Chapter 0 : เหตุเพราะห่วง...ดาเรนนั่งใจลอยอยู่ในรถ SUV คันงาม สองมือเกาะพวงมาลัยหลวมๆ ดวงตาสีช็อกโกแลตไม่ได้สนใจอะไรรอบด้านเท่าใดนัก แต่ไม่เป็นไรหรอก รถเธอจอดอยู่ หากแต่คงไม่เป็นไรแค่กับเธอ เมื่ออีกคนไม่เห็นด้วย
สาวสวยผมบลอนด์ก้มมองลอดกระจกรถ ดูคนด้านใน ประหลาดใจที่หล่อนไม่ยอมออกมาสักที นัดครั้งนี้เป็นนัดสำคัญนะ จะมาทำเป็นเด็กไม่ได้ แต่จะว่าไป หล่อนก็ไม่เคยเป็นแบบนี้ หรือจะมีปัญหา..
ปัญหาอะไรล่ะ ก็คุยกันรู้เรื่องแล้วนี่.. หรือฉันเข้าใจผิดล่ะ...
“ดาเรน.. จะไม่ลงมาเหรอคะ ลูกรออยู่นะ” นิโคลเตือน คนในรถทำท่าเลิกลั่ก กว่าจะก้าวลงมาจากรถได้ทำราวกับต้องอัญเชิญกัน นี่มันไม่ใช่หล่อนหรอกหรือที่บอกให้เธอมาเอง จะมาไม่มั่นใจอะไรตอนนี้..
“นิกกี้เตรียมเอกสารเรียบร้อยแล้วเหรอคะ” ลงมาจากรถ ล็อคเรียบร้อยก็ถามขึ้น คนถูกถามพยักหน้า ดวงตาสีฟ้าคล้ายจะมีคำถามกับตน นิโคลต้องรู้แน่ๆว่าเธอกำลังกังวลใจ และมันก็ดูไม่ดีเท่าไหร่นะ เป็นผู้นำครอบครัวแท้ๆ
“ดาเรนเป็นอะไรหรือเปล่าคะ” สาวช่างสงสัยถาม ที่รักของตนยิ้มแห้งๆ แค่นี้ก็รู้แล้วว่าเป็น.. “ดาเรน.. ไม่เอานะคะ” นิโคลส่ายหน้าปรามๆ พลางดึงมือสามีมาจับ แล้วพามือหล่อนไปจับมือน้อยของลูกคนหนึ่ง ดาเรนมองหน้าเธอเหมือนอยากจะถาม “รู้สึกอะไรไหมคะ” เธอกลับย้อนถามหล่อนกลับไป หล่อนนิ่งไปสักพัก จากนั้นก็ยิ้มดีขึ้นพร้อมพยักหน้า
แน่นอนสิ สัมผัสจากลูกจะทำให้คนเป็นพ่อเป็นแม่รู้สึกว่าต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อเขา อย่างน้อยที่สุด ก็อยากจะปกป้อง...
“แล้วตอนนี้พร้อมหรือยังคะ” ถามไปคราวนี้ หล่อนพยักหน้าเร็ว เข้ามากระซิบขอบคุณที่ข้างหู จูบแก้มเธอเบาๆ ไม่สนใจสายตาใครๆอีกต่อไปแล้ว ต้องแบบนี้สิ ดาเรนของฉัน..
สาวตัวสูงจูงมือลูกสาวหนึ่งและอุ้มอีกคนขึ้นพร้อมชักชวนเธอทางสายตา นิโคลพยักหน้ารับ ยิ้มมีความสุข ในที่สุดเธอก็ทำสำเร็จ ทำให้ดาเรนมั่นอกมั่นใจเหมือนเดิมได้ ที่เหลือก็คือตัวเธอเอง
ดวงตาสีฟ้าก้มลงมองตัวเอง จัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อย ชะโงกหน้ามองดูหน้าตัวเองในกระจกรถ จากนั้นก็เปิดกระเป๋าเอกสารตรวจทานของที่ต้องใช้งานนี้อีกครั้ง แว่วหูได้ยินเสียงลูกสาวร้องเรียกอยู่ไกลๆ เธอเงยหน้าขึ้น โบกมือให้เขาทั้งคู่รวมถึงดาเรนด้วย คุณแม่คนสวยรีบเดินไปหาลูกฝาแฝดและสามีที่ยืนรออยู่ เมื่อไปถึงเธอมองสบตาดาเรนอีกครั้ง พากันก้มลงมองหน้าลูกสาวทั้งสอง และพวกเธอรู้
อนาคตของพวกเขาทั้งคู่อยู่ที่การตัดสินใจของพวกเธอ...
..................................
ดวงตาสีครามมองหาบางอย่างจากตู้เก็บเอกสารตรงหน้าแต่หูยังฟังเสียงจากมือถือที่หนีบเอาไว้ และปากแดงๆของเธอยิ้ม ความจริงแค่ได้ยินเสียงหล่อนก็พอใจแล้ว ไม่ต้องเล่าอะไรให้ฟังก็ได้ แต่เรื่องที่ฟังอยู่นี้ก็น่าสนุกดีไม่เบา คลายเครียดกับเรื่องงานที่หัวกำลังหมุนอยู่
“เหรอ.. แล้วสองสาวตอนนี้อยู่ไหนล่ะ ทิ้งไว้ที่โรงเรียนเลยไหม..” ถามไปยิ้มๆ แต่คนที่ปลายสายกลับถอนหายใจเฮือก บ่นงึมงำ
‘ไม่หรอกค่ะ พากลับมาด้วยแล้ว งอแง’
คุณหมอหัวเราะ เพราะสะดุดที่คำว่า “งอแง” คิดว่าต้องเป็นเจ้าเด็กแฝดที่เป็นแบบนั้น แต่ผิดคาดเมื่อได้ฟังต่อ
‘ดาเรนไม่ยอมทิ้งลูกไว้ค่ะ เค้ากลัวลูกร้องไห้ ทั้งที่เด็กๆออกจะดีใจที่ได้เห็นโรงเรียน มีเพื่อนเยอะแยะ’
เจสสิก้านิ่งอึ้ง มือหยุดพลิกหาแฟ้มคนไข้ในตู้ไปสองนาที สักพักก็ยิ้มขำ ส่ายหน้าให้ใบหน้าของดาเรนที่ผุดขึ้นมาในสมอง “โอ้.. ตกลงที่เธอบอกว่างอแงเนี่ย.. ที่แท้คือปะป๊า.. ไม่ใช่เจ้าแฝด.?”
‘ค่ะ เค้านั่นแหละ คุณจำไม่ได้เหรอเจส ตอนเลือกโรงเรียนให้ลูก ใช้เวลานานแค่ไหน โรงเรียนไหนก็ไม่เอา’
“อื้มๆ จำได้สิ แต่เค้าก็ทำเพราะเจตนาดีไม่ใช่เหรอ โรงเรียนของลูกก็ต้องดีที่สุดอยู่แล้ว”
‘ก็ใช่ค่ะ ฉันก็รู้ว่าเค้าเลือกมากเพราะห่วงลูกมาก ก็เลยไม่อยากจะโกรธเค้า อีกอย่างฉันก็ไว้ใจเค้าค่ะ ดาเรนเป็นคนละเอียด’
คุณหมอพยักหน้าเห็นด้วยพร้อมเสียงฮัมตอบ “ฉันก็ว่างั้น.. แล้วเจอพวกผู้ปกครองคนอื่นไหม.. มีใครมองพวกเธอเป็นตัวประหลาดหรือเปล่า พวกคุณครู.?”
‘เรื่องนั้นฉันกับดาเรนไม่ได้แคร์หรอกค่ะ แล้วจริงๆเราสองคนก็เคยไปคุยกับผอ.ที่นั่นมาก่อนแล้ว พอรู้จักกันบ้าง ที่พวกฉันแคร์แค่เด็กๆ กลัวว่าพวกเค้าจะโดนเพื่อนล้อ เหตุผลสำคัญที่ดาเรนไม่ยอมปล่อยให้ลูกอยู่โรงเรียนวันนี้แหละค่ะ’
คุณแม่ยังสาวเล่าเป็นฉากๆ คนฟังฮัมเข้าใจตลอดเรื่องและพลอยเป็นกังวลไปด้วย รักเด็กสองคนนั้นมากนี่นา “มันก็น่าคิดอยู่นะ แต่ถ้าเราเลือกโรงเรียนดีแล้ว มีครูพี่เลี้ยงคอยดูแลใส่ใจ ปัญหาก็จะน้อยลง ที่เหลือก็แค่พวกเธอต้องคอยอธิบายให้เด็กๆเข้าใจ พยายามถามไถ่ ใกล้ชิดลูก ชวนพวกเค้าคุยเรื่องโรงเรียน เรื่องเพื่อน เข้าใจไหมนิกกี้”
‘เข้าใจค่ะ ฉันจะพยายาม’
เจสสิก้ายิ้มพอใจ น้องสาวคนนี้ถึงจะดื้อไปบ้างไม่ค่อยยอมใคร ถือความคิดตนเป็นใหญ่ แต่พอมาถึงเรื่องลูก หล่อนรับฟังเธอเสมอ
“เธอกับดาเรนเป็นพ่อแม่ที่ดีนะ ฉันเชื่อ” คุณหมอกระซิบ คนที่ปลายสายหัวเราะเบาๆ และมันเจอความกังวลใจให้เธอรู้สึกได้ หล่อนยังกลัว แน่ล่ะ ไม่งั้นคงไม่โทรมาปรึกษาหรอก ออกจะเป็นคนมั่นใจ..
‘ขอบคุณค่ะที่ชม แต่ฉันหวังให้เด็กๆคิดแบบนั้นนะคะ’
“นิกกี้ฟังนะ อมีเลียกับแอนเดรียรักเธอ รักดาเรน.. ไม่ต้องห่วง” เธอยืนยันหนักแน่น และจินตนาการได้เลยว่า นิโคลทำหน้ายังไงอยู่ สงสัยน้ำตาคลอแต่หล่อนจะไม่พูดหรอก ผู้หญิงแบบนั้น...
“นิกกี้.. อย่าคิดมากนะ” เธอบอกย้ำ หล่อนฮัมรับรู้ จากนั้นก็บอกลาวางหูไป ทิ้งท้ายด้วยการชวนเธอไปบ้านเหมือนเดิม และแน่นอนเธอตอบตกลง อยากไปคุยกับดาเรนเหมือนกัน รายนั้นบางทีก็พูดยากกว่า ความคิดซับซ้อน ปากก็ไม่ค่อยจะพูดอีก บางทีก็เหมือนคนเก็บกด ชอบเก็บอะไรไว้คนเดียว น่าห่วงกว่าเยอะ
เฮ้อ... แต่ฉันจะห่วงอะไรพวกเธอนักหนานะ โตๆกันหมดแล้วแท้ๆ ห่วงตัวเองดีกว่ามั้ยล่ะฉัน งานเต็มโต๊ะไปหมด...
บ่นตัวเองไปพลางดึงแฟ้มงานออกมา ร่างสูงพางานไปทำที่โต๊ะต่อ ตั้งใจจะทำมันให้เสร็จก่อนไปรับแฟนไปทานมื้อเที่ยง ไม่อยากให้ยัยตัวเล็กต้องโมโหหิวใส่ หากแต่ก้มหน้าทำงานไปสักพัก ดวงตาสีครามก็เหลือบขึ้นมามองปฏิทินตั้งโต๊ะตรงหน้า และเห็นไฮไลท์สีแดง ตาโตทันที..
“พระเจ้า พรุ่งนี้ต้องพายัยตัวเล็กไปเลือกชุดแต่งงาน โชคดีที่เห็นก่อนนะ ไม่งั้น....” เจสสิก้ากลืนน้ำลายเอื๊อกเมื่อนึกถึงหน้าแฟนสาวตอนโกรธ เพนนีไม่ใช่คนพูดมากก็จริง แต่เวลาโกรธทีก็น่ากลัว กลัวโดนตบหน้าแหก
นึกถึงได้ไม่กี่นาที มือถือของเธอก็ดัง และไอดีที่ขึ้นมาก็อย่างที่รู้...
Speak of the devil….
“ไงจ๊ะที่รัก” คุณหมอรับสายเสียงหวาน หากแต่เสียงคำรามแปลกๆที่เข้าหูพาให้หัวใจกระตุก เริ่มรู้สึกว่า อาจทำอะไรผิดสักอย่าง อาการแบบนี้คงไม่ใช่โมโหหิวอย่างที่คิดแน่ คิดแบบนี้เลยเหลือบตาไปมองปฏิทินอีกครั้งและนั่งนับวันในสมอง
พระเจ้า.. จำวันผิด!
วันนี้ฉันต้องพาหล่อนไปเลือกชุด! ตายแน่แล้วเจสเอ๋ย..
“เพนนีคือว่า---”
'ย้ายก้นคุณมาจากที่ทำงานเดี๋ยวนี้นะเจส ไม่งั้นก็ไม่ต้องมาเลย! ไม่ต้องมาให้เห็นหน้าอีกด้วย!'
คนที่ปลายสายตวาดเสียงดังและวางหูฉับ คนถือหูฟังอย่างเธอได้แต่ตาค้าง แต่ไม่นานก็ดีดตัวเองออกจากเก้าอี้ รีบรวบเก็บของใช้ที่จำเป็นใส่กระเป๋าสะพาย ร่างสูงแทบจะวิ่งออกมาจากห้องทำงาน แต่ประสบการณ์สอนว่า อย่าวิ่งเหมือนเด็กที่นี่ คราวนี้อาจจะไม่ใช่แค่ข้อมือร้าวเหมือนคราวนั้น เดี๋ยวจะพาลไม่ต้องแต่งมันแล้ว งานแต่งอาจกลายเป็นงานศพ กระนั้นเธอก็ต้องรีบจ้ำอ้าวมากดลิฟท์ ในใจก็คิดภาวนา มาช้าก็ดีกว่าไม่มานะเพนนี.. อย่าเพิ่งทิ้งฉันไป...
................................................
“แล้วตกลงโอเคป่ะ” ดาเรนถามอารมณ์ดี พลางก้มลงป้อนชิ้นเนื้อกุ้งนึ่งสุกใส่ปากเด็กน้อยที่อ้าปากรอราวลูกนก ป้อนคนหนึ่งแล้วอีกคนกลับไม่ให้ป้อน มือเล็กยื่นมาขอของไปถือเอง คราวนี้เลยต้องหันไปคว้าส้อมพลาสติกมาให้เขาถือ ลูกสองคน ความต้องการแตกต่างกัน ฝาแฝดคนละฝาก็แบบนี้แหละ แต่เธอก็ชินแล้ว อยู่กันมาสามปีแล้วนี่นา
พูดถึงอายุพวกเขาแล้ว เริ่มเศร้าอีกแล้วสิ อีกไม่กี่วันต้องไปโรงเรียนแล้ว จะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้ ห่วงจัง... จะอยู่จะกินยังไง.. คุณครูจะเข้าใจพวกเขาไหม.?
“ก็ไม่มีอะไร โชคดีที่กรุงเบิร์นรถไม่ติดมากเหมือนไทม์สแควร์ แล้วรถฉันก็เร็วพอ จอดเทียบท่าหน้าบริษัทเธอทันเวลาเป๊ะ” เจสสิก้าเล่า ขยิบตาวิ้งๆ ตอนนี้อารมณ์ดีต่างจากตอนนั้นที่เกือบจะเอาชีวิตไม่รอด เสี่ยงโดนหัวปิงปองจับโทษฐานขับรถเร็วกว่ากำหนด เสี่ยงโดนตบหน้าแหกหากไปรับแฟนไปเลือกชุดแต่งงานไม่ทัน แต่มันก็ผ่านไปแล้ว และนาทีนี้ ก็อย่างที่เห็น.. ฉันมีความสุข...
ในที่สุดก็ไปเลือกชุดแต่งงานเรียบร้อย ได้มารื่นเริงที่บ้านแมคคอลลี่อีกครั้ง กินอาหารฝีมือเชฟใหญ่ลูกแฝดที่สุดจะสวย ดื่มคอกเทลรสเยี่ยมฝีมือบาร์เทนดี้ส่วนตัว เม้าท์มันส์กับสถาปนิกใหญ่ วิ่งเล่นกับเด็กแฝดสุดที่รัก จะหาสุขใดได้มากกว่านี้ที่ไหนกันหนอ...
“เหรอ.. ถือว่าโชคดีเลยนะ ของเธอและของฉันด้วย” ปะป๊าคนสวยหัวเราะ อีกสาวทำหน้างง “งงอะไรละ ง่ายๆเลยนะ ก็เพราะฉันไม่ต้องเห็นนิกกี้มานั่งแปะพลาสเตอร์ยาให้เธอน่ะหมอ ทีหลังก็หัดดูปฏิทินบ้างอะไรบ้างนะ จะได้ไม่ต้องอาศัยโชคช่วยแบบนี้” แซวไปแล้วคนฟังก็ทำหน้ามุ่ยงอนเหมือนเด็ก ดาเรนได้แต่ส่ายหน้าขำและหันไปสนใจลูกสาวสองคนที่ปากเคี้ยวอาหารตุ้ยๆ มือน้อยๆขีดเขียนบางอย่างเล่นในสมุดระบายสีที่เธอซื้อให้ รอยยิ้มหายไปจากปากเธอกะทันหัน เธอไม่ทันได้สังเกตตัวเองแต่คนข้างๆสังเกตมัน
“เฮ้.. พวกเค้าแค่จะไปโรงเรียนใกล้แค่นี้เอง ใกล้ที่ทำงานเธอนะ” เจสสิก้าปลอบอย่างรู้ทัน คนหน้าซึมก็หันมามองหน้า อารมณ์เปลี่ยนอย่างชัดเจน หล่อนก้มลงจูบศีรษะลูกทีละคน ท่าทางหวงจัดน่าดู อาการหนักกว่านิกกี้ซะอีกแฮะ
“ดาเรน.. ไม่เอาน่า..” คุณหมอพยายาม เลยพบดวงตาสีช็อคโกแลตหันมาสบตา แววตาหล่อนน่าสงสารจริงๆ สองมือเธอจึงทิ้งทั้งอาหารและเครื่องดื่มลงกับโต๊ะ เลิกสนใจมันก่อน เห็นทีจะปล่อยไว้ไม่ได้ มือขาวเอื้อมไปจับบ่าหล่อนเบาๆ พยายามยิ้ม “โรงเรียนนะ ไม่ใช่ที่กักขังเด็ก ช่วงแรกเค้าก็เรียนแค่บ่ายสองเท่านั้น แล้วเธอก็ไปรับเค้ามาอยู่ด้วยได้แล้ว”
“ฉันรู้เจส.. ฉันเข้าใจ.. แต่ฉันห่วง พวกเค้ายังทำอะไรไม่ค่อยเป็น” ดาเรนเถียงเสียงเศร้า หันไปมองลูกสาววัยซนที่กำลังคุยอะไรกันสักอย่าง และเธอก็เริ่มรู้สึกว่า ตัวเองน่าจะคิดมากไปที่กลัวลูกจะเหงา พวกเขาไม่ได้อยู่คนเดียว ฝาแฝดจะอยู่ด้วยกัน แต่มันก็....
“ก็เพราะเธอไม่ค่อยปล่อยให้เค้าทำอะไรเองบ้างเลยนี่ เธอรู้มั้ยว่า นิกกี้เลี้ยงลูกยังไง เด็กๆบอกขอไปเข้าห้องน้ำเป็นแล้ว กินอะไรเองได้ และพวกเค้าก็สามขวบแล้ว ไม่ใช่เด็กแบเบาะ เธอคิดดูใหม่”
“แต่...” ใจอยากจะเถียงคุณหมออีกรอบแต่สมองเธอบอกว่าไม่มีประโยชน์ และเธอก็ถูกย้ำความคิดนี้ด้วยการหันไปเห็นอมีเลียกับแอนเดรียหยิบของกินป้อนกันเอง พวกเขาหัวเราะคิกคัก ดูมีความสุข สองคนก้มเขียนสีลงสมุด ผลัดกันให้ดูของตัวเอง เด็กสองคนคุยอะไรกันอีกไม่รู้ คงเป็นภาษาของเด็กเล็กๆที่บางทีเธอก็ไม่เข้าใจ แต่ที่เห็นไม่มีอะไรน่าห่วง สรุปแล้วเธอแค่คิดมาก แต่เพราะเธอรักพวกเขา
“ลูกสาวสองคนของเธอเก่ง..ดาเรน” เจสสิก้าบอกยิ้มจริงใจ ตบบ่าคนคิดมากเบาๆ คุณหมอสาวเดินจากไป ไปนั่งลงเล่นกับเด็กแฝดในขณะที่อีกคนยืนมองอย่างเข้าใจอะไรๆมากขึ้น และดาเรนก็รู้สึกเหมือนว่าตัวเองกำลังโดนใครสักคนมองอยู่ไกลๆ เธอมองไปยังจุดนั้น ดวงตาสีฟ้าของนิโคลมองเธออย่างมีความหมาย และเธอรู้ว่าควรทำอะไร เธอยิ้มและพยักหน้าให้หล่อน สาวบลอนด์เดินจากจุดนั้นเข้ามาโผกอดเธอแน่น เสียงหล่อนกระซิบดีใจ
“ขอบคุณค่ะดาเรน ขอบคุณที่ไว้ใจเด็กๆของเรา”
...................................
ภาคสามแล้ว... มาไวไปหรือเปล่าคะ ก็เห็นมีคนบอกว่าคิดถึงเด็กแฝดนี่นา ฮ่าๆๆ
แต่ถ้าใครยังไม่มีสองภาคที่แล้ว นี่เลยค่ะ ร้านนี้อีก อิอิ
http://leslybooks.lnwshop.com/แล้วเจอกันใหม่นะคะ
ขอบคุณที่ยังรักสาวน้อยทั้งสองและสาวๆเรื่องนี้อยู่ :d16c4689: