web stats

ข่าว

+-User

Welcome, Guest.
Please login or register.
 
 
 
Forgot your password?
ปัญหาการสมัครสมาชิก
วิธีเปลี่ยนสถานะเป็นนักเขียน
วิธีลงนิยาย
วิธีใช้งานบอร์ด

+-สถิติการใช้งาน

Members
Total Members: 880
Latest: Levitra5a
New This Month: 0
New This Week: 0
New Today: 0
Stats
Total Posts: 1553
Total Topics: 886
Most Online Today: 153
Most Online Ever: 601
(21 กันยายน 2024 เวลา 08:04:58 )
Users Online
Members: 0
Guests: 168
Total: 168

ผู้เขียน หัวข้อ: พรายในสายลม : บทที่ ยี่สิบเจ็ด Come With Me  (อ่าน 1537 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ อาคาริ

  • Moderator
  • ขาจร
  • *****
  • กระทู้: 53
พรายในสายลม : บทที่ ยี่สิบเจ็ด Come With Me
« เมื่อ: 31 ธันวาคม 2013 เวลา 12:45:51 »
บทที่ ยี่สิบเจ็ด Come With Me

วรินธรนั่งอ่านเอกสารจากยางโทนต่อจากวันนั้นด้วยความละเอียดและมีสมาธิที่สุด เมื่อได้สะสางเรื่องไม่สบายใจให้เข้าที่เข้าทาง จนกระทั่งแม่ของหมอหนึ่งถามขึ้น “เธอไม่ต้องไปดูแลกิจการร้านก๋วยเตี๋ยวของเธอหรือไง”

วรินธรจึงนึกได้ว่าโกหกเรื่องใดไป อย่างไรก็ตามยังคงกลิ้งสบาย “นานๆ ไปทีค่ะแม่ ฉันมีหุ้นส่วนหลายคน ไม่ต้องห่วง”

สายตาแม่บอกว่าไม่เชื่อสนิทนักหรอก แต่ก็ไม่ถามอะไรมากความ วรินธรนับวันที่อาศัยอยู่ที่นี่ ก็นานพอดู ไม่แปลกที่แม่จะเริ่มรู้สึกว่าเธออยู่นานเกินไป บ้านตัวเองก็ไม่ใช่ ดังนั้นจึงเป็นเวลาที่เธอควรคิดหาทางให้กานต์ชนิตออกจากร่างหมอหนึ่งอีกครั้ง หรือเธอควรโทรกลับบ้านไปคุยกับพ่อก่อนดี

แล้วจะเล่าอย่างไรให้เขาเชื่อล่ะ พ่อย่อมรู้ว่าเธอไม่เชื่อเรื่องผีสาง ชาตินี้ชาติหน้าอะไรที่พิสูจน์ไม่ได้ จู่ๆ ถามว่าจะเอาผีออกจากร่างคนยังไง พ่อคงทำหน้าพิลึก

ข้อความเข้าในมือถือเธอ

...ประชุมด่วน สองทุ่ม...

วรินธรเลิกคิ้ว เหลือบมองทะลุหน้าต่างไปยังบ้านหลังข้างๆ ทันที ได้ข่าวว่าการผ่าตัดไตของพ่อของหมอรสเป็นไปด้วยดีแม้เขาจะอายุมาก บ้านหลังนั้นเงียบสงบพักใหญ่จนเธอคิดว่าไม่น่าจะเกิดเรื่องอะไร การเรียกด่วนกระชั้นชิดไม่ค่อยจะเกิดขึ้นบ่อย ดังนั้นคงเป็นเรื่องสำคัญ

เธอเก็บเอกสารทุกอย่างกวาดลงแฟ้มเอกสารและสอดเข้าเป้สะพายหลังและคงจะปีนหน้าต่างห้องนอนแขกเพื่อไปสู่ภายนอก คงจะสำเร็จถ้าไม่มีสองแขนของใครบางคนด้านหลังรั้งเอวเธอไว้ “เฮ๊ย”

“จะไปไหนพาย” เสียงเย็นๆ ทำให้เธอค่อยๆ หันกลับไป ก็เห็นแค่คนหน้านิ่งที่อ่านอารมณ์ไม่ออก ไม่เห็นจะน่ากลัวเลยสักนิด แต่ไม่รู้ทำไมเธอถึงต้องกลืนน้ำลายฝืดๆ ลงคอ ตอบกลับเหมือนไม่รู้สึกอะไร

“ไปข้างนอก”

“รู้แล้วว่าข้างนอก ข้างนอกตรงไหน”

“ก็... ข้างนอกบ้านยังไงล่ะ” คิ้วของกานต์ชนิตขมวดเข้าหากัน วรินธรจึงสั่งทั้งที่ใจตุ้บๆ ต่อมๆ

“จับฉันไว้ทำไม ปล่อยดิกานต์”

“จับไว้ก็แปลว่าไม่ให้ออกไปอ่ะดิ ถามโง่ๆ”

นั่น โดนย้อนเข้าแล้วไหมล่ะ

“ฉันจะไปทำงาน เอ๊ะ เธอนี่” วรินธรทำเสียงแข็ง

“ฉันคิดไว้แล้วเชียวว่าที่เธอทำตัวดีสองสามวันนี้เป็นแค่การเสแสร้ง”

“เอ๊ย มันเกี่ยวอะไรเนี่ย”

“ทำไมจะไม่เกี่ยว ที่ทำตัวเรียบร้อยก็แค่สร้างภาพ ใจจริงเธอก็จะออกไปโลดโผนอย่างเดิม หาที่ตายไวๆ ใช่ไหม”

วรินธรกลอกตามองซ้ายมองขวาเผื่อว่าใครจะแอบฟัง ก็หันมาถลึงตาปรามหล่อนว่าห้ามพูดมาก “ถ้าจะแช่งเดี๋ยวค่อยกลับมาแช่งได้ป่ะ ฉันรีบต้องไปแล้ว”

“ไม่ให้ไป” อีกฝ่ายไม่ปล่อยเธอไปง่ายๆ

“โอ๊ย ยัยเพี้ยน ฉันจะไปทำงาน” เรากลับมาเถียงกันเรื่องนี้อีกแล้วนะ

วรินธรจับวงกบหน้าต่างทั้งสองมือเพื่อรั้งตัวเองออก คนด้านหลังก็กางขาตั้งหลักดึงเอวเธออย่างกับแข่งขันชักกะเย่อ ยุดยื้อกันไปหลายที วรินธรก็ทนไม่ไหวหันกลับมาแว๊ดใส่

“เฮ๊ย บอกให้ปล่อย”

กานต์ชนิตหน้าบึ้งสุดๆ “ไม่ปล่อย”

“ลองดีเหรอหื๊อ” วรินธรถลกแขนเสื้อขู่ ซึ่งอีกฝ่ายก็ท้าทาย

“กล้าก็เอาสิ”

“วะ” เธอก็ชักจะขึ้น หยิกหลังมืออีกฝ่ายแรงๆ แต่หล่อนก็อดทนไม่คลายแรงออก แถมยังเตะขาข้างที่ไม่ได้ยกพาดขอบหน้าต่างหวังให้เสียหลักอีกต่างหาก จนวรินธรทนไม่ได้ต้องยกขาลงมายืนพลันหันกลับ ยกกันเท้าที่เตะใส่เอาไว้

“ไอ้กานนนนน” เพราะหล่อนไม่ได้คลายวงแขนออก ตอนนี้เราก็เลยเหมือนมวยไทย คลุกวงในกันใหญ่ “นี่เธอจะยุ่งอะไรกับฉันไม่ทราบเนี่ย”

กานต์ชนิตคงจะรู้ว่าการใช้กำลังแบบนี้หล่อนเสียเปรียบ จึงปล่อยประโยคเด็ดที่ทำให้เธองง

“เธอโกหกนี่พาย”

“โกหกอะไรไม่ทราบ”

“เธอไม่ได้รักฉันจริง ไม่งั้นคงฟังฉันห้ามไปแล้ว” วรินธรถึงกับอ้าปากค้าง รู้ว่ากานต์ชนิตแกล้งตัดพ้อ แต่มันก็ทำให้ใจกระตุกได้อย่างไม่น่าเชื่อ

“เธอนี่เล่นละครไม่สมบทบาทที่สุด” ว่าเข้าอย่างนั้น หล่อนจึงงอนจริง เชิดจริงเสียด้วย เออชักจะเหมือน อยู่นานเดี๋ยวใจอ่อน รีบหนีดีที่สุด วรินธรจึงสรุป “เธอไม่ได้งอนจริง”

พร้อมกับฉวยโอกาสที่หล่อนไม่ได้ตั้งตัวหันหลังขวับ ก้าวพาดขอบหน้าต่างรั้งตัวเองขึ้นไปทันที แต่ทว่าฝ่ายหลังก็ตั้งตัวไว กระโดดขี่หลังเธอทันควัน ทำเอาเธอแทบหงายหลังต้องรีบเกร็งแขนเกาะวงกบแน่น

“ทำอาไร๊” เธอโวยวายหนัก หล่อนหัวเราะอย่างผู้มีชัย

“งั้นฉันจะไปด้วย”

“อะไรนะ”

“หูตึงหรือไง บอกว่าจะไปด้วย” ไม่ได้ตะโกนใส่หูเพียงอย่างเดียว หล่อนยังขย่มตัวเพิ่มน้ำหนักอีก วรินธรกลอกตาเหนื่อยใจ สุดท้ายก็ยอมแพ้ “โอเคๆ ไปด้วยก็ได้ยัยประสาท”

“อย่างงี้แต่ทีแรกก็ไม่ต้องเหนื่อยแล้ว” น้ำเสียงดีใจสร้างความหมั่นไส้นัก หากเนื้อตัวอุ่นๆ ที่กอดเธอจากด้านหลังกลับทำให้วรินธรอยากยิ้มออกมา ยิ้มแบบเหนื่อยๆ ปนสุขๆ จนตามอารมณ์ตัวเองไม่ทันเหมือนกัน

.......................................................................................

วรินธรจอดรถหน้าตึกมิทซึคิง กานต์ชนิตจึงรู้ว่าหล่อนมาประชุมกับเพื่อนร่วมทีม ไม่ได้เข้าบ้านใครให้เสี่ยง

“เธอนั่งรอในรถได้ไหม” สีหน้าหวั่นใจทำให้เธออยากแกล้งเหมือนกันแต่กลัวหล่อนจะกังวลใจมากเกินควร

“ก็ได้”

วรินธรร้องฮึ “ว่าง่ายอย่างนี้ น่ากลัวจริงๆ”

คนฟังหัวเราะ “อ้อ หรือชอบให้ว่ายากๆ ล่ะ”

“เออ ทีตะกี้ล่ะตื้อจะมากับฉันจริง ฉันก็นึกว่าเธออยากตามฉันเข้าไปประชุมด้วยซะอีก”

“ถึงฉันอยากตามเข้าไปด้วย ทำอย่างกับเธอจะให้งั้นแหละ”

“เออ รู้อยู่แล้วจะตามมาทำไมไม่รู้...”

กานต์ชนิตส่งยิ้มทางแววตา วรินธรชะงัก รีบตัดบท “ฉันรีบไปดีกว่า”

กานต์ชนิตรั้งแขนวรินธรไว้ “เธอควรรู้ว่าทำไมฉันถึงอยากตามเธอมา ใช่ไหม”

วรินธรถอนหายใจ งึมงำเบาๆ “เธอนี่น้า หาเรื่องชัดๆ”

จากนั้นโน้มตัวหอมแก้มเธอหนึ่งที ยิ้มจางๆ และเปิดประตูเดินเข้าสู่ชั้นใต้ดินของอาคารสูงอย่างว่องไว กานต์ชนิตแตะแก้มตัวเองเบาๆ ก่อนจะหลุดหัวเราะทั้งที่ใบหน้าเริ่มร้อน

เธอเริ่มเข้าใจพายเวลาที่กลัวจะเสียฟอร์มขึ้นมาบ้างแล้ว ถึงได้ทำอะไรอ้อมโลกเพื่อสิ่งนี้

ไม่อยากบ้ายิ้มอยู่คนเดียว เธอจึงกวาดสายตามองรอบตัวเพื่อดึงดูดความสนใจตนเองไปทางอื่นบ้าง ภายในลานจอดรถกลางแจ้งหน้าอาคารสูงยามดึกค่อนข้างเงียบสงัด มีรถยนต์ไม่กี่คันจอดทิ้งไว้ ไม่แน่ใจว่าเป็นของพนักงานของมิทซึคิงหรือของอีเว้นท์ดีเทคทีฟกันแน่ พลันเธอก็เห็นเงาแวบผ่านมุมตึก มีใครยืนอยู่ตรงนั้น

เธอเอนเบาะทันทีเพราะพายบอกไว้ว่าถ้าเห็นอะไรฉุกเฉินให้ซ่อนตัวอยู่ในรถเงียบๆ แล้วนี่เรียกฉุกเฉินหรือไม่

ครู่ใหญ่คนยืนมุมตึกก็ปรากฏกาย เป็นคนตัวสูงใหญ่และมีถึงสองคน ดูก็รู้ว่าพวกเขาไม่อยากเปิดเผยตัวตนนักถึงได้ใส่ชุดสีทึบและมีหมวกแก๊ปบนศีรษะ พยายามกวาดสายตารอบลานจอดรถ ด้อมๆ มองๆ และแอบซุ่มรอคอยหน้าประตูเข้าอาคารอยู่นาน เวลาเคลื่อนคล้อยนับชั่วโมง เธอไม่รู้ว่าเขามาดีหรือมาร้าย แต่กำลังภาวนาว่าอย่าให้พวกพายออกมาตอนนี้เลย กลัวว่าจะเกิดเหตุร้าย

ในรถคันเก่าของพายไม่มีอะไรติดต่อหาเจ้าหล่อนได้สักอย่าง กานต์ชนิตได้แต่ร้อนใจ จนกระทั่งผู้แอบซุ่มยืนขึ้นและก้าวไปยังถนน มีรถมอเตอร์ไซด์จอดแอบไว้ พวกเขาก็พากันจากไป

ฟู่ เธอถอนหายใจ พลันประตูรถก็ถูกเปิดกระชากออก ทำให้เธอร้องวี๊ด ง้างเท้าโต้ตอบอัตโนมัติ ฝ่ายนั้นก็จับเท้าเธอไว้ได้อีก เธอจึงดิ้นถีบใส่ จนกระทั่งได้ยินเสียงฮึ่ม

“ไอ้กานต์ นี่ฉันเอง” เสียงพายนั่นเอง

“โอ๊ย มาเงียบๆ อยากตายหรือไงยัยบ้า” อย่างไรก็ตามเธอรู้สึกโล่งใจ

วรินธรปล่อยเท้าเธอ ยังคงโมโหไม่หาย “มาเสียงดังไก่ก็ตื่นหมดสิ เธอนี่ก็ถีบไม่ดูอะไรเล้ย”

“โธ่ ฉันก็นึกว่าคนร้าย ตะกี้มีคนซุ่มอยู่ตรงนั้น เธอเล่นมาเงียบๆ”

“อ้าวเธอก็เห็นเหรอ”

กานต์ชนิตหน้าเหวอ เธอสิควรจะถามหล่อนแบบนี้ หล่อนมองหน้าเธอพักหนึ่ง เอานิ้วชี้จรดริมฝีปากเป็นการบอกให้เงียบ ก่อนจะทรุดตัวนั่งยองข้างรถ มอเตอร์ไซด์คันนั้นย้อนกลับมาใหม่ วนรอบลานจอดรถสองสามรอบ ก็กลับออกนอกถนนใหญ่ ราวกับต้องการให้แน่ใจว่าไม่มีใครอยู่ที่นี่จริงๆ

วรินธรตาวาวขึ้น

“คนของหมอรสเหรอ” กานต์ชนิตถาม และวรินธรส่ายหน้าตอบ

“ตำรวจ” วรินธรกดข้อความส่งไปหาเพื่อน เธอจ้องหล่อนเขม็ง

“ตำรวจเหรอ แล้วมาทำอะไร”

วรินธรเลิกคิ้ว “เธอคิดว่าฉันจะรู้ไปทุกเรื่องหรือไง”

กานต์ชนิตฮึดฮัด วรินธรยิ้มหึๆ มุมปาก แต่ก็ตอบดีๆ “ไม่ใช่ครั้งแรกที่พวกเขาพยายามคุยกะเรา คงอยากจ้างงานสักอย่าง บอสบอกว่าขอคิดดูก่อน ยังไงซะพวกเขาก็ต้องง้อเราเพราะอีเว้นท์สืบเรื่องเด็ดๆ ได้เยอะแยะ”

“ไม่ยักรู้ว่าตำรวจก็จ้างงานบริษัทเธอด้วย”

หล่อนยักไหล่ “ก็มีบ้าง บางเรื่องที่อยากสืบเร็วๆ และไม่ต้องคำนึงขั้นตอนนั่นนี่”

“ที่ไม่ถูกกฎหมายน่ะเหรอ”

หล่อนเลิกคิ้วอีกแล้ว เธอไม่ชอบเอาซะเลย “กฎหมายก็ร่างโดยคนนะ จะถูกหรือไม่ขึ้นอยู่กับการตีความล้วนๆ”

ตอบงี้มันแบบนักกฎหมายชัดๆ

“เธอต้องเรียนจบนิติฯ มาแน่ๆ เลย”

วรินธรเลิกคิ้วและยิ้ม ถ้าคิ้วหล่อนยืดถึงตีนผมได้คงตลกพิลึก หล่อนยืดตัวขึ้นมาบีบแก้มเธอดึงออกทั้งสองข้าง “เก่งจังเลยยยย”

กานต์ชนิตปัดมือหล่อนออก “เจ็บนะยัยบ้า”

“ไม่เคยบอกใครเลยนะเนี่ย” หน้าตาของพายเหมือนคนดีใจอย่างแท้จริง

“ไม่เห็นต้องบอก ท่าทางแบบเธอเนี่ยใช่เลย บอกซ้ายกลายเป็นขวาได้ บอกหน้า สักพักก็กลายเป็นหลัง บ้าอำนาจอีกต่างหาก”

วรินธรขำ “กล่าวหางี้เดี๋ยวฟ้องซะหรอก”

“แทงใจดำล่ะสิท่า”

“มองโลกในแง่ร้าย ระวังจะอายุสั้น”

กานต์ชนิตรู้ทันว่าวรินธรต้องการจะยั่วอารมณ์เธอให้โกรธ เพื่อเลี่ยงการไม่ตอบคำถาม เธอจึงบอกใส่หน้าหล่อนชัดๆ “ปิดไม่มิดหรอกพาย ฉันรู้”

วรินธรหรี่ตาอย่างเอาเรื่อง ดูก็รู้ว่าไม่จริงจังนัก ที่จริงหล่อนกำลังดีใจต่างหากที่เธอรู้ แต่คนอย่างพายน่ะหรือจะยอมอะไรง่ายๆ หล่อนกำลังจะเอาคืนโดยการเท้าแขนสองข้างกับประตูรถกับเบาะรถ ยื่นหน้าเข้ามาใกล้

“ยัยตัวอันตราย”

กานต์ชนิตหัวเราะตอบทันใด พร้อมๆ กับใบหน้านั้นโน้มเข้ามาใกล้ ทำให้เสียงหัวเราะของกานต์ชนิตแผ่วลงจนเงียบกริบเพราะเกรงกลัวว่าอีกฝ่ายจะทำอะไรอย่างที่คิด

“ทีอย่างงี้ละทำเงียบ พูดไม่ออกเลยล่ะสิ”

“เห็นไหม ฉันบอกแล้วว่าเธอน่ะบ้าอำนาจ” กานต์ชนิตทำอะไรไม่ถูก นี่แค่ใกล้ ยังไม่ได้แตะอะไรกันเลย เธอยังรับมือกับความรู้สึกตัวเองไม่ได้ พอหลุบสายตาหนีตาแวววาวก็พบกับริมฝีปากบางชุ่มชื้นยั่วเย้า ได้แต่พึมพำงึมงำ “ไม่ได้ไม่ดีก็ใช้กำลัง...เรื่อย”

วรินธรแค่ขำและมองเธอนิ่ง หล่อนเพียงแค่ยกนิ้วแตะริมฝีปากเธอเบาๆ เท่านั้น ก็ถอยใบหน้าออกห่าง แม้ว่ายังยืนค้ำหัวเธออยู่ก็ตาม กานต์ชนิตตามอารมณ์อีกฝ่ายไม่ค่อยทันนัก เหมือนพายนึกเรื่องอะไรบางอย่างได้ และเรื่องนั้นคงไม่ใช่เรื่องดี เธอเกือบจะถามถ้าไม่มีเสียงสั่นของมือถือเรียกความสนใจซะก่อน

ข้อความเข้าทำให้พายชะงักเมื่อกดอ่าน กานต์ชนิตแอบยืดคออ่านด้วย

วรินธรไม่ได้ปกปิดอะไร พออ่านจบเธอก็ถาม

“รหัสคนหาย... คืออะไร”

“แหม นึกว่าอ่านแล้วจะเข้าใจ ช่วยคิดแก้ปัญหา รู้งี้ไม่ให้อ่านก็ดีน่ะ”

กานต์ชนิตหมั่นไส้ “เสียใจย่ะ ฉันอ่านไปแล้ว”

วรินธรกลับมายิ้มได้เหมือนเก่า ตอนนั้นเองที่สายตาหล่อนกวาดไปบนตักของกานต์ชนิต ซึ่งมีแฟ้มงานของวรินธรฝากวางไว้ก่อนหน้าหล่อนจะหายเข้าไปในตึกมิทซึคิง วรินธรจ้องทะลุความใสของแฟ้มไปยังตัวอักษรบนเอกสารแผ่นบนสุด สักครู่หล่อนจึงนิ่งไปราวกับสะกิดใจบางอย่าง จากนั้นรีบมองซ้ายขวา เดินอ้อมรถกลับมานั่งประจำคนขับ พลางแบมือขอแฟ้มจากเธอเปิดอ่านอย่างตั้งใจ กานต์ชนิตครางหืม ยอมเงียบเพื่อให้พายมีสมาธิที่สุด และพยายามกลอกสายตาอ่านตามหล่อนให้ทันด้วย

ครู่ใหญ่มีร่างใครคนหนึ่งเดินอยู่กลางลานจอดรถ กานต์ชนิตจึงสะกิดคนข้างตัวทันที วรินธรเหลือบมองด้วยตาโต เมื่อใครคนนั้นเดินเข้ามาใกล้ เขาเองก็ตาโตเช่นกัน

“คิดว่ามาคนเดียวซะอีก” เจฟทักด้วยแววตาหยอกล้อ ใบหน้าเขาเป็นเจฟในเสื้อยืดคอกว้างและกางเกงขาสั้นธรรมดาดูเหมือนกำลังอยู่บ้านมากกว่าจะมาประชุม

วรินธรไม่ตอบ มองคนข้างตัวอย่างเสียมิได้ ยกมือเกาหัวแกรกๆ “พอดีมาทางเดียวกัน ก็เลยออกมาพร้อมกันดีกว่า”

“คุณหมอหนึ่ง...มีธุระจะไปไหนหรือครับ”

เมื่อเจฟหันถามเธอตรงๆ เธออึกอักคิดคำโกหกไม่ทัน อีกคนจึงตอบ “ไม่ใช่ธุระกับแกก็แล้วกัน ไอ้เจฟ แกออกมาอย่างงี้...เดี๋ยวใครก็ตามมาเห็นฉันจนได้”

“ฮารุเหรอวะ” เจฟปล่อยของ วรินธรถลึงตาใส่ เขาจึงหัวเราะ แอบมองท่าทีของอินทนิลไปในตัว

“ฮารุกลับไปแล้ว ตะบึงตะบอนกลับไปเพราะตามแกไม่ทัน”

ถึงว่าสิ ทำไมพายต้องทำท่าลับๆ ล่อๆ ตอนกลับมาที่รถด้วย... กานต์ชนิตคิดในใจ

เพื่อนสาวของเขาถอนใจเฮ้อ เจฟพิงประตูรถฝั่งคนขับ ทำหน้ายิ้มๆ ขณะก้มมองเพื่อนตัวเอง

“อ่านอะไรอยู่ ฉันเอานี่มาให้แก สองคนที่มาป้วนเปี้ยนตะกี้ เขาทิ้งไว้หน้าประตู คงจะเป็นของกำนัลชิ้นแรกหวังให้พวกเราเปลี่ยนใจยอมช่วยเขาทำงาน”

วรินธรรับมาอ่าน “รหัสคนหายที่ไอ้โทนส่งข้อความบอกนี่”

เจฟเหลือบมองกานต์ชนิต สายตาเขามีความระแวงแบบเดียวกับวรินธรสมัยแรกๆ ที่เธอพบหล่อน และเขาคงจะประมวลความเสี่ยงว่าเธอจะไว้ใจได้แค่ไหน พอเห็นเพื่อนสาวที่ยังง่วนกับการเปรียบเทียบเอกสาร เขาจึงจำเป็นต้องวางใจ แม้ยังมีรอยเคลือบแคลงอยู่ก็ตาม

“เจฟแกดูนี่”

วรินธรเขียนตัวเลขใส่กระดาษเปล่า “ถ้าเอารหัสปริศนาที่ได้จากกล่องเซฟตี้มาเรียงใหม่ กลับจากหลังมาหน้า เห็นไหมว่ามันคือหมายเลขบัตรประชาชน ซึ่งมันตรงกับรหัสคนหายที่ตำรวจให้เรามา”

เจฟละความสนใจจากหมอหนึ่ง จ้องตัวอักษรในกระดาษพลางกวาดตา “เลขที่ติดบนเครื่องแช่ไตนั่น ก็คือนายคนนี้...”

ทั้งคู่ชี้ชื่อหนึ่งในเอกสาร พลางขมวดคิ้วเครียด

“อย่างที่สงสัย ไตนั่นเป็นของจริงจากคนจริง” เจฟเอ่ย

“ตำรวจเองคงพยายามสืบเหมือนกัน พอรู้ว่าเรากำลังสืบอยู่ ถึงได้รีบเข้ามาหา”

“คงจะใช่ แต่คงจะติดขัดอะไรบางอย่างทำให้สืบได้ไม่สะดวกนัก...” เจฟวิเคราะห์พลางสบตาเพื่อน “และเพราะตำรวจทีมนี้เป็นทีมสืบสวนขนาดเล็ก คงจะสืบกันแบบลับๆ พอสมควร พวกอาสินกับพวกหมอรสคงจะไม่รู้หรอกว่ามีคนพวกนี้สืบเรื่องของพวกเขาอยู่”

วรินธรครุ่นคิดตามพลางพยักหน้าชี้แฟ้มทั้งสองในมือ “งั้นนี่ก็เป็นหลักฐานสำคัญ อาจทำให้เจอตัวคนหายพวกนี้ ถ้าโชคดี... เราอาจเจอพวกเขาทัน”

เจฟขมวดคิ้วและส่ายหน้า “หวังปาฏิหาริย์เหรอ ถ้าเขาขโมยไตออกไปแล้วคงต้องรีบหนีมากกว่าจะมานั่งเย็บปิดแผลให้ จริงไหม ยกเว้นแต่ว่าพวกนั้นเป็นโจรที่มีเมตตาธรรม ซึ่งฉันคิดว่าไม่ใช่”

วรินธรกลืนน้ำลายฝืดๆ แววตาหล่อนเศร้าวูบหนึ่งแต่ก็เพียงพอให้กานต์ชนิตจับได้ เวลาสองคนนี้อยู่ด้วยกันทีไร ชอบคุยกันในเรื่องที่เข้าใจยากทุกที ดีที่ครั้งนี้กานต์ชนิตรู้รายละเอียดบ้างบางส่วน จึงทำให้เข้าใจความเลวร้ายในสิ่งที่ฝ่ายตรงข้ามกำลังทำ

“เอาเป็นว่ามันไม่ง่ายที่จะค้นหานายเจ้าของไตนี่ให้เจอ หรือถ้าเจอเราก็ยังเอาผิดพวกนั้นไม่ได้ เพราะจะวิ่งโร่เข้าไปขอยืมชิ้นเนื้อไตของพ่อหมอรสมาตรวจเทียบกัน เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด ดังนั้นเราต้องหาหลักฐานเพิ่ม”

เจฟครางอืมในลำคอไม่เชิงว่าเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย ก่อนจะเบนสายตามองอีกคนในรถ “อย่าลืมคำเตือนของบอสล่ะ”

จู่ๆ เขาก็ถามเปลี่ยนประเด็น “แน่ใจเหรอว่าให้หมอหนึ่งฟังเรื่องพวกนี้ได้”

วรินธรเหล่สบตาเธอเช่นกัน “แล้วแกเคย เห็นฉันพาใครมาที่นี่ในสถานการณ์แบบนี้ไหมล่ะ”

เจฟนิ่งไป ยังคงจ้องมองเธอ แต่ปากสนทนากับเพื่อน “ได้ข่าวว่าเธอเคยเป็นคู่รักกับหมอรส อีกอย่างยังรู้จักพ่อของหมอรสอย่างดีมาตั้งแต่เด็ก”

“อืม แล้วไง”

เจฟยักไหล่ “ก็มันเชื่อยาก ว่าภายในไม่กี่วันแกจะเปลี่ยนใจคนได้...”

“พวกคุณจะหยุดพูดคุยเหมือนนินทาฉันได้ไหม มีอะไรก็ถามฉันเลยสิ” กานต์ชนิตอดไม่ได้ขัดขึ้น

เจฟยิ้มกว้าง “ดีเลย งั้นผมอยากรู้ว่า...”

มือของวรินธรยันใบหน้าและปากชายหนุ่มออกห่าง พลางตัดบท “หมดเรื่องแล้ว แกไปได้”

เจฟทำเสียงในลำคอยังคงฝืนยื่นหน้าเข้ามาคุยต่อ

“คุณรู้ไหม เจ้าพายเนี่ยเป็นพวกอยากได้อะไรก็ต้องได้ คุณจะต้องระวังมันให้มาก”

กานต์ชนิตหัวเราะ เรื่องนั้นเธอรู้ดีอยู่แล้ว เจฟส่ายหน้าทันที “ท่าจะไม่ได้การ ที่เตือนเนี่ยด้วยความเป็นห่วงคุณล้วนๆ ผมยังไม่เคยเห็นพายจริงจังกับใครสักคน...”

วรินธรหมดความอดทน เปิดประตูกระแทกท้องคนด้านนอกรถจนร้องอุก “กลับบ้านไปได้แล้ว ไหนใครบอกว่าอยากพักผ่อน หืมเจฟ”

เจฟขมวดคิ้ว แต่สักพักก็ขำ “ฮ่า ไอ้พาย ปกติไม่เห็นว่าอะไร แค่นี้ทำกลัว”

“อย่ายุ่งเรื่องของฉันน่า”

เขายืดตัวได้ก็ยักไหล่ รู้สึกหมั่นไส้เหมือนกัน เพียงแต่เมื่อมองใบหน้าเพื่อน ก็ทำให้เขานึกถึงอดีตของพายขึ้นมา เมื่อสบตากับกานต์ชนิตข้างกัน จึงเอ่ย “คุณต้องพิเศษมากแน่ๆ ผมเชื่อ ไม่อย่างงั้น ยัยนี่ไม่เป็นอย่างนี้หรอก”

เธอไม่ค่อยเข้าใจคำพูดของเขานัก รู้แต่ว่ามันต้องแฝงความหมายสำคัญ เพราะพายตวัดสายตามองเธอเร็วๆ หนึ่งทีด้วยความระแวง นี่ถ้าไม่ทำท่าระแวงอย่างนี้ เธอจะไม่รู้สึกอยากรู้หนึบๆ

วรินธรถอนหายใจ ง้างเท้าจะถีบอีกคนที่รีบโบกมือห้าม

“เออไปก็ได้ ช่วงนี้พวกฉันต้องเก็บตัว ดีเหมือนกันจะได้ถือโอกาสพักร้อนเที่ยวให้สนุกเสียหน่อย ส่วนแกนะพาย ระวังตัวเองดีๆ ด้วย ปิแอร์ จิงจ้อ อยู่ช่วยแกไม่ได้แล้ว”

วรินธรครางรับในลำคอ โบกมือให้คนพูดรีบไปไกลๆ ซึ่งเจฟยิ้ม ยอมกลับหลังหันเดินล้วงกระเป๋า ไม่วายทำเสียงแซวลอยตามลม “เอ๊ เหมือนฉันจำได้ ไหนใครบอกว่าไม่ได้เสี่ยงตายเพื่อหมอหนึ่งแต่เสี่ยงตายเพื่อใครคนอื่นกันน้อ งุงิๆ” ก่อนจะจับรถจักรยานตรงซอกพุ่มไม้ตั้งขึ้น คร่อมขี่จนตัวเอนไปเอนมาสักครู่ และหายลับเข้าซอยมืด

คนโดนแซวหน้าร้อนวืด กลับเข้ามานั่งในรถด้วยความเงียบสงบ

“อย่าไปสนใจอะไรเจฟเลย มันก็ชอบแหย่คนอื่นเล่นไปอย่างนั้นแหละ”

คนร้อนตัวเท่านั้นที่จะแก้ต่าง กานต์ชนิตยิ้มบางๆ “ชอบแหย่ใครๆ เหมือนเธอน่ะเหรอ”

วรินธรกำลังเขินแบบสุดๆ ท่าทางไม่นิ่งของหล่อนบอกชัด กานต์ชนิตอมยิ้ม เธอหวังว่าเจฟจะไม่โกหกก็แล้วกัน ไอ้คำพูดลอยๆ ประโยคสุดท้ายนั่นน่ะ

“ทำไมเจฟถึงบอกว่าอยู่ช่วยพายไม่ได้”

วรินธรมีสีหน้าดีขึ้น เมื่อเธอชวนเปลี่ยนเรื่อง หล่อนติดเครื่องรถพลางเคลื่อนออกจากลานจอดรถ “ก็ปิแอร์ไม่น่าไว้ใจ อาสินจับได้ว่าเขาเป็นสายให้กับใครบางคน ก็เลยหมายหัวส่งคนตามเก็บ เสียดายหน้ากากปิแอร์ เจฟอุตส่าห์ตั้งใจทำ”

กานต์ชนิตไม่คิดว่าเรื่องจะร้ายแรงขนาดนี้ แต่สีหน้าคนเล่ากลับเรียบเฉยราวกับกำลังเล่าเรื่องทั่วไป ไม่ใช่ความเป็นความตาย “นี่จะทำตัวอย่างคนปกติทั่วไปเขาทำกันไม่ได้หรือไงน้า”

“เป็นหญิงรักหญิงนี่เขาเรียกปกติไหม”

กานต์ชนิตขำคนพยายามเฉพาออกนอกเรื่อง จึงแกล้งกลับด้วยการย้อนถามเรื่องเดิม “ฉันยังสงสัยไม่หายว่าทำไมเจฟต้องพูดจาดีสเครดิตเธอด้วย ตะกี้นี้อ่ะ”

อีกฝ่ายเงียบอย่างสะอึกอีกหน ตาที่เหล่มองกันมีความกลัวแวบๆ “หรือเธอกลัวอะไรที่เจฟพูดเมื่อกี้นี้”

“เธอก็เดาไปเรื่อย”

“เธอกลัวฉันเชื่อคำเจฟเหรอ กลัวฉันเก็บไปคิดว่าเอ๊ เธอคงเล่นๆ กับฉันใช่ไหมน้า ฉันควรเผื่อใจกับเธอใช่ไหม”

“ไปหาอะไรกินดีกว่า เบื่อคนขี้เดา”

“สงสัยฉันจะเดาถูก”

“เฮ้อ เดาไปเถิ้ด ไม่ถูกร้อก”

คนขับตบไฟเลี้ยวเข้าสู่ย่านชุมชนกลุ่มหนึ่ง หล่อนปิดบทสนทนานั้นด้วยการสั่งให้เธอช่วยมองหาที่จอดรถ กานต์ชนิตร้องฮึในลำคอส่งสายตาล้อเลียนใส่คนช่างแถ...คนอะไรน่ารักอย่างงี้นะ อย่างไรก็ตามเธอไม่อยากเพิ่มเรื่องให้หล่อนต้องคิด นี่วันนี้ดูหล่อนเคร่งเครียดไม่น้อย จึงเปลี่ยนใจหันมองร้านค้าร้านอาหารยังเปิดหนาตาข้างทาง น้ำย่อยก็ชักเริ่มออก

.............................................................................

วรินธรตัดสินใจไม่ถูกว่าควรทำอย่างไรดี จากการประชุมเมื่อครู่ บอสสั่งการให้เธอย้ายออกจากบ้านหลังนี้โดยด่วน ไม่มีประโยชน์จะสืบอะไรจากรสสุคนธ์ต่อ เพราะหล่อนก็เหมือนหมากในกระดานของพ่อหล่อนตัวหนึ่ง ไม่รู้เรื่องอะไรมากนัก คนสำคัญที่เราควรเบนเข็มไปหา กลับเป็นกีจกร...ผู้เก็บเซฟตี้บ๊อกของอีเว้นท์ไว้ต่างหาก ในนั้นคงมีหลักฐานสำคัญมากมาย และพวกมันจะต้องกำลังพยายามล้วงข้อมูลออกมาให้ได้ หรือไม่ ก็ทำลายทิ้งซะ

บอสบอกว่าเราควรรีบแย่งคืนมาก่อนพวกเขาจะทำสำเร็จ

แต่เธอคิดไม่ตกว่าจะแก้ปัญหาเรื่องเอากานต์ชนิตออกจากร่างหมอหนึ่งยังไงดี

...

เธอพบฮารุกะขณะเดินเข้าไปในห้องประชุมใต้ตึกมิทซึคิง ฮารุกะมองเธอด้วยสายตาแวววาว

“ฉันคิดว่าเธอตายไปแล้วซะอีกพาย”

คำทักทายทำให้ทุกคนในห้องเงียบกริบ วรินธรแกล้งไม่รับรู้อะไร นั่งลงประจำที่ พร้อมกันนั้นบอสก็ประกาศเปิดประชุม

ฮารุกะเป็นคนช่วยปิแอร์ให้รอดพ้นจากอาสินอย่างหวุดหวิด พวกนั้นพยายามตามรอยจากสัญญาณกล้องวงจรปิดและเครื่องดักฟัง โชคดีที่ยางโทนตัดสัญญาณทัน อย่างไรก็ตาม ข่าวจากเจฟและฮารุกะก็ทำให้เธอตกใจ

“ภาพทิวาพยายามตามหาแกอยู่นะพาย ไม่สิ เธอตามหาพริ้งแพรวพรรณ เธอรู้แล้วด้วยว่าแกเคยเป็นนางแบบถ่ายนิตยสารเล่มไหนบ้าง พอหาแกไม่เจอ ก็เลยไปตามเอาจากฮารุ” เจฟบอก

วรินธรสงสัย ฮารุกะจึงตอบให้ “ตามไปจนถึงโรงเรียนสอนเทควันโดของฉัน แล้วป่านนี้ก็คงสืบประวัติของฉันพรุนไปหมดแล้วมั้ง”

“งั้นเธอก็ไม่ควรมาที่นี่”

“ทำไม กลัวว่าฉันจะพาคนร้ายเข้ามานี่เหรอ ฮึ คงไม่ใช่ฉันหรอกมั้ง ฉันไม่ได้ทำตัวเสี่ยงล่อเป้าขนาดต้องแย่งแฟนใครเพื่อให้อยู่ใกล้ศัตรู”

วรินธรได้แต่ขยับตัวอย่างอึดอัด เรื่องนี้ต่างหากที่ฮารุกะผูกใจเจ็บ และเมื่อเธอตอบไปอย่างไม่ใยดีว่า

“มันเรื่องส่วนตัวของฉัน”

ก็ส่งผลให้อีกฝ่ายมองเธออย่างแค้นเคือง หล่อนยังเด็กนัก สุดท้ายเจ็บใจมากเข้าก็น้ำตาคลอ แล้วพวกอีเว้นท์ก็ดันแพ้น้ำตาผู้หญิง รี่เข้าไปปลอบประโลมกันใหญ่

“พาย ฉันว่าเรื่องนี้ไม่ใช่แค่เรื่องส่วนตัวของเธอคนเดียวแล้ว” บอสเอ่ย พร้อมกับออกคำสั่ง “เชื่อว่าอีกไม่นานอาสินคงสืบสาวว่าใครกันเอากล้องไปติดบนเสื้อลูกสาวเขาจนได้ เธอควรออกจากบ้านหลังนั้นถ้าไม่อยากกลายเป็นผีเฝ้าบ้านเขา”

ถ้าออกไปเธอก็จะพากานต์ชนิตไปด้วย แม้รู้ดีว่าชีวิตต่อจากนี้จะไม่เป็นสุขไปตลอดก็ตาม แต่เรื่องที่กวนใจก็คือเธอไม่อยากให้เพื่อนร่วมทีมต้องเสี่ยงด้วย

เสียงเคาะประตูทำให้เธอขยับตัวจากการพิงวงกบหน้าต่าง เดินไปเปิดประตู

เวลาตีสองอย่างนี้คงไม่มีใครนอกจากกานต์ชนิต วรินธรอมยิ้มมองใบหน้าที่เป็นของอินทนิล ถ้าจะให้เลือกระหว่างงานกับกานต์ชนิตล่ะก็... เป็นเมื่อก่อนเธอคงไม่ลังเลจะเลือกงานเลย

“ไม่กินขนมหวานในครัวเหรอ”

“ฉันไม่ยักรู้ว่าเธอแอบซื้ออะไรมาด้วย ก๋วยเตี๋ยวสองชามยังไม่อิ่มอีกเหรอ”

หล่อนหัวเราะ “เอาเถอะน่า ทับทิมกรอบเย็นๆ จะช่วยคลายเครียดและนอนหลับฝันดีนะ”

รู้ด้วยว่าเธอเครียด แล้วหล่อนรู้รึเปล่านะว่าเธอกำลังเครียดเรื่องหล่อนอยู่

กานต์ชนิตมองอย่างชักชวนอีกครั้ง เธอจึงปิดห้องเดินตามหล่อนไปนั่งบนชุดโต๊ะกินข้าวในครัว มองเม็ดสีชมพูลอยในน้ำกะทิในถ้วยตรงหน้าอย่างน่ากิน กานต์ชนิตนั่งข้างกันง่ายๆ

“เธอจะเป็นโรคสมองเสื่อมก่อนวัยอันควรหรือเปล่านะพาย ชีวิตเธอมีเรื่องให้กังวลได้ไม่หยุดไม่หย่อน”

วรินธรขำ ตักขนมหวานเย็นๆ ใส่ปาก ได้กลิ่นหอมจากมะลิในน้ำกะทิจนรู้สึกชื่นใจ

“แช่งกันบ่อยจริงนะ”

“ไม่ได้แช่งสักหน่อย เวลาเธอคิดเรื่องงานทีไร คิ้วก็จะเป็นอย่างงี้” หล่อนทำคิ้วย่นใส่ เธอจึงดีดเปาะกลางระหว่างคิ้วเข้าให้

“โอ๊ย เจ็บนะไอ้พาย”

วรินธรไม่สนใจคนบ่น ตักขนมกินต่อจนหมดถ้วย

“ฉันเป็นต้นเหตุของเรื่องให้เธอหนักใจหรือเปล่า” เมื่อกานต์ชนิตถามอย่างหวั่นไหว เธอจึงส่ายหน้า แตะศีรษะนั้นลูบเบาๆ ปลอบใจ

“ไม่หรอก”

“ไม่จริงหรอกล่ะสิ” กานต์ชนิตจับมือเธอ เป็นทำนองว่าเธอไม่จำเป็นต้องปิดบังเรื่องใด หล่อนรู้

และนั่นทำให้วรินธรตัดสินใจเลิกปิดบังสิ่งที่คิด ยิ้มออกมาอย่างเหนื่อยล้า “ถ้าเราจำเป็นต้องออกจากที่นี่ ทั้งที่เธอยังไม่ออกจากร่างหมอหนึ่ง เธอจะยอมไปกับฉันไหม”

“นี่เองเรื่องที่เธอหนักใจ” กานต์ชนิตถอนหายใจ “ไปกับไม่ไปอันไหนทำให้เธอเดือนร้อนมากกว่ากันนะ”

“ไม่ไป” วรินธรตอบทันควัน

“ไม่ไปสิเธอจะไม่เดือดร้อน”

“จะไม่เดือดร้อนได้ยังไง...” แววตาเธอทั้งขัดเคืองทั้งสื่อความหมายหลายอย่างจนกานต์ชนิตหลบตา

“โธ่เอ๊ยพาย...เธอจะถามฉันทำไมว่าจะไปกับเธอหรือเปล่า ในเมื่อเธอก็มีคำตอบชัดเจนอยู่แล้ว”

“ก็ไม่รู้... ฉันแค่อยากได้ความสมัครใจจากเธอด้วย แล้วบางทีการหนีไปกับฉันมันก็อาจจะลำบาก บางทีเธออาจจะไม่อยากไป”

กานต์ชนิตอ่อนใจก่อนจะขยับเข้าใกล้และแตะแก้มเธอ “ฉันไม่ได้กลัวตัวเองลำบาก ฉันกลัวเธอจะลำบากต่างหาก”

สายตาของกานต์ชนิตช่างอ่อนหวานและเต็มไปด้วยความห่วงใย ความกังวลทั้งหลายเหล่ถูกปัดเป่าหายเกลี้ยง ก่อให้เกิดความชุ่มชื้นในหัวใจของเธอ ชุ่มชื่นยิ่งกว่าได้กินขนมหวานทับทิมกรอบเมื่อครู่

วรินธรดึงมือหล่อนมองดูและยิ้มอย่างสุขใจคนเดียวเงียบๆ “โอเคงั้นฉันได้ข้อสรุป... เธอคงต้องไปกับฉันแล้วล่ะ”

“ฉันเห็นเธอก็สรุปอย่างงี้ตั้งแต่ทีแรกอยู่แล้ว”

“ถ้าฉันไม่อยู่เธอเองก็จะเป็นห่วงฉันจนไม่เป็นอันทำอะไรเหมือนกันใช่ป่ะ”

ดวงตากานต์ชนิตเริ่มไม่นิ่งเพราะความเขิน อุบอิบบ่น “ทึกทักเอาเองตลอด”

“ถ้าอย่างงั้นเราก็เสมอกัน ทางที่ดีที่สุดคือเราต้องอยู่ด้วยกัน ถ้าฉันมีเธออยู่ใกล้ๆ ฉันไม่กลัวอะไรทั้งนั้น ต่อให้ลำบากแค่ไหนก็ยอมรับได้ ขอเพียงอย่างเดียวเท่านั้น เธออย่าทิ้งฉันไปไหนก็พอ”

กานต์ชนิตกะพริบตาที่ฉายความซาบซึ้ง วรินธรรู้สึกว่าเธอกำลังขอร้องหล่อนเป็นครั้งที่สอง ว่าอย่าหายไปไหน...เพราะนั่นเป็นสิ่งที่หวั่นกลัวที่สุด ไม่เคยรู้สึกว่าต้องพูดจาดีๆ กับใครเพื่อมัดใจเขาไว้ให้อยู่ใกล้ ยิ่งพูดให้ซึ้งตรึงใจชวนน้ำเน่าจากใจอย่างนี้ยิ่งไม่เคยมีในสมอง และมันทำให้เธอรู้สึกเขินไม่น้อยไปกว่าหล่อน จนส่งยิ้มเจื่อนแกล้งดึงมือหล่อนขึ้นจุมพิตเบาๆ และลูบมือไปมา

กานต์ชนิตทั้งขำทั้งหน้าแดง “นั่น...หาตัวเลขเหรอพาย”

ไอ้เรื่องทำลายมนต์ซึ้งๆ นี่ไม่ใช่เธอคนเดียวแน่ๆ ใบหน้ากานต์ชนิตมีสีเรื่อน่ามองเป็นอย่างยิ่ง ไม่รู้ทำไมกับอาการแค่นี้ถึงทำให้เธอตื่นตาตื่นใจนัก ตั้งแต่กานต์หน้าแดงข้างเรือนเพาะชำคราวที่แล้ว และก็ทำให้เธอเผลอใจไง กานต์กำลังดูเซ็กซี่ยากจะบรรยาย...โอ๊ยจะบ้าตาย

“เธอก็อย่ายั่วยวนฉันสิ” เอ่ยคำพูดเบรกทั้งตัวเอง เบรกทั้งหน้าแดงของหล่อนให้เลิกแดงลดความเซ็กซี่เสียบ้าง

เท่านั้นกานต์ชนิตก็ชักมือออก “ใครยั่วใครกันแน่ ยัยบ้า”

วรินธรรับฟังเสียงหัวเราะของตนเองที่แสนแปร่งปร่า กานต์ชนิตลุกหนีไปหยิบน้ำในตู้เย็นแล้ว หากสายตาเธอไม่อาจละไปจากร่างเพรียวสมส่วนที่หันหลังหลบอาการเขินได้ ทำไมเราจะไม่รู้ว่ากำลังมีบางสิ่งเกิดขึ้น บางสิ่งที่เหนี่ยวนำรั้งดึงเราเข้าหากัน อยากจะอิงแอบแนบชิด หยิบทุกสิ่งที่กั้นขวางทิ้งไปเสีย กานต์ชนิตจะรู้หรือไม่ว่ามันกำลังบีบคั้นเราจนน่าอึดอัด จังหวะที่กานต์ชนิตหันหลังกลับก็ชนกับร่างวรินธรที่ยืนชิดกันและจับประตูตู้เย็นกั้นไว้




ออฟไลน์ อาคาริ

  • Moderator
  • ขาจร
  • *****
  • กระทู้: 53
พรายในสายลม : บทที่ ยี่สิบเจ็ด Come With Me(ต่อ)
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: 31 ธันวาคม 2013 เวลา 12:46:56 »
(ต่อ)

มันใกล้เสียจนกานต์ชนิตทำตัวไม่ถูก มันใกล้มากไปหล่อนจึงถาม “ลุกมาทำไม”

“ฉันหิวน้ำ”

“หิวน้ำก็ไม่เห็นต้องเข้ามายืนขวางอย่างนี้นี่ ให้ฉันออกไปก่อน”

วรินธรกั้นไว้พร้อมกับดึงขวดน้ำในมือเธอวางลงที่เดิม แล้วก้มลงจุ๊บริมฝีปากชุ่มชื้นเต็มไปด้วยน้ำอย่างแผ่วเบา พร้อมส่งสายตาหยอกล้อ “อย่างนี้ชื่นใจกว่าเยอะเลย”

กานต์ชนิตเขินจนหน้าแดงเป็นวูบๆ ปากคอสั่นนึกคำพูดต่อไม่ออก หัวใจของเราทั้งคู่กำลังเต้นรัวกระตุ้นอารมณ์หวั่นไหววูบวาบที่ไม่อาจยับยั้ง พอกานต์ชนิตอ้าปากจะทักท้วง วรินธรจึงแตะปากหล่อน “ห้ามโวยวาย”

กานต์ชนิตมีแววตาคัดค้าน วรินธรกดเรียวปากของตนทาบริมฝีปากอุ่นนุ่มของหล่อนอีกครั้ง ความชุ่มชื้นทำให้ทุกอย่างลื่นไหล เธอไม่อาจหยุดความเร่าร้อนในกายตนเองได้จึงเผลอดึงใบหน้านั้นเข้าหา พร้อมเบียดริมฝีปากตัวเองชิดแทบหลอมรวมกัน ดูดดื่มปานจะกลืนกิน ไม่เว้นช่องว่าง ไม่ให้หายใจ สร้างความทรมานจนกานต์ชนิตเริ่มดิ้น พยายามจะผละหนีแต่ไม่สำเร็จ ในที่สุดหล่อนจึงเผลอสูดอากาศจากปอดเธอไปแทน

วรินธรเสียววูบในช่องท้อง ผละริมฝีปากออกพร้อมกับหลุดยิ้มตื่นเต้นจนมือไม้สั่น และต้องสูดลมหายใจเข้าลึกพร้อมกับคนตรงหน้าเพื่อระงับความรู้สึกเร้าใจ ปลายหางตากานต์มีหยดน้ำตาเล็กๆ อย่างไม่รู้ตัว มันคือน้ำตาแห่งความทรมาน ตื่นตัวและมหัศจรรย์

วรินธรพึมพำแทบจะกระซิบ “ฉันขอโทษ”

ขยับปลายนิ้วโป้งแตะปลายหางตาหล่อนพร้อมทั้งโน้มหน้าเข้าหา พยายามใช้ประสบการณ์ที่มีดึงจังหวะทุกอย่างให้ช้าลง อย่าได้ทะยานรวดไปเบื้องหน้าจนทำลายทุกสิ่งให้มอดไหม้ เปลี่ยนเป็นมอบจุมพิตแสนหวานสร้างความเคลิบเคลิ้มหลงใหลแทน สุดท้ายกานต์ชนิตเผลอทำขวดน้ำตรงฝาตู้ล้มกราวรูด ทั้งคู่จึงรู้สึกตัว วรินธรส่งสายตาร้อนแรง จนคนมองทำอะไรไม่ถูก เอ่ยเสียงสั่น

“เธอ...บอกเองไงว่าเธอจะไม่รีบ”

วรินธรขมวดคิ้ว “ใช่ ฉันไม่รีบ”

“แล้วนี่เรียกว่าอะไร...”

“ฉัน... ฉันก็ไม่รู้... เรื่องบางเรื่อง มันก็ห้ามยากไม่ใช่เหรอ” ว่าจบก็ประกบจูบลงใหม่ สอดมือประคองเอวบางใต้ชายเสื้อลูบไล้ไปตามแผ่นหลังเรียบเนียน ปิดตู้เย็นและไม่ยอมผละริมฝีปากออกจากกันอีกต่อไป กานต์ชนิตเหมือนจะกล้าๆ กลัวๆ ในทีแรก ใช้เวลาเพียงไม่กี่อึดใจ หล่อนก็กำลังตอบสนองเธออย่างน่าตื่นเต้นที่สุด มืออุ่นป้ายแปะจากต้นคอของเธอรั้งคอเสื้อเธอขยับต่ำจนยับยู่ แถมยังลูบไล้ตะบมบนแผ่นหลังเปลือยเปล่าของเธออีกต่างหาก เธอคงหยุดไม่ได้ เธอคงไม่รู้ว่าควรหยุดตัวเองยังไง และอารมณ์ก็ดลใจให้พวกเราละทิ้งจากถ้วยขนมหวานในครัว กลับไปหาที่ฟินๆ ในห้องนอนเสียดีกว่า

วรินธรดึงแขนกานต์ชนิตให้ล้มลงบนเตียงนุ่มและพาตัวเองทาบทับบนตัวหล่อน แจกจุมพิตพร้อมกับงึมงำ “กานต์ กานต์ เธอกำลังยั่วฉัน”

กานต์ชนิตชะงัก “ฉันไปยั่วอะไร...เธอตรงไหนไม่ทราบยัยลามก”

วรินธรหัวเราะ “ก็ตรงนี้แหละ มาว่าฉันทำไมยัยประสาท”

วรินธรปิดปากหล่อนทันควันก่อนจะโดนว่าอะไรอีกแต่แขนหล่อนยังตีวาดอากาศมาขัดขวางเอาจนได้ เธอจับแขนอีกฝ่ายไว้ พร้อมก้มลงจูบหล่อนได้ใหม่อย่างมีชัยชนะ กานต์ชนิตอ้าปากจะว่า วรินธรก็จัดการอุดปากอีกครั้ง พอหล่อนเบนหน้าหนีเธอก็ดันแก้มกลับมาจูบต่อ ก่อนอีกฝ่ายจะเกิดอาการต่อต้านจนเกินพอดีเธอชิงสอดแทรกปลายลิ้นนุ่มสู่ภายในระหว่างหล่อนเผยอริมฝีปาก กานต์ชนิตเผลอครางรับในลำคออย่างพึงพอใจ เชิดใบหน้าเข้าหา เบียดร่างกายส่วนอื่นชิดติดกันโดยไม่รู้ตัว จนกระทั่งวรินธรปลดปล่อยให้หล่อนได้หายใจหอบถี่

เราชิดใบหน้าเข้าหากันและยิ้มให้กันอย่างประหม่า ไม่เคยรู้สึกดีอะไรเท่านี้เลย ไม่เคยรู้สึกว่าการแนบชิดกับใครสักคนที่เราแสนจะรักใคร่จะมอบความอิ่มเอมใจได้เพียงนี้ เธออาจจะเคยผ่านอะไรมามาก แต่เธอไม่เคยเปิดใจให้ใครเข้ามาถึงส่วนลึก กานต์ชนิตเป็นคนแรกซึ่งเธอเปิดรับ ไม่รู้ว่าจะเป็นคนสุดท้ายหรือไม่ ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้จะมีอะไรเกิดขึ้นอีกบ้าง หากเธอรับรู้เพียงความสุขที่โปรยหล่น ในระหว่างที่เรายังมีกันและกันอยู่ อะไรจะสำคัญไปกว่านี้อีกเล่า

วรินธรยังคงคลอเคลียบนใบหน้าใกล้สายตา สูดหอมกลิ่นเนื้อเนียนอย่างหลงใหล แตะจูบเบาๆ ไล่ลงมาจากแก้มจนปลายคางและลำคอ ต่ำลงไปในอกเสื้อ จนกานต์ชนิตร้องโวยวาย “เฮ๊ย ตรงนั้นไม่ได้”

วรินธรครางงึมงำแต่ไม่ได้หยุด “เธอเนี่ยทำให้เสียอารมณ์เป็นบ้า”

“ยัยลามกหยุดนะ... พาย...”

กานต์ชนิตบอกตัวเองว่าเธอกำลังแพ้หล่อน กับริมฝีปากบางๆ แสนน่ากลัวนั่น และปลายลิ้นมรณะที่เหมือนโยนใจของเธอดิ่งขึ้นสูงก่อนจะกระชากต่ำยิ่งกว่ากราฟไซน์คอสความถี่สูงที่มีเส้นยอดพีคแหลม วืดขึ้นวืดลงอย่างกับคนบ้าไร้สติ แม้จะต่อต้านกับมือร้อนที่สอดล้วงใต้เสื้อเธอด้านหลัง ปลดตะขอบราเซียออกอย่างง่ายดายเธอยังทำไม่ได้ นับประสาอะไรกับกระดุมกางเกงที่หล่อนจะปลดมันออกไปง่ายๆ ล่ะ ป่านนี้เจ้ากางเกงสุดรักคงจะหายไปกองมุมไหนของห้อง ปล่อยให้ยัยตัวดีถือวิสาสะลูบไล้ต้นขาเปลือยเปล่า

“ฉันสังหรณ์ใจว่าฉันจะต้องเสียตัวในไม่ช้านี้”

วรินธรหยุดทันที ก่อนจะซบหน้าลงกับไหล่เธอ กลั้นหัวเราะกึกๆ จนตัวสั่น แล้วค่อยเงยหน้า “ฉันจะบ้าตายไปกับเธอจริงๆ”

กานต์ชนิตยิ้มเจื่อน เธอทั้งกลัวทั้งตื่นเต้นทั้งอยากรู้ จึงทำให้พูดอะไรอย่างที่คิด

วรินธรทอดสายตายิ้มมอง และลูบแก้มเธอเบาๆ “จะกลัวอะไร ตัวก็ไม่ใช่ของเธอ”

“ไม่ใช่ตัวฉันแต่มันความรู้สึกฉันนี่” เธอยังมีหน้าเถียงอย่างอายๆ กับหล่อนอีกแน่ะ สายตาไวก็ดันกวาดมองยังเสื้อหล่อนที่ก็หลุดลุ่ยไม่แพ้เธอ กระดุมเม็ดบนหลุดออกจากกันจนเห็นชั้นในสีอ่อน และบางสิ่งเต่งตึงซ่อนรัดอยู่ในนั้นก็ยิ่งทำให้เธอหน้าแดง

ใช่ว่าอีกฝ่ายจะไม่รู้ว่าเธอกำลังมองอะไร วรินธรยิ้มหวานพลางดึงมือเธอข้างหนึ่งยกขึ้นพร้อมกับวางมือเธอนั้นให้แตะลงบนหน้าอกของหล่อนเหนือบราเซีย “ความรู้สึกของฉัน มันก็ไม่ได้ต่างจากเธอนักหรอก รู้สึกไหม มันแทบจะทะลุออกจากอกอยู่แล้ว”

กานต์ชนิตจึงกล้าลูบบนผิวเนื้อเนียนเบาๆ จังหวะการเต้นของหัวใจพายบ่งบอกอารมณ์หล่อนได้เป็นอย่างดี แสงไฟจากโคมไฟเล็กข้างเตียงส่องให้เห็นสิ่งที่เธอเคยแอบมองครั้งหนึ่ง มองกับสัมผัสนั้นช่างแตกต่างกัน โดยไม่รู้ตัวนิ้วมือของเธอก็สะกิดปลดตะขอหน้าจนหลุดออกจากกัน เนินเนื้อนุ่มเด้งตัวจนแตะบนหลังมือของเธอ ชักชวนให้อยากสัมผัสไล้เพียงแผ่วเบา

วรินธรสูดลมหายใจระงับความวาบหวามจนเนินอกสะท้อนไหว นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนทอประกายทองเรืองรอง พลางโน้มตัวเข้าใกล้ หล่อนจับมือเธอให้กุมทาบกับสิ่งที่เธออยากแตะต้องนักหนาเอาไว้อย่างเต็มไม้เต็มมือ นำพาให้เธอดึงเสื้อเชิ้ตตัวบางและบราเซียสีหวานของหล่อนให้พ้นจากร่างกายนั้นไปเสีย เธอได้แต่ตะลึงตาลานกับสรีระตรงหน้า เคยคิดว่าหล่อนเป็นนางแบบที่หุ่นดีนั้นไม่ผิดไปจริงๆ ทุกอย่างที่เป็นหล่อน เธอได้ลูบไล้เสน่หา สำรวจตรวจตราได้ตามใจ

เรากำลังสำรวจร่างกายของกันและกันอย่างหลงใหล หากแต่ทุกอย่างไม่ได้หยุดแค่การสำรวจ เพราะมันเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของกองไฟเล็กๆ เท่านั้น กองไฟที่คนถนัดก่อ ขยันจุดซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนเกือบเช้า

............................................................................................. จบบทที่ ยี่สิบเจ็ด Come With Me

 

Powered by EzPortal
    ต้นฉบับในเว็บไซต์เป็นลิขสิทธิ์ของผู้แต่งต้นฉบับที่นำมาลง
    copyright © Yuriread.com All rights reserved.