บทที่ 1 You And Me
กานต์ไปถ่ายแบบแทนน้องหน่อยนะลูก
น้ำเสียงขอร้องของแม่ยังติดหู
กานต์ชนิตก้าวลงจากรถ มองไปยังหาดทรายและทะสีครามกว้างใหญ่สุดสายตา สายลมชื้นปนไอกลิ่นทะเลลอยละล่องแผ่วเบาปะทะใบหน้ายิ่งทำให้ความกังวลในจิตใจเพิ่มพูน เธอยังคงถอนหายใจอีกครั้งและอีกครั้ง เนื่องจาก “งานอาสาสมัคร” ที่เธอจำใจสมัครนั้นสร้างความอึดอัดใจให้ผู้หญิงชอบเก็บเนื้อเก็บตัวและค่อนไปทางขี้อายอย่างเธอ ทั้งที่ปฏิเสธมาได้ตลอด แต่มาครั้งนี้ เธอจนใจจะหาเหตุผลปฏิเสธได้อีก
“พี่กานต์ไม่ต้องตื่นเต้นนะคะ จากที่เราเคยซ้อมกันมา เอ๋ยว่าพี่กานต์ไปเป็นนางแบบมืออาชีพได้สบายเลย” เสียงเล็กๆ จ้อยๆ ดังมาจากฝั่งคนขับ กานต์ชนิตหันไปยิ้มฝืดให้กับผู้หญิงผมสั้นซอยประบ่า ป้ายไปป้ายมาดูเป็นทรงเก๋ไก๋สมกับเป็นทั้งเพื่อนสนิทและผู้จัดการของ “พิมพิมล” นางแบบสาวหน้าใหม่เฟรชชี่ ซึ่งเป็นน้องสาวของเธอ
“พี่กานต์ มั่นใจๆ สู้ๆ ไม่งั้นเดี๋ยวยัยพิมก็โทรมาอยู่นั่นแหละ ห่วงพี่กานต์จนวีนแตกใส่คนขับรถกระบะคันนั้นจนเป็นเรื่องแล้ว”
กานต์ชนิตจึงฝืนยิ้มต่อให้กับรุ่นน้อง พยักหน้าตอบและยกมือกำหมัดขึ้น ...สู้ๆ... ตามอย่างกัน
พิมพิมลเป็นน้องสาวที่เธอรักมาก แม้จะไม่ใช่น้องสาวแท้ๆ สายเลือดเดียวกันก็ตาม การที่เธอได้รับอุปการะจากครอบครัวของพิมพิมล ทำให้เธอระลึกในพระคุณอยู่เสมอ เธอพยายามจะช่วยแบ่งเบาภาระทางบ้านทุกอย่างเท่าที่จะทำได้ ด้วยการทำตัวเป็นลูกที่ดี ไม่เคยมีปัญหาเกเรให้เหนื่อยใจ เป็นน้องที่ดีของพี่สาว และเป็นพี่ที่ดีของน้องสาว ช่วยดูแลน้องสาวแทนพ่อกับแม่ที่บางครั้งก็งานยุ่งจนแทบไม่มีเวลาอยู่บ้าน
ความจริงแล้ววันนี้แม่ของเธอและพิมพิมลมีงานสำคัญต้องออกไปถ่ายแบบต่างจังหวัด แม่ทำงานกับบริษัทผลิตนิตยสารนางแบบนายแบบแห่งหนึ่ง มีหน้าที่จัดหานางแบบเพื่อถ่ายลงนิตยสาร พิมพิมลเป็นนางแบบคนหนึ่งในสังกัด เคยรับงานสมัยเรียนมหาวิทยาลัยบ้างเป็นบางครั้ง งานชิ้นนี้เป็นชิ้นแรกหลังจากจบการศึกษาของพิมพิมลซึ่งถือว่าหวือหวาพอสมควรเพราะต้องถ่ายแบบในชุดบิกินี่
แต่แล้ว... ก็มาเกิดเหตุไม่คาดฝันจนได้
คราวนี้พิมพิมลอาสาเป็นคนขับ จากเสียงแม่บ่นมาตามสายโทรศัพท์ว่า “น้องสาวเธอ ลูกสาวฉัน” นั้นขับไม่ไวเลย แค่ไม่มีคันไหนสามารถแซงหล่อนได้ เป็นเหตุให้เอาหน้ารถไปจิ้มกับท้ายรถกระบะคันหนึ่งซึ่งเพิ่งออกตัวจากข้างทาง ชนกันโครมใหญ่จนหน้ารถของแม่ยุบไปหลายฟุต โชคดีที่ทั้งคู่ไม่ได้เป็นอะไร พิมพิมลแค่โดนถุงลมอัดหน้าจนจมูกแดงก็เท่านั้นเอง แต่รถของคู่กรณีนี่สิ
ตัวรถยุบไปไม่มาก ประมาณแล้วซ่อมไม่กี่สัปดาห์ก็หาย แต่อุปกรณ์ที่บรรทุกมาด้วยเสียหายหนัก และเป็นอุปกรณ์ที่ราคาแพง สั่งซื้อมาจากต่างประเทศเสียด้วย อีกฝ่ายจึงเรียกร้องให้เราชดใช้ค่าเสียหายให้กับอุปกรณ์ของเขาด้วยราคาสูงลิ่วจนให้ความรู้สึกว่าเกินจริง และ “น้องสาวของเธอ ลูกสาวของฉัน” ก็ทำเรื่องง่ายให้เป็นเรื่องยาก ด้วยการไปต่อล้อต่อเถียงเป็นเรื่องเป็นราว ยอมชดใช้แต่รถ ไม่ชดใช้อุปกรณ์บนนั้น
ตอนนี้ก็เลยยังไปไหนไม่ได้ บริษัทประกันภัยพยายามเกลี้ยกล่อมกันอย่างหนัก ก็ดูจะยืดเยื้อไปถึงมือตำรวจ มันน่าไหมล่ะ
แม่ทำอะไรไม่ได้ ทั้งยังหัวเสีย จึงขอร้องเธอและเอกอรช่วยไปทำงานให้เพราะจำเป็นต้องมีนางแบบไปแทน ไม่อย่างนั้นงานจะเสีย พิมพิมลคงจะห่วงการถ่ายแบบมากเหมือนกัน แต่โดยนิสัยเจ้าตัวที่ไม่ชอบให้ใครเอาเปรียบแล้ว โดนเรียกค่าเสียหายมากขนาดนั้นจึงเป็นสาเหตุให้ยอมไม่ได้ง่ายๆ
เธอก็ไม่อยากให้แม่ห่วงหน้าพะวงหลัง ดังนั้นเมื่อแม่ขอร้อง เธอจึงจำเป็นต้องรับคำ...ได้สิ... ตามแบบอย่างของลูกสาวที่ดี ซึ่งก็ไม่ควรเกี่ยงงอนในตอนที่พวกเขาเดือดร้อน ส่วนพี่สาวคนโตของเธอก็ต้องรีบวิ่งวุ่นไปเคลียร์เรื่องให้ แล้วปล่อยให้เธอเป็นผู้รับโชคไปถ่ายแบบเพียงคนเดียว
โชคดีที่กานต์ชนิตเคยไปรับไปส่งพิมพิมลถ่ายแบบอยู่ตั้งแต่สมัยหล่อนเรียนมหาวิทยาลัย จึงไม่เป็นที่น่าหนักใจสำหรับเอกอร...ผู้จัดการที่ได้รับมอบหมายจากเพื่อนแบบโทรจิกเร่งด่วน ...ช่วยเป็นธุระจัดการช่วยเหลือดูแลเทรนพี่สาวของฉันให้หน่อย...
และนี่ไง สายวันนี้เธอก็เลยต้องมาถอนหายใจอยู่ที่นี่
“เอาน่าพี่กานต์ อ่ะหยอดน้ำหน่อย จะขึ้นชกแล้ว” เอกอรบีบไหล่ให้เธอพลางยื่นน้ำให้ เธอจึงหัวเราะต่างสะพายกระเป๋าข้าวของและออกเดินไปสู่กองถ่ายแบบบริเวณหาดทรายกว้าง
ทีมงานเดินขวักไขว่ เตรียมสถานที่ จัดแสงและอุปกรณ์ต่างๆ ให้พร้อม ทุกคนต่างมีหน้าที่จนไม่มีใครสนใจผู้มาใหม่ เอกอรพาเธอเดินไปหยุดเบื้องหลังของผู้ชายคนหนึ่งในเสื้อยืดสีขาว กางเกงขาสั้นแค่เข่า บนหัวมีหมวกแก๊ปใส่กลับด้าน สิ่งที่ทำให้รู้ว่าเขาเป็นใครก็คือสายกล้องหนาใหญ่เขียนแบรนด์ติดยาวเป็นแถบพาดทับไปกับไหล่
“พี่อเล็กซ์”
ชายหนุ่มเงยหน้าจากการปรับกล้อง กานต์ชนิตไม่คิดว่าช่างภาพจะเป็น “ฝรั่ง” ที่มีเคราเต็มคางครึ้มขนาดนี้ สีหน้าเขายังเบลอและงง มองเอกอรสลับกับมองเธอ สักครู่ก็ร้องอ๋อ
“เอ๋ยเหรอ เอ้าแล้วนี่ใช่ป่ะนางแบบที่ว่ามาแทนน้องพิม”
กานต์ชนิตค่อนข้างทึ่งที่เขาพูดไทยได้ชัดมาก เดาเอาเองว่าเขาคงอยู่ประเทศไทยนานแล้วจนสำเนียงการพูดไม่ต่างจากเจ้าของภาษา ผู้พูดสำรวจใบหน้าและมองเธอขึ้นลง กานต์ชนิตชักรู้สึกกระดาก ก็เธอไม่ชินกับการสำรวจโต้งๆ แบบนี้
“นี่พี่กานต์ค่ะ กานต์ชนิต เป็นพี่สาวของพิม เป็นไงพี่ เอ๋ยบอกแล้วว่าสวยไม่แพ้กันหรอก”
โชคดีที่นัยน์ตาของตากล้องไม่ได้มีอะไรมากกว่าสำรวจหุ่นนางแบบ เธอจึงค่อยหายใจได้สะดวกหน่อย
“อ๋อออ ยินดีที่ได้รู้จักครับคุณกานต์ นางแบบหน้าใหม่ก็ดีเหมือนกัน จะได้มีคนสนใจว่าเป็นใครมาจากไหน นี่ก็ใกล้เวลาแล้ว จะเปลี่ยนเสื้อผ้าเลยก็ได้ครับ จะได้เริ่มถ่าย” พูดจบเขาก็หันไปสั่งการทีมงานเรื่องจัดแสง ไม่ได้สนใจเธอสองคนอีก
“อ้าว พี่อเล็กซ์เนี่ย ยุ่งตลอดเลย” เอกอรบ่นอุบ หน้าตาเสียดายกะทันหัน กานต์ชนิตจึงได้รู้ว่ารุ่นน้องสนใจตากล้องคนนี้ไม่น้อย เธอจึงชวนคุยขณะเดินไปยังห้องเปลี่ยนเสื้อ
“เอ๋ยรู้จักเขามานานแล้วเหรอ หรือพิมร่วมงานกับเขาบ่อย”
“ไม่ค่อยบ่อยหรอกค่ะพี่กานต์ ครั้งสองครั้งเอง ส่วนใหญ่แล้วเขารับถ่ายให้นิตยสารต่างประเทศมากกว่า แต่อย่าให้โกนหนวดโกนเคราเชียวนะ หล่อเฟี้ยวจนนายแบบแถวนี้ชิดซ้ายชิดขวา เอ๋ยน่ะเคยเห็นเค้าทีนึงแล้วอู้หูย”
เอกอรทำเสียงซู้ดซ้าดเกินจริง เธอเลยส่ายหน้าว่าโอเวอร์
“แล้วคนไหนที่เป็นนางแบบอีกสองคนน่ะเอ๋ย ชื่ออะไรพี่ยังจำไม่ได้”
“พี่กานต์ก็อย่างงี้ทุกที คนหนึ่งชื่อฮารุกะค่ะ เป็นลูกครึ่งญี่ปุ่นฝรั่งเศส คนนี้น่ะลูกนักธุรกิจบริษัทใหญ่ พี่กานต์เคยได้ยินป่ะ มิทซึคิงอ่ะ ที่ชอบผลิตพวกคอมพิวเตอร์แล้วก็เครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์อ่ะ”
กานต์ชนิตส่ายหน้าไม่รู้จัก รับชุดกางเกงยีนขาสั้นกับบิกินี่สีสดใสและเสื้อเชิ้ตขาวไว้คลุม จ้องมองความกังวลอันบิ๊กเบิ้มกลับมาอีกแล้ว ถึงจะมีชิ้นอื่นช่วยคลุมเจ้าจิ๋วสองชิ้นนี่ก็เถอะ
“คนเนี้ยะ สวยมากกก หุ่นงี้สุดยอดเลย ผิวก็อย่างกะน้ำนม ถ่ายเล่มไหนเป็นขายหมด เธอเป็นนางแบบอย่างเดียว ก็เลยอาจจะไม่ดังเท่ากับดาราทั่วไป แต่วงการนางแบบถ้าใครเอ่ยชื่อฮารุกะละก็ ไม่มีหรอกจะไม่ร้องอ้ออออ ส่วนอีกคนนะคะพี่กานต์ ไม่ค่อยเห็นถ่ายกับนิตยสารไทยเท่าไหร่ เธอร่วมงานกับต่างประเทศค่ะ แต่ก็เป็นคนไทยเนี่ยแหละ แล้วเธอก็ไม่ได้เป็นดาราเหมือนกัน เธอชื่อ....”
เสียงของคนคุยแจ้วเงียบไปกะทันหัน กานต์ชนิตจึงเงยหน้าจากชุดเหล่านั้นมองรุ่นน้อง ดวงตากลมโตตกใจทำให้เธอหันมองตามไปด้านหลัง ก็พบหญิงสาวรูปร่างเพรียวระหงผิวขาวเนียนไปทั้งตัว ชุดบิกินี่ตัวจิ๋วท่อนบนโดดเด่นบนเรือนร่างไม่แพ้กางเกงยีนเอวต่ำสีซีดกระชับสะโพกผายกลมกลึงขับเน้นไปทุกส่วนสัด อวดแม้กระทั่งหน้าท้องแบนเรียบไร้ส่วนเกินจนบุคคลที่ยืนมองอยู่ทั้งคู่แทบจะลืมหายใจ
ขนาดเป็นผู้หญิงด้วยกันยังตะลึงขนาดนี้ กานต์ชนิตไม่อยากจะคิดเลยว่าถ้าผู้ชายที่ไหนมาเห็นหล่อนในยามนี้จะเตลิดเปิดเปิงไปไกลแค่ไหน รอยยิ้มน้อยๆ ประดับบนวงหน้าเรียวมนที่มีเค้าเชื้อสายทางเอเชียอยู่มากกว่าทางยุโรป เธอจึงเดาออกได้รำไรว่าหญิงสาวคนนี้คงไม่ใช่ใคร
“ฮา...ฮารุกะ”
เจ้าของนามหัวเราะ สายตาสีน้ำตาลอ่อนที่ดูเย่อหยิ่งตอนนี้ยิบหยีด้วยความชอบใจ และเอ่ยทักทาย “สวัสดีค่ะ”
อาจจะชัดน้อยกว่าตากล้องนิดหน่อย แต่ประโยคต่อมาก็ฟังแล้วรู้ว่าหล่อนคลุกคลีกับคนไทยบ่อยๆ
“ฉันฮารุกะค่ะ ยินดีที่ได้รู้จัก แล้วก็ขอบคุณสำหรับคำชมนะคะ”
เอกอรหลุดคำอุทานไม่เป็นภาษามาหนึ่งคำ เรียกรอยยิ้มหยิ่งๆ ได้อีกครั้ง กานต์ชนิตลูบแขนรุ่นน้องเป็นการปลอบใจ เธอเคยได้ยินว่าดารานางแบบมักจะหยิ่ง พอได้เจอกับตัวจึงรู้สึกเห็นด้วยขึ้นมา
“กำลังฟังสนุกเลยฮารุ ออกไปขัดทำไมก็ไม่รู้”
เสียงนี้เรียกสายตาของกานต์ชนิตและรุ่นน้องหันมอง เธอเห็นหญิงสาวอีกคนหนึ่งเดินออกมาจากห้องแต่งตัวด้านหลัง แล้วเกาะไหล่ของเพื่อนนางแบบคนแรกไว้ หล่อนอยู่ในชุดแบบเดียวกับคนแรก เพียงแต่ว่ามีเสื้อเชิ้ตตัวบางคลุมไหล่แหวกหน้าให้เห็นบิกินี่ท่อนบนปกปิดเนินเนื้ออยู่ภายใน และผูกชายตรงเอวคอดหลวมๆ ผิวพรรณของผู้มาใหม่แม้ไม่ขาวสะดุดตาอย่างเช่นคนแรก แต่ก็เนียนเหลืองอ่อนอย่างคนไทย สิ่งที่สะดุดตากานต์ชนิตที่สุดคงจะเป็นดวงตาคู่สีน้ำตาลอ่อนบนใบหน้ารูปไข่ ล้อมกรอบไปด้วยผมดัดลอนสีเดียวกับตา แม้จมูกจะโด่งรับกับริมฝีปากบางเฉียบจะโดดเด่นแต่ก็ไม่เท่าดวงตาที่ส่องประกายบางอย่างฉายแสงเรืองระยิบเวลาที่มองตรงมาหาเธอ ก่อนเจ้าหล่อนจะเสสายตาไปส่งยิ้มให้กับคนข้างกัน และหันมาแนะนำตัวด้วยใบหน้านิ่งประดับยิ้มตรงมุมปาก
“ฉันพริ้งแพรวพรรณค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกัน” ใบหน้าผู้พูดเอียงน้อยๆ จ้องมองที่กานต์ชนิตอย่างไม่ละสายตาแบบนี้ ทำให้เธอรู้สึกไม่ชินเอาซะเลย
“ฉันชื่อกานต์ชนิตค่ะ เอ่อ จะมาถ่ายแบบแทนน้องพิมที่ไม่ว่าง”
“ทราบแล้วค่ะ ทีมงานบอกเราแล้วล่ะ กำลังรออยู่ทีเดียว...”
กานต์ชนิตรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ ชอบกล แต่ครู่เดียวผู้หญิงทั้งคู่ก็หันไปคุยกันเองเป็นภาษาอื่นซึ่งกานต์ชนิตเองก็ไม่เข้าใจ รู้แต่ว่าจากอาการแตะแขนโอบเอวของคนทั้งคู่แสดงให้รู้ว่าสนิทกันไม่น้อย
“งั้นโอเค ค่อยคุยกันนะคะ” ผู้หญิงลูกครึ่งญี่ปุ่นเริ่มพูดก่อน ดึงเอวคนที่เหลือให้ตามไปด้วย คนถูกดึงหันหน้ามานิดหนึ่งร้องบอกว่า “แล้วเจอกันนะ คุณกานต์”
กานต์ชนิตมองสองสาวเดินออกจากห้องแต่งตัวก็ถอนหายใจ ได้ยินเสียงเฮ้อของเอกอรก็ยิ้ม ยื่นมือไปโยกหัวอีกฝ่ายปลอบใจชักชวนกันเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วเดินออกไปนั่งดูการถ่ายแบบของสองสาวเป็นคิวแรก
ผู้หญิงตาคมที่ชื่อพริ้งแพรวพรรณยิ้มพรายให้หญิงสาวลูกครึ่งญี่ปุ่น มือหนึ่งเลื่อนจากไหล่มาแตะแก้ม ก่อนจะหันไปยิ้มให้กล้องตามคำสั่งของหนุ่มตากล้องหัวน้ำตาลทองเครารกรื้อมาดเคร่งเครียด ท่าทางตากล้องคนนี้คงจะเป็นคนจริงจังกับงานมากทีเดียว เพราะตั้งแต่เธอมาเนี่ยยังไม่เห็นเขายิ้มเลย ไม่รู้ว่ารุ่นน้องเธอไปติดใจหลงเสน่ห์ได้อย่างไร
อเล็กซ์ได้ทีสั่งให้เธอนั่งๆ นอนๆ ยืดตัวบ้างล่ะคู้ตัวบ้าง สักครู่พอเห็นว่าไม่สวยก็ให้เปลี่ยนท่า สักครู่ก็นิ่วหน้า
“เอาล่ะ ขอท่าธรรมชาติสักสี่ห้ารูปปิดท้าย แล้วจบเลย”
พริ้งแพรวพรรณยืดตัวยืนเต็มความสูง ใบหน้าเวลาไม่ยิ้มดูเคร่งขรึมหรือค่อนไปทางหยิ่งก็คงจะไม่ผิด เธอจึงลอบถอนหายใจที่ต้องถ่ายแบบกับมืออาชีพที่แสนจะจริงจังทั้งหมู่คณะ
ท่าธรรมชาติที่สองสาวคิดขึ้นมาชวนให้ทีมงานทั้งกองกลืนน้ำลายเอื้อกใหญ่ ฮารุกะสอดมือและแขนโอบรัดบั้นเอวของคนตรงข้าม ดึงให้หน้าท้องแนบชิดกันกับอีกฝ่าย พลางหันไปยิ้มให้กล้อง แล้วเปลี่ยนท่าเป็นโน้มคออีกคนเข้ามาใกล้ เป่าลมหายใจรดเหนือบ่าและไหล่ ดูสภาพแล้วไม่ต่างจากการกอดรัดของงูสาวสองตัว พันกันไปกันมา มองได้สองแง่สองง่ามพิกล แล้วเธอก็ได้เห็นฮารุกะยิ้มแย้ม สายตาประสานกับพริ้งแพรวพรรณซึ่งดูเคร่งขรึมกว่า คนหนึ่งดูหวานคนหนึ่งดูเข้ม ถ้ามองอย่างศิลปินหน่อยเธอคิดว่าดูดึงดูดอย่างบอกไม่ถูก ยิ่งทำเหมือนกระซิบข้างหูกันเธอก็ยิ่งรู้สึกตื่นเต้นตื่นตาใจกับสิ่งที่ไม่เคยเห็น สักพักก็เริ่มปนหวาดหวั่นค่อนไปทางหวาดกลัว โอ้โหมืออาชีพเค้าทำกันอย่างงี้นี่เอง เธอจะได้ร่วมงานกับมืออาชีพแล้ว ทำไงดี ทำไงดี
มือของเอกอรเลื่อนมาบีบมือเธอเอาไว้ “โอ้ยพี่กานต์ เหงื่อแตกพลั่กๆ แบบนี้เดี๋ยวก็ต้องเติมหน้าเติมตาใหม่อีกหรอก ไม่ต้องตื่นเต้นค่ะ สองคนนี้เค้ากิ๊กกัน ก็เลยดู... ฮี่ๆ น่าหวาดเสียวไปหน่อย แต่พี่กานต์ไม่ต้องกลัว เค้าไม่มาพันๆ กับพี่หรอกค่า”
กานต์ชนิตตาโต “หืม ว่ายังไงนะเอ๋ย สองคนนี้น่ะเหรอกิ๊กกัน หมายความว่ายังไงน่ะ”
“พี่กานต์อย่าทำมาไร้เดียงสาเด่ะ ไม่เคยได้ยินเหรอ สาวไบ สาวเลสอ่ะ ฮารุกะเนี่ยตัวแม่เลย ได้ยินมานานแล้ว ส่วนคุณพริ้งเนี่ย เอ๋ยก็เพิ่งรู้เหมือนกันว่าเธอเป็น พูดแล้วรู้สึกมะลึกกึ๊กกึ๋ยเนอะพี่กานต์เนอะ”
กานต์ชนิตแม้แปลกใจกับข่าวใหม่ แต่ก็อดขำรุ่นน้องไม่ได้
“อะไรของเธอ มะลึกกึ๊กกึ๋ยอ่ะ”
“ก็มะลึกกึ๊กกึ๋ยจึ๊กกะดึ๋ยไงล่ะ ฮ่าๆ”
กานต์ชนิตส่ายหน้ากับศัพท์พิลึกของรุ่นน้อง หันไปอีกทีสองสาวก็ผละออกจากกันแล้ว ตากล้องสุดหล่อของเอกอรก็กวักมือเรียกเธอในที่สุด
“ต่อไปคิวของฮารุกะกับคุณกานต์ครับ เชิญครับ”
กานต์ชนิตเดินไปบนหาดทรายอย่างประหม่า น้ำทะเลอุ่นๆ ไม่อาจช่วยระงับความตื่นเต้นไปได้ สีหน้าของนางแบบสาวฮารุกะกลับมาหยิ่งเหมือนเดิม เมื่อถ่ายไปได้สองสามรูป ตากล้องก็ตะโกนโวยวายลั่นกอง เธอโดนดุขนาดใหญ่ บอกว่ายิ้มหรือแยกเขี้ยวบ้างล่ะ ตัวแข็งทื่ออย่างกับท่อนไม้บ้างล่ะ แล้วไม่ได้โดนเพียงคนเดียว นางแบบมือโปรข้างเธอก็พลอยโดนไปด้วย แต่ก็แปลกที่หล่อนไม่ได้มีสีหน้าไม่พอใจอย่างที่เธอนึกเกรง หล่อนกระซิบบอกเบาๆ ว่า
“รีแลกซ์หน่อย”
จากนั้นก็เริ่มนำโพสท่าและคอยบอกรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ให้ ท่าทีที่เป็นมิตรทำให้กานต์ชนิตคิดว่าเป็นไงเป็นกัน คิดว่าจะยึดฮารุกะเป็นที่พึ่งชั่วคราว ยอมทำหน้าหนา ยิ้มหวานและขยับร่างกายตามแต่คำสั่งของตากล้องได้ในที่สุด เขาก็ชมว่า “ดี โอเคแล้วครับคุณกานต์ ดีมากครับ”
แล้วการถ่ายแบบรอบแรกของกานต์ชนิตก็เป็นไปด้วยความราบรื่น ตากล้องใจดีที่เธอเดาว่าเป็นทั้งตากล้องทั้งหัวหน้ากองอนุญาตให้เธอพักได้สิบนาทีแน่ะ เปิดโอกาสให้เอกอรหยอดน้ำนางแบบเพิ่มพลัง เอาพัดมาโบกๆ ให้เย็น พร้อมทั้งชมนั่นชมนี่ไม่ขาดปาก เธอได้แต่ยิ้มแห้ง ถูกอย่างที่เอกอรว่า ฮารุกะไม่ได้มาพันๆ อะไรเธอ ถ่ายแบบไปด้วยท่าทางปกติต่างกับที่ถ่ายคู่กับพริ้งแพรวพรรณลิบลับ ซึ่งเธอก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะสองคนนี้มี “อะไรๆ” ต่อกัน หรือเพราะความเป็นมืออาชีพที่อยากได้ท่าไหนก็จัดให้กันแน่ แต่อย่างไหนก็ช่างเถอะ ขอแค่อย่ามาสนใจผู้หญิงหน้าจืดอย่างเธอก็แล้วกัน
กานต์ชนิตขอตัวรุ่นน้องไปเข้าห้องน้ำเพื่อที่จะรีบออกมาเตรียมถ่ายต่อ ระหว่างทางเธอได้ยินเสียงกระหนุงกระหนิงของคนสองคนคุยกัน จึงชะโงกหน้าดู เมื่อเห็นว่าเป็นใครก็ชะงักฝีเท้า
“เมื่อยแล้วใช่ไหมล่ะ ฉันก็บอกแล้วว่าเป็นนางแบบน่ะมันไม่ง่าย”
พริ้งแพรวพรรณอมยิ้มเหล่มองใบหน้าขาวเนียนครู่เดียวก็เมินมองไปทางอื่น “เป็นนางแบบน่ะไม่ยากหรอก แต่เป็นนางแบบที่มีนายอเล็กซ์เป็นตากล้องสิ”
ฮารุกะยื่นหน้าแทบชิดใบหน้าของพริ้งแพรวพรรณ หัวเราะคิกคักเสียงเล็กเสียงน้อย “อเล็กซ์แกล้งพายล่ะสิ”
กานต์ชนิตเพิ่งรู้ว่าพริ้งแพรวพรรณมีชื่อเล่นว่าพาย เอ...นี่เป็นความรู้ใหม่สด
“ปล่อยไปก่อน อเล็กซ์คงแกล้งกันได้ไม่นานหรอก เดี๋ยวฉันต้องเอาคืนสักทีสองที”
เสียงของคนทั้งคู่เงียบไป กานต์ชนิตชะโงกมองอีกทีก็พบว่าสาวลูกครึ่งญี่ปุ่นที่ตัวเล็กกว่าอีกคนบัดนี้โน้มใบหน้าฝ่ายตรงข้ามจนริมฝีปากแทบชิดกันอยู่แล้ว
กานต์ชนิตกลืนน้ำลายก้อนใหญ่ ไม่อยากอยู่เป็นสักขีพยานรักของใคร แล้วยิ่งทั้งคู่เป็นผู้หญิงด้วยกันแล้วแบบนี้ เธอเคยได้ยินว่าผู้หญิงมีหลายแบบ มีทั้งแบบชอบผู้ชายและแบบชอบผู้หญิง เป็นเรื่องปกติของโลกปัจจุบัน เพียงแต่ว่าเธอไม่เคยพบเจอผู้หญิงที่ชอบผู้หญิงตัวกันตัวเป็นๆ เท่านั้นเอง มองซ้ายมองขวาเตรียมจะหันหลังกลับ แต่สายตาก็ดันอยากรู้อยากเห็น จูบสดไม่มีสแตนอินนะเออ ถ้าเอกอรมาเห็นต้องต้องกรี๊ดกร๊าดแล้วคงพูดว่า ...พี่กานต์ เขาจ๊วบจ๊าบกันแล้ว...
ใช่เลย สดๆ เลย นี่ล่ะ ตัวจริง
อะไรไม่รู้ทำให้กานต์ชนิตกระแอมออกไป ผลก็คือทั้งสองคนหันขวับมาทันที เป็นกานต์ชนิตที่ยืนเกาคออย่างไม่รู้จะพูดอะไรดีทั้งที่ตัวเองเป็นฝ่ายขัดจังหวะเค้าแท้ๆ
“จะเข้าห้องน้ำใช่ไหม”
เสียงเรียบๆ ของพริ้งแพรวพรรณถามขึ้น ใบหน้าหล่อนยังคงยิ้มมุมปากเล็กๆ ดังเคย ริมฝีปากบางๆ นั่นไงที่เมื่อกี้ยัง.... โอ้ว กานต์ชนิตหลบตาไปมองทางอื่นเสีย เสียงหัวเราะของนางแบบอีกคนคู่กรณีก็ดัง
“งั้นฉันกับพริ้งคงขวางทางคุณอยู่ เชิญค่ะ พริ้งไปเตรียมตัวถ่ายแบบกับคุณกานต์ต่อดีกว่า”
สองสาวพากันเดินจากไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น กานต์ชนิตยกมือแตะหน้าตัวเอง ปรากฏว่ามันร้อนผ่าว ไม่รู้ว่าสองคนนั่นทำตัวเป็นปกติได้อย่างไร หรือนี่เป็นเรื่องธรรมดาสามัญตามธรรมชาติของพวกหล่อน คิดแล้วอยากกรี๊ด เธอก้าวยาวๆ ปรู๊ดเข้าห้องน้ำได้ก็ร้องกรี๊ดแบบไร้เสียงอยู่คนเดียว เฮ้อ...ค่อยยังชั่วหน่อย
ว่าแต่ว่า ตกลงพริ้งแพรวพรรณชื่อเล่นว่าอะไรกันแน่เนี่ย
.............................................
การถ่ายแบบในช่วงใกล้เที่ยงค่อนข้างร้อนกว่าช่วงเช้า ทำให้ช่างแต่งหน้าต้องเติมหน้าทาปากให้นางแบบกันใหญ่ กานต์ชนิตจัดเสื้อเชิ้ตตัวนอกปิดทับบิกินี่สีขาวตัวใน เธออยากกลัดกระดุมให้ครบทุกเม็ดเลย แต่ทำไม่ได้เพราะทีมงานฝ่ายเสื้อผ้าพยายามแกะออกให้ดูเซ็กซี่ๆ หน่อย
กานต์ชนิตได้แต่ถอนใจซ้ำซ้อน ยิ่งต้องก้าวไปยืนคู่กับนางแบบมืออาชีพรสนิยมไม่เหมือนผู้หญิงโดยทั่วไปเธอยิ่งถอนหายใจรัวเหมือนคนเป็นโรคหอบหืด พริ้งแพรวพรรณอยู่ในชุดแบบเดียวกับเธอ ต่างกันก็แต่ไม่มีเสื้อเชิ้ตตัวนอก เอาเถอะหล่อนมั่นใจของหล่อน แต่อย่าหันมองกันด้วยแววตานิ่งๆ แบบนี้ได้ไหม มันชวนให้ระแวง
นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนเวลาสะท้อนแดดดูเรืองรองราวกับอีกฝ่ายกำลังเล่นหูเล่นตาให้เธอ เพียงแต่ว่าใบหน้าโดยรวมยังเคร่งขรึม เธอจึงคิดว่าคงไม่ใช่ แล้วหล่อนก็ยิ้มมุมปากตามเคย
“หินมันร้อนหน่อย เธอต้องปล่อยตัวตามสบาย เราจะได้ถ่ายกันเร็วๆ”
กานต์ชนิตรีบพยักหน้าเห็นด้วย นั่นแหละเป็นสิ่งที่เธออยากทำที่สุดเชียวล่ะ โขดหินบริเวณนั้นเรียบ ไม่มีตะปุ่มตะป่ำมากนัก ทีมงานจึงเลือกใช้เป็นสถานที่ถ่าย พริ้งแพรวพรรณเริ่มตั้งท่าเกาะไหล่เธอในท่านั่ง ทุกอย่างราบรื่นไม่มีปัญหา ถ่ายไปสักพักเธอเริ่มรู้สึกว่าโขดหินตากแดดนั้นร้อนขึ้นจนนั่งลงไปไม่ไหว ตากล้องเห็นดังนั้นจึงสั่งการใหม่
“งั้นลงไปถ่ายในน้ำ เอ้าแสงๆ ตามมาเร็วๆ ร้อนจนหน้าจะไหม้แล้วเนี่ย”
ท่ามกลางคำสั่งเคร่งเครียดของตากล้อง ทุกคนรีบขยับทำตามอย่างไม่มีใครกล้าขัด กานต์ชนิตเองก็เช่นกัน ถ้าไม่กลัวเสียมาดละก็ เธอคงกระโดดตูมลงน้ำไปแล้ว ตากล้องหรือผู้กองเนี่ย น่ากลัวจริง
“กานต์ มานั่งตรงนี้ดีกว่า”
เป็นพริ้งแพรวพรรณที่กวักมือเรียกให้เธอนั่งบนเนินหินเตี้ยๆ กลางทรายขาวและน้ำใส แล้วเจ้าหล่อนจึงนั่งลงบนหาดทรายใต้น้ำต่ำกว่าเธอและเยื้องไปด้านหน้า แว่วเสียงอุทาน “เฮ้อออ ค่อยดีหน่อย ตะกี้ร้อนขาชะมัด”
กานต์ชนิตค่อยผ่อนคลายขึ้น ส่งยิ้มให้โดยที่คนข้างหน้าไม่เห็น
“เออ เอ้ยเข้าท่านะท่านั้น คุณกานต์ขอเกาะไหล่พริ้งหน่อยได้ไหมครับ อย่างงั้นแหละ อืม เปียกๆ อย่างงี้ก็สวยดี”
ตากล้องกดแชะๆ ไม่ขาดมือ ยืนถ่าย ย่อถ่าย นั่งถ่าย แล้วเริ่มเลื้อยเป็นนอนกองไปบนหาดแล้วถ่าย เอ้อจะว่าไปท่าตากล้องนี่ก็ชวนขำทำให้นางแบบยิ้มได้อย่างเป็นธรรมชาติเหมือนกัน แต่รอยยิ้มของกานต์ชนิตก็มาสะดุด เมื่อเธอเหยียบหินลื่นล้มตูมลงไปในน้ำตื้นแค่เข่า เป็นครั้งแรกที่เธอได้เห็นรอยยิ้มแบบเต็มตาของคนข้างกัน ยิ้มจนอวดฟันขาวเห็นเขี้ยวซี่เล็กตรงมุมทั้งสี่ อยากบอกว่ามีเสน่ห์มากกว่าตอนยิ้มมุมปากเสียอีก หล่อนยื่นมือมาดึงเธอขึ้นจากน้ำ พร้อมกับหลุดหัวเราะ ดวงตาทั้งสองข้างเปล่งประกายแสงนวลตาจนเธออดไม่ได้หัวเราะตอบ ขำตัวเองอยู่เหมือนกัน
จังหวะที่ลุกขึ้นยืนและร้องบอกอีกฝ่ายว่าขอบใจ เธอจึงได้เห็นแววตาคู่นั้นเริ่มคลายยิ้ม เปลี่ยนเป็นจ้องมองต่ำลงกว่าใบหน้า เธอมองตามสายตาอีกฝ่ายก็พบว่าบิกินี่สีขาวกับเสื้อขาวเวลาเปียกแล้วเป็นอย่างนี้เอง ใบหน้าขาวจึงเกิดสีเรื่อแล้วค่อยๆ ลามเป็นแดง เธอสบตาคนตรงหน้าอย่างขอความช่วยเหลือ ลืมไปชั่วคราวว่าเมื่อครู่นี้เธอยังระแวงหล่อนอยู่เลย
พริ้งแพรวพรรณนิ่งไปอึดใจก็ขยับตัวไปด้านหลังแล้วสอดแขนโอบรัดทรวงอกของเธอไว้ ทิ้งแขนอีกข้างกองไว้บริเวณหน้าท้อง และเอ่ยบอกตากล้อง
“รีบๆ ถ่ายเข้าสิอเล็กซ์ ฉันเริ่มร้อนแล้ว”
พริ้งแพรวพรรณเป็นคนแรกในทีมงานที่สั่งตากล้อง อเล็กซ์กระตุกหัวคิ้วนิดหนึ่งละมือจากการถ่ายรัวตั้งแต่เมื่อครู่จ้องมองภาพตรงหน้าอึดใจก็พยักหน้า “เออๆ เออสวย รูปนี้สุดๆ ไปเลย เอ้ยทำไมไม่กอดกันแต่ทีแรกวะเนี่ย รูปสวยจะตาย”
ทีมงานหลายคนหลุดหัวเราะ ดูเหมือนอารมณ์ของผู้กองจะส่งผลต่อลูกน้อง ผู้กองอารมณ์ดี ทุกคนก็ดีตาม
ถ่ายรัวเร็วไปได้ครู่ใหญ่ไม่เกินดื่มนมหมดกล่อง ผู้กองก็สั่ง “โอเค เรียบร้อย พักๆๆ”
กานต์ชนิตถอนหายใจพรืด รีบดึงสาบเสื้อมาปิดทรวงอกไว้ทันที แล้วหันไปก้มขอบคุณอย่างจริงใจกับพริ้งแพรวพรรณ หล่อนมองตอบด้วยรอยยิ้ม แม้ปากจะไม่ยิ้มกว้างเหมือนเมื่อครู่ แต่สายตาก็บอกชัด
“เปลี่ยนเสื้อผ้าเถอะ คิวของคุณหมดแล้ว”
พูดจบก็ก้าวเดินไปยังกระโจมที่พัก รับเครื่องดื่มจากมือฮารุกะแล้วทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ผ้าใบ คุยกันต่ออย่างไม่สนใจเธออีก กานต์ชนิตจึงหันหน้าไปตามเสียงเรียกของเอกอร
“พี่กานนนนนนต์ สุดยอดไปเลยอ๊ะ สวยมากอย่างกับมืออาชีพแน่ะ เนี่ยตะกี้เพิ่งวางสายพิม เอ๋ยเลยเล่าไปหมดแล้วว่าพี่กานต์ผ่านฉลุย อีกหน่อยพิมไปถ่ายที่ไหนเอ๋ยจะวางงานให้พี่กานต์ไปถ่ายคู่กันได้ละ กลายเป็นคู่พี่สาวน้องสาว น่ารักสุดๆ เซ็กซี่สุดๆ พี่กานต์ประเดิมงานแรกด้วยบิกินี่ ฮอทมาก หนุ่มที่ไหนมาเห็นจะต้องละลายให้เธอ”
กานต์ชนิตหัวเราะตีขาคนพูดเบาๆ “เกินไปน่ะเอ๋ย”
“เกินไปที่ไหน ไม่ต้องมาเขินนนน”
“เลิกยอกันได้แล้วน่า รีบเปลี่ยนเสื้อผ้าดีกว่า พี่อยากกลับไปอยู่ชุดเดิมของพี่แย่แล้ว”
เอกอรพยักหน้าไม่มีติดขัด แต่ยังคงชมแล้วชมอีกจนเธออยากจะม้วนตัวจะแย่ ได้แต่ยิ้มรับเสียงจ้อยๆ ของรุ่นน้อง พลางนึกถึงเจ้าของแววตาพราวแสงอย่างขอบคุณ...พริ้งแพรวพรรณ
ระหว่างทางกลับบ้าน เอกอรแวะส่งเธอที่บริษัทเพราะเธอจอดรถไว้ที่นั่น กว่าจะมาถึงในเมืองก็เกือบเย็นแล้ว กว่าจะขับรถกลับไปถึงบ้าน คงมืดค่ำพอดี
กานต์ชนิตติดเครื่องรถคันเก่าของพ่อสองสามทีด้วยความลุ้นระทึก เจ้าเต่าคันนี้แม้จะยังใช้การได้ดีแต่ก็เริ่มออกอาการเกเร ระยะหลังพาไปรักษาในอู่อยู่หลายครั้ง นี่ก็เพิ่งออกมา ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรนี่นา เสียงเครื่องยนต์กระหึ่มให้ดีใจ
“ช่วยแม่หน่อยนะลูกเต่า” พูดพึมพำอวยพรอวยชัยเสร็จ ก็ออกรถไปตามท้องถนน โชคดีที่เป็นวันอาทิตย์ รถจึงไม่มากเท่าใดเธอจึงมาถึงปากซอยเข้าหมู่บ้านได้ก่อนพระอาทิตย์จะลับขอบฟ้า
แต่ทว่าก็มีเหตุให้เธอไปไม่ถึงบ้าน เจ้าเต่าเพื่อนยากไม่ยอมรับคำอวยพร นิ่งสนิทอยู่บนเส้นทางก่อนถึงหมู่บ้านไม่กี่ร้อยเมตร เธอลงจากรถเพื่อดูอาการ ไม่เคยคิดฝันว่าครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้าย ที่เธอจะได้ขับเจ้าเต่า
เมื่อเสียงน้ำกระซ่านกระเซ็นกลางบึงเรียกความสนใจของเธอให้หันมอง...
........................................................................ จบบทที่ 1 You And Me