บทที่ สอง Close Encounters
พริ้งแพรวพรรณลูบแก้มตัวเองหน้ากระจกใส มองหารอยต่อของซิลิโคนจากแก้มถึงปลายคางพลางแกะออกด้วยปลายเล็บเบาๆ จากนั้นแกะจมูกเทียมออก วางใส่กล่องเครื่องแต่งหน้าขนาดพกพาอย่างบรรจง และหยิบขวดครีมสีขาวบีบครีมใส่สำลีเช็ดคราบกาวออกจากใบหน้า รวมทั้งคิ้วและขอบตาที่เคยเขียนเข้มให้จางลง เสียงเคาะประตูห้องน้ำทำให้เจ้าตัวหันไปนิดหนึ่ง และเร่งจัดการให้เสร็จ จึงอ้าปากถอดลวดยึดฟันประดิษฐ์ หรือคล้ายกับฟันปลอมที่จำลองเขี้ยวทั้งสี่ซี่ครอบเขี้ยวของจริงเอาไว้ จนเขี้ยวเรียวแหลมหลุดออกและล้างเก็บใส่กล่องจนเข้าที่
ผู้หญิงในกระจกเงาบัดนี้เปลี่ยนไปราวกับคนละคน เจ้าตัวปิดฝากล่องหมุนตัวเปิดประตูห้องน้ำ
ร่างที่ยืนอยู่หน้าห้องคือชายหนุ่มตัวสูงเพรียวมีใบหน้าเกลี้ยงเกลาไร้เครารกครึ้ม เส้นผมระต้นคอสั้นยาวไม่เท่ากันถูกหวีเรียบแปล้ไปด้านหลังยังคงเปียก เธอมองเห็นกรรไกรในมือเขาก็เดาว่าคงจะตัดด้วยฝีมือตนเอง แววตาผ่องใสใต้กรอบตาเข้มเป็นสีน้ำตาลอ่อน จมูกโด่งลากเป็นเส้นรับกับช่วงคิ้วเข้มบ่งบอกถึงเชื้อชาติว่ามิใช่คนเอเชีย แม้ว่าเจ้าตัวจะมีเสี้ยวไทยอยู่ครึ่งหนึ่งก็ตาม
“เสร็จหรือยัง บอสจะคุยด้วย”
เธอพยักหน้า พากันเดินออกมายังโซนรับแขกกลางห้อง มีโซฟาวางอยู่สามตัวล้อมโต๊ะไม้ตรงกึ่งกลางซึ่งบัดนี้วางคอมพิวเตอร์โน้ตบุ้กเปิดหน้าจอวิดีโอคอนเฟอเร้นซ์ไว้
สองหนุ่มสาวพากันนั่งลงเรียบร้อย ภาพบนหน้าจอก็ปรากฏห้องประชุมห้องหนึ่ง มีผู้นั่งล้อมโต๊ะเป็นชายสองคน คนหนึ่งอยู่ในวัยหนุ่มมีผมสั้นแนบศีรษะและใส่แว่นกรอบดำนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์โน้ตบุ้ก ส่วนอีกคนเป็นชายวัยกลางคนเส้นผมแซมสีเทาขาวและไว้หนวดเคราเต็มแก้ม มีลักษณะเคร่งขรึม
“ถ่ายแบบเป็นไงกันบ้าง” ชายผู้มีสีผมแซมเทาขาวเอ่ยขึ้น
ชายหนุ่มหน้าฝรั่งข้างกายเธอเอนหลังพิงพนักเอ่ยตอบสั้นๆ “ร้อน”
คนถามชักสีหน้าเครียดยิ้มนัยน์ตาดุ ซึ่งสองหนุ่มสาวมิได้เกรงกลัว ตรงกันข้าม ฝ่ายชายยังอมยิ้มเสียด้วยซ้ำ เรียกได้ว่ากวนประสาทวัดความอดทนกันสุดๆ คนถามจึงเปลี่ยนมาถามเธอ
“ได้หลักฐานอะไรไหม พาย”
นั่นคือชื่อของเธอ พาย...วรินธร ส่วนคนข้างกายเธอนั้นคือเจฟ เป็นคนที่ชอบเล่นตัวกับการตอบคำถาม มักจะนอกเรื่องไปไกลก่อนจะกลับมาหาคำตอบ ปกติคนถามจะใจเย็น แต่ครั้งนี้คงมีเรื่องด่วน จึงได้ไม่รอคอยต่อล้อต่อเถียงกับเจฟอีกต่อไป
“ได้มาบ้างนิดหน่อย แต่ติดระบบป้องกันภายในทำให้ขโมยออกมาไม่ได้ ฉันก็เลยทำได้แค่อ่านคร่าวๆ แล้วก็ถ่ายรูปใส่มือถือเอาไว้บางส่วน เพราะจะให้พกกล้องไปคงลำบาก ก็บอสเล่นให้ฉันไปถ่ายแบบชุดว่ายน้ำนี่”
ชายวัยกลางคนที่เธอเรียกว่า ‘บอส’ หัวเราะหึ เขาคือหัวหน้าของบริษัทอีเวนท์ดีเทคทีฟซึ่งเธอกับเจฟเป็นพนักงานอยู่ บริษัทนักสืบและทนายความขนาดเล็ก รับงานสืบสวนสอบสวนตั้งแต่ค้นหาแมวยันตามสืบคดีฆาตกรรม อีกทั้งยังรับเป็นที่ปรึกษาด้านกฎหมาย แต่งานส่วนใหญ่ที่อีเว้นท์มีชื่อเสียง ซึ่งเธอก็ไม่รู้เหมือนกันว่าใครเป็นคนสร้างชื่อ ก็คืองานสืบหาข้อมูลลับจากองค์กรต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเอกชนหรือหน่วยงานรัฐ อยากหาข้อมูลอะไรแค่บอก เราสามารถหาได้เกือบทุกอย่าง เช่นเดียวกับครั้งนี้
บอสวนกลับมาถามเรื่องสำคัญ “แสดงว่านายกีจกรคนนี้เกี่ยวจริง?”
“คงจะไม่ผิดล่ะ เพราะระหว่างพักถ่ายแบบ ฮารุเห็นเขานัดคุยกับใครคนหนึ่ง เธอถ่ายรูปมาให้ฉันดู คิดว่าน่าจะเป็นคนของพวกนั้น”
“งั้นส่งรูปมาเลย” ชายในวีดีโอเอ่ยอย่างกระตือรือร้น วรินธรได้แต่ส่งยิ้มมุมปากหันมองเจฟซึ่งยิ้มในแบบเดียวกัน
“ถ้าได้มาง่ายๆ คงไม่เรียกฮารุกะหรอกมั้งบอส” เขาเอ่ยน้ำเสียงยียวน ทำให้บอสเริ่มมีตาขุ่นอย่างรู้ดีว่ายัยตัวยุ่งกำลังสร้างเรื่องอีกแล้ว
เจฟเอ่ยเสริม “รวมทั้งไฟล์เสียงที่ฉันแปะเครื่องดักฟังติดไว้ในห้องทำงานของกีจกรด้วย ฮารุจิ๊กไปหมด”
ไม่ต้องอธิบายสาวความยาวยืดว่าจิ๊กไปได้อย่างไร ฮารุกะคลุกคลีกับอีเว้นท์ดีเทคทีฟจนเป็นยิ่งกว่าพนักงานภายในบริษัท ความเจ้าเล่ห์มีเหลือเฟือยากสำหรับเธอสองคนจะตามทัน
“แล้วตอนนี้ฮารุหายไปไหน”
“อยู่บ้านพายโน้น”
วรินธรถอนหายใจเฮ้อ รับฟังเสียงคำสั่งจากบอสอย่างคาดการณ์ไว้อยู่แล้ว “งั้นพายไปเอาข้อมูลทั้งหมดมาให้ได้ ฉันไม่อยากให้ลูกค้าเงินหนาขนาดนี้เลิกจ้างเรากลางคัน เราก็ลงทุนอะไรมาตั้งมากแล้ว”
“จะพลาดตรงที่ขอร้องให้ฮารุช่วยเนี่ยแหละค่ะบอส”
“คิดอีกแง่หนึ่งถ้าไม่ใช่เพราะฮารุช่วยให้ทีมงานเราได้ถ่ายแบบ เราก็ไม่สามารถเข้าไปใกล้รีสอร์ทเครือวิลล่าพาราไดซ์ได้”
แน่ล่ะ อีเวนท์ดีเทคทีฟจนกรอบขนาดนี้จะเอาเงินที่ไหนไปเช่าโรงแรมหรูระดับห้าดาวอย่างนั้นได้
“เอาน่าพาย เธอรู้ดีว่าฮารุกะต้องการอะไร ก็ตามใจน้องหน่อยน่า”
ชายหนุ่มใส่แว่นนั่งข้างบอสเอ่ยขึ้นเป็นประโยคแรก ใบหน้ายิ้มขำจนน่าหมั่นไส้ เขาคือพนักงานอีเวนท์อีกคนหนึ่งชื่อยางโทน... มันก็พูดได้ มันไม่มาเป็นเธอไม่รู้หรอกว่าลำบากแค่ไหน
วรินธรกลอกตาหนี รายการเอาตัวเข้าแลกไม่น่าสนุกสักนิด นึกเข็ดเขี้ยวในใจเมื่อนึกถึงเจ้าตัวต้นเหตุที่แสนมือไว ฉกไฟล์นั้นไปตอนไหนไม่ทราบ เธอเริ่มปฏิบัติการค้นหาข้อมูลของนายกีจกร ซีอีโอรีสอร์ทเครือวิลล่าพาลาไดซ์เมื่อสองวันก่อนจากการปลอมตัวเป็นนางแบบชื่อพริ้งแพรวพรรณที่เคยมีประสบการณ์ถ่ายแบบอยู่แล้ว รวมทั้งให้อเล็กซ์ตากล้องมือฉมังร่วมทีมไปช่วยกันด้วย ซึ่งก็ไม่ใช่ใครอื่น นำแสดงโดยนายเจฟหน้าฝรั่งนั่นเอง
ผู้ว่าจ้างจ้างด้วยราคาสูงลิ่ว ต้องการได้หลักฐานจับผิดกีจกรที่ให้เงินสนับสนุนพรรคการเมืองหนึ่ง แม้บอสจะไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วกีจกรทำอย่างที่ผู้ว่าจ้างกล่าวหาหรือไม่ แต่ด้วยความงกเป็นเหตุ เขาก็รับงานนี้ไปแล้ว อีกทั้งเป็นงานเร่งด่วนจนทำให้พวกเธอทิ้งงานอื่นเพื่อไปสืบก่อนอีกต่างหาก เพราะฝ่ายบัญชีส่งเอกสารทวงหนี้ค่านั้นค่านี้ยาวเป็นหางว่าวเป็นตัวเร่งให้บอสตัดสินใจง่ายไปใหญ่ และการปรากฏกายของฮารุกะนางแบบมืออาชีพ ก็ทำให้บอสคิดแผนการออกทันที
“รีบทำงานนี้ให้จบ อย่าลืมว่าเรามีงานต้องทำที่ญี่ปุ่นต่ออาทิตย์หน้า แล้วเจฟ มีตัวอย่างจากแลปของมิทซึคิงอยากให้แกเอาไปทดสอบประสิทธิภาพ”
วรินธรถอนหายใจเฮ้อ ไอ้โรงงานญี่ปุ่นผลิตปลากระป๋องเจ้าปัญหา ว่าจะลาออกๆ หลายทีแล้ว ไม่ได้โอกาสสักทีให้ตายสิ เธอจำใจลุกขึ้นยืนบิดกายซ้ายขวา ร้องตอบในลำคอว่าอืมให้บอสได้ยิ้มแฉ่ง เจฟเองก็ถอนหายใจกับงานที่จ่อคิวไม่มีเว้นว่าง คีบสันจมูกสองทีและร้องถาม
“แล้วตัวอย่างอยู่ที่ไหน”
“ที่ออฟฟิศ พรุ่งนี้เช้าเข้ามาเอาได้เลย แล้วพาย ส่งไฟล์ให้ฉันก่อนเก้าโมงเช้าด้วย”
ทิ้งท้ายเสร็จก็ปิดวีดีโอพรึบ ทิ้งให้ลูกน้องสองคนเดาหัวอย่างหงุดหงิด แต่อย่างไรก็ตามเมื่อเธอได้หันมองหน้าเพื่อนรักที่อยู่ในภาวะอารมณ์เดียวกัน ก็ทำให้ไม่รู้สึกย่ำแย่นัก เจฟส่งยิ้มเอาใจช่วย
“แกไม่คิดจะช่วยฉันบ้างเหรอวะ” เธอถามเขาอย่างอดไม่ได้ เขายักไหล่ขณะเดินมาส่งหน้าประตูห้อง
“มันก็ไม่ได้ยากอะไรนี่นา แกก็แค่ทำตัวน่าร้ากน่าร้าก เอาใจฮารุกะสักหน่อย” ไม่พูดเฉยๆ ยังยกสองนิ้วขึ้นมาทำท่าอีกด้วย มองหน้าแล้วเธอก็คิกขุไม่ลงล่ะ
เธอเหล่ตาพลางบอก “ไม่ห่วงฉันก็หวงน้องแกบ้างก็ได้”
ฮารุกะเป็นน้องสาวคนละแม่กับเจฟหรือจะอธิบายให้ละเอียดก็คือเป็นลูกสาวของภรรยาอีกคนหนึ่งของพ่อของเจฟ ซึ่งไปแอบมีสัมพันธ์สมัยที่ทำงานในญี่ปุ่น พ่อเจฟคือกรรมการบริหารบริษัทมิทซึคิงครอปผู้ทำธุรกิจเกี่ยวกับอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ เธอรับรู้เรื่องราวอันซับซ้อนยุ่งเหยิงของครอบครัวเจฟมาตั้งแต่สมัยพบกับเจฟใหม่ๆ ตอนนั้นเธอกับเจฟอายุเพียงสิบห้าปี และฮารุกะอายุสิบขวบ เจฟเป็นเพื่อนกับเธอมาสิบกว่าปีแล้ว เรารู้จักกันเพราะเหตุบังเอิญ...
เจฟยิ้มกวน “เกินวัยที่ฉันจะหวงแล้ว อย่างน้อยปล่อยให้อยู่กับแกก็ยังดีกว่าไปอยู่กับคนอื่น จริงไหม”
วรินธรทำหน้าเหนื่อย สุดท้ายเธอก็ต้องยอมขี่รถมอเตอร์ไซด์คันเก่าออกจากอพาร์ทเม้นท์ของเจฟ
เธอขี่ผ่านเมืองตัวเมืองจอแจวุ่นวายรถราและผู้คน เนื่องจากเข้าสู่ช่วงเลิกงาน เมื่อเลือกใช้เส้นทางลัดได้ไม่นาน เธอก็พาพาหนะคู่ใจออกสู่ชานเมืองได้สำเร็จ ดวงอาทิตย์กลมโตสีแดงฉานบริเวณขอบฟ้าสาดแสงจ้าราวกับจะย้อมสีเมืองทั้งเมืองให้เป็นสีเดียวกับตน เธอเลี้ยวเขาซอยตัดเข้าหมู่บ้านเบื้องหน้าเลียบบึงกว้างแยกไปจากถนนใหญ่ช่วยลดความวุ่นวายของเมืองลงไปได้บ้าง แต่ยังคงดูเวิ้งว้างอย่างน่าประหลาดเมื่อได้มองแผ่นน้ำนิ่งสงบของบึง
จนกระทั่งปรากฏความวุ่นวายบริเวณกลางทางก่อนจะถึงทางเข้าหมู่บ้าน เธอจึงต้องชะลอความเร็ว มีรถเจ้าหน้าที่กู้ภัยและรถไทยมุงหลายคัน ทีแรกเธอคิดว่าคงมีอุบัติเหตุ แต่เสียงผู้คนพูดคุยกันเข้าหู ทำให้รู้ข่าวว่าไม่ใช่รถชน แต่เป็นเพราะมีคนจมน้ำตาย เธอเห็นเด็กวัยประถมสี่ห้าคนนั่งตัวเปียกเรียงกันบนขอนไม้ มีผ้าขนหนูคลุมกายและหน้าตาเสียขวัญ ก็พอจะเดาได้ว่าคงมีเด็กเล่นน้ำแล้วเกิดพลัดตก จึงไม่ได้สนใจอีก หลุดจากความวุ่นวายได้ก็ตรงกลับไปยังบ้านของตัวเอง
พลันเปิดประตูเข้าไปในบ้าน บ้านเงียบงัน เธอคลำเปิดไฟ ก็ไม่พบใคร จึงเดินมากลางบ้าน หางตาเห็นเงาดำไหวๆ วูบเดียวฮารุกะก็กระโดดคว้าคอเธอ แต่วรินธรก้มตัวหลบ ทำให้อีกฝ่ายพลาด กลายเป็นโดนเธอพลิกตัวตวัดไปบนพื้นห้องจนจุก เสียงครางอู้ยดังมาจากคนเบื้องล่าง
“พายน่ะ ทำอะไรรุนแรงจัง”
“ก็ชอบโผล่มาแบบนี้ทุกที บอกแล้วว่าไม่ชอบ” เธอปล่อยฮารุกะ ซึ่งค่อยๆ ลุกขึ้นนั่ง มองดูเธอที่หงุดหงิดด้วยความสนุก เธอได้แต่มองหน้าอีกฝ่ายอย่างทำอะไรไม่ได้
“คืนข้อมูลของฉันมาเถอะฮารุ ฉันต้องใช้ทำงาน”
“ฉันก็ตั้งใจจะคืนพายอยู่แล้ว แค่ขออะไรแลกเปลี่ยนนิดหน่อย”
ไม่พูดเปล่า สองมือยังขยับกอดเอวเธอไว้แน่น พร้อมกับเอาคางเกยไหล่ วรินธรรู้ทันจึงถาม “ไหนล่ะตั้งใจจะคืน ฉันไม่เห็นอะไรสักอย่าง”
ฮารุชี้ไปยังโต๊ะทำงานของเธอ “ก็นั่นไง อยู่ในฮาร์ดดิสนั่น แต่พายต้องกินข้าวเย็นกับฉันก่อน แล้วอนุญาตให้ฉันนอนที่บ้านเธอคืนนี้”
วรินธรลุกขึ้นยังคงไม่รับปาก ตรงไปยังฮาร์ดดิสและหันกลับมามองอีกคนในห้อง ฮารุกะไม่ได้ลุกตาม มีเพียงรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ตรงมุมปาก
“นี่ตั้งรหัสเอาไว้ล่ะสิ”
จากยิ้มมุมปากจึงแหวกกว้างจนเห็นฟันครบทุกซี่ หล่อนลุกขึ้นยืนในชุดคอเล็กชันใหม่ของแบรนด์เสื้อผ้าที่หล่อนทำงานด้วย เป็นเดรสสั้นเหนือเข่าเปลือยไหล่ข้างหนึ่ง ส่วนตรงลำตัวทิ้งชายพลิ้วไล่ความยาว ร่างสะโอดสะองเดินเข้ามาชิดตัวเธอ วรินธรจำเป็นต้องเอนตัวพิงโต๊ะทำงานอย่างเหนื่อยหน่ายใจ
“ต้องการอะไร”
“นี่ก็สองทุ่มแล้ว ไม่หิวเหรอพาย ฉันหิวแล้วนะ”
วรินธรสบตาวาวระยิบสมหวังของคนตรงหน้าก็เบนหน้าหนีไปทางอื่น
มือนุ่มแตะบ่าและลำคอเธออย่างถือวิสาสะ ลองเริ่มแบบนี้แล้วเธอรู้ดีว่าคืนนี้คงไม่พ้น ชักรู้สึกว่าเธอเป็นพวกเห็นแก่เงินมากไปไหม
นิ้วมือดันคางเธอกลับไปเผชิญหน้ากับใบหน้าขาวนวลอ่อนวัย นัยน์ตาฮารุกะเว้าวอนขอร้อง โดยไม่ต้องพูดอะไร เธอรู้ดีว่าเดี๋ยวเธอก็ใจอ่อนจนได้ ยินยอมต้อนรับริมฝีปากอิ่มกรุ่นกลิ่นลิปสติกสีโอลโรสซึ่งคุ้นเคย... ใช่สิมันคุ้นเคย เพราะสองคืนก่อนก็ลงเอยอย่างนี้ สองคืนก่อนที่เธอถ่ายแบบในพาราไดซ์วิลล่ารีสอร์ท และจำเป็นต้องพักห้องเดียวกับฮารุกะ ถ้าถามว่ามันเป็นแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่น่ะหรือ ก็คงตั้งแต่เธออายุยี่สิบสองแล้วฮารุกะอายุสิบเจ็ดล่ะมั้ง เป็นการพลาดพลั้งที่สอนให้เธอรู้ว่า เมื่อได้เริ่มครั้งที่หนึ่งแล้ว ย่อมมีครั้งที่สอง สามและสี่ตามมาอย่างง่ายดาย
ลิ้นร้อนแทรกดุนเป็นจังหวะ เธอขยับริมฝีปากตอบสนองอย่างไม่รู้ตัว มือที่เคยเท้าโต๊ะเปลี่ยนเป็นกุมแก้มอีกฝ่ายเอาไว้อย่างต้องการลดจังหวะอันเร่าร้อนลงหน่อย พลางดึงริมฝีปากอันหิวกระหายนั้นให้ห่างกันออกไปอีกนิดเพื่อสบตาวาวแสงแห่งแรงปรารถนาของหล่อน
“ใจเย็นๆ” เธอกระซิบบอก ฮารุกะไม่ได้ทำตามในทันที หล่อนยังคงระดมจูบเธอเพียงแต่เมื่อรับรู้ว่าเธอไม่ให้ความร่วมมือ อีกฝ่ายจึงสงบลง เม้มริมฝีปากตัวเองและมองค้อนเธออย่างเจ็บใจ
วรินธรยิ้มขำ ทอดสายตามองคนแสนงอน
“ทำไมไม่เห็นใจกันบ้างเลย นานๆ ฉันจะกลับไทยสักที พายก็ใจร้ายกับฉันตลอด”
“เธอกลับมาทีไร ก็ต้องทำเรื่องยุ่งให้ฉันตามเก็บกวาดตลอดเหมือนกัน”
“เพราะว่าพายใจร้าย ถ้าฉันไม่มาหา พายก็ไม่คิดจะไปพบฉันใช่ไหม ฉันก็เลยต้องทำอย่างนี้”
“ก็มันเป็นซะอย่างนี้ ใครเขาจะอยากไปหา...” วรินธรงึมงำ
“ได้ผลใช่ไหมล่ะ” ฮารุกะเปลี่ยนอารมณ์มายิ้มดีใจ ชวนให้นึกถึงเด็กหญิงฮารุกะคนเก่า ที่เปิดเผยร่าเริง ยิ้มง่าย และไม่เจ้าเล่ห์ ฮารุกะใช้เวลาไม่กี่ปีในไทย เมื่ออังเดร...พ่อของหล่อนตกลงปัญหารักหลายเศร้าของทุกคนได้ ก็ตัดสินว่าฮารุกะควรกลับไปอยู่กับแม่ที่เป็นชาวญี่ปุ่นจะดีกว่า ถ้าเรียนจบแล้วทำงานแล้ว คราวนี้ก็แล้วแต่เจ้าตัวล่ะว่าอยากจะอาศัยอยู่ที่ไหนตามใจ จึงเป็นสาเหตุให้เธอพบกับฮารุกะแค่ปีละครั้งสองครั้ง ช่วงที่ฮารุกะกลับมาเที่ยวเมืองไทยเท่านั้น
“ฮารุ...” วรินธรเอ่ยไม่ทันจบ อีกคนก็แทรกขึ้น
“ไม่มีประโยชน์จะทำแบบนี้...ใช่ไหมล่ะ พายเคยบอกฉันว่าใจใครคนนั้นก็ต้องเป็นผู้บงการ นี่ใจของฉันเอง ฉันรู้ว่าฉันต้องการอะไร”
เธอมองคนพูดนิ่ง ก่อนจะถอนหายใจเฮ้อ พูดกันไปนับไม่ถ้วนกับเรื่องนี้ แต่เพราะเราสองคนล้วนดื้อและยึดมั่นในความคิดของตนเอง มันจึงยังวกๆ วนๆ ไม่จบไม่สิ้นเสียที
ฮารุกะวาดแขนรอบคอเธอพร้อมกับกอดแน่น “พายห้ามกินข้าว ก่อนกว่าจะทำให้ฉันพอใจ ไม่อย่างงั้นรหัสก็ไม่ต้องได้”
นี่ไง ยัยตัวร้ายสำแดงฤทธิ์แล้ว
........................................................................................
เสียงร้องไห้ดังกระซิกๆ และบรรยากาศในน้ำอันเวิ้งว้าง เธอกำลังลอยตัวในบึงใหญ่ จนรู้สึกถึงแรงอัด ทำให้รีบตีขาพาตัวเองสู่ผิวน้ำ จากนั้นก็สะดุ้งตื่น
ฟ้ายังมืดแสดงว่ายังไม่เช้า เธอเห็นเพดานขาวสลัวเบื้องบนและรู้สึกถึงลำตัวอุ่นพาดแขนกอดลำตัวเธอ เมื่อมองเห็นว่าเป็นของใครจึงค่อยๆ ขยับตัวลุกขึ้นนั่ง ผ้าห่มขยับลงไปกองตรงเอวอวดลำตัวเปลือยเปล่าของคนทั้งคู่ทำให้เธอลืมฝันก่อนตื่นไปจนหมด มองใบหน้าคนหลับอยู่นานระลึก
“รหัสคือ... คนนิสัยไม่ดี”
แม้จะเคืองอยู่บ้าง แต่ความเอ็นดูก็ไม่น้อยกว่ากัน จึงยกมือลูบแก้มอุ่นนุ่มของฮารุกะ พลางเลื่อนไปลูบศีรษะเบาๆ เธอมองอีกฝ่ายเหมือนน้อง แม้บางครั้งอีกฝ่ายจะยั่วยวนจนเธอลืมว่าเป็นน้องไปบ้าง แต่เมื่อเวลาผ่านพ้นไป เธอก็ยังคงมองหล่อนเป็นน้องสาวอยู่ดี
นาฬิกาบอกเวลาตีห้า พลันวรินธรก็เก็บแขนของฮารุกลับไปวางไว้บนที่นอน และพาตัวเองลุกจากที่ คว้าเสื้อกันหนาวตัวยาวในตู้มาสวมลวกๆ ก่อนจะเปิดคอมพิวเตอร์ ทำการถ่ายโอนข้อมูลในฮาร์ดดิสเข้าสู่เครื่องตนเอง และส่งต่อให้กับบอสจนเสร็จสิ้น พลางนึกถึงตารางธุระอันยาวเหยียดของวันนี้ ก็เริ่มต้นงานอีกชิ้นหนึ่ง
เมื่อแสงทองเริ่มสาดส่องกระทบกระจกหน้าต่าง ฮารุกะก็ตื่นขึ้นมา วรินธรละสายตาจากการทำงานมองร่างเปลือยบนเตียงเบื้องหน้าแวบหนึ่ง ก็กลับมาจับจ้องตัวหนังสือต่อ แว่วเสียงฮึ ด้วยความไม่พอใจจากคนเพิ่งตื่นทันที
“งานอีกแล้ว งานงานงาน”
วรินธรยิ้มมุมปาก แล้วจมดิ่งไปกับสมาธิ จนกระทั่งลำตัวอุ่นพาดทับแผ่นหลังจนรู้สึกถึงส่วนโค้งเว้าของสรีระ และจรดริมฝีปากที่แก้มเธอราวกับแมวขี้อ้อน เธอจึงขยับตัวพับฝากโน้ตบุ๊กเก็บ
“หวงอะไรนักหนา ฉันไม่ขโมยอะไรของพายแล้วน่า”
“ไม่เชื่อ” วรินธรเอ่ยพลางลุกขึ้นยืน คว้าผ้าขนหนูในตู้เพื่ออาบน้ำอย่างรวดเร็วแข่งกับเวลา เธอมีนัดรับวีซ่าก่อนเที่ยง แล้วยังต้องไปสะสางงานที่โรงงานปลากระป๋องสาขาระยองอีก
เสียงเคาะประตูห้องน้ำพร้อมกับออดอ้อน “พาย ให้ฉันเข้าไปอาบด้วยคนสิ”
เธอยิ้มให้ฝักบัวไม่ตอบอะไร “พายจ๋า อย่าใจร้ายนักเลย เห็นไหมพอเธอทำงานเสร็จฉันก็ไม่เคยมีความหมาย”
เธอปล่อยให้อีกฝ่ายคร่ำครวญหน้าห้องน้ำไปสักพักใหญ่ จนความอดทนของอีกฝ่ายเริ่มร่อยหรอ
“พาย ใจคอจะไม่คุยอะไรกับฉันเลยเหรอ”
วรินธรเปิดประตูห้องน้ำออกมามองร่างขาวผ่องมีเพียงผ้าห่มผืนบางคลุมรอบตัว แหวกด้านหน้าอย่างวับๆ แวมๆ และหน้างอแบบสุดๆ
“รีบอาบน้ำ” เธอพูดและเดินผ่านไปแต่งตัวหน้าตู้เสื้อผ้าอย่างไม่สนใจหล่อนอีก จากนั้นก็ลากกระเป๋าเดินทางออกมาจัดเตรียม อาการเมินเฉยไม่สนใจทำให้คนที่เหลือน้อยใจจนน้ำตาไหล พยายามกลั้นเสียงสะอื้นเก็บไว้ในลำคอ แม้เธอไม่ได้หันไปมองแต่ก็รู้สึกถึงรังสีแค้นเคืองพุ่งตรงมา แต่ยังคงจัดกระเป๋าจนเสร็จและเงยหน้ามองหน้าอีกฝ่ายราวกับเพิ่งเห็นว่ายังยืนอยู่
“อ้าว ทำไมไม่ไปอาบน้ำล่ะ”
ฮารุกะเม้มปากแน่น วาดมือปาดน้ำตาทิ้งแรงๆ คงจะพยายามปาดความน้อยใจทิ้งไปด้วยแต่ก็ไม่สำเร็จ
วรินธรเดินตรงไปใกล้ ส่งยิ้มหวานให้ “วันนี้ฉันมีธุระที่สถานทูตญี่ปุ่น ต้องไปรับวีซ่า”
ฮารุกะค้าง ร้องถาม “วีซ่าของใคร”
เธอชี้มายังอกตัวเองยิ้มๆ หล่อนจึงตาโตถาม “ไปญี่ปุ่น ไปเมื่อไหร่”
เธอหัวเราะ “ก็พร้อมกับเธอนั่นแหละยัยเด็กขี้งอน รีบอาบน้ำเร็วๆ เข้า ถ้ายังอยากออกไปพร้อมกับฉัน”
เท่านั้น อีกฝ่ายก็หายน้อยใจทันที รีบหันหน้าหันหลังหาผ้าขนหนู แล้วรีบวิ่งเข้าห้องน้ำ แต่ยังไม่วายชะโงกหน้าถาม “พายไปกี่วัน อย่าหลอกให้ฉันดีใจเล่นนะ”
เด็กหนอเด็ก โกรธง่ายหายเร็ว “ไม่สามเดือนก็คงหกเดือนล่ะมั้ง แต่ไม่ใช่เมืองเดียวกับเธอหรอก ไม่ต้องห่วง”
ฮารุกะร้องกรี๊ดด้วยความดีใจ พร้อมกับวิ่งออกมาดึงแก้มเธอไปหอมฟอดใหญ่ “เมืองไหนก็ได้ แค่ประเทศเดียวกันก็พอใจแล้ว” และวิ่งเข้าห้องอาบน้ำปิดประตูปัง ทิ้งให้คนด้านนอกยืนลูบแก้มยิ้มๆ และตรงเข้าครัวหาอะไรใส่ปากใส่ท้องในยามเช้าดีกว่า...
.................................................................................................
หนึ่งปีผ่านไป
กานต์.... กานต์เอ๋ย.... กานต์...
เสียงเล็กไพเราะและเสียงนุ่มทุ้มหูประสานกันดังอยู่เหนือผิวน้ำส่งผลให้กานต์ชนิตลืมตาขึ้น มองเห็นสายน้ำขยับเคลื่อนเป็นเกลียวใกล้สายตา ก่อนจะหยุดกระเพื่อมนิ่งขึ้นจนใสเหมือนกระจก เบื้องบนเหนือผิวน้ำสะท้อนสีท้องฟ้าครามอร่าม หมู่แมกไม้พัดโบกบดบังสีฟ้าเป็นบางส่วนตามแต่กระแสลมในปลายฤดูหนาวจะโชยพามันไป
ร่างกายของเธอกำลังลอยละล่องใต้ผิวน้ำ ไม่รู้สึกรู้สมถึงความเย็นของน้ำหรือแม้เธอจะโผล่พ้นน้ำไปแล้ว เธอก็ยังคงไม่รู้สึกถึงความอบอุ่นจากแสงอาทิตย์อยู่ดี ที่นี่มีเพียงความชื้นฉ่ำเต็มไปด้วยโคลนตมสีหม่นคลี่คลุม แสงแดดส่องถึงบ้างไม่ถึงบ้าง และไร้สรรพเสียงบทสนทนาใดๆ จากมนุษย์ มีเพียงเสียงจากธรรมชาติอันสงบร่มเย็น เช่นเสียงของแมลงสีปีก เสียงสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำคืบคลานกระโดดย่อง และเสียงสะบัดครีบกระทบผืนน้ำของเหล่ามัจฉา ถึงแม้ที่นี่มีหลากหลายชีวิตอาศัยอยู่ แต่ที่นี่ก็มีหลากหลายของสิ่งไม่มีชีวิตอยู่ด้วยเช่นกัน
ร่างโปร่งใสค่อยๆ ลอยผ่านสายน้ำอย่างไร้จุดหมาย สายตาจับจ้องไปยังดวงอาทิตย์บูดๆ เบี้ยวๆ ตามการกระเพื่อมของน้ำแต่ก็ยังดูสดสวยในสายตา จนกระทั่งศีรษะผ่านเข้าไปในก้อนหินก้อนใหญ่บดบังความสวยงามจนหมด
เธอถอนหายใจ เป็นไปไม่ได้ที่หัวของเธอจะชนหรือสัมผัสกับวัตถุที่อยู่รอบกายของเธอ จึงเป็นไปได้ที่ตัวเธอจะทะลุก้อนหินก้อนนั้น ถ้าหากไม่หยุดล่องลอย เธอก็คงจะเลยผ่านมันไปอีกฟากหนึ่งโดยไม่เกิดอะไรขึ้น เพียงแต่ว่าความทึบของมันอาจจะบดบังสายตาของเธอไปก็เท่านั้น
หญิงสาวเลือกจะผุดกายลอยขึ้นเหนือบึง สูดอากาศในยามสายเข้าปอดเพื่อสมมติตนว่ากำลังหายใจเอาอากาศสดชื่นไปสู่ปอดได้แล้วจริงๆ ทั้งที่มันไม่มีทางเป็นไปได้... นัยน์ตากลมโตปรือลงและหม่นแสงไปชั่วพริบตาก็กลับมาสว่างใสเหมือนเดิม เบนสายตาลงมองตัวเองในเครื่องแต่งกายเดิม ชุดเดรสกระโปรงพลิ้วสีขาว มีลายปักด้วยมือเป็นดอกลิลลี่สีเหลืองเคลือบชมพูอ่อน เธอเพิ่งซื้อมาใหม่เมื่อปีก่อน สีของชุด...ขาวอย่างไรก็ยังอย่างนั้นไม่เปลี่ยนแปลง เพิ่งได้ใส่ครั้งแรกแท้ๆ ไม่น่าเลยจริงๆ
กานต์....
เสียงเรียกนั้นยังสะท้อนก้องในหู แต่เหมือนดังมาจากที่ไกลแสนไกล เสียงของครอบครัวผู้เป็นที่รักของเธอ...
ร่างโปร่งจนเกือบใสพาตัวเองล่องลอยไปข้างหน้า เท้าเปล่าเปลือยสีขาวซีดไล้ผิวน้ำเหมือนกับจะล้อเล่นกับความเย็นฉ่ำนั้นให้สาแก่ใจ กอกกและพืชน้ำเอนลู่ไปมาตามลมเป็นระลอกๆ เหมือนกำลังเต้นระบำผ่านสายลม ริมฝีปากสีซีดคลี่ยิ้มจนเสียงหนึ่งทัก
“เจ้าพรายน้อย ตื่นแต่เช้าเชียวนะ”
กานต์ชนิตหันใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มตามเสียงเรียก
ชายสูงวัยในชุดสีเทาอมเขียวเข้มนั่งเอนกายเอกเขนกอยู่เหนือผิวน้ำ ใต้ตัวเขาไม่มีเก้าอี้ แต่เขาก็กำลังทำท่าราวกับว่ากำลังนั่งอยู่เก้าอี้โซฟาอย่างสะดวกสบาย รอบกายของเขามีรัศมีสีเงินเรืองรองและมีรัศมีสีเทาเคลือบคลุมอยู่อีกชั้นหนึ่งบอกให้รู้ว่าเป็นบุคคลที่มีอำนาจแต่มีเหตุบางอย่างต้องถูกจำกัดให้เฝ้าหนองบึงแห่งนี้เอาไว้ เขาเป็นเทพารักษ์หรือเทวดาชั้นภุมมัฎฐ เขาเคยบอกกับเธออย่างนั้น ซึ่งเธอเองก็ไม่เข้าใจว่าเทวดามีกี่ขั้น เขาที่มีหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อยให้แก่เหล่าสิ่งมีชีวิตและไม่มีชีวิตในที่แห่งนี้ให้ดำเนินไปอย่างราบรื่น
เธอชี้นิ้วมือไปที่ดวงอาทิตย์ แล้วเอ่ย “เที่ยงแล้วนะคะ”
แว่วเสียงหัวเราะทุ้มนุ่มกลับมา “ฤดูหนาว มักจะมีกลางวันสั้นกว่ากลางคืน”
เธอส่งยิ้มไม่กล่าวอะไร สักครู่สายตาจึงเปลี่ยนไปจับจ้องและก้มลงล้อเล่นกับปลาในบึง ปลาเล็กปลาน้อยกรูเข้ามาราวกับรู้ว่าเธอมีตัวตนและกวักมือเรียกมันอยู่ จากนั้นไม่นานบรรดาปลาใหญ่ก็ว่ายเข้ามาแทนที่ ทำให้ปลาเล็กก่อนหน้าแตกฮือ เธอส่ายหน้าพร้อมกับเอ่ย
“อย่ามารังแกกันแถวนี้”
ปลาทั้งหลายหยุดการกระทำของตัวเอง มองมาที่เธอ สักพัก พวกมันก็ทยอยกันแยกย้ายไปคนละทิศละทาง ไม่มีปลาใหญ่ตัวใดกินปลาเล็กให้เห็นเลยแม้สักตัวเดียว เธอเคยสงสัยว่าพวกมันเห็นเธอด้วยหรือไม่ อยู่มาได้หนึ่งปีเธอจึงค้นพบว่าสัตว์เดียรัจฉานที่มนุษย์เคยแบ่งแยกพวกเขาออกจากตนนั้น แท้จริงแล้วพวกเขามีการรับรู้ที่ผิดไปจากมนุษย์ เพราะพวกเขารับรู้การดำรงอยู่ของเธอเสมอ ทั้งที่ไม่มีมนุษย์สักคนเดียวที่จะมองเห็นเธอ เทพารักษ์เห็นดังนั้นก็เอ่ย
“พวกมันเชื่อฟังเจ้า”
กานต์ชนิตยิ้มอ่อนโยน ทอดสายตามองในสายน้ำ “มันรับรู้ได้ว่ามีฉัน เหมือนรับรู้ได้ว่ามีท่าน”
เขาพยักหน้ายิ้มน้อยๆ อย่างคนมีเมตตาจิต
“ท่านนาครี...” เธอเรียกนามของอีกฝ่ายอย่างนอบน้อม แต่สีหน้าไม่เข้าใจของเธอทำให้เขายิ้ม “แล้วตกลง..ตอนนี้ตัวฉันเป็นอะไร”
เธอตายแล้ว นั่นคือความจริง เธอตายเพราะช่วยเด็กวัยประถมคนนั้นเอาไว้ แต่น่าแปลก ที่จิตวิญญาณของเธอก็ยังวนเวียนอยู่ที่นี่ ไม่ยอมไปไหน
ท่านนาครีไม่กล่าวอะไร เพราะเขาเองก็ไม่มีคำตอบเช่นกัน โลกใบนี้มีเรื่องราวมากมายที่ยังค้นหาคำตอบไม่ได้ ไม่เพียงแต่มนุษย์ แม้แต่เทพยดาหรือเหล่าดวงจิตคนละฟากภพก็ไม่สามารถหยั่งรู้ รู้เพียงแต่ว่าทุกอย่างล้วนเป็นไปตามกรรม ก่อเหตุไว้อย่างไรผลกรรมก็จะปรากฏเช่นนั้น เขาได้แต่เอื้อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลปลอบประโลม
“ในที่แห่งนี้ เจ้าคือพรายน้อย พรายน้อยของเหล่าสิงสาราสัตว์เหล่านี้ เจ้ามีกุศลธรรมสูงเกินกว่าภูตผีพรายเร่ร่อน ข้ารู้แต่เพียงว่าดวงจิตที่ข้ามองเห็นภายในตัวของเจ้าเป็นแสงสว่างสีขาว บริสุทธิ์และเปี่ยมไปด้วยเมตตา นั่นอาจเป็นเพราะว่าเจ้าได้ช่วยหนึ่งชีวิตเอาไว้ได้โดยแลกกับชีวิตตัวเอง เจ้าน่าจะได้ไปสู่สวรรค์ชั้นบนแล้วด้วยซ้ำ” แล้วเขาก็เงยหน้ามองท้องฟ้าเงียบๆ
ในเมื่อเขายังไม่เข้าใจ แล้วคนอย่างเธอจะไปเข้าใจได้อย่างไร เธอได้แต่เก็บงำความสงสัยไว้เงียบๆ การรอคอยโดยไร้จุดหมายเริ่มต้นขึ้นโดยที่เธอไม่ได้เรียกร้อง
“สักวันคำตอบนั้นจะมาหาเจ้าเอง” เสียงของเขาเหมือนระฆังแก้วกังวานรับฟังแล้วราวกับได้ชโลมดวงจิตอันรุ่มร้อนเต็มไปด้วยความสับสนให้กลับมาสงบดั่งสายน้ำในบึง
เธอหลับตาซึมซับพลางพยักหน้าตอบ หวังว่าวันนั้นจะมาถึงเร็ววัน เพราะในบึงแห่งนี้ช่างหนาวเหน็บ ใต้บึงแห่งนี้ช่างมืดมิด ทรมานทุกครั้งที่เธอหลุดออกจากห้วงสมาธิ ท่านนาครีบอกให้เธอตั้งจิตสงบ แล้วความรู้สึกหนาวเย็นเหล่านั้นจะไม่มากล้ำกราย ซึ่งพอทำตามก็ได้ผล แต่เมื่อก่อนเธอเป็นมนุษย์ จะให้ทำสมาธิได้ตลอดอย่างเทพเทวดานั้นยากเย็นยิ่ง บางครั้ง เธอก็มักวอกแวกไปกับเสียงเรียกหาอันคุ้นเคย เสียงของพวกเขา แล้วอดไม่ได้จะกลับไปยังหมู่บ้านริมบึงมองหาบ้านหลังสีขาวตระหง่าน
บ้านหลังกะทัดรัดในหมู่บ้านแลดูสงบ แต่บุคคลในนั้นเงียบหงอยเหงายิ่งกว่า
หญิงวัยกลางคนในชุดเสื้อเชิ้ตขาวกระโปรงสีเข้มเรียบร้อยเดินหิ้วรองเท้าส้นตึกออกมาจากภายในตัวบ้าน หญิงผู้นั้นมองไปรอบตัวพร้อมกับถอนหายใจ วางรองเท้าลงพลางหันกลับไปด้านหลังตามเสียงเรียก ผู้เรียกเป็นชายวัยล่วงเข้าสู่เลขหลักหก เส้นผมตัดสั้นแซมสีเทาปนดำ เขาส่งยิ้มให้ภรรยาซึ่งกำลังจะออกไปทำงาน พ่อกับแม่เตรียมตัวออกไปทำงานเช่นเคย ทุกทีเธอจะเห็นพ่อออกจากบ้านไปเช้ากว่านี้ พ่อต้องรีบไปเปิดร้านในตลาด ร้านหนังสือของพ่อเปิดตั้งแต่แปดโมง ขายหนังสือทุกประเภทแม้กระทั่งใบตรวจผลรางวัลสลากกินแบ่งรัฐบาลก็ขาย ส่วนแม่ของเธอนั้นทำงานกับบริษัทผลิตนิตยสาร ตั้งแต่เธอตาย พวกเขาก็ไปช้าและกลับเร็วทุกวัน ทั้งคู่ล้วนเศร้าโศกเสียใจกับการจากไปของเธอ
น้องสาวเธอ...พิมพิมล เศร้าซึมไปร่วมเดือน กว่าจะดึงชีวิตชีวากลับมาได้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย รวมทั้งพี่สาวของเธอเป็นผู้ออกจากบ้านเป็นคนสุดท้าย ปีที่แล้วหล่อนบอกว่าจะพยายามสอบอัยการให้ผ่าน ยังจำได้ตอนสิ้นปีพี่สาวรีบวิ่งเข้าบ้านเพื่อมาประกาศว่าเธอสอบผ่านแล้ว เรายังดีใจฉลองกันอยู่เลย แต่พวกเราก็ทำให้ครอบครัวดีใจกับเรื่องพี่สาวได้ไม่นาน ก็ต้องมาจัดงานศพให้กับตัวเธอเสียก่อน ทุกอย่างในบ้านช่างเงียบงัน ผ่านไปครบหนึ่งปี ก็ยังเรียกความสดในกลับมาไม่ได้ แต่สักวันหนึ่งพวกเขาจะทำใจได้
เมื่อสมาชิกในบ้านต่างพากันออกไปหมดแล้ว บ้านนั้นก็กลับสู่ความเงียบ
กานต์ชนิตเดินมาหยุดที่ประตูรั้วหน้าบ้าน ไม่อาจเข้าไปภายในเพราะมีเทพารักษ์หน้าเคร่งนั่งอยู่ที่ระเบียงหน้าบ้าน จ้องมองเธอด้วยสายตาเคร่งขรึม
“ฉันเป็นลูกสาวบ้านหลังนี้” เธอเคยบอกเขา เขาเพียงแค่พยักหน้ารับ แล้วก็บอก “เรารู้”
“ฉันขอเข้าไปได้ไหม... สักครั้งหนึ่งนะคะ”
เขาส่ายหน้าเชื่องช้า “เราให้เจ้าเข้าไม่ได้ เจ้าเป็นเพียงแค่วิญญาณเร่ร่อน ไม่มีบารมีจะเข้ามาในสถานที่แห่งนี้”
เธอได้แต่ยืนหน้าเศร้าอยู่หน้าบ้าน ไม่เข้าใจว่าต้องเป็นอะไรขนาดไหนถึงจะเข้าไปได้ แล้วก็ยิ่งไม่เข้าใจสถานภาพของตัวเองเลยจริงๆ
กานต์ชนิตถอนหายใจ เปลี่ยนเป็นหันหลังให้บ้านหลังนั้นแล้วเดินเลียบกำแพงคอนกรีตแหงนมองท้องฟ้าสีครามเงียบๆ สายลมในเปลวแดดโชยวูบผ่านลำตัวเธอ ทั้งที่ควรจะอุ่น แต่เธอกลับหนาวสั่นและเย็นเยือก หญิงสาวขมวดคิ้ว พยายามเพ่งสมาธิ แต่มันช่างยากเย็น
เธอไม่มีสมาธิ เธอกำลังรู้สึกเศร้า ได้เพียงแค่มองบุคคลที่เป็นที่รัก ได้เพียงแค่เดินไปมาในสถานที่ที่เคยอยู่ แต่ไม่มีใครเลยสักคนจะเห็นเธอ เธอไม่มีตัวตนในโลกใบนี้อีกแล้ว
อะไรหนอกำหนดชะตากรรมให้เธอเป็นอย่างนี้ เธอช่วยเด็กคนนั้นให้รอดพ้น แล้วทำไมผลบุญไม่ช่วยให้เธอหลุดพ้นออกจากโลกนี้ไปด้วย ให้เธอวนเวียน ทรมานอยู่ทำไม...