[/img]Dream ฝันค้างบนทางรัก Yuri
บทที่ ๓ : อุบัติเหตุรัก
หลังจากวันที่พบหน้านงนภัสแล้ว ในหัวใจของเธอก็มีแต่ภาพรุ่นพี่คนนี้และเธอไม่ได้ฝันเห็นคนรักในฝันของเธออีกเลย จะเป็นไปได้ไหมว่านงนภัสกับนางในฝันของเธอจะเป็นคนๆเดียวกัน สวรรค์ที่เธอคิดว่าช่างใจร้ายจะเห็นใจเธอที่ต้องทุกข์ทรมานเลยส่งนางในฝันให้มาจุติบนโลกมนุษย์หรือเปล่านะ หรือสวรรค์ต้องการแค่เพียงสั่งสอนให้เธอรู้ว่าความรักไม่ได้จำกัดอยู่แค่หญิงกับชายเท่านั้น ผู้หญิงกับผู้หญิง ผู้ชายกับผู้ชายก็สามารถรักกันได้ เพราะความรักนั้นไม่อาจจำกัดเพศได้ หรือ......ฯลฯ
เธอคิดไปต่างๆนานาด้วยความกังวลทำให้เธอนอนไม่หลับ และเพิ่งจะผล็อยหลับไปในตอนค่อนรุ่งนั่นเอง ตื่นมาอีกทีเมื่อมีเสียงโทรศัพท์โทรเข้ามาหาเธอ เนื่องเช้าวันนี้เป็นวันแรกที่ฐิติณัชชาได้เข้าเรียนในระดับมหาวิทยาลัย เธองัวเงียหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูเป็นเบอร์โทรศัพท์ของเมธาวีนั่นเอง
“สงสัยยัยเมย์จะโทรมาตามให้ไปเรียน” เธอคิดในใจ และเธอมองเวลาที่หัวเตียงพบว่า เพิ่งจะ ๗ โมง ๒๐ นาที เช้าวันนี้เธอมีเรียนแปดโมงครึ่ง ทำไมเมธาวีโทรมาตามแต่เช้า เธอคิดว่าจะตื่นสักแปดโมง มีอาบน้ำแต่งตัวถมเถไป แต่เธอก็รับโทรศัพท์เพื่อน
“ฟาง แกอยู่ไหนเนี่ย ทำไมยังไม่มาเรียนสายมากแล้วนะ” เมธาวีพูดขึ้นทันทีที่ฐิติณัชชารับสายแล้ว
“ฉันอยู่บ้าน ยังนอนไม่ตื่นเลย ทำไมแกรีบไปเร็วจัง วันนี้เรามีเรียนแปดโมงครึ่งไม่ใช่เหรอ ตื่นเต้นล่ะสิ เรียนวันแรก” ฐิติณัชชานอนหลับตาคุยกับเพื่อนด้วยน้ำเสียงงัวเงียสุดๆ เพราะเธอยังอยากนอนต่อ
“ตื่นเต้นอะไรล่ะฟาง วันนี้รุ่นพี่นัดพบตอน เจ็ดโมงครึ่ง เพื่อจะได้มีเวลารับน้อง หนึ่งชั่วโมงก่อนเข้าเรียน แกจำไม่ได้เหรอ”
“อะไรนะ ! รุ่นพี่นัดรับน้องเจ็ดโมงครึ่ง ตายแล้ว ! ฉันลืมไปเลย กี่โมงแล้วเนี่ย ว้าย ! ๗ โมง ๒๒ แล้วไม่ทันแล้วๆ ทำไงดี” ฐิติณัชชาตาสว่างทันที ที่ฟังคำพูดของเมธาวีจบ เธอลืมสนิทวันนี้รุ่นพี่นัดรับน้องตอนเจ็ดโมงครึ่ง
“รีบๆไปอาบน้ำเลย บ้านแกอยู่ไม่ไกลเท่าไหร่ น่าจะทัน”
“เออๆ ฉันไปอาบน้ำแล้วนะเมย์”
หลังจากนั้นฐิติณัชชารีบอาบน้ำแต่งตัวและลงไปข้างล่างพบบิดากำลังอ่านหนังสือพิมพ์รอเธออยู่แล้ว จึงเดินเข้าไปหาและบอกบิดาให้พาไปมหาลัยทันที ระหว่างนั่งรถเธอเร่งบิดให้ขับเร็วๆ จนบิดาหันมาถามเพราะเมื่อคืนเธอบอกว่าบิดาว่ามีเรียนสาย เธอตอบบิดาออกไปนายอรรณพจึงขับรถให้เร็วขึ้นกว่าเดิม แต่ก็ยังช้ามากในความรู้สึกของบุตรสาว
เมื่อมาถึงมหาวิทยาลัยแล้ว ฐิติณัชชาบอกลาบิดาก่อนลงจากรถและรีบวิ่งเข้าคณะเพื่อตรงไปบริเวณใต้ต้นไม้หน้าห้องภาคของสาขาที่เธอเรียนซึ่งเป็นจุดนัดหมาย
เช่นเดียวกับนงนภัสที่กำลังรีบวิ่งมาจากตัวตึกคณะอีกด้านหนึ่ง เพราะเธอไม่รู้ว่ามีการนัดรุ่นน้องไว้เพราะวันนั้นรับลงชื่อน้องเสร็จเธอก็รีบกลับหอพักไม่ได้อยู่ร่วมประชุม เพราะแบ่งหน้าที่กันเรียบร้อยแล้วว่าใครทำหน้าที่อะไร เมื่อมาถีงมหาลัยจึงรีบไปห้องสมุดของมหาวิทยาลัยเหมือนทุกครั้งที่เธอมาเช้ากว่าปรกติ จนเพื่อนๆโทรมาบอกว่ามีการรับน้องและสอบถามถึงชีสเพลงเกี่ยวกับการรับน้องที่ฝากให้เธอทำวันก่อน โชคดีที่เธอเตรียมมาด้วยจึงบอกเพื่อนว่าจะรีบไปตอนนี้กำลังถ่ายเอกสารอยู่ เพราะไม่อยากให้เพื่อนต่อว่าเธอ ทั้งๆที่เธอทำเสร็จตั้งแต่เมื่อวาน เธอจึงออกจากห้องสมุดมาด้วยความเร่งรีบเพราะไม่อยากให้รุ่นน้องมองว่า เป็นคนนัดน้องแล้วมาสายเสียเอง
ประจวบเหมาะกับที่ทั้งคู่เดินมาถึงสามแยกที่จะเลี้ยวไปที่ต้นไม้หน้าคณะด้วยความเร่งรีบจึงไม่ได้ระวังจึงทำให้ชนกันโครมจนล้มลง เอกสาร สมุดและหนังสือหล่นกระจาย นักศึกษาบริเวณนั้นมาช่วยพยุงพวกเธอให้ลุกขึ้นยืนและช่วยเก็บเอกสาร และสิ่งของอื่นๆที่หล่นอยู่บนพื้นมาส่งให้ฐิติณัชชา พวกเธอขอบคุณพวกเขาก่อนที่จะรับเอกสารและหนังสือที่พวกเขาเก็บให้นั้นมา และหันมาขอโทษกันและกัน
“ขอโทษนะคะ พอดีรีบไปหน่อย เจ็บตรงไหนหรือเปล่าคะ อ้าว! พี่” ฐิติณัชชาประหลาดใจเมื่อคนที่เธอวิ่งชนเป็นรุ่นพี่คนนั้นที่เธอคะนึงหา
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันต้องขอโทษเหมือนกันที่ไม่ระวัง อ้าว ! น้องฟาง บังเอิญจังเลยนะ พี่ชื่อฟ้าอยู่ปี ๒ คณะแพทย์ศาสตร์ค่ะ น้องเป็นอะไรไหม มาค่ะหนังสือและเอกสารของพี่เดี๋ยวพี่ถือเอง” นงนภัสต้องประหลาดใจเพราะเคยเจอคนที่ชนเธอมาก่อนในวันปฐมนิเทศ
“ฟางไม่เป็นไรหรอกค่ะพี่ฟ้า เอ๋! พี่เป็นรุ่นพี่คณะเดียวกับฟางเหรอคะ บังเอิญจังเลยนะคะ แล้วพี่เป็นอะไรหรือเปล่าคะ เจ็บตรงไหนไหม เอ่อ...นี่ค่ะหนังสือของพี่” ฐิติณัชชาเองยิ่งประหลาดใจเมื่อรุ่นพี่คนนั้นเป็นรุ่นพี่คณะเดียวกันกับเธอ เธอยื่นหนังสือให้นงนภัสและจ้องมองใบหน้างามนั้นอย่างไม่วางตาด้วยความรู้สึกรักและหลงใหลยิ่งนัก
“เจ็บข้อมือนิดหน่อยค่ะ ไม่เป็นอะไรมากหรอกจ๊ะ” นงนภัสรู้สึกเจ็บข้อมือเมื่อยื่นมือออกไปรับเอกสารและสมุดหนังสือเรียนจากฐิติณัชชา
“ขอดูหน่อยนะคะ วู้! ไม่นิดหน่อยแล้วล่ะคะ บวมเป่งแบบนี้ รอสักครู่นะคะ พอดีฟางมียาแก้ปวดบวมอยู่พอดีเลย นี่ไง... เจอแล้ว รับไปสิคะพี่ฟ้าฟางให้” เมื่อรู้ว่านงนภัสเจ็บข้อมือฐิติณัชชาจึงเอายาทาบรรเทาอาการปวดบวมที่มีติดกระเป๋ายื่นให้นงนภัส
“ขอบใจจ๊ะ อืม....พี่ว่าเรารีบไปที่คณะดีกว่านะจ๊ะป่านนี้ เขาคงเริ่มทำกิจกรรมรับน้องกันแล้ว”
“ว้าย ! ตายแล้ว แค่วันแรกฟางก็มาสายซะแล้วโดนรุ่นพี่ทำโทษแน่เลยค่ะ”
“ก็รีบๆสิคะ เดี๋ยวไม่ทัน”
“ค่ะ ส่งเอกสารและหนังสือของพี่มาสิคะ เดี๋ยวฟางช่วยถือ เจ็บข้อมือแบบนี้คงถือลำบาก”
“เอ่อ...จะดีหรือคะ ของแค่นี้เองไม่ลำบากหรอกค่ะ”
“ดีสิคะ ไม่ต้องเกรงใจหรอกคะ มือยิ่งบวมอยู่ๆ ถือของซะหนักแบบนี้ มือบวมเป็นสองเท่าอย่าหาว่าฟางไม่เตือนนะคะ”
“จริงเหรอคะ งั้นช่วยหน่อยนะ ขอบใจจ๊ะ พี่เองก็เกรงจั๊ย เกรงใจ”
นงนภัสยื่นเอกสารและหนังสือเรียนให้ฐิติณัชชาช่วยถือ หลังจากนั้นทั้งคู่จึงเดินไปยังจุดนัดหมายด้วยกัน ซึ่งสร้างความประหลาดใจให้รุ่นพี่รุ่นน้องที่กำลังดำเนินกิจกรรมอยู่เป็นอย่างมาก เพราะวันปฐมนิเทศนงนภัสไม่ได้อยู่ร่วมด้วยแล้วทั้งคู่ไปรู้จักกันตอนไหน จากการที่ฐิติณัชชามาสายทำให้เกือบต้องโดนรุ่นพี่ทำโทษ แต่นงนภัสแก้ต่างให้ว่า เธอรู้จักน้องในวันปฐมนิเทศที่เธอรับลงชื่อน้องปีหนึ่ง เมื่อเช้าเจอกันหน้าห้องสมุดจึงให้น้องอยู่ช่วยทำชีสและช่วยถือชีสมา รุ่นพี่จึงไม่ทำโทษแต่ให้ฐิติณัชชาช่วยแจกเอกสารเพื่อนๆ ก่อนให้ไปนั่งรวมกับเพื่อนๆ ซึ่งเธอไปนั่งข้างเมธาวีซึ่งเว้นที่ว่างเผื่อเธอไว้แล้ว หลังจากนั้นรุ่นพี่จึงฝึกให้น้องๆ ร้องเพลงประจำคณะและเพลงมาร์ชของมหาวิทยาลัย ก่อนที่จะแยกย้ายกันเมื่อถึงเวลาเรียน
....................................................................................
หลังเลิกเรียนเมธาวีชวนฐิติณัชชาไปเล่นที่หอพักและสอบถามเรื่องราวที่เกิดขึ้นฐิติณัชชาเล่าความจริงให้ฟัง เมธาวีจึงบอกว่าพี่คนนี้เป็นคนดีที่ช่วยปกป้องรุ่นน้องและอยากได้ พี่คนนี้เป็นพี่รหัสพร้อมกับทำท่าฝันหวานชื่นชมรุ่นพี่คนนี้ไปด้วย ซึ่งฐิติณัชชารู้สึกชื่นชมและหลงรักนงนภัสอยู่ไม่น้อย เพราะเธอปักใจเชื่อว่านงนภัสกับคนรักในฝันของเธอเป็นคนๆเดียวกันตั้งแต่วันที่ได้พบนงนภัสครั้งแรกและเธอก็อยากให้นงนภัสเป็นพี่รหัสเธอเช่นกันแต่ไม่กล้าพูดมันออกไปเพราะเห็นว่า เมธาวีชื่นชมนงนภัสอยู่ เธอไม่อยากขัดใจเพื่อน จึงได้แต่โทรศัพท์ปรึกษาณัฏฐรินีย์เมื่อกลับถึงบ้านแล้ว
ทางด้านนงนภัสหลังเลิกเรียนจึงให้เพื่อนไปส่งที่หอพัก เพราะวันนี้เกศราเพื่อนสนิทของเธอมีเรียนเฉพาะตอนเช้าจึงกลับหอพักไปก่อน เมื่อไปหอพักนงนภัสรู้สึกเจ็บข้อมือมากจึงใช้มือข้างนั้นไขกุญแจไม่ได้เพราะมันปวมเป่งทีเดียว แม้ว่าเธอพยายามใช้มืออีกข้างไขกุญแจแต่ก็ไม่สำเร็จเพราะไม่ใช่ข้างที่เธอถนัด เธอจึงตะโกนเรียกให้เกศราให้มาเปิดประตูให้
“เกด! มาเปิดประตูให้ฉันหน่อย เกดๆๆๆๆๆ”
“เปิดแล้วๆ จะตะโกนทำไมเนี่ย ! แล้ววันนี้แกเป็นอะไรยัยฟ้าทุกทีก็ไขกุญแจเข้ามาได้เองนี่ เอ๊ะ! นั่นมือแกไปโดนอะไรมาบวมเป่งเลย” เสียงเรียกของนงนภัสทำให้เกศราที่กำลังตากผ้าอยู่หลังห้องเดินมาเปิดประตูให้ด้วยความแปลกใจเพราะทุกครั้งนงนภัสจะไขกุญแจเข้ามาเอง เธอเตรียมจะบ่นชุดใหญ่แต่เมื่อมองไปเห็นข้อมือบวมเป่งของเพื่อนสาวเธอก็รีบพาเข้ามาในห้องแล้วสอบถามว่าเกิดอะไรขึ้น
“พอดีเกิดอุบัติเหตุนิดหน่อยนะแกไม่มีอะไรมากหรอก แล้วนี่แกทานอะไรหรือยัง” เมื่อนงนภัสเข้าไปในห้องแล้ง เธอตอบคำถามเพื่อนแบบเลี่ยงๆ ทำเป็นถามคำถามอื่นเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของเกศรา
“ไม่ต้องเปลี่ยนเรื่องเลยยัยฟ้า อุบัติเหตุอะไรล่ะ อย่าบอกนะว่าวันนี้แกเจอน้องฟางที่คณะแล้วน้องเค้ากระโดดมาจูจุ๊บแก แกเขินเลยตบน้องเค้าซะจนข้อมือบวม ใช่ไหมๆ” เกศราถามเพื่อนอย่างไม่ลดละเพราะเธอทราบว่าฐิติณัชชาเรียนคณะเดียวกันยังไงวันนี้ย่อมได้เจอกันอีกอย่างแน่นอน
“บ้า ! คิดอะไรอุตริไปทั่วเลยนะแก คือ วันนี้ฉัน..........” นงนภัสจึงเล่าสาเหตุที่ข้อมือบวมให้เกศราฟัง
“อืม แกรออยู่นี่แหละ เดี๋ยวฉันจะออกไปซื้อยามาให้ เอาขนมเอาอะไรเพิ่มไหม” หลังจากทราบเรื่องราวแล้ว เกศราจึงอาสาจะไปซื้อยาให้เพื่อน แต่นงนภัสเรียกเอาไว้ก่อน
“ไม่ต้องเกด ไม่ต้อง พอดีน้องเค้าให้ยามาแล้ว นี่ไง ! ” นงนภัสบอกว่าฐิติณัชชาได้ให้ยามาแล้วพร้อมกับยื่นกล่องยาให้เกศราดู
“ว้าว! ยัยฟ้านี่มันอุบัติเหตุรักชัดๆเลย ว้าวๆ พี่ฟ้าน้องฟางเป็นคนรักกันๆ ว้าวๆ” เกศราร้องแซวเพื่อน ยิ่งเห็นเพื่อนไม่โกรธก็ยิ่งแซวเข้าไปใหญ่
นงนภัสได้แต่ก้มหน้านิ่ง แก้มใสเริ่มมีสีแดงมาแต้มและแดงจัดขึ้นด้วยความขวยเขินโดยไม่ได้โต้เถียงเพื่อนว่าเป็นเพียงเรื่องบังเอิญเหมือนครั้งนั้น เพราะตั้งแต่วันที่พบเจอฐิติณัชชา เธอมีความรู้สึกผูกพันอย่างประหลาดเหมือนกับว่าเธอเคยสนิทสนมกันมาก่อน ทั้งๆที่การพบกันหนนี้เป็นเพียงครั้งที่สองเท่านั้น
คืนนั้นนงนภัสได้หลับฝันไป ในความฝันของเธอนั้นเธอได้ใส่ชุดไทยโบราณและเป็นพระธิดาของเจ้าเมืองแห่งหนึ่ง วันหนึ่งในขณะที่กำลังชมดอกไม้ในสวนอยู่นั่นเอง เธอสังเกตว่ามีใครแอบซุ่มมองเธออยู่ตรงพุ่มไม้ เธอจึงบอกให้เขาออกมา ไม่อย่างนั้นเธอจะบอกให้ทหารของพระบิดามาจับ ใครคนนั้นจึงค่อยๆ เดินออกมาและมานั่งก้มหน้าอยู่ตรงหน้าเธอ เธอรู้สึกโล่งใจที่ใครคนนั้นเป็นสตรีเช่นเดียวกันกับเธอจึงบอกเจ้าหล่อนไม่ต้องกลัวและสั่งให้เงยหน้าขึ้น และเมื่อพบใบหน้านั้นเธอเองกเรียกชื่อและตกใจตื่นขึ้นมา
“น้องฟาง !” เธอตะโกนออกมาสุดเสียงก่อนที่จะรู้สึกตัวว่าฝันไป
“เป็นอะไรยัยฟ้า ตะโกนเรียกชื่อน้องเค้าซะลั่นเลยฝันอะไร อย่าบอกนะว่าแกฝันว่าแกกับน้องเค้าชิ้งกุ่งกันนะ” เสียงตะโกนของนงนภัสทำให้เกศราตกใจตื่นขึ้นมาและแกล้งถามออกไป
“บ้า ทะลึ่งแล้วเกด ฉันบอกแกแล้วไง ว่าฉันไม่ได้เป็นเลสเหมือนแก และน้องเค้าก็ไม่ใช่เลส จะได้ชิ้งกุ่งกัน ฉันก็แค่.....” นงนภัสปฏิเสธออกไปก่อนที่จะเล่าความฝันให้เพื่อนฟัง
“อืม....แค่นี้เอง ร้องซะตกอกตกใจหมด ไอ้เราก็นึกว่ามันมีอะไรมากกว่านี้ซะอีก ว่าแต่มันแค่นี้จริงอ่ะ” เกศราแกล้งถามด้วยเสียงสั่นเพราะอยากรู้ว่านงนภัสชอบฐิติณัชชาหรือเปล่า เพราะถ้าใช่จะได้ชักชวนมารวมหุ้นก่อตั้งบริษัทฉิ่งฉับทัวร์ซะให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย
“ก็แค่นั้นน่ะสิ มันไม่ใช่อย่างที่แกคิดหรอกเกด นอนได้แล้วดึกแล้ว พรุ่งนี้มีเรียนเช้า” นงนภัสพูดแล้วล้มตัวนอนหลับตาพริ้ม
“มันแค่นี้จริงๆเหรอ...ฉันไม่อยากจะเชื่อเลย...” เกศราชะโงกหน้าไปถามนงนภัสซึ่งนอนหลับตาพริ้มอยู่
“ยัยเกด!” นงนภัสตวาดขึ้นมาเมื่อเพื่อนยังคงเซ้าซี้ถามไม่หยุดปาก
“โอ๊ย ! หูจะแตก ฉันนอนแล้วก็ได้ ฉันก็แค่อยากรู้ทำไมต้องโกรธด้วย” เกศราพูดก่อนเอนตัวลงนอนและนอนลงหันหน้าไปทางอื่น นงนภัสลืมตาขึ้นในความมืดอย่างคิดไม่ตก ทำไมเธอถึงฝันแบบนี้ได้นะ หรือเธอจะแอบชอบฐิติณัชชาจริงๆอย่างที่เกศราพูด เธอเองก็ไม่รู้ว่าสิ่งนี้เรียกว่าอะไร เธอรู้แค่ว่าตัวเองรู้สึกเขิน อายหน้าแดง และมีความสุขเมื่อเห็นหน้าฐิติณัชชา ซึ่งเธอไม่เคยรู้สึกแบบนี้กับใคร ไม่ว่าผู้หญิงหรือผู้ชาย เฮ้อ...มันช่างหนักหัวใจคนไม่เคยมีความรักอย่างนงนภัสเสียเหลือเกิน
....................................................................................