรงพยาบาลก็เลยให้เราไปช่วยถือของเยี่ยมน่ะ” สาวหล่อตอบกลับมาได้อย่างไม่มีติดขัด ส่วนคนถามก็ไม่ได้ซักถามอะไรต่อเหมือนกัน   กฤตชยาจึงพูดต่อว่า...

“เอาไว้เสร็จธุระกับแม่จ๋าเมื่อไรเดี๋ยวเราโทรหาโออีกทีนะ” 

“ค่ะ”  ปลายสายรับคำ

“งั้นแค่นี้ก่อนนะ จะถึงป้ายแล้ว เราต้องเตรียมตัวลงแล้วล่ะ”

“ค่ะ”

“เรารักโอนะ”  สาวหล่อพูดประโยคเดิมที่เคยพูดทุกครั้งเมื่อจะวางสาย

“ค่ะ โอก็รักจูนเหมือนกัน”  และคนสวยก็จะตอบแบบนี้ทุกครั้งเช่นกัน

สายถูกตัดไปแล้วพร้อมกับรอยยิ้มที่ยังคงประทับอยู่บนใบหน้าอ่อนใส ก่อนที่มันจะค่อยๆ จางลงเมื่อหวนนึกถึงใครบ้างคนก่อนหน้านี้ ดรุณีกำโทรศัพท์ในมือแน่น ก่อนจะหงายหลังทิ้งร่างบอบบางลงไปนอนแผ่หลาบนเตียงนุ่ม ห้องทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง ทั้งที่จริงๆ แล้วมันไม่ใช่แค่ภายในห้องเท่านั้นหรอกที่เงียบ แต่มันเงียบทั้งบ้านนั่นแหละ เวลานี้พ่อกับแม่ของเธอคงกำลังยุ่งอยู่กับคนไข้ หรือไม่ก็จมอยู่กับกองเอกสารที่ต้องรับผิดชอบมากมายพวกนั้น ที่เหลืออยู่ตอนนี้ก็มีแต่พวกแม่บ้าน ซึ่งคงกำลังง่วนอยู่กับการเตรียมอาหารเย็นที่ห้องครัว หากเป็นที่นั่นคงจะมีเสียงประกอบอาหารให้ได้ยินอยู่บ้าง แต่มันก็คงไม่ดังขึ้นมาจนถึงที่นี่หรอก หญิงสาวถอนหายใจหนัก พลางคิดว่าทำไมมันถึงเงียบได้ขนาดนี้นะ เงียบจนได้ยินเสียงเดินของเวลาและได้ยินแม้กระทั้งเสียงร้องว่าเหงาในหัวใจตัวเอง

ดรุณีหยิบสมาร์ทโฟนสีขาวยอดนิยมรุ่นล่าสุดขึ้นมาอีกครั้ง ปลายนิ้วเรียวสวยขยับไล้สัมผัสไปมาบนหน้าจอไม่กี่ครั้ง ชื่อและตัวเลขสิบหลักก็ปรากฏขึ้นมา ดรุณีกดโทรออกเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ด้วยความคาดหวัง แต่ปลายทางก็ยังคงไม่มีสัญญาณตอบรับกลับมาเช่นเดิม ใช่! ทุกอย่างยังเป็นเหมือนเดิม เพียงแต่...

“โอ้ยยย คนเค้าเป็นห่วงจนแทบจะบ้าตายอยู่แล้ว เจ้าตัวจะรู้บ้างไหมเนี่ย เจ้าเด็กบ้า บ้าๆๆ บ้าที่สุดเลย”  ดรุณีตะโกนแหกปากต่อว่าคนบ้าลั่นห้องอย่างลืมสวย

<

<

หลังจากวางสายจากแฟนสาวคนสวยไปแล้ว  กฤตชยาก็รีบกดรับสายซ้อนที่โทรมาทันที

“ว่าไงจ๊ะ...พี่ก็ถึงแล้วเหมือนกันค่ะ...งั้นก็เข้าไปรอพี่ในร้านก่อนได้เลยนะ...จ้าๆ เดี๋ยวพอทานเสร็จแล้วเราค่อยไปดูหนังกันต่อ...จ๋า...คิดถึงเหมือนกันค่ะ” พูดจบสาวหล่อก็ตัดสายไป แต่ยังคงส่งยิ้มกระชากใจให้กับโทรศัพท์ของตัวเอง เขารู้สึกชอบใจเสียทุกครั้งที่ได้ยินเสียงอ่อนหวาน แต่แฝงไปด้วยความออดอ้อนอยู่ในทีนั้นผ่านหู ยิ่งได้เห็นกิริยาระหว่างการพูดคุยก็ยิ่งทำให้เขาหลงรักได้อย่างง่ายดาย เด็กอะไรก็ไม่รู้น่ารักชะมัดเลย

หลังจากไปทัศนศึกษากฤตชยากับเด็กคนนี้ก็ติดต่อกันมาโดยตลอด โดยเป็นฝ่ายสาวหล่อเองที่จงใจเปิดเกมเดินเข้าหาอย่างไม่มีปิดบัง แต่กว่าจะขยับความสัมพันธ์ได้ขนาดนี้ ก็มีหลายครั้งเหมือนกันที่สาวหล่อต้องหน้าหงายกลับไป เมื่อสาวเจ้าถามถึงความสัมพันธ์ระหว่างเขากับแฟนสาว แม้เขาจะบอกว่าห่างกันแล้ว เพียงแต่ยังไม่ได้บอกเลิกอย่างเป็นทางการเท่านั้น  และที่สำคัญเขาก็พร้อมที่จะสานต่อความสัมพันธ์กับสาวน้อยแทน แต่ถึงจะบอกอย่างนั้นฝ่ายเด็กสาวก็ยังคงสงวนท่าทีไว้ไม่ให้เกินเลยมากกว่าความเป็นพี่เป็นน้อง และนั้นก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้กฤตชยารู้สึกถูกใจเด็กคนนี้มากขึ้นไปอีก เพราะไม่เคยมีใครปฏิเสธปฏิสัมพันธ์แบบนี้กับเขามาก่อน แม้กระทั้งคนที่ไม่เคยคิดว่าชีวิตนี้ จะมีคนรักเป็นทอมได้อย่างดรุณีก็ตาม แต่นั้นก็เป็นเพียงเหตุผลหนึ่ง ยังคงมีอีกหลายๆ เหตุผลที่ทำให้กฤตชยายังคงวนเวียน เรียกร้องความสนใจจากคนที่เหมือนจะเมินเฉยต่อการกระทำต่างๆ ของเขา ทั้งรูปร่างหน้าตาที่ตรงสเปค รวมไปถึงบุคลิกท่าทางซึ่งมีหลากหลายอารมณ์เหลือเกินให้เขาค้นหา ความเรียบร้อยน่ารักอ่อนหวาน แต่บางครั้งก็ออดอ้อนและช่างพูดช่างคุย หรือแม้กระทั้งตอนที่เขาตื้อจะตามไปส่งที่บ้าน ตาดุๆ คู่นั้นก็ทำให้เขาหวาดจนต้องยอมสิโรราบไปเอง แต่ที่ชอบใจเขามากที่สุด ก็คงจะเป็นเพราะเด็กคนนี้มักจะรู้ทันเล่ห์เหลี่ยมที่เขาใช้ในการเข้าหาโดยตลอด เลยทำให้กฤตชยารู้สึกสนุกและท้าทายไปกับการพิชิตใจเด็กสาวคนนี้

กฤตชยาเห็นเด็กสาวนั่งอยู่ในร้านไก่ทอดของผู้พันวัยชราตามที่นัดไว้ก็พาให้นึกสนุก ตรงดิ่งเข้าไปปิดตาสาวน้อยที่นั่งหันหลังให้เขาอยู่

“อุ้ย!” สาวน้อยอุทานขึ้น เมื่อจู่ๆ ดวงตาคู่สวยของเธอถูกดับแสงลงทั้งสองข้างอย่างกะทันหัน ก่อนจะมีเสียงเบาๆ ตามมาที่หลังใบหู

“ทายซิใครเอ่ย...”

“อืมมม ใครดีน้าาา~~ คนรู้จัก รุ่นพี่หรือว่า......” พอหนึ่งฤทัยได้ยินเสียงคนขี้เล่นก็ทำเป็นลากเสียงแกล้งให้อีกฝ่ายอยากรู้คำตอบ

“หรือว่าอะไรคะ” สาวหล่อยืนลุ้นรอคำตอบ

“นั่นสิ! หรือว่าอะไรดีหว่า”  หนึ่งฤทัยตอบพลางหัวเราะคิกคัก

“โธ่! น้องหนึ่งอ่ะ  ชอบแกล้งพี่ให้เก้ออยู่เรื่อยเลย” สาวหล่อทำเป็นงอน มือทั้งสองปล่อยดวงตาคู่งามออกให้เป็นอิสระ ก่อนจะทำเป็นเนียนขยับเก้าอี้เลื่อนเข้าไปใกล้อีกนิด เพื่อเบียดกายนั่งลงข้างๆ สาวน้อย

“โอ๋ๆ อย่างอนสิคะ หนึ่งไม่ได้แกล้งพี่ซะหน่อย แต่หนึ่งไม่รู้จริงๆ นี่คะว่าพี่อยากให้หนึ่งอยู่ในฐานะไหน” หนึ่งฤทัยเห็นอีกคนทำเป็นแง่งอนใส่ก็รีบทำเป็นง้อ แหงล่ะ ถ้าคนงอนกันจริงๆ ไม่มาทำมือไวนั่งเบียดโอบเอวเธออยู่อย่างนี้หรอก

“แหม ก็ต้องในฐานะคนรู้ใจสิคะ ยิ่งถ้ารู้ทั้งตัวรู้ทั้งใจยิ่งดีใหญ่เลย” สาวหล่อรีบตอบพลางส่งสายตาวิบวับใส่ มือไม้ก็เริ่มอยู่ไม่สุข แต่เด็กสาวก็ไม่ได้เอ่ยปากห้ามปรามแต่อย่างใด ยิ่งทำให้ถูกใจคนมือไวนัก

“พี่นี่หื่นชะมัด เอาแค่คนรู้ใจก่อนล่ะกัน ไว้พี่เคลียร์ตัวเองได้เมื่อไหร่ค่อยมารู้ตัวกันอีกที” สาวน้อยบอก พลางจิ้มไก่ป๊อปยื่นใส่ปากสาวหล่อ

“จริงนะ” กฤตชยาทำตาโต ก่อนจะอ้าปากรับของกินที่ถูกยื่นมาให้

“อืม” สาวน้อยพยักหน้ารับ พลางหยิบแก้วน้ำขึ้นมาดูด

“งั้นพี่จะรีบเคลียร์ให้เร็วที่สุดเลยจ๊ะ ว่าแต่...คนดีไม่มีมัดจำให้พี่หน่อยเหรอคะ สักนิดๆ นะๆ” สายตาสาวหล่อที่มองมาเป็นประกายระยิบระยับเชียว

“อยากได้เหรอ~” หนึ่งฤทัยหันไปถามเสียงหวาน พลางยกมือข้างที่จับแก้วน้ำขึ้นมาลูบแก้มขาวของอีกคนจนรู้สึกได้ถึงความเย็น ‘แล้วไอ้ที่ยุกยิกอยู่ตรงสะโพกนี่ยังไม่พออีกรึไงคะ’ สาวน้อยคิด

“อยากค่ะ”  รอยยิ้มอย่างมีความหวังปรากฏบนใบหน้า

“อยากมากไหมค่ะ”  หนึ่งฤทัยยังคงต่อปากต่อคำ

“มากที่สุด ของที่สุด ของที่สุดเลยล่ะค่ะ” สาวหล่อย้ำด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น

“อืมม....ถ้ามากขนาดนั้น...ก็ได้ค่ะ แต่พี่ต้องสัญญากับหนึ่งอย่างนึงก่อนนะ” สาวน้อยเอียงคอเล็กน้อยพร้อมกับยกนิ้วขึ้นจรดปลายคางทำท่าคิด ก่อนที่จะใช้นิ้วเดียวกันจิ้มที่ตำแหน่งปลายคางเช่นกันแต่เป็นของอีกคน ซึ่งจริตเหล่านั้นช่างดูน่ารักในสายตาของกฤตชยาเหลือเกิน

“สัญญาอะไรเหรอคะ”  กฤตชยาตาลุกวาวขึ้นมาทันที เมื่ออีกคนมีท่าทีว่าจะยอมตนง่ายๆ

“พี่ห้ามทำอะไรมากไปกว่าที่หนึ่งอนุญาตเด็ดขาด ถ้าหนึ่งบอกว่าไม่ก็คือไม่ ตกลงไหมคะ”  หนึ่งฤทัยบอก น้ำเสียงของเธอฟังดูจริงจังมากกว่าปกติ

“ตกลงค่ะ”  กฤตชยาตอบตกลงทันที ในตอนนี้เขาไม่คิดอะไรให้เสียเวลาอีกแล้ว

“แต่ถ้าหนึ่งบอกให้พี่ทำอะไร พี่ต้องทำ ห้ามขัดใจเด็ดขาดนะ” คราวนี้นอกจากเสียงเข้มๆ แล้วยังมีแววดุๆ จากตาส่งมาด้วย

“จ๊ะๆ ไม่ขัดใจเด็ดขาดรับรองเลย”  แม้จะรู้สึกแหม่งๆ แต่ก็ตอบตกลงโดยดี เพราะคิดว่าบางทีหากเขาทำถูกใจ สาวน้อยอาจจะขอให้เขาสัมผัสหล่อนมากขึ้นเรื่อยๆ ก็ได้

“ดีมากค่ะ งั้นจัดการของที่โต๊ะให้หมดนะคะคนเก่ง เดี๋ยวหนึ่งจะไปรอที่ห้องน้ำข้างร้านพิซซ่าแล้วรีบตามมาเร็วๆ นะ”

“ค่ะๆ”

หนึ่งฤทัยทิ้งสายตาให้ก่อนจะลุกขึ้นเดินออกไปจากร้าน ปล่อยให้กฤตชยามองตามหลังไปด้วยแววตาหวานเชื่อม จากนั้นจึงหันมาจัดการกับแฮมเบอร์เกอร์ที่หนึ่งฤทัยซื้อไว้ให้ ด้วยความเร่งรีบอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน

<

<

บ้านสวนของณัฐกานต์

“ใครมีสายชาร์จโทรศัพท์รุ่นฉันมั่งว่ะ” ชลธิดาตะโกนถามเพื่อนๆ

“ไอ้เอมไงมันใช้รุ่นเดียวกับมึงไม่ใช่เหรอ” มิ่งขวัญที่ตามมาสมทบตั้งแต่บ่ายบอก

“อยู่ที่บ้านนู้น ไม่ได้พกมาด้วยหรอก” นุชนารถได้ยินที่เพื่อนคุยกันพลันส่ายหัวดิก

“แล้วนี่ไอ้หนึ่งมันไปไหนว่ะ ตั้งแต่กูมายังไม่เจอหน้ามันเลย” มิ่งขวัญถามหาเพื่อนสาวผู้นิ่งเฉยอีกคนที่ยังไม่โผล่หน้ามาให้เธอเห็นเลยตั้งแต่บ่าย

“โอ้ย มันหายหัวไปตั้งแต่บ่ายแล้ว อาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็สะบัดตูดออกไปเลย ก่อนที่จะแกมาแป๊ปเดียวเอง เห็นบอกว่ามีธุระไม่รู้ธุระอะไรของมัน” ทัศนีย์บอก ส่วนมิ่งขวัญก็พยักหน้าหงึกหงักรับรู้ไม่ได้พูดอะไรต่อ

“ฉันยังไม่ได้โทรบอกแม่เลยว่าคืนนี้จะค้างที่บ้านแก” ชลธิดาหันไปบอกกับเจ้าของบ้านที่กำลังง่วนอยู่กับการจัดโต๊ะเตรียมตั้งวงกงเหล้าอย่างขะมักเขม้น

“แกก็ใช้ของพวกฉันโทรไปสิไม่เห็นจะยากเลย”  ณัฐกานต์ยักไหล่ตอบแบบไม่ใส่ใจนัก

“ไม่เอาอ่ะ ไม่อยากให้แม่มีเบอร์พวกแก เพราะถ้าแม่มีพี่พายก็ต้องมี เกิดเจ๊แกโทรตามจิกฉันผ่านพวกแก ฉันก็แย่อ่ะดิ” ชลธิดาทำหน้าสยองเมื่อนึกถึงพี่สาวคนโต ก่อนจะหันไปอ้อนคนตัวเล็กแทน

“เอมจ๋าขอยืมแบตหน่อยสิจ๊ะ” นุชนารถยิ้มพลางยื่นโทรศัพท์ของตัวเองส่งให้ ชลธิดารับมาถือไว้กำลังจะกดปิดเครื่องเพื่อถอดแบตเตอรี่ออก แต่หน้าจอก็สว่างวาบแสดงรูปภาพหน้าจอที่ถูกตั้งไว้ขึ้นมาเสียก่อน ร่างสูงถึงกับยืนดูตาไม่กระพริบ ส่วนนุชนารถเห็นอีกคนเอาแต่ยืนจ้องโทรศัพท์ของเธอไม่ทำอะไรสักทีก็ทำให้นึกบางอย่างขึ้นมาได้ มือเล็กรีบฉวยโทรศัพท์ในมือของร่างสูงคืนมาทันที นุชนารถยืนกำโทรศัพท์นิ่ง ใบหน้าขาวที่บัดนี้ขึ้นสีแดงระเรื่อเอาแต่ก้มงุด รู้สึกกระดากอายจนไม่กล้าเงยขึ้นมามองหน้าคนตัวสูงเลย

“เอ่อ....รูปนั้นมัน”  ชลธิดาอ้ำอึ้ง ไม่แน่ใจว่าตาตัวเองฝาดไปหรือเปล่า

~ยิ่งฉันใกล้เธอเท่าไหร่ ยิ่งอยากจะเผยใจ เมื่อสบสายตา ก็ยิ่งหวั่นไหว มันอยากเหลือเกินจะเก็บซ่อนความรักเอาไว้ แล้วความลับในใจของเธอ มีฉันอยู่บ้างไหม โปรดบอกความในใจ ให้ฉันรู้ทีนะเธอ~

จู่ๆ เสียงโทรศัพท์เจ้ากรรมก็ดังขึ้น เสียงเรียกเข้าที่เจ้าตัวตั้งใจตั้งไว้เพราะว่าชอบความหมายที่มันตรงกับความรู้สึกของตัวเองเสียเหลือเกินในเวลานั้น แต่ตอนนี้ชักอยากจะโยนโทรศัพท์นี่ทิ้งซะแล้วสิ
ทัศนีย์ที่ได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังอยู่นานแล้ว แต่นุชนารถกลับยืนเฉยปล่อยให้มันส่งเสียงร้องอยู่อย่างนั้นจนกระทั้งมันหยุดไปแล้วก็ดังขึ้นมาใหม่อีกรอบ ก็ไม่มีทีท่าว่าเจ้าของเครื่องจะรับสายเรียกเข้าแต่อย่างใด จนเป็นเธอซะเองที่ทนไม่ไหวตะโกนบอกให้เพื่อนรับสายซะที

“เฮ้ยเอม ทำไมไม่รับโทรศัพท์ว่ะ ปล่อยให้ดังอยู่ได้” ทัศนีย์ที่นั่งคุยอยู่กับชโลธรและอยู่ไม่ไกลจากจุดที่นุชนารถยืนอยู่ถามขึ้น เรียกสติคนจิตตกไปแล้วให้กลับมามีสติอีกครั้ง และเมื่อได้สติแล้วนุชนารถจึงรีบกดรับสายพร้อมกับเดินเลี่ยงออกมาจากตรงนั้น โดยไม่ได้มองหน้าคนตัวสูงเลย

นุชนารถเดินจากไปแล้ว แต่ร่างสูงยังคงยืนเอ๋ออยู่ที่เดิมด้วยความสับสน ทั้งจากพฤติกรรมของตัวสาวหมวยเอง รวมถึงความรู้สึกของตัวเองยามที่ได้เห็นรูปนั้นในแวบแรกด้วย ใจมันเต้นตึ๊กตั๊กแปลกๆ แถมยังแอบเสียดายที่ตัวเองหลับจนไม่รู้สึกถึงริมฝีปากอิ่มนั้นเลย  คิดแล้วก็อยากจะบ้า พักนี้เธอเป็นอะไรนักหนา เพียงแค่นึกถึงริมฝีปากอิ่มนั้นก็....

ม่ายยยๆ ก่อนที่ความคิดจะฟุ้งซ่านไปไกล ชลธิดาจึงหันไปยืมโทรศัพท์ของชโลธรแทน แล้วพาร่างสูงโปร่งของตัวเองเดินมานั่งอีกฝั่งของชานบ้านซึ่งมีต้นมะเฟืองปลูกติดกับชานบ้านอยู่ ชลธิดาจัดการเปลี่ยนซิมการ์ดของตัวเองใส่ลงในโทรศัพท์ของชโลธรแล้วกดเปิดเครื่อง และทันทีที่โทรศัพท์รับสัญญาณได้ก็มีไอคอนรูปจดหมายเด้งขึ้นมา

ชลธิดากดดูข้อความเหล่านั้นมัน เป็นข้อความที่แจ้งว่ามีคนพยายามโทรหาเธอ คนตัวสูงเลิกคิ้วเล็กน้อยเมื่อนึกไม่ออกว่าหมายเลขโทรศัพท์ที่ดูไม่คุ้นตานี้เป็นของใคร และยังไม่ทันได้คลายความสงสัยโทรศัพท์ในมือก็ส่งเสียงกรีดร้องขึ้นมาเสียก่อน

ดรุณีดีใจเป็นอย่างมาก ที่โทรศัพท์ของเธอมีข้อความบริการแจ้งเข้ามาว่าเบอร์ที่เธอเฝ้าเพียรพยายามโทรหาสามารถติดต่อได้แล้ว คนสวยไม่ยอมให้เสียเวลารีบโทรหารุ่นน้องตัวสูงทันที

“สวัสดีค่ะ” เสียงทักทายจากปลายสายดังขึ้น ดรุณียิ้มกว้างเพราะเธอจำเสียงนั้นได้เป็นอย่างดี

“เดียร์นี่พี่โอเองนะคะ เดียร์เจ็บมากไหม เป็นอะไรมากรึเปล่า” ดรุณีพูดรัวอย่างเร็วแบบที่ไม่เคยทำมาก่อนในชีวิต

“โหยพี่ ยิงมาเป็นชุดขนาดนี้ เดี๋ยวตัวเค้าก็พรุนหมดหรอก”  ชลธิดาพูดไปขำไป

“แหม ไอ้เราก็หลงเป็นห่วงแทบแย่ เห็นว่าโดนตบปากแตก แต่มาล้อพี่ได้อย่างนี้แสดงว่าปากยังแข็งแรงดีอยู่ล่ะสิ” ดรุณีทำเสียงเล็กเสียงน้อยพูดประชดคนปลายสาย

“คนสวยเป็นห่วงเค้าเหรอ ต๊ะเองไม่ต้องห่วงนะ ปากเค้าแตกที่มุมปากนิดเดียวเอง แต่ก็ยังใช้การได้ดีเหมือนเดิมแหละ ถ้าไม่เชื่อจะมาลองพิสูจน์ดูก็ได้นะจ๊ะ รับรองว่าจะติดใจ หุหุ” ชลธิดาบอกอย่างอารมณ์ดี

“ทะลึงแหล่ะ” ดรุณีหน้าแดงกับคำพูดสองแง่สองง่ามของร่างสูง

“ทะลึงที่ไหนเค้ายังไม่ได้ทำอะไรเลยนะ พี่นั้นแหละคิดลึก อ่ะๆ คิดอะไรกับเค้าอยู่อ่ะดิ ใช่หม้าๆ” ปลายสายตอบเสียงทะเล้น

“บ้า! ใครเขาจะไปคิดอะไรกับเด็กอย่างตัวเองกัน”  คนสวยว่า

“โธ่พี่ เด็กๆ ดีจะตาย ใครๆ เขาก็เข้าสมาคมรักเด็กกันหมดแล้ว ยิ่งสมัยนี้เขาฮิตกินเด็กกันด้วยนะจะบอกให้ เนื้อก็นุ๊มนุ่ม กระดูกก็อ่อนกรุ๊บกรอบ รับรองอร่อยเหาะ” ชลธิดารีบอวย

“แหม พูดขนาดนี้ชักน่าสนใจแฮะ สงสัยต้องไปหาเด็กสักคนแล้ว” คนสวยแกล้งทำเป็นคล้อยตาม

“หาทำไมอ่า~ ใกล้ๆ ก็มีอยู่นะ”  คนปลายสายรีบบอก

“ใกล้ๆ ใครเหรอคะ”  ดรุณียิ้มพอจะเดาคำตอบของอีกฝ่ายได้

“ก็เค้าไง หวาน ร่อน กรอบด้วยนะ”  ชลธิดาบอกสรรพคุณตัวเอง

“ฮ่าๆ หวาน ร่อน กรอบ ถามจริงๆ เด็กหรือว่าเงาะโรงเรียนกันแน่คะเนี่ย”  ดรุณีหัวเราะชอบใจ

“เด็กวัยเรียนไง อยากกินป่ะล่ะ”  ชลธิดาตอบ

“ไม่เอาอ่ะ เด็กอะไรก็ไม่รู้ตัวสูงกว่าพี่อีก แทนที่จะได้กินเด็ก พี่จะโดนเด็กกินเสียมากกว่า”  ดรุณีปฏิเสธ แต่ก็ยังไม่เลิกขำมุขของเด็กวัยเรียน

“เค้าไม่กินพี่ฝ่ายเดียวก็ได้นะ จะยอมให้พี่กินเค้ามั่งดีม๊ะ ผลัดกันกินคนละวันจะได้ไม่เหนื่อยคนเดียวไง อิอิ”

“บ้า!” ดรุณีได้ฟังก็ถึงกับอายม้วน  เจ้าตัวแสบนี่ชอบพาเธอวกเข้าเรื่องแบบนั้นอยู่เรื่อยเชียว

“บ้าแล้วชอบป่ะล่ะ”  อีกคนก็อดที่จะหยอกต่อไม่ได้

“ชอบ”  คนสวยตอบเสียงหนักแน่น

“เฮ้ย! จริงดิ”  แต่คนชอบหยอกกลับตกใจขึ้นมาจริงๆ

“ล้อเล่นคะ” ดรุณีตอบพร้อมกับหัวเราะคิกคัก

“อ้าว หลอกกันนี่”  เสียงเหมือนจะผิดหวังแต่ก็แอบโล่งอกนะ เอ๊ะ! ยังไง

“ฮ่าๆ”  ส่วนคนสวยก็ยังขำไม่เลิก

“แล้วนี่พี่มีเบอร์เค้าได้ไงนิ”  ว่าจะถามตั้งแต่ที่แรกแล้วแต่ดันพากันออกทะเลเสียก่อน

“น้องขวัญให้มาค่ะ”  คนสวยเฉลย

“อ๋อ แล้วพี่ใช้เบอร์นี้ใช่ป่ะเค้าจะได้เมมไว้”  ร่างสูงถามถึงเบอร์ที่โชว์ตอนรับสาย

“ใช่ค่ะเบอร์นี้แหละเมมไว้ได้เลยว่าเบอร์คนสวย ว่าแต่...เดียร์จะเมมไว้ในมือถือหรือว่าจะเมมไว้ในหัวใจดีล่ะคะ” ดรุณีแกล้งหยอดคืนกลับไปบ้าง ก่อนจะลุกจากเตียงนุ่มเดินไปยังประตูห้องเมื่อได้ยินเสียงเคาะสองสามครั้ง แต่หูก็ยังคอยฟังว่าปลายสายจะตอบกลับมาว่าอย่างไร นี่เธอกำลังแอบหวังอะไรอยู่หรือเปล่า

“อาหารพร้อมแล้วนะค่ะคุณหนู” สาวใช้ผิวคล้ำแดดจากภาคอีสาน บอกธุระตามที่ได้รับมอบหมายมาจากคุณอุ่นเรือน หรือที่ใครๆ ต่างก็เรียกว่าคุณแม่บ้าน ให้มาเชิญคุณหนูลงไปรับประทานอาหารเย็นได้แล้ว

“ขอบคุณค่ะพี่น้อย เดี๋ยวขอโอล้างมือก่อนแล้วจะลงไปนะคะ” ดรุณีกล่าวขอบคุณ สาวใช้ยิ้มรับในความน่ารักของคุณหนูของหล่อน และรู้สึกดีใจที่เด็กสาวหรือแม้กระทั้งคุณผู้ชายและคุณผู้หญิงไม่เคยถือตัว เจ้ายศเจ้าอย่างกับคนรับใช้อย่างพวกหล่อนเลย โชคดีจริงๆ ที่ได้มาทำงานที่บ้านหลังนี้ สาวใช้คิด ก่อนจะก้มหัวให้เด็กสาวนิดนึงแล้วเดินกลับไปยังชั้นล่างเพื่อเตรียมรับใช้ผู้เป็นนายต่อไป

“พี่ต้องวางสายแล้วล่ะค่ะ ป้าอุ่นให้เด็กมาตามไปทานข้าวแล้ว”  เมื่อคนปลายสายไม่ได้ตอบอะไรกลับมาเสียที เธอจึงเป็นฝ่ายตัดบทเสียเอง ในใจก็แอบนึกผิดหวังอยู่เหมือนกันที่ไม่ได้รับอะไรตอบกลับมา

ชลธิดาที่กำลังประเมินคำพูดของดรุณีอยู่ ได้สติอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงจากต้นสาย แต่เสียงที่ได้ยินนั้นดูเหมือนจะหง่อยลงไป ร่างสูงจึงตอบกลับไปอย่างขี้เล่นเหมือนเคยว่า...

“ค่ะ ว่าแต่พี่อยากทานข้าวให้อร่อยขึ้นไหมคะ”

“ทำไมเหรอคะ”  ดรุณียังคงเสียงหง่อยอยู่เหมือนเดิม

“อยากหรือเปล่าล่ะค้า~”  ชลธิดาทำเสียงอ้อนๆ เพื่อกระตุ้นให้อีกฝ่ายร่าเริงขึ้น ไม่อยากฟังเสียงหง่อยๆ แบบนั้นอีก

“อืมม อยากก็ได้ค่ะ”  สาวสวยรู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมาหน่อย เมื่อได้ฟังเสียงอ้อนๆ แบบนั้น

“พี่ก็คิดถึงเค้าเวลาทานข้าวสิ ทานไปนึกถึงหน้าเค้าไป รับรองเจริญอาหาร”  ร่างสูงว่า

“อย่าดีกว่าค่ะ ถ้าคิดถึงหน้าน้องเดียร์พี่เกรงว่าจะทานข้าวไม่ลงซะมากกว่า”  ดรุณียิ้มขำ ถ้าให้เธอคิดถึงหน้าทะเล้นๆ ของเจ้าตัวแสบตอนทานข้าวล่ะก็ มีหวังเธอได้หัวเราะมากกว่าทานข้าวแน่ๆ

“พี่โออ่ะ!”  คนปลายสายทำหน้างอ ส่งเสียงติดงอนตอบกลับไป

“คิกคิก แค่นี้ก่อนนะคะ ลงไปช้าเดี๋ยวจะโดนบ่นซะก่อน”  ดรุณีหัวเราะเสียงใส เพราะกำลังจินตนาการถึงใบหน้าของคนทะเล้น ว่าเวลางอนจะเป็นแบบไหน

“ค่ะ ทานข้าวให้อร่อยนะคะคนสวย”  ร่างสูงตอบ พอได้ยินเสียงอีกฝ่ายกลับมาสดใสเหมือนเดิมแล้วก็พลอยโล่งใจ

“ค่ะ คนทะเล้นก็หาข้าวทานได้แล้วนะคะ อย่ามัวแต่ดื่มเหล้าล่ะ มันไม่ดีต่อสุขภาพรู้ไหม” ดรุณีบอกด้วยความเป็นห่วง

“รู้ได้ยังไงคะเนี่ย เป็นเจ๊ญาณทิพย์เหรอ”  ร่างสูงถามหน้าตื่น

“เป็นยิ่งกว่านั้นอีกค่ะ”  คนสวยตอบ

“เป็นไรอ่า~”

“ก็เป็นนางฟ้าแสนสวยไงคะ อิอิ” ต้นสายตอบอารมณ์ดี

“จ้าๆ คุณนางฟ้าแสนสวย สวยที่สุดในสามโลกเลย”  คนปลายสายยอกลับ อารมณ์ดีไม่แพ้กัน

“คิกๆ อย่าดื่มเยอะนะคะ เป็นห่วงรู้ไหม”  ดรุณีหัวเราะ ก่อนจะบอกด้วยน้ำเสียงที่ทอดอ่อนลง

“ขอรับคับป๋ม”  ร่างสูงตอบรับแข็งขัน

“ดีมากค่ะ งั้นแค่นี้ก่อนนะคะ บ๊ายบายค่ะ”

“บายค่ะ”

สายตัดไปแล้วพร้อมกับรอยยิ้มจากทั้งสองฝั่ง และหากทั้งสองคนมองเห็นกันได้ก็คงจะรู้ว่าต่างฝ่ายต่างส่งยิ้มให้กับโทรศัพท์ของตัวเองอยู่

<

<

นุชนารถรับสายของบิดา ที่โทรมาถามถึงเรื่องที่เธอไม่กลับบ้านวันนี้ แม้ว่าก่อนหน้านี้เธอจะได้โทรบอกกับมารดาเอาไว้แล้ว โดยอ้างว่าต้องช่วยกันหาข้อมูลเพื่อเตรียมทำรายงานกลุ่มที่อาจารย์ได้ให้ไว้ เลยทำให้วันนี้ทุกคนในกลุ่มต้องนอนค้างกันที่บ้านของณัฐกานต์ แต่เพราะความเป็นห่วงลูกสาวที่ต้องไปนอนค้างอ้างแรมบ้านเพื่อน บิดาจึงได้โทรมาถามไถ่อีกครั้งให้แน่ใจว่ามีใครอยู่เป็นเพื่อนลูกสาวบ้าง พอเธอบอกว่ามีชโลธรมานอนค้างด้วย ผู้เป็นพ่อเลยเบาใจลง เพราะรู้ว่าชโลธรเป็นเด็กเรียนเก่งและมารยาทดี แถมฐานะทางบ้านก็ไม่ใช่กระจอก เป็นถึงลูกสาวเจ้าของร้านเพชรทองที่มีสาขาในห้างชื่อดังหลายสาขา และยังมีพี่สาวคนสวยเป็นถึงดาราช่องน้อยสีอีกด้วย และเพราะรู้ว่าบิดาชอบให้คบหากับชโลธร ดังนั้นทุกครั้งที่นุชนารถไม่กลับบ้านเธอจึงมักอ้างชื่อชโลธรอยู่เสมอ เลยทำให้เธอไม่เคยมีปัญหาเรื่องนอนค้างนอกบ้านเลย

หลังจากที่คุยโทรศัพท์กับบิดาเรียบร้อยแล้ว นุชนารถเดินกลับมาตรงชานบ้านที่ชโลธรและทัศนีย์นั่งอยู่แต่ไม่ยักเห็นคนตัวสูงอยู่ตรงนั้นแล้ว จึงถามหาร่างสูงกับเพื่อนซี้

“อ้อม เดียร์ไปไหนแล้วล่ะ”

“ไอ้เดียร์นะเหรอ มันไปนั่งโทรศัทพ์อยู่ตรงนู้นไง” ชโลธรตอบพลางชี้นิ้วไปอีกด้านหนึ่งของชานบ้าน นุชนารถพยักหน้ารับเมื่อเห็นคนที่ถามหานั่งติดกับต้นมะเฟืองหันหลังให้อยู่

“แล้วเดียร์เอาโทรศัพท์ใครไปใช้อ่ะ”  คนตัวเล็กหันกลับมาถามเพื่อน

“ของฉันเอง” คนหน้าสวยตอบ นุชนารถพยักหน้าน้อยๆ รับรู้ ก่อนจะขยับตัวไปนั่งลงข้างๆ ชโลธร

“เมื่อกี้มีอะไรกันรึเปล่า” ชโลธรกระซิบกระซาบถามหลังจากนุชนารถนั่งลงข้างๆ เธอแล้ว

“ก็...มี”  คนตัวเล็กอ๋อมๆ แอ๋มๆ ตอบ

“เรื่องอะไรล่ะ”  ชโลธรถามแต่สาวหมวยไม่ตอบ กลับแอบยื่นโทรศัพท์ในมือให้เพื่อนดูแทน ชโลธรเห็นรูปหน้าจอเข้าก็ตาโต โอ้โหเหะ! นี่เพื่อนเราร้ายกาจมาก แอบไปลักหลับกันตอนไหนนี่ เหมือนนุชนารถจะเดาคำถามจากสายตาคู่นั้นออก จึงกระซิบตอบกลับไปว่าเหตุเกิดเมื่อตอนไปทัศนศึกษา ชโลธรได้ฟังก็ฉีกยิ้ม รู้สึกพอใจที่เพื่อนสาวกล้าแสดงออกมากขึ้น ไม่เสียแรงที่คอยยุยงส่งเสริมนะเนี่ย  ฮี่ๆ  คนหน้าสวยหัวเราะชอบใจ ก่อนจะชำเหลืองมองคนนั่งหันหลังตรงด้านนู้นด้วยความหมั่นไส้เต็มกำลัง แต่เท่าที่ได้ฟังเรื่องเดทเมื่อวันอาทิตย์ก็พอจะทำให้รู้ว่า คนตัวสูงเองก็คงรู้สึกหวั่นไหวเหมือนกัน ไม่อย่างนั้นคงไม่ทำอะไรบ้าๆ แบบนั้นกับยัยตัวเล็กนี่หรอก และทั้งๆ ที่เป็นอย่างนั้น แล้วทำไมมันยังทำตัวเหมือนไม่รู้เรื่องรู้ราวอยู่ได้ หรือว่ามันจะเกิดซื่อบื้อขึ้นมาจริงๆ ท่าจะไม่ดีแล้วเฮะ สงสัยงานนี้ต้องมีกระตุ้น ปากรูปกระจับยกยิ้มเจ้าเล่ห์ งานนี้ต้องรุกให้หนักกว่าเดิมซะแล้ว คริคริ

<

<

“อะ อืม” เสียงครางแผ่วเบาในลำคอ บ่งบอกได้ถึงความพอใจเป็นอย่างมากของสาวหล่อ เมื่อเด็กสาวสามารถตอบโต้จูบแสนดูดดื่มของเขากลับมาได้อย่างดุเดือดเช่นกัน จูบแล้วจูบเล่าที่ทั้งสองคนต่างบดเบียดริมฝีปาก โดยไม่ยอมถอยห่างออกจากกัน ประหนึ่งว่ากำลังเฟ้นหาผู้ชนะในศึกจูบมาราธอนครั้งนี้ ด้วยไฟปรารถนาที่ถูกจุดจนคุกรุ่น ทำให้มือไม้ของกฤตชยาเริ่มอยู่ไม่นิ่ง ผสมกับความอยากเชยชิมในรสเรือนกายของเด็กสาวมานาน ทำให้หลงลืมข้อตกลงที่ให้ไว้กับหนึ่งฤทัยก่อนหน้านี้จนหมดสิ้น เด็กสาวรีบตะคลุบมือแสนซุกซนคู่นั้นออกจากร่างอรชร พร้อมกับถอนริมฝีปากออกจากจูบนั้นทันที ทำให้อีกคนที่ไม่ทันตั้งตัวว่าจะโดนทอดทิ้งให้เคว้งคว้าง ได้แต่มองตามริมฝีปากแดงตาละห้อยอย่างแสนเสียดาย

“พี่ผิดสัญญากับหนึ่งนะคะ” หนึ่งฤทัยขยับถอยห่างยืนกอดอกพูดเสียงเข้ม

“เอ่อ พี่ขอโทษค่ะ แต่หนึ่งน่ารักซะจนพี่อดใจไม่ไหวนี่คะ” สาวหล่ออ้างเหตุ พลางมองเด็กสาวด้วยแววเสียดาย

“แต่นั้นก็ไม่ได้หมายความว่า พี่จะทำอะไรตามอำเภอใจได้นี่คะ” สายตาดุๆ กับท่าทางนิ่งๆ และน้ำเสียงที่บ่งบอกว่าไม่สบอารมณ์ถูกยื่นมาให้ จนสาวหล่อชะงักหยุดแววเสียดายลงในทันที

“พี่ขอโทษค่ะ พี่ขอโทษ หนึ่งอย่าโกรธพี่เลยนะคะ พี่สัญญาว่าพี่จะไม่ทำอย่างนี้อีกแล้ว ยกโทษให้พี่นะคะคนดี”  กฤตชยาเห็นท่าไม่ดีก็รีบขอโทษ และพยายามเว้าวอนให้เด็กสาวตรงหน้าหายโกรธ

“ก็ได้ค่ะ ครั้งนี้หนึ่งจะยกโทษให้ แต่หนึ่งยังไม่หายโกรธนะ บอกให้รู้ไว้ซะก่อน” หนึ่งฤทัยบอกเสียงแข็ง แสดงให้เห็นว่าเธอยังไม่หายโกรธอย่างที่พูดจริงๆ

“แล้วต้องทำยังไงล่ะคะ หนึ่งถึงจะหายโกรธพี่” สาวหล่อขยับเข้าไปจับไหล่บางของเด็กสาวทั้งสองข้าง พลางถามด้วยน้ำเสียงที่ทอดอ่อนคล้ายจะขอความเห็นใจ

“พี่อยากให้หนึ่งหายโกรธจริงๆ เหรอคะ” เด็กสาวเงยหน้ามองถามเสียงใส แต่แอบยิ้มอยู่ในใจอย่างเป็นต่อ

“ค่ะ” สาวหล่อยิ้มที่เด็กสาวยอมลงให้เขาแล้ว

“แน่นะคะ” น้ำเสียงที่อ่อนลง ประกอบกับแววตาคู่สวยของหนึ่งฤทัยนั้นกลับมามีประกายอีกครั้ง แล้วมันก็น่ามองทุกครั้งจนกฤตชยาหลงใหล

“แน่นอนที่สุดเลยค่ะ” สาวหล่อรับคำ

“ถ้างั้นพี่จูนอยู่เฉยๆ นะคะ ห้ามทำอะไรจนกว่าหนึ่งจะอนุญาต” หนึ่งฤทัยบอก พลางขยับตัวเข้าหากฤตชยาอีกครั้ง

“แล้วก็ห้ามขัดใจหนึ่งด้วยน้า~” สาวน้อยลูบไล้ที่ริมฝีปากอีกฝ่ายเล่นเบาๆ พร้อมกับส่งสายตาและเผยอปากนิดๆ ก่อนจะโน้มคออีกคนให้ลงมาประกบจูบกับเธอ

กฤตชยาคล้อยตามไปกับรสจูบนั้นอีกครั้ง ปลายลิ้นร้อนของทั้งคู่ต่างเกี่ยวตวัดรุกไล้ดูดดุนซึ่งกันและกันอย่างเร่าร้อนและเนิ่นนาน เขารู้สึกได้ถึงความเก่งกาจในรสจูบของเด็กสาวในอ้อมกอด แม้จะแปลกใจ แต่เขาก็ไม่สนหรอกว่าหล่อนจะไปหัดจูบมาจากที่ไหน หรือว่ากับใคร รู้เพียงแต่ว่า ณ เวลานี้จูบของหล่อนเป็นของเขา และอีกไม่นานร่างกายของหล่อนก็จะเป็นของเขาเช่นกัน ว่าแต่เมื่อไหร่ล่ะ เมื่อไหร่หล่อนจะยอมเป็นของเขา เมื่อไหร่หล่อนจะยอมให้เขาสัมผัสมากไปกว่านี้ สาวหล่อจำต้องถอยริมฝีปากออก ทั้งๆ ที่ไม่อยากออกห่างจากรสสัมผัสของเด็กสาวเลยแม้แต่น้อย แต่ก็ต้องยอม เพราะตอนนี้เขาเริ่มทนต่อสภาวะอารมณ์ของตนเองไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว อกมันจะระเบิดถ้าไม่ได้ทำอะไรมากกว่านี้ อยากแตะต้องหล่อนมากกว่านี้ และนั้นทำให้เขาต้องลองเสี่ยงขออนุญาตดู เพราะไม่อยากให้น้องน้อยโกรธจนเสียอารมณ์ขึ้นมาอีก

“หนึ่งจ๋าาา...ขอมากกว่าจูบได้ไหม พี่ทนไม่ไหวแล้ว” สาวหล่อกระซิบบอกเสียงแหบพร่า ตอนนี้เขาอยากจะกลืนกินเด็กสาวตรงหน้าไปทั้งตัวแล้ว 

“หืมม ทนไม่ไหวแล้วหรือคะ” หนึ่งฤทัยถามกลับไป ในขณะที่ริมฝีปากยังตอบสนองการคลอเคลียหยอกเอินของอีกฝ่าย

“ค่ะไม่ไหวแล้ว พี่ขอเถอะนะคนดี นะคะ”  กฤตชยาร้องขอเสียงหวาน ดวงตาฉ่ำเยิ้มไปด้วยอารมณ์รักอย่างทนไม่ไหว

“ให้แตะได้แค่หน้าอกเท่านั้นนะคะ แ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12 มกราคม 2014 เวลา 10:44:33 ป่านิทรา »




ออฟไลน์ si

  • หน้าใหม่
  • *
  • กระทู้: 42
Re: อยากให้รู้ว่ารัก : ตอนที่ 12
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: 30 ธันวาคม 2013 เวลา 10:16:54 »
ค้าง :b048a2d2:

ออฟไลน์ ป่านิทรา

  • Moderator
  • หน้าใหม่
  • *****
  • กระทู้: 24
Re: อยากให้รู้ว่ารัก : ตอนที่ 12
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: 12 มกราคม 2014 เวลา 10:48:46 »
พึ่งได้เข้าอ่านตอนนี้ เนื้อหามันหายไปบางส่วน ตอนนี้แก้ไขเพิ่มเติมให้เรียบร้อยแล้วคะ :45:

(ต่อ)

“ให้แตะได้แค่หน้าอกเท่านั้นนะคะ แต่อย่างอื่นอย่าเพิ่งเลยนะ”  หนึ่งฤทัยบอกพร้อมรอยยิ้ม นึกเยาะตัวเองที่เผลอเตลิดไปบ้างเหมือนกัน

“หนึ่งจ๋าาา อยากเห็นพี่ทรมานตายรึไงค่ะ” สาวหล่อตีหน้าเศร้าพูดจาตัดพ้อคนใจแข็ง

“แหม แค่นี้คงไม่ถึงกับตายมั้งค่ะ แต่ถ้าพี่จูนทรมานมากขนาดนั้น มาค่ะเดี๋ยวหนึ่งช่วยพี่เองน้า~”  หนึ่งฤทัยยิ้มหวาน นัยน์ตาแขกคู่สวยฉายแววระยับออกมา ก่อนจะส่งเรียวมือไปปฏิบัติหน้าที่ตามที่ได้บอกไว้ด้วยความรวดเร็ว สาวหล่อสะดุ้ง เมื่อบริเวณขาอ่อนทั้งสองข้างของเขาถูกรุกล้ำจนรู้สึกสยิว และก้มดู จึงเห็นเรียวมือของหนึ่งฤทัยกำลังลูบไล้อยู่ที่ต้นขาเนียน

“นะ หนึ่งจะทำอะไรคะ” กฤตชยาร้องถามอายๆ นี่เธอถูกเด็กคนนี้ถลกกระโปรงขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไรกัน มือไวจริงๆ เชียว

“ก็ทำให้พี่หายทรมานไงคะ” หนึ่งฤทัยตอบกลับเสียงกระเส่า มือไม้ลูบไล้ปลุกอารมณ์อีกคนไม่ยอมหยุด

“ยะ อย่าค่ะ”  กฤตชยาตอบเสียงสั่น พลางจับมือน้อยที่เริ่มลากไล้ซุกซนตรงจุดสงวนของเธอ

“อย่าขัดใจค่ะ พี่ก็รู้ว่าหนึ่งไม่ชอบ!”  หนึ่งฤทัยช้อนสายตาขึ้นมองหน้าอีกคน นัยน์ตาแขกคู่สวยกลับมาฉายแววความไม่พอใจ  กฤตชยาถึงกับกลืนน้ำลายดังเอื๊อกเมื่อสบกับนัยน์ตาที่เปลี่ยนไปของสาวน้อย แต่เขาก็ยังไม่ยอมง่ายๆ อยู่ดี เพราะขืนยอมก็เสียเชิงผู้ทอมหมดนะสิ

“แต่ว่าพี่เป็นฝ่ายรุกนะ”  ใช่! เธอเป็นฝ่ายรุก แล้วก็รุกมาตลอดซะด้วย อยู่ๆ จะให้มาเป็นฝ่ายรับใครมันจะยอมล่ะคะสาวน้อย

“ไม่มีแต่ค่ะ พี่อยู่เฉยๆ เดี๋ยวดีเอง” คำพูดเอาแต่ใจมาพร้อมกับน้ำเสียงที่เฉียบขาด ซึ่งมีไม่บ่อยนักที่หนึ่งฤทัยจะใช้น้ำเสียงมีอำนาจแบบนี้กับบุคคลอื่น เออ ยกเว้นตอนออกคำสั่งกับลูกน้องของพ่อเธอนั่นแหละ ซึ่งก็ทำให้สาวหล่อถึงกับอึ้ง อึ้ง แล้วก็อึ้ง หนึ่งฤทัยเลยจัดการโน้มคอประกบปากคนเรื่องมากนั่นซะเลย เป็นอันยุติการพูดคุยด้วยบทสนทนา แล้วเริ่มคุยต่อด้วยรสจูบที่ร้อนแรงแทน

อารมณ์เสน่หาของกฤตชยาถูกเด็กสาวปั่นป่วนให้มีมากขึ้นไปอีก และด้วยความที่เป็นฝ่ายรุกมาโดยตลอด เขาจึงไม่เคยถูกใครสัมผัสร่างกายแบบนี้มาก่อน จนเผลอลืมเรื่องก่อนหน้านี้ไปซะหมด ในขณะปากยังไม่ล่ะจากกัน มือของเด็กสาวก็สร้างความกระสัน วาบหวาม ป้วนเปี้ยน วนเวียน ลูบไล้ เคล้นคลึงไปทั่วทุกพื้นที่ที่มือน้อยๆ จะไปถึง โดยเฉพาะที่บริเวณขาอ่อนด้านในและจุดยุทธศาสตร์ของเขา แม้จะเป็นเพียงการลากไล้จากภายนอกผ่านเนื้อผ้าบางๆ แต่การกดเน้นแบบนั้น มันก็ทำให้เขาเสียวซ่านจนเผลอครางออกมาอย่างพึงพอใจ เพิ่งจะมาเข้าใจความรู้สึกของคนโดนรุกก็วันนี้เอง มันไม่แย่เท่าไหร่หรอกนะ ออกจะดีเสียด้วยซ้ำ

“อืมม~~” กฤตชยาแม้จะรุกหนัก แต่ร่างกายเขาก็ไม่ยอมอยู่เฉยๆ เช่นกัน มือทั้งสองข้างสอดเข้าไปใต้เสื้อของหนึ่งฤทัย นึกชอบใจที่ชุดนักเรียน ม.ต้น ไม่ต้องสอดชายเสื้อไว้ในกระโปรงดังเช่นของเขา จึงไม่ต้องเสียเวลาดึงมันออกมา แถมเสื้อที่ใส่ก็มีขนาดใหญ่กว่าลำตัวจริงๆ ตั้งเยอะ จะทำอะไรมันก็สะดวกไปซะหมด แค่เสียอย่างเดียวไม่มีกระดุมหน้าให้ปลดนี่สิ แต่ไม่เป็นไรหรอก เรื่องแค่นี้ไม่เกินความสามารถของเขาอยู่แล้ว

กฤตชยาจัดการปลดตะขอหลังของบราออกด้วยความชำนาญ แล้วเลื่อนมือมาจับบีบเคล้นคลึงหน้าอกนุ่มหยุ่นทั้งสองข้างของหนึ่งฤทัยอย่างหนักหน่วง ตามอารมณ์ที่ถูกเด็กสาวปลุกปั่น

หนึ่งฤทัยลอบยิ้มให้กับตัวเอง มือของเธอเปียกชื้นไปด้วยน้ำรักที่ไหลซึมออกมาผ่านชั้นในของรุ่นพี่สุดเท่ห์ นี่แค่เริ่มต้นเองนะคะรุ่นพี่ที่รัก ของจริงมันต่อจากนี้ต่างหากรับรองว่าพี่จูนจะต้องจำหนึ่งไปอีกนานแสนนานเลยทีเดียว หุหุ  หนึ่งฤทัยไม่รอช้า รีบสอดมือเข้าไปในชั้นในเพื่อสัมผัสกับเนินเนื้อของรุ่นพี่สุดเท่ห์โดยตรงด้วยเรียวนิ้วของตัวเอง

“อ่ะ...อย่าค่ะ” กฤตชยาร้องบอกเสียงพร่า เมื่อรู้สึกถึงความเคลื่อนไหวภายใต้ชั้นในตัวเอง

“อย่าอะไรคะ อย่าทำหรือว่า...อย่าหยุดล่ะ” หนึ่งฤทัยกระซิบถามด้วยน้ำเสียงกระเส่า แต่มือร้อนก็ไม่ได้หยุดการลุกล้ำเลยแม้แต่นิด แล้วนิ้วเรียวก็ถูกส่งเข้าไปสัมผัสตรงจุดตื่นตัวในรอยแยกบนเนินเนื้อนั้นได้สำเร็จ แม้จะไม่ค่อยถนัดนักเพราะอีกฝ่ายยังคงหนีบขาไม่ยอมปล่อย แต่เด็กสาวก็สามารถลากเรียวนิ้วไล้ผ่านเบาๆ ไปมาจนร่างที่สูงกว่าสั่นสะท้านได้

“อะ..อืมม..อะ..อ๊า~~”

“อ้าขาหน่อยสิคะที่รัก” หนึ่งฤทัยกระซิบบอกเสียงหวาน นิ้วของเธอตอนนี้เริ่มจะชาแล้วและคงจะไร้ความรู้สึกแน่ๆ ถ้าอีกคนยังหนีบขาตัวเองแน่นอยู่อย่างนี้
กฤตชยายอมทำตามเสียงนั้นแต่โดยดี เด็กคนนี้กำลังทำให้เขาลุ่มหลงในรสสัมผัสของผู้ถูกกระทำจนถอนตัวออกมาไม่ได้เสียแล้ว  อ๊า....ไม่ไหวแล้ว มันหยุดไม่ได้แล้ว อยากจะทำอะไรก็เชิญ ขอเพียงแค่ส่งเขาไปให้ถึงฝั่งฝันก็พอ  กฤตชยาหลับตาแน่นรับสัมผัสที่อีกคนมอบให้ด้วยความเต็มใจ ความต้องมากมายที่ถาโถมเข้ามา มันทำให้เขาไร้การดื้อดึง ความคิดต่อต้านว่าตัวเองต้องเป็นฝ่ายรุกเท่านั้นมลายหายไปหมดสิ้น สมองว่างเปล่า รับรู้ได้แค่ความรู้สึกทางกายเท่านั้นว่าร่างกายของเขามันร้อน และต้องการให้อีกคนดับให้เสียเดี๋ยวนี้!

กฤตชยาคว้าร่างบางของเด็กสาวเข้ามากอดอย่างแนบแน่น เพื่อบรรเทาอารมณ์รัญจวนที่กำลังจะพวยพุ่งออกมา พลางส่งเสียงร้องครวญครางเบาๆ ให้ได้ยินที่ข้างหูของเด็กสาว ก่อนจะเปลี่ยนเป็นเสียงครางหนักซู๊ดปากออกมาไม่ขาดสาย ตามแรงอารมณ์ที่อีกฝ่ายมอบให้จากที่เนิบช้าแต่เสียวซ่านกลายเป็นถี่รัวคล้ายพายุฝนที่โหมกระหน่ำ

“อะ อ่ะ ที่รักเร็วกว่านี้อีก~~” หนึ่งฤทัยจัดให้ตามคำขอทันที

“....อ่า...มะ ไม่ไหวแล้ว มันจะ..อ่ะ...อ๊ายย~~~~” เสียงครางกระเส่าครั้งสุดท้ายหลุดออกมาพร้อมกับร่างกายที่กระตุกเกร็งจนต้องโน้มตัวไปข้างหน้า  โอ้ววว...สรวงสวรรค์ที่เธอมักจะเป็นฝ่ายพาคนอื่นไปส่ง บัดนี้เธอกลับเป็นฝ่ายถูกส่งไปสัมผัสกับสรวงสวรรค์นั้นบ้างแล้ว

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15 มกราคม 2014 เวลา 14:26:21 ป่านิทรา »

 

Powered by EzPortal
    ต้นฉบับในเว็บไซต์เป็นลิขสิทธิ์ของผู้แต่งต้นฉบับที่นำมาลง
    copyright © Yuriread.com All rights reserved.