ตอนที่ 17
ปทุมมาศออกมาจากห้องนอนตั้งใจว่าจะไปเตรียมอาหารเช้า แต่เสียงก๊อกแก๊กในครัวก็สร้างรอยยิ้มให้กับเธอ เพราะคาดเดาเอาว่าน่าจะเป็นจีรธรหลานสาว แต่ก็ผิดคาดเพราะตอนนี้แม่ครัวสำหรับอาหารเช้ากลับกลายเป็นคุณปลัดสาวเสียได้
“อรุณสวัสดิ์ค่ะ หนูปาน” ปทุมมาศทักทายปานวาดที่หันมายิ้มอายๆ
“อรุณสวัสดิ์ค่ะ น้าบัว”
“ตื่นเช้ามากนะคะ ตอนแรกน้าคิดว่าเป็นแม่หลานสาวเสียอีก” ปทุมมาศยิ้มให้แม่ครัวคนใหม่ซึ่งยังคงยิ้มอายๆ ให้อยู่
“คุณจี๊ด เอ๊ย จี๊ดคงยังไม่ตื่นค่ะ เมื่อคืนช่วยทำแผลและช่วยปลอบใจปลัดงอแงอยู่จนดึกกว่าจะได้เข้านอน ปานเลยตั้งใจว่า จะมาทำ
อาหารเช้าให้เป็นการขอบคุณน่ะคะ” ปานวาดอธิบายสิ่งที่เธอกำลังทำอยู่
“ให้น้าช่วยไหมคะ” ปทุมมาศเสนอตัว
“ไม่เป็นไรค่ะ ปานจัดการเองค่ะ อ้อแล้วน้าบุษเป็นอย่างไรบ้างคะ เห็นจี๊ดบอกว่าไม่ค่อยสบาย” ปทุมมาศอมยิ้มหลังจากได้ยินปานวาดเรียกจีรธรว่าจี๊ดเฉยๆ มาถึงสองสามครั้งแล้ว
“ค่อยยังชั่วแล้วค่ะ คงกลัวเข็มฉีดยา เพราะถ้าไม่ดีขึ้น น้าว่าจะพาไปหาหมอแล้วเช้านี้” ปทุมมาศอธิบาย
“ปานทำข้าวต้มปลาค่ะ คงดีสำหรับคนป่วย เพราะตอนเช้าอากาศเย็นมาก ไม่รู้จี๊ดจะชอบหรือเปล่านะคะ” ปานวาดนึกอยากหยิกตัวเองที่
พูดไปอย่างนั้น แต่คนที่ได้ยินกลับยิ้มกว้างขึ้น
“น้าว่าเอาไว้ถามกันเองดีกว่านะคะ เอาเป็นว่าน้าขอตัวไปดูน้าบุษก่อนแล้วจะไปรอทานข้าวต้มฝีมือคุณปลัดก็แล้วกันนะคะ” ปทุมมาศยิ้มให้ปานวาดที่ยิ้มอายๆ กันรอยยิ้มแปลกๆ ที่ได้เห็น
จีรธรเดินงัวเงียเข้ามาสวมกอดบุษบาและปทุมมาศซึ่งอมยิ้มกับอาการง่วง หงาวหาวนอนของหลานสาว แต่กลิ่มหอมของข้าวต้มปลาก็ทำให้จีรธรตาโตขึ้นหันไปสบตากับปทุมมาศที่กำลังส่งยิ้มสวยๆ ให้ จีรธรจึงเดินไปหอมแก้มเสียงดังฟอดซึ่งนั่นได้สร้างรอยยิ้มให้กับผู้ร่วมโต๊ะอาหาร
“ขอบคุณนะคะ เช้านี้ทำของโปรดให้จี๊ดทานด้วย แต่อันที่จริงน่าจะเป็นข้าวต้มกุ้งของโปรดคนป่วยน่าจะดีกว่าหรือเปล่าคะ น้าบัว” จีรธรยิ้มทะเล้นและยักคิ้วให้กับบุษบาที่นั่งอมยิ้ม เพราะเธอรู้ว่าเดี๋ยวสักครู่ถ้ารู้ว่าแม่ครัวสำหรับมื้อเช้านี้เป็นใครหลานสาวของเธอต้องจ๋อยแน่ๆ
“หอมผิดคนแล้วค่ะ” ปทุมมาศพูดยิ้มๆ มองไปทางปานวาดที่กำลังยิ้มอยู่เช่นกัน
“อย่าบอกนะคะ ว่าฝีมือน้าบุษ เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นล่ะก็เห็นทีคงจะต้องสละสิทธิ์แน่ๆ” จีรธรแกล้งทำหน้าเบ้ยิ้มทะเล้นให้บุษบาน้าสาว
ของเธอ
“ถ้าเป็นน้าหรือเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่น้าบัว จี๊ดก็จะหอมแก้มเหมือนกันอย่างนั้นหรือเปล่า” บุษบาแสร้งถามหลานสาวที่ยังคงทำหน้าทะเล้นอยู่
“อร่อยล่ะก็ สองฟอดเลยค่ะ ซ้ายและขวา” พูดจบจีรธรก็ตักข้าวต้มปลาเข้าปากแล้วก็ยิ้มกว้างขึ้น เพราะความอร่อย
“ว่าแต่ว่าคนโดนหอมเขาจะหวงเนื้อหวงตัวหรือเปล่านะสิ” บุษบาพูดจบก็หัวเราะหันไปมองปานวาดที่ยิ้มอายๆ ก้มหน้าแก้มมีสีแดงระเรื่อ บุษบารู้สึกแปลกๆ กับท่าทางของปลัดสาวที่มองหลานสาวของเธอ
“แหมมีหวงเนื้อหวงตัวกันด้วยนะคะเดี๋ยวนี้ น้าบุษแน่ถ้าอย่างนั้น เพราะรสชาติไม่ใช่ฝีมือน้าบัว แต่ก็อร่อยมากค่ะ” จีรธรยังคงต่อปากต่อ
คำกับน้าสาวโดยไม่ได้สนใจกับปานวาดที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
“ตกลงว่าอย่างไรดีค่ะ คุณปลัด ตกลงซ้ายหรือขวาก่อนดี” บุษบานึกขำเมื่อจีรธรสำลักข้าวต้มที่กำลังตักเข้าปาก แล้วเหลือบมองไปทางปานวาดที่นั่งอมยิ้มจ้องมองเธออยู่
“ก็ไม่เห็นอร่อยสักเท่าไหร่ ฝีมือน้าบัวอร่อยกว่าตั้งเยอะ” จีรธรก้มหน้าก้มตาทานข้าวต้มต่อ น้าสาวทั้งสองอมยิ้มกับอาการเขินอายของ
หลานสาวซึ่งไม่ค่อยได้เห็นบ่อยนัก
“ไม่เป็นไรค่ะ เอาเป็นว่าปานเต็มใจทำให้ทุกคนทานก็แล้วกันค่ะ ไม่คิดค่า จ้าง แต่ถ้าจี๊ดจะกรุณาก็ดีเหมือนกันนะคะ” ปานวาดอมยิ้มกับสายตาดุดุของจีรธรที่กำลังจ้องมองมาที่เธอ
“ว่าอย่างไรยายจี๊ด ไม่ทำตามที่พูดอายชาวบ้านตายเลยนะ ไม่เคยเป็นคนเสียคำพูดกับใครเสียด้วยนะเรา” บุษบาหัวเราะเล็กๆ เมื่อได้พูดแหย่หลานสาว
“โห กล้าให้หอมหรือเปล่าล่ะ” จีรธรเริ่มต่อล้อต่อเถียงกับน้าสาวของเธอ
“ไม่เกี่ยวกับน้า ไปถามคนโน้น ไปรดน้ำต้นไม้เดินยืดเส้นยืดสายกันดีกว่าค่ะ อย่าอยู่ขวางหูขวางตาคนแถวนี้เลย” บุษบาอมยิ้มมองสบ
ตากับปทุมมาศที่กำลังเดินเข้ามาประคองให้ลุกขึ้น
“ไม่เป็นอะไรหรือคะ” ปทุมมาศกระซิบถามบุษบา
“สองคนเขาโตแล้ว ให้เขาคุยกันเองดีกว่า เราก็ดูแลอยู่ห่างๆ” บุษบายิ้มให้ปทุมมาศที่เดินจูงมือเธอเดินไปที่หน้าบ้าน
เมื่อน้าสาวทั้งสองของจีรธรเดินออกไปแล้ว สองสาวก็นั่งรับประทานอาหารกันอยู่เงียบๆ จีรธรก้มหน้าก้มตาทำเหมือนไม่มีใครนั่งอยู่ด้วย ปานวาดมองแล้วยิ้ม เพราะเธอเองแทบจะไม่เคยเห็นจีรธรมีท่าทางเขินอายแบบนี้มาก่อน
“ตกลงอร่อยหรือไม่อร่อยคะ” ปานวาดถามเพื่อทำลายความเงียบ
“อร่อยค่ะ” จีรธรยิ้มให้ปานวาด
“ถ้าอย่างนั้นก็น่าได้รางวัลสิคะ”
“ตอนพูดคิดว่าเป็นฝีมือน้าบัวหรือน้าบุษ ไม่ได้คิดว่าจะเป็นปาน” จีรธรบอกกับปานวาดตามตรง
“ปานก็ไม่ได้อยากได้รางวัล อยากขอบคุณมากกว่าค่ะ” ปานวาดยิ้มสวยๆ ให้กับจีรธรที่เริ่มยิ้มออก
“โล่งอก” จีรธรยิ้มกว้างขึ้น
“ทำไมแก้มปานมันแย่มากเลยหรือคะ ถึงกับโล่งอกเลยที่ไม่ต้องหอม”
“เปล่าสักหน่อย” จีรธรมองสบตากับปานวาด
“ขอบคุณค่ะ” ปานวาดพูดคำว่าขอบคุณแบบไม่มีเสียง แต่คนที่มองมาก็อมยิ้มกับความน่ารักของปานวาด
เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ของปานวาดดังขึ้น ปานวาดมองดูเห็นเบอร์โทรศัพท์ที่โชว์เป็นเบอร์เดียวกับที่มีข้อความส่งเข้ามาเมื่อคืน ดังนั้นเธอจึงรีบกดรับด้วยความรวดเร็วเพราะเกรงว่าสายจะหลุดไปเสียก่อน
“สวัสดีค่ะ ปานวาด ค่ะ”
“สวัสดีค่ะ”
“สา” ปานวาดพูดชื่อของรสา และมองสบตากับจีรธรที่กำลังจ้องมองมาเช่นกันหลังจากได้ยินชื่อซึ่งปานวาดพูดขึ้น
“สาหายไปไหนมา รู้บ้างไหมว่าปานเป็นห่วง” ปานวาดรีบถามในทันที
“พอดีโทรศัพท์เครื่องเก่ามันหล่นแล้วพังค่ะ ก็เลยเพิ่งติดต่อกลับมา”
“หรือคะ” ปานวาดพูดเสียงอ่อยๆ มองสบตากับจีรธรที่ยิ้มจางๆ ให้และกำลังจะลุกจากโต๊ะอาหารตามน้าสาวของเธอไปอีกคน
“ปานสบายดีนะคะ” รสาถามเสียงเรียบๆ เสียจนคนฟังรู้สึกว่าน่าจะมีบาง อย่างเกิดขึ้นกับปลายสาย
“สบายดี แต่เป็นห่วงสานะ” ปานวาดบอกกับรสา จีรธรได้ยินสิ่งที่ปานวาดพูดโทรศัพท์ เธอไม่รู้ว่าตัวเองรู้สึกอย่างไร แต่ที่รู้สึกในตอนนี้คืออยากเดินไปจากการพูดคุยของรสากับปานวาดให้เร็วที่สุด มันทำให้รู้สึกโหว่งๆ อย่างไรชอบกล
“ขอบคุณนะคะ สาคิดถึงปานมากนะ” รสาพูดด้วยน้ำเสียงเครือๆ จนทำให้คนฟังรู้สึกได้ว่าทางปลายสายคงมีอะไรบางอย่างที่จะพูดหรือบอกกับเธอ
“มีอะไรจะบอกกับปานใช่หรือเปล่าคะ” ปานวาดถามในทันที
“คือ” รสาไม่กล้าที่จะบอกกับคนที่เธอรัก
“อยากบอกตอนนี้เลยหรือเปล่า ไม่ต้องเป็นห่วงปานนะสา ปานพร้อมที่จะฟังทุกเรื่องที่สาจะบอก” ปานวาดพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“แม่จะให้สาหมั้น แล้วไปเรียนต่อ” พูดจบรสาก็เงียบไป ปานวาดก็เช่นกันสิ่งที่ได้ยินนั้นทำให้ไม่รู้จะพูดอย่างไรหรือถามอะไรอีก จนได้ยินเสียงคนที่พูดไปเมื่อสักครู่เหมือนกำลังร้องไห้
“ที่หายไปไม่ใช่เพราะโทรศัพท์พัง แต่เพราะไม่รู้จะบอกกับปานอย่างไรใช่หรือเปล่าคะ” ปานวาดถามรสาตามตรง
“สาเป็นห่วงปาน ไม่รู้จะบอกปานอย่างไร” รสาบอก
“เราสองคนก็รู้อยู่แล้ว ว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้เข้าสักวัน”
“โกรธหรือคะ” รสาถาม
“เปล่าค่ะ จะหมั้นเมื่อไหร่” ปานวาดถามทั้งน้ำตาซึ่งกำลังไหลริน
“เดือนหน้าค่ะ แล้วคงเดินทางเลย” เสียงสะอื้นของคนที่พูดจบไปเมื่อสักครู่ทำให้ปานวาดรู้สึกปวดร้าวมากขึ้น
“ค่ะ แล้วสาจะให้ปานทำอย่างไร” ปานวาดถามเพราะเธอเองก็ไม่รู้เหมือน กันว่าจะทำอย่างไรต่อไปกับเรื่องระหว่างตัวเองและรสา
“สาไม่รู้เหมือนกันค่ะ แต่อยากให้ปานรู้ว่าสารักปานมากนะ” เสียงสะอื้นจากปลายสายดังขึ้นกว่าเดิม
“ปานควรจะเดินออกจากชีวิตสา ใช่ไหม” ปานวาดถามขึ้น และค่อยๆ เช็ดน้ำตาที่กำลังไหลอาบแก้มทั้งสองข้าง
“สาไม่อยากให้มันเป็นแบบนั้นเลยนะปาน แต่แม่” รสานึกถึงสิ่งที่มารดาได้พูดกับเธอ เรื่องของปานวาด
“แม่ทำไมคะ”
“ไม่มีอะไรค่ะ สาคิดถึงปานนะ” รสาพูดเสียงอ่อยๆ
“ขอบคุณนะคะ ปานก็คิดถึงสานะ แล้วเราจะได้คุยกันอีกหรือเปล่าคะ”
“สาไม่อยากให้ปานเจ็บปวดไปมากกว่านี้” รสาพยายามควบคุมตัวเองเพื่อที่จะพูดสิ่งที่ตั้งใจเอาไว้
“ไม่ต้องพูดดีกว่าค่ะ ปานรู้แล้ว เอาเป็นว่าปานจะไม่โทรไปรบกวนสาอีก หนทางที่พ่อแม่เลือกให้คงดีที่สุดแล้วค่ะ ขอบคุณสำหรับทุกอย่างเลยนะ” ปานวาดพูดไปสะอื้นไป ทำให้รสาไม่รู้จะพูดอย่างไรเช่นกัน เพราะตัวเธอเองก็ร้องไห้มาตั้งแต่วันแรกที่กลับมาถึงกรุงเทพ
แล้ว
“แล้วถ้าสาคิดถึง ขอโทรหาปานบ้างจะได้หรือเปล่าคะ” รสาเคยคิดว่าเธอจะตัดใจได้หลังจากที่พยายามรวบรวมความกล้า แต่ก็ไม่เป็นผลอะไรเลยสักอย่าง
“ได้สิ ปานก็อยู่ที่เดิม โทรศัพท์ก็เบอร์เดิม แต่ถ้าการโทรมาแล้วทำให้สาไม่สบายใจล่ะก็ บางทีเราควรจะลองหยุดติดต่อกันสักพัก หนทางที่สากำลังจะเดินต่อไปมันอาจจะดีก็ได้นะ ถ้าเป็นแบบนั้นปานจะดีใจมาก ถ้ารู้ว่าสา มีความสุข”
“โดยที่ปานต้องเจ็บปวดอย่างนั้นหรือคะ” ความเด็ดเดี่ยวของผู้หญิงที่เธอรัก รสารู้ดีและเชื่อว่าปานวาดจะทำทุกอย่างที่ได้พูดกับเธอไป
“ปานรับมือไหว ไม่ต้องเป็นห่วง ดูแลตัวเองด้วยนะคะ”
“ขอโทษค่ะ ที่ทำให้เสียใจ ดูแลตัวเองด้วยเช่นกันนะคะ” เสียงร้องไห้ของทั้งสองสาวทำให้รสาเลือกที่จะจบการสนทนาไว้เพียงแค่นั้น
เสียงสัญญาณโทรศัพท์ถูกตัดไปเรียบร้อยแล้ว แต่ปานวาดยังคงถือโทรศัพท์แนบไว้เหมือนเดิมด้วยหวังว่าเสียงของรสาจะดังขึ้นอีกครั้ง
จีรธรรีบวิ่งหน้าตาตื่นขึ้นมาบนบ้าน ภาพที่ได้เห็นในขณะนี้ก็คือ ปานวาดกำลังร้องไห้โดยที่โทรศัพท์มือถือยังแนบอยู่ที่หู นั่งนิ่งๆ อาการเคลื่อนไหวก็คืออาการสะอื้นและท่าทางคงจะหยุดร้องไห้ยากแน่ๆ จีรธรเดินถอยไปถอยมาไม่รู้เหมือนกันว่าจะเข้าไปปลอบโยนอย่างไร
“ไหนบอกรับมือไหวอย่างไรคะ” จีรธรพูดขึ้นเมื่อเดินมาอยู่ใกล้ๆ ปานวาดที่กำลังพยายามเช็ดน้ำตาที่ไหลริน
“ปานไม่ได้เป็นอะไรค่ะ” ปานวาดพูดจบก็ทำท่าจะลุกหนีแต่จีรธรก็รั้งตัวไว้
“ไหนมาจะช่วยเช็ดน้ำตาให้ ไม่ได้เป็นอะไรแล้วร้องไห้ทำไมกันคะ” จีรธรไม่อยากพูดเรื่องที่เกี่ยวกับโทรศัพท์ที่ปานวาดเพิ่งพูดคุยไป เธอจึงหาเรื่องกวนใจเพื่อที่ จะช่วยให้คนที่กำลังร้องไห้หยุดคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้น แม้เพียงชั่วครู่ก็ยังดี
“ขอบคุณค่ะ ไม่ได้เป็นอะไรจริง” ปานวาดก้มหน้าไม่กล้าสบตากับจีรธรที่กำลังจ้องมองเธออยู่
“จี๊ดรับฟังได้ทุกเรื่องนะ ถ้าปลัดอยากเล่า มองตาจี๊ดดูก่อนก็ได้ค่ะ ว่าจริงใจหรือเปล่า” จีรธรเฉยคางปานวาดให้เงยหน้าขึ้นมองสบตากับเธอ
“สา” ปานวาดโผเข้ากอดจีรธรเอาไว้แนบแน่น พร้อมกับเสียงร้องไห้ที่ดังขึ้นกว่าเดิม จีรธรไม่คิดว่าปานวาดจะร้องไห้มากมายขนาดนี้ เธอจึงค่อยๆ กระชับอ้อมกอดของตัวเองด้วยอยากให้คนที่ร้องไห้อยู่รู้สึกได้ว่ายังมีเธออีกคนที่อยากจะปลอบ โยนให้หายเศร้า
“เอาไว้ค่อยคุยกันก็ได้ค่ะ จี๊ดรอได้นะ” ปานวาดกอดกระชับจีรธรเอาไว้แนบแน่นมากขึ้นอีก หลังจากได้ยินสิ่งที่จีรธรพูด
“น่าสงสารนะคะ” ปทุมมาศพูดขึ้น หลังจากเฝ้ามองสองสาวอยู่ห่างๆ ได้สักครู่ เพราะเสียงร้องไห้ของปานวาดทำให้ทั้งเธอและบุษบาต้องรีบขึ้นมาดู
“สงสารใครดีล่ะ ยายจี๊ด หรือ หนูปาน” บุษบามองสบตากับปทุมมาศที่พอ จะเข้าใจกับสิ่งที่บุษบาพูด