ตอนที่ 2 วันนี้อากาศดีแถมรถไม่ติดทำให้อวิกาอดที่จะยิ้มรับวันแห่งความรื่นรมย์แบบนี้ไม่ได้แต่แล้วเสียงขัดจังหวะจากมือถือเครื่องจิ๋วก็ดังขึ้นทำให้เจ้าตัวต้องผละจากอารมณ์สุนทรีกลับคืนสู่โลกแห่งความเป็นจริง หญิงสาวกดรับสายทันทีเมื่อมองเห็นว่าใครโทรมา
“ค่ะพี่ศิรา”
“อยู่ไหนแล้วทำไมไม่รอพี่”
ปลายสายเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเหมือนคนยังไม่ตื่นนอน
“ถ้ารอพี่ศิราเพชรคงยังไม่ได้ทำอะไรหรอกค่ะวันนี้”
“พูดแบบนี้กับพี่กับเชื้อได้ยังไงฉันเป็นพี่ชายแกนะ”
“ก็ถ้าเป็นคนอื่นคงไม่กล้าพูด”
“อวิกา!”
เสียงตะหวาดจากปลายสายหาได้ทำให้คนฟังกลัวแต่กลับทำให้เกิดเสียงหัวเราะชอบใจแทน
“โอ๋ๆๆไม่ยั่วก็ได้ว่าแต่มีอะไรค่ะร้อยวันพันปีไม่เห็นจะให้รอ”
“ช่วงนี้พี่กลัวไม่อยากไปไหนมาไหนคนเดียว”
“ทำไมค่ะไปมีเรื่องกับใคร”
“ไม่ได้มีเรื่องกับใครพี่แค่กลัวหมีบุกบ้าน”
ประโยคหลังฟังดูแผ่วๆทำให้อวิกาต้องกลั้นเสียงหัวเราะเอาไว้ท่าทางพี่ชายเธอจะเป็นโรคกลัวหมีขึ้นสมอง
“เค้าคงไม่น่ากลัวขนาดนั้นมั้งคะ”
“วางใจไม่ได้หรอกถ้าเพชรนึกหน้ายัยนั่นออกเหมือนพี่”
อาศิราเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นๆฟังแล้วอดที่จะสงสารไม่ได้แต่มันก็ไม่สามารถแก้ไขอะไรได้แล้ว
“ที่จริงเพชรก็อยากช่วยนะคะแต่ก็จนปัญญาจริงๆ”
“เย็นนี้คุณพ่อจะพาพี่ไปเจอหมีเพชรไปด้วยกันนะ”
คนพูดเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ้อนๆ
“แต่เพชรนัดเพื่อนไว้แล้ว”
“เห็นเพื่อนดีกว่าพี่พี่ไม่เคยว่าแต่ช่วงนี้อย่าเพิ่งทิ้งกันสิ”
“พี่ศิลาไม่ใช่เด็กแล้วนะคะอีกอย่างคุณพ่อก็ไปด้วยคงไม่น่ากลัวหรอก”
“คุณพ่อนี่แหละตัวชงเลย”
“แต่ว่า…”
“เพชรได้โปรดอย่าทิ้งพี่”
อวิกาจำใจต้องยอมรับคำเว้าวอนของคนในสายใช่ว่าเธอสงสารแต่เพราะทนรำคาญไม่ไหวไม่รู้ว่าพี่ชายตัวเองจะกลัวอะไรยัยหมีใส่แว่นขี้มูกหนาเตอะนักหนาว่าแต่ชื่อยาวไปมั้ยนะพี่สะใภ้ของเธอ
หญิงสาวต้องรีบหักพวงมาลัยรถเข้าฟุตบาทเมื่อจู่ๆก็มีมอเตอร์ไซค์ขี่มาตัดหน้าก่อนที่เจ้าตัวจะเปิดประตูก้าวเท้าไปดูผลงานของรถคู่กรณี
“ขับรถภาษาอะไรของคุณเนื่ย!”
เสียงโวยวายของใครบางคนทำให้อวิกาต้องเลิกสนใจรอยหน้ารถแล้ววิ่งไปดูผู้หญิงที่เปื้อนโคลนทั้งตัวโดยเฉพาะใบหน้า
“ยี้คุณทำฉันเลอะหมดเลย”
คนเปื้อนโคลนยังคงโวยวายด้วยน้ำเสียงแสบแก้วหูจนอวิกาต้องเอามือมาอุดหูเป็นช่วงๆก่อนจะเอื้อมมือไปช่วยประคองอีกคนให้ลุกขึ้น
“คุณเจ็บตรงไหนหรือเปล่า”
“เจ็บ!”
“ตรงไหน”
อวิกาไล่สำรวจตัวคนตรงหน้าอย่างละเอียดหากแต่ไม่พบบาทแผลหรือน้ำสีแดงเลยสักหยด
“ก็ไม่มีแผลนิ”
“โอ๊ย!...ไม่ต้องมีแผลก็เจ็บได้ดูตัวฉันสิขนาดนี้แล้วคุณยังจะเอาแผลอะไรอีก”
คนพูดเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงวินๆก่อนจะพยายามเช็ดโคลนที่หน้าออก อวิกามองคนเหวี่ยงก่อนจะหยิบผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋าขึ้นมาช่วยเช็ดอีกแรง
หญิงสาวยื่นหน้าเข้าไปใกล้ๆเพื่อให้อีกคนเช็ดได้สะดวกขึ้นเพราะตอนนี้มือของเธอมันเลอะมากจนไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้
“ผ้าเลอะหมดแล้ว”
อวิกามองผ้าที่เต็มไปด้วยโคลนก่อนจะมองคนตรงหน้าที่ดูเลอะมากจริงๆหญิงสาวคว้ามืออีกคนให้เดินขึ้นรถของเธอก่อนจะหันไปส่งเงินให้กับวินมอเตอร์ไซค์ที่หญิงสาวนั่งมาจำนวนหนึ่งเพราะจากที่เห็นคนขับไม่เป็นอะไรเลยมีแต่คนซ้อนนี่แหละที่ไม่รู้ว่าทำอีท่าไหนถึงเข้าไปคลุกโคลนได้ทั้งตัวแบบนี้
หญิงสาวสองคนเดินเข้ามาในห้างที่ยังไม่เปิดแต่คนที่พามาสามารถเดินเข้ามาได้อย่างสบายก่อนจะฉุดอีกคนให้เข้าไปด้วย
“คุณพาฉันมาที่นี่ทำไม”
“พาคุณมาอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้าไง”
“แต่ฉันกำลังทำห้างเค้าเลอะแล้วไหนจะรถคุณอีก”
“เอาเถอะเพชรทำให้คุณต้องเป็นแบบนี้เพราะฉะนั้นทุกอย่างเพชรจะเป็นคนรับผิดชอบเอง”
หญิงสาวทำตามอย่างว่าง่ายเพราะเธอก็ไม่ได้อยากอยู่ในสภาพนี้เช่นกันขืนให้บิดาเห็นเธอคงต้องโดนเอ็ดเพราะดันทะลึ่งซ้อนมอเตอร์ไซค์ไปทำงาน
มาธวีก้าวออกมาพร้อมชุดใหม่ที่คนพามาหาให้ดูๆไปคนข้างนอกก็มีสไตล์ดีนะที่เลือกชุดแบบนี้มาให้เธอแต่มันดูมิดชิดจนเธอหายใจแทบไม่ออก
“เสร็จแล้ว”
หญิงสาวหันไปมองรอบๆก็ไม่พบคนที่พามา
“ไปไหนแล้วนะ”
“คุณคะ”
เสียงเรียกจากด้านหลังทำให้มาธวีต้องหันกลับไปมองก่อนจะพบเข้ากับคนที่เธอไม่คุ้นหน้า
“คะ”
“ฉันเป็นเลขาของคุณอวิกาค่ะพอดีเธอต้องรีบไปประชุมเลยฝากฉันดูแลคุณต่อ”
มาธวีอารมณ์เสียเล็กน้อยถึงจะเข้าใจในข้ออ้างแต่ไม่รู้ทำไมเธอถึงรู้สึกขัดใจแบบนี้
“ไม่เป็นไรฉันไปล่ะ”
คนพูดเชิดหน้าขึ้นก่อนจะเดินออกไปช้าๆ
“เดี๋ยวค่ะ นี่นามบัตรของคุณอวิกาเธอฝากให้คุณถ้าไม่มีอะไรฉันขอตัวก่อนนะคะ”
หญิงสาวมองคนพูดครู่หนึ่งก่อนจะยกนามบัตรในมือขึ้นมาดู อวิกา เอกอมรกุล ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าโลกมันกลมมากขนาดนี้เพิ่งคุยถึงเมื่อวานวันนี้จะได้มาเจอตัวเป็นๆแบบนี้ มาธวีพลิกดูนามบัตรอีกด้านที่มีข้อความเขียนอยู่ “ฉันพร้อมจะรับผิดชอบมีอะไรโทรมาได้นะคะ”
“เธอเนื่ยนะจะรับผิดชอบฉัน ยัยแคระ!”
มาธวีเอ่ยอกมาเบาๆก่อนจะเก็บนามบัตรนั้นเข้ากระเป๋าพร้อมกับเดินออกจากห้างไปอย่างรวดเร็ว
พอใกล้เลิกงานอาศิราก็รีบมายืนดักอวิกาที่หน้าห้องทำงานทันทีเพราะเกรงว่าน้องสาวจะเบี้ยว
“มีอะไรคะ”
อวิกาเปิดประตูห้องออกมาก็เจอเข้ากับพี่ชายที่ยกเก้าอี้มานั่งขว้างทางเอาไว้
“ตามสัญญา”
คนพูดเอ่ยออกมาพร้อมกับการการคว้ามือคนตรงหน้าเอาไว้
“รู้แล้วน่าปล่อย”
“พี่ไม่ไว้ใจ”
“พี่ศิราค่ะเพชรไม่ใช่เด็กนะคะบอกว่าไปก็คือไป”
คนถูกเอ็ดทำหน้างอทันทีก่อนจะค่อยๆปล่อยมือออกช้าๆ
“ก็แค่นี้”
อวิกาเอ่ยออกมาด้วยรอยยิ้มก่อนจะเดินนำออกไปโดยมีชายหนุ่มวิ่งตามเหมือนลูกติดแม่
“เพชรพี่กลัวหมี”
นี่คือคำสั่งเสียสุดท้ายที่อาศิราได้เอ่ยเพราะตอนนี้ชายหนุ่มเอาแต่นั่งเงียบไม่ปริปากแม้แต่คำเดียวจนคนนั่งข้างๆต้องเอื้อมมือไปแตะไหล่ให้กำลังใจ
และแล้วก็ได้เวลาที่ผู้ใหญ่ของทั้งสองฝ่ายมาถึงอาศิราและอวิกายกมือไหว้พร้อมกัน ศิวัชมองคนทั้งคู่อย่างชื่นชมดูดีทั้งคนพี่คนน้องสมกับที่เขาคุยไว้กับลูกสาวจริงๆ
“เดี๋ยวยัยผึ้งตามมา อดใจอีกนินะตาศิรา”
จบประโยคทั้งคนพูดและคนข้างๆก็ต่างหัวเราะออกมาพร้อมกันแล้วก็มีอวิกาที่แอบหัวเราะออกมาน้อยๆเพราะเกรงสายตาดุที่พี่ชายส่งมาตอนนี้ทั้งโต๊ะอยู่ในโหมดสบายๆแต่คงมีอาศิราเท่านั้นที่กำลังหัวเราะไปพร้อมๆกับน้ำตา
“แล้วนี่พ่อศิราดูแลทางด้านไหนล่ะ”
ศิวัชเริ่มซักไซร้ข้อมูลของว่าที่ลูกเขยเพราะอีกไม่นานต้องเกี่ยวดองกันแล้ว
“ผมดูแลเกี่ยวกับสินค้าและบริการครับ”
“พี่ศิราเก่งมากเลยนะคะบริหารจนห้างของเรามีกำไรเพิ่มเป็นเท่าตัว”
อวิกาเอ่ยออกมาอย่างภาคภูมิใจแต่คนที่ถูกชมนี่สิถึงกับน้ำตาเล็ดเพราะสถานการณ์ในตอนนี้เขาอยากจะได้คำตำหนิมากกว่า
“ไม่จริงหรอกครับทำขาดทุนไปนักต่อนักแล้ว”
“ตาศิรานี่ถ่อมตัวจังนะ”
อาศิราถึงกับหัวเราะไม่ออกเมื่อคำพูดของเขากำลังถูกแก้โดยว่าที่พ่อตาแล้วไหนจะสีหน้าชื่นชมนั้นอีกมันช่างเปรียบเหมือนโซ่ที่มัดเขาให้แน่นขึ้นเรื่อยๆทำให้อึดอัดจนหายใจไม่ออก
“สวัสดีค่ะ”
น้ำเสียงสั่นๆของคนมาใหม่ทำให้ทั้งสี่คนที่นั่งอยู่ต้องหันไปมองพร้อมกันอย่างแปลกใจ
หญิงสาวแปลกหน้าสูดหายใจเข้าเต็มปอดก่อนจะเดินเข้ามาหาชายหนุ่มที่ดูจะทำหน้าสงสัยไม่แตกต่างจากคนในโต๊ะ
“ฉันมาทวงสิทธิ์”
ประโยคกำกวมที่เอ่ยออกมาก็ไม่สามารถคลายความสงสัยให้กับคนฟังได้
“เธอพูดเรื่องอะไรเข้ามาผิดห้องหรือเปล่า”
อาศิราเอ่ยออกมาทันทีเมื่อนึกไปถึงเรื่องมิจฉาชีพ
“ผมว่าคุณออกไปดีกว่านะก่อนที่ทางเราจะแจ้งตำรวจ”
ชายหนุ่มลุกขึ้นพร้อมกับชี้ไปยังประตู
“คุณกล้าพูดแบบนี้กับฉันเหรอ”
หญิงสาวเอ่ยออกมาเสียงดังจนคนทั้งร้านเริ่มหันมาให้ความสนใจทำให้อวิกาต้องรีบเข้ามาแทรกกลางห้ามคนทั้งคู่ก่อนจะบอกให้ทั้งสองนั่งลง
“เราน่าจะไล่ยัยนี่ไปนะดูสิหน้าตาก็ไม่ดีแล้วยังจะเป็นพวกต้มตุ้นอีก”
“พี่ศิราคะใจเย็นๆ”
อวิการ้องห้ามพี่ชายก่อนจะหันมาหาคนหน้าซีด
“คุณเป็นใครแล้วต้องการอะไรจากพวกเรา”
“ฉันชื่อแพรวรุ้งเป็น…เป็นเมียของพี่ชายคุณ!”
“อะไรนะ!”
ทั้งโต๊ะตกอยู่ในอาการเงียบหากแต่มีเพียงชายหนุ่มที่เป็นจำเลยเท่านั้นที่ตะโกนออกมาสุดเสียง
“เธอโกหกฉันไม่รู้จักเธอเราไม่รู้จักกันบ้าไปแล้วออกไป!”
ชายหนุ่มลุกขึ้นโวยวายทันทีก่อนจะจัดการลากแขนผู้หญิงหน้าด้านออกไปทิ้งนอกร้านอย่างอารมณ์เสีย
“ปล่อยฉันนะ”
“ไม่ปล่อย! ที่จริงอย่างเธอไม่น่าจะเข้ามาเหยียบที่แบบนี้ได้ออกไปแหละดีแล้ว”
“ปล่อยนะฉันเจ็บ”
ชายหนุ่มจ้องมองคนตรงหน้าแบบเหยียดๆ
“ที่จริงเธอก็น่าตาดีนะถ้าจะมาเสนอขายก็ขอแบบนุ่มนวลหน่อยแล้วก็ช่วยเลือกสถานที่ด้วย!”
คนถูกว่าสะบัดมือออกก่อนจะตบหน้าคนพูดอย่างแรงจนใบหน้าของชายหนุ่มหันไปตามแรงเหวี่ยง อาศิราหันกลับมาจ้องหน้าอีกคนอย่างเอาเรื่องก่อนจะง้างมือเพื่อเอาคืน
“พอเถอะศิรา”
น้ำเสียงนิ่งๆของกำธรดังขึ้นพร้อมกับเงินจำนวนหนึ่งที่ถูกส่งให้กับหญิงสาวนิรนาม
“หนูเอาเงินนี่ไปแล้วก็ไปซะ”
“ขอบคุณท่านมากนะคะแต่ฉันไม่ได้อยากได้เงิน”
“แล้วคุณต้องการอะไร”
อวิกาเอ่ยถามออกมาทันทีเพราะชืนปล่อยให้เรื่องราวลุกลามแบบนี้คงไม่ดีแน่
“ฉันอยากให้คุณศิรารับผิดชอบ”
อาศิราแทบจะกระโจนเข้าไปบีบคอคนพูดแต่ดีที่บิดาคว้าแขนของเขาเอาไว้ไม่อย่างนั้นเรื่องอาจจะวุ่นมากกว่านี้
“ที่จริงฉันไม่ได้จะทวงสิทธิ์ให้ตัวเองแต่กำลังเรียกร้องให้ลูก”
“ลูก!”
คนฟังเอ่ยออกมาแทบจะพร้อมกัน
“ใช่ค่ะลูกของฉันกับคุณศิรา”
พูดจบหญิงสาวก็ส่งบางอย่างให้คนที่ยืนอึ้งอยู่ตรงหน้า อาศิรารับมาดูก่อนจะหันไปจ้องหน้าอีกคนสลับกับนามบัตรไปมา
“พ่อดูหน่อย”
กำธรรับมาดูก่อนจะหันไปมองหน้าบุตรชายที่ตอนนี้ถึงกับอ้าปากค้างหน้าตาแบบนี้แหละที่บ่งบอกได้ว่าผู้หญิงคนนี้พูดจริง
“แต่ผมจะแน่ใจได้ยังไงว่า…ว่าเด็กในท้องคุณเป็นลูกผม”
ชายหนุ่มยังอดที่จะเอ่ยค้านออกมาไม่ได้เรื่องมันเร็วมากจนเขาไม่ได้ตั้งตัว ผู้หญิงคนนี้คือคนที่เขาเผลอไปมีอะไรด้วยเมื่อสองเดือนก่อนแต่ก็แค่ครั้งเดียวมันไม่น่าจะพลาดได้
“คุณเป็นคนแรกของฉันอันนี้คุณก็น่าจะสัมผัสได้”
“ผม…”
“ลูกผู้ชายกล้าทำกล้ารับแกบอกมาแค่คำเดียวพวกเราพร้อมจะเชื่อแก”
“นั่นสิพี่ศิรา”
“ผม ผมขอโทษครับพ่อ…ตอนนั้นผมเมาก็เลยทำให้เกิดเรื่องแบบนี้”
กำธรมองหน้าบุตรชายพร้อมกับถอนหายใจเรื่องราวมันบานปลายมากซะจนแก้ไขอะไรไม่ได้เมื่ออาศิราก็ยอมรับเพราะจำนนท์ต่อหลังฐานที่มีลายมือของเจ้าตัวเขียนไว้ “ถ้ามีอะไรให้ช่วยก็มาหาได้ตามนามบัตร” พอเขามาจริงๆก็จำไม่ได้มันน่าซัดซักทีสองทีจริงๆแต่ก่อนจะเคลียร์อะไรต่อกำธรก็ต้องหันมาเห็นใบหน้าของใครอีกคนที่นั่งหน้าบึ้งอยู่ที่โต๊ะงานนี้ไม่รู้จะแก้เรื่องไหนก่อนดีแล้ว…