web stats

ข่าว

+-User

Welcome, Guest.
Please login or register.
 
 
 
Forgot your password?
ปัญหาการสมัครสมาชิก
วิธีเปลี่ยนสถานะเป็นนักเขียน
วิธีลงนิยาย
วิธีใช้งานบอร์ด

+-สถิติการใช้งาน

Members
Total Members: 880
Latest: Levitra5a
New This Month: 0
New This Week: 0
New Today: 0
Stats
Total Posts: 1553
Total Topics: 886
Most Online Today: 31
Most Online Ever: 601
(21 กันยายน 2024 เวลา 08:04:58 )
Users Online
Members: 0
Guests: 149
Total: 149

ผู้เขียน หัวข้อ: ตอนที่ 1. Under The Moon Light  (อ่าน 2537 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ สี่เมษา

  • Moderator
  • หน้าใหม่
  • *****
  • กระทู้: 8
ตอนที่ 1. Under The Moon Light
« เมื่อ: 06 มกราคม 2014 เวลา 01:08:36 »
ตอนที่ 1. Under The Moon Light



ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ กรุงเทพมหานคร

หญิงสาวรูปร่างสูงเพรียวท่าทางทะมัดทะแมง ในชุดเดินทางแบบสบายๆ เสื้อยืดเนื้อดีที่มีพื้นสีขาว สกรีนสีเทาดำเป็นปื้นไว้ตลอดด้านหน้าของตัวเสื้อ ชายเสื้อถูกสอดไว้ลวกๆ ในขอบของกางเกงยีนส์สีเข้มเอวต่ำ ซึ่งไร้วี่แววของเข็มขัด มีเสื้อสูทเข้ารูปสีดำที่สวมทับเอาไว้อีกชั้นหนึ่ง รวมถึงรองเท้าผ้าใบสีขาวสะอาดคู่เก่ง ทุกชิ้นเหมือนจะเป็นเพียงเครื่องแต่งกายธรรมดาๆ แต่ถึงกระนั้นมันก็ทำให้ผู้สวมใส่ดูดีได้ไม่หยอกเลยทีเดียว

คินสิตา เสยผมซอยสั้นของตัวเองลวกๆ ก่อนจะถอนหายใจหนักๆ แล้วดันรถเข็นที่บรรทุกกระเป๋าเดินทางหลายใบออกมาจากจุดรับกระเป๋า ตาคู่เรียวยาวคมซึ้งนั้นกวาดมองไปรอบตัว ช่วงเวลานี้ผู้คนดูจะไม่พลุกพล่านเหมือนเวลาอื่นๆ และเธอก็ดีใจที่เลือกเดินทางมากับไฟลท์นี้ ด้วยคงไม่ค่อยสนุกนักถ้าต้องมาเจอกับความแออัดยัดเยียดตั้งแต่นาทีแรกที่เธอเหยียบย่างลงผืนแผ่นดินไทยอีกครั้ง แทกซี่ซักคันคือสิ่งที่เธอต้องการ กับเวลาอีกแค่ชั่วโมงเศษ เธอก็คงจะได้นอนเหยียดยาวบนเตียงอบอุ่นอย่างที่ตั้งใจไว้

"ไป......ค่ะ" เธอบอกจุดหมายปลายทางแก่คนขับแทกซี่ แล้วก้าวเข้าไปนั่งที่เบาะหลัง เอนตัวสบายๆ สายตาจับจ้องดูภาพสองข้างทางที่แว่บผ่านตาไปราวกับดูสไลด์ สามปีครึ่งที่เธอเดินทางออกจากเมืองไทย ไม่นานมากนัก แต่ก็คงไม่เร็วอีกเช่นกันสำหรับคนที่ต้องรอคอย เธอตัดสินใจกลับมาเพราะไม่อาจต้านทานคำขอร้องของผู้เป็นมารดาได้

'งานที่กรุงเทพฯ ก็มีรออยู่แล้ว...จะไปเสียเวลาทำงานให้พวกฝรั่งเค้าทำไมล่ะลูก...ถึงไม่ได้พักอยู่กับแม่ แต่เราก็ยังไปมาหาสู่กันได้สะดวกกว่าอยู่ทางโน้นล่ะ...แม่จะให้คนเตรียมทำความสะอาดคอนโดไว้ให้นะ คิน กลับมาปลายเดือนนี้เลยนะลูก'

เธอยิ้มขำเมื่อนึกถึงบทสนทนากันครั้งหลังสุดของตัวเองกับผู้เป็นแม่ หนนี้แม่ของเธอไม่เปิดโอกาสให้ได้ปฏิเสธแม้แต่น้อย อันที่จริงคินสิตาก็เห็นว่ามันคงถึงเวลาที่เธอจะต้องกลับบ้านได้แล้ว โปรเจ็คชิ้นล่าสุดก็สรุปและส่งมอบให้ลูกค้าไปอย่างสมบูรณ์แบบและสวยงาม พร้อมกับเงินในบัญชีของเธอก็เพิ่มขึ้นอีกหลายหลัก เรื่องอะไรที่เคยทำให้เธอต้องหนีไป ใครบางคนที่ทำให้เธอต้องการไปอยู่ในที่ไกลแสนไกล ก็คล้ายกับว่ามันค่อยๆ จางหายไปกับคืนวันและกาลเวลาที่ผ่านพ้นไปได้บ้างแล้ว...


……………………………………………….


คอนโดสวยริมแม่น้ำเจ้าพระยา

กริ๊งงงงงงงงงงงงงงงง !!!

เสียงโทรศัพท์ที่ดังกังวานขึ้นนั้น ทำเอาคนที่กำลังนอนซุกผ้าห่มบนเตียงใหญ่อุ่นสบายนั้นต้องสะดุ้งตื่นอย่างไม่เต็มใจ

"แม่..." เสียงอู้อี้ขานออกไปเมื่อรู้ว่าเสียงที่ปลายสายนั้นคือใคร

"แม่จะบอกว่า ตอนบ่ายตาคิมเค้าจะให้คนเอารถไปให้นะ ก็รถคันเก่าของเรานั่นล่ะ" เสียงผู้สูงวัยพูดอย่างอารมณ์ดี ซึ่งคินสิตารู้ดีว่าแม่ของเธอดีใจมากแค่ไหนที่เธอกลับมา นี่คงไปกระวีกระวาดเอากับวาคิม พี่ชายของเธอให้จัดการเรื่องรถของให้ได้สำเร็จแล้วนั่นเอง

"นี่เมื่อคืนกลับมายังไง แม่จะให้พี่เค้าไปรับก็ไม่ยอม...แล้วยังเพลียอยู่หรือเปล่าล่ะลูก..." หญิงสาวหัวเราะเบาๆ มารดาถามเพราะเป็นห่วงนั้นเธอก็รู้ดี แต่ทำไมเธอจะไม่รู้ว่าประโยคหลังนั่นมารดาถามทำไม คงอยากจะเจอเธอนั่นเอง แต่ก็ไม่ยอมพูดออกมาตรงๆ สิน่า

"กลับแทกซี่น่ะแม่ ไม่อยากกวนพี่คิมเวลานั้นหรอกค่ะ นี่ว่าได้รถแล้วจะแวะไปเยี่ยมเค้าที่บริษัท แล้วเย็นๆ หนูจะขับรถไปหาแม่" บอกไปแล้วเธอก็รอฟังเสียงวี๊ดว้ายที่คาดว่าจะได้ยินจากปลายสาย

"จริงๆ นะคิน โอ้ย...ตายแล้ว แม่ยังไม่ได้ให้ใครจัดเตรียมเรื่องของกินไว้เลย แล้วยังห้องพักอีก เอาห้องเก่าดีมั้ยลูก...แล้วอะไรอีกล่ะ โอย...งั้นเดี๋ยวแม่ไปจัดการก่อนดีกว่า ใกล้ถึงแล้วโทรบอกแม่ด้วยนะ อย่าเบี้ยวแม่ล่ะลูก" แม่ของเธอวางสายไปแล้ว คินสิตาได้แต่ยิ้มให้ตัวเองกับท่าทีดีอกดีใจของมารดา นั่นเพราะเธอเองก็คิดถึงแม่มากเช่นกัน



……………………………………………….


ตึกสูง ใจกลางย่านธุรกิจ


คินสิตาเห็นเขาแล้ว ชายร่างสูงในชุดสูทสีเข้มที่ยืนกอดอกหันหลังให้เธอ ท่าทางที่กำลังสั่งงานอย่างจริงจังกับลูกน้องนั้นก็ช่างดูคุ้นตาเหลือเกิน วาคิม พี่ชายที่อายุต่างกันสิบสองปีของเธอนั่นเอง

"ไง..." หญิงสาวตบบ่าพี่ชายเบาๆ นี่ล่ะการทักทายที่เธอใช้กับผู้เป็นพี่ชายเสมอมา

"พี่รู้ว่าเราจะมา…" เสียงรู้ทันเอ่ยขึ้น มือทั้งสองยกขึ้นเท้าสะเอว แล้วค่อยๆ หันมาหาผู้มาเยือนอย่างช้าๆ เขาเอียงคอมองน้องสาว แววตาดูอบอุ่น มีรอยยิ้มน้อยๆ ที่มุมปาก พี่ชายเธอยังดูหล่อเหลา คมเข้มเหมือนเคย คินสิตาโผเข้ากอดคอพี่ชายด้วยความดีใจ

"ใจเย็นน้องสาว พี่หายใจไม่ออกแล้ว" พูดออกไปอย่างนั้น แต่เขาก็กอดรัดน้องสาวไว้แน่นเช่นกัน มือใหญ่ยีหัวคนผมสั้นด้วยความรักใคร่ เอ็นดู

"คิดถึง" หญิงสาวบอกหลังจากผละออกจากอ้อมแขนพี่ชายแล้ว ชายหนุ่มยิ้มอบอุ่นตอบน้องสาว

"ไม่ต้องมาพูดเอาใจเลย...นึกว่าจะยังไม่แวะมาเสียอีก...ไปคุยกันให้ห้องทำงานพี่ดีกว่าไป" วาคิมโอบเอวน้องสาว ขณะพากันเดินไปยังห้องทำงานของตัวเอง

"ก็ว่าจะมาของานพี่คิมทำ" คนเป็นพี่ทำหน้าไม่ค่อยเชื่อใจเมื่อได้ยินความต้องการของน้องสาว

"งานน่ะมีแน่อยู่แล้ว...แต่เราแน่ใจนะว่าไม่อยากพักผ่อนต่ออีกซักพัก" เมื่อสามปีที่แล้ว ขณะที่คินสิตาเพิ่งเรียนจบปริญญาตรีมาใหม่ๆ เขาเคยหมายมั่นว่าจะให้น้องสาวดูแลเรื่องดีไซน์ และการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้กับบริษัทส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับของเขา ด้วยเหตุผลกลใดก็สุดจะรู้ เพราะเจ้าตัวไม่ได้บอกอะไรพี่ชายมากไปกว่าแค่บอกว่าไม่อยากอยู่เมืองไทยแล้วก็ตัดสินใจไปเรียนต่อด้านการออกแบบเครื่องประดับที่ฝรั่งเศสสองปี ครั้นพอเรียนจบก็ไม่ยอมกลับมาช่วยงานเขาอีก ให้เหตุผลเพียงว่าอยากจะหาประสบการณ์ต่ออีกสักพัก และวาคิมก็รู้ดีว่าลองน้องสาวเขาพูดว่าจะทำอะไรแล้ว ใครก็ไม่อาจจะเข้าไปขวางได้ วาคิมทำได้แค่พยายามเข้าใจ แต่เขาก็ไม่แน่ใจว่าจะเข้าใจความคิดของน้องสาวตัวเองได้ดีนักหรอก แต่ถึงยังไงเขาก็ตามใจน้องสาวจนเคยตัวไปเสียแล้ว นั่นเพราะว่ามีกันแค่สองคนพี่น้อง และวาคิมก็ทำหน้าที่เป็นผู้นำครอบครัวมาตลอดตั้งแต่ผู้เป็นบิดาหมดลมหายใจไป

"ไม่อยากอยู่เฉยๆ...กลับมาจากเยี่ยมแม่ที่หัวหินแล้ว ว่าจะเริ่มงานเลย" คินสิตาให้คำมั่นกับพี่ชาย

"พี่ดีใจที่ได้ยินอย่างนั้น...เอาเป็นว่าพร้อมเมื่อไหร่ก็เข้ามาเริ่มงานได้เลย" วาคิมยิ้มกว้าง รอยยิ้มของเขาเต็มไปด้วยความสุข


" ขอบคุณมากค่ะพี่ชาย ไม่ว่าจะยังไง พี่ก็ยังใจดีเเสมอ" เธอกอดพี่ชายอีกครั้งด้วยความรู้สึกซาบซึ้งใจ ที่ไม่ง่ายนักที่คนแข็งๆ อย่างคินสิตาจะแสดงความรู้สึกอ่อนไหวออกมาตรงๆ เหมือนอย่างตอนนี้ ข้อนี้วาคิมรู้ดี เขามองตามหลังคินสิตา หลังจากเจ้าตัวเอ่ยลาอย่างปุปปับแล้วขอตัวกลับไป น้องสาวของเขาเคยเป็นคนสดใส ร่าเริง แต่พอเรียนจบมหาวิทยาลัยได้ไม่นาน เธอก็กลายเป็นคนเก็บตัว พูดจาน้อยคำ คล้ายคนเป็นโรคซึมเศร้า วาคิมยังจำได้ดีว่าอาการของน้องสาวในตอนนั้นดูย่ำแย่เพียงไหน เขาจึงไม่คิดที่จะปฏิเสธแม้แต่คำเดียวเมื่อเธอมาบอกเขาเรื่องความต้องการที่จะไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ และเมื่อครู่นี้ชายหนุ่มแน่ใจว่าเขายังเห็นความโศกซึ้งชนิดนั้นยังหลงเหลืออยู่ในแววตาของน้องสาว...


……………………………………………….


บ้านกึ่งกระท่อมหลังน้อย บนเนินทรายริมหาดอันสงบเงียบ


เสียงกรีดร้องของไอยดาปลุกเจ้าตัวให้ตื่นขึ้น!

หญิงสาวสะดุ้งลุกขึ้นนั่งบนเตียง หัวใจเต้นแรงมาก เหงื่อโทรมตัว หล่อนมองไปทั่วห้องด้วยสายตาทุกข์ทรมาน ปรารถนาจะเก็บเกี่ยวความมั่นคงของทุกอย่างรอบตัวเอาไว้ ห้องนอนเล็กๆ มีเฟอร์นิเจอร์น้อยชิ้นมาก ซึ่งหล่อนคุ้นตาเป็นอย่างดี แม้แต่ในเงามืดของตามราตรี

ไอยดาเลียริมฝีปากแห้งผากโอบแขนกอดรัดตัวเองเอาไว้ ทว่าความหนาวเย็นยะเยือกและความกลัวในใจไม่ลดน้อยลงเลย มีแต่ยิ่งเพิ่มมากขึ้น...ฟันของหล่อนกระทบกันหงึกๆ แม้จะพร่ำบอกตัวเองว่า...

"เธอปลอดภัยแล้วไอยดา...เธอปลอดภัยแล้ว"

หล่อนพร่ำพูดจนเหมือนคำอธิษฐานในใจ ขณะต่อสู้เพื่อรักษาสติสัมปชัญญะให้ครบถ้วนดังเดิม

ฝันร้าย...มันเป็นแบบนี้เสมอ

ตั้งแต่เด็กจนโตหล่อนมักจะฝัน เงาทะมึนอำมหิตย่างสามขุมเข้ามาใกล้ ความมืดดำที่โอบล้อมให้หล่อนค่อยๆ จมหายลงไป ภาพเหล่านั้นไม่เคยเปลี่ยนแปลง ยิ่งนานวันความกลัวของไอยดายิ่งเพิ่มเป็นทวีคูณ

หล่อนต้องการอากาศบริสุทธิ์

หญิงสาวลุกขึ้นไปคว้าเสื้อคลุมตัวโปรดสีชมพูอ่อนแบบมีฮู๊ดด้านหลังมาสวมใส่อย่างเร่งรีบท่ามกลางความมืด ไม่กี่นาทีหลังจากนั้นก็ออกมาจากห้องนอน วิ่งถลาลงบันไดแล้ววิ่งออกพ้นประตูบ้านหลังเล็กจ้อยไป ในใจนั้นรู้ดีว่าจะไปที่ใด มันเป็นสถานที่เดียวที่ให้ความสงบ ช่วยเยียวยาความเจ็บปวดและอ้างว้าง


……………………………………………….


คืนวันพระจันทร์เต็มดวง...ชายหาดราบเรียบ หัวหิน


คินสิตายืนนิ่งไม่ไหวติงบนชายหาดริมฝั่งทะเล ไม่รับรู้ถึงสายลมทะเลหนาวเย็นที่กระหน่ำใส่เรือนผมจนสะบัดปลิว เธอออกมานั่งเหม่อมองพระจันทร์นวลแสงอยู่บนโขดหินริมฝั่งหน้าบ้านพักริมทะเลบนหาดส่วนตัวที่เป็นสมบัติสืบทอดกันมาของครอบครัว ทุกครั้งที่ได้มาที่นี่ เธอชอบมานั่งตรงนี้เพื่อปลดปล่อยความคิดให้ล่องลอยไปอย่างไร้จุดหมาย เธอชอบมองดวงจันทร์กับเงาสะท้อนในทะเลเป็นที่สุด คินสิตาเคยนึกสงสัยกับตัวเองมาหลายหนแล้วว่า จะมีใครเคยใช้เวลายามค่ำคืนนั่งคิดคร่ำครวญเหมือนกับเธอบ้างหรือไม่

หลังจากมาถึงบ้านริมหาดเมื่อช่วงเย็นย่ำที่ผ่านมา และปล่อยให้มารดากอดรัด อีกทั้งพร่ำพรรณนาว่าท่านคิดถึงเธอมากมายเพียงใดแล้วคินสิตาก็เดินขึ้นไปห้องนอนของตัวเอง แช่ตัวในอ่างอาบน้ำเพื่อช่วยชำระล้างทั้งฝุ่นไคลและความเหนื่อยล้าไปจากร่างกาย หลังจากแต่งตัวด้วยยีนส์เก่าซีดๆ กับเชิ้ตแขนยาวสีฟ้าอ่อน และกลับลงมาทานมื้อค่ำกับมารดาแล้ว เธอก็ออกมานั่งที่นี่ ณ จุดที่กำลังนั่งขณะนี้ และเป็นจุดเดียวกับที่เธอเคยมานั่งทุกๆ ครั้งที่มาพักที่นี่

คินสิตาอายุยี่สิบห้าย่างยี่สิบหกแล้ว ยังไม่มาก แต่ก็มากพอที่จะรู้สึกเหงา นานแค่ไหนแล้วนะที่เธอไม่ได้ออกเดทเลย หรือแม้แต่จะรู้สึกถูกใจหมายปองใครสักคนก็ไม่มี เธอรู้ว่านี่เป็นความผิดของเธอเอง มีอะไรหลายอย่างคอยกั้นขวางระหว่างเธอกับใครคนใดก็ตามที่มีท่าทีอยากมาใกล้ชิด อะไรที่เธอไม่แน่ใจว่าจะเปลี่ยนมันได้ต่อให้ตั้งใจจะเปลี่ยนก็เถอะ บางครั้งบางคืนก่อนเข้าสู่ห้วงนิทรา เธอเคยนึกสงสัยว่าฟ้าดินคงลิขิตให้เธอต้องอยู่ตัวคนเดียวไปตลอดกระมัง ล่วงเลยเข้าสู่ราตรีกาลแล้ว เธอคิดว่าเสียงของธรรมชาติช่างมีชีวิตชีวาเร้าอารมณ์ มีบางครั้งที่หวนนึกถึงเสียงธรรมชาติเช่นนี้ โดยเฉพาะหลังจากเรียนจบจากมหาวิทยาลัยแล้ว

คินสิตารู้สึกว่าตัวเองโดดเดี่ยวซะเหลือเกินในยามนี้ บรรยากาศที่ริมชายฝั่งช่างเงียบเหงา...ครั้งหนึ่งเธอเคยคิดจะมีคนรักสักคน ถึงเธอจะไม่เคยคิดฝันว่าจะมีการแต่งงานเกิดขึ้นก็เถอะ แต่อย่างน้อยเธอยังรู้ตัวว่าเคยมีความรักครั้งหนึ่ง ครั้งเดียวเท่านั้น มันนานมาแล้ว แต่มันได้เปลี่ยนเธอไปเกือบทั้งชีวิต ความรักที่เลิศล้ำสามารถทำเช่นนี้ได้กับคนผู้หนึ่ง และในกรณีนี้มันเป็นการเปลี่ยนโดยสิ้นเชิง

หมู่เมฆเคลื่อนข้ามขอบฟ้าช้าๆ ประกายแห่งแสงจันทร์ก่อตัวหนาขึ้น จิตใจคินสิตาเริ่มล่องลอยย้อนไปสู่คืนวันหนึ่งที่เหมือนกับคืนนี้เมื่อเกือบสี่ปีก่อน

ณ งานเลี้ยงจบการศึกษาของภาควิชาที่เธอศึกษาอยู่ บรรยากาศคึกคักไปทั่วห้องที่จัดเลี้ยง คืนนั้นอากาศร้อนชื้น...เธอเดินเข้างานมาคนเดียว ขณะกำลังเบียดเสียดกับคนอื่น เพื่อมองหาหญิงสาวผู้กุมหัวใจของเธอได้ แล้วในที่สุดเธอก็ได้พบ...หล่อนสวย คินสิตายังจำความรู้สึกวูบแรกที่เห็นผู้หญิงคนนั้นในคืนนั้นได้ และเมื่อเธอก้าวเข้าไปทักทาย หล่อนก็หันมามองด้วยดวงตาหวานฉ่ำ

"สวัสดีค่ะ คิน" หล่อนทักด้วยท่าทีสบายๆ

ค่ำคืนนั้นเริ่มต้นอย่างธรรมดา และไม่น่าจะต้องจดจำรำลึกถ้าหากไม่ใช่ผู้หญิงคนนั้น ทันทีที่สบตาสดใสคู่นั้นก็รู้ว่าได้ว่านี่คือผู้หญิงของเธอ คืนนี้หล่อนช่างดูสวย ดูดีไปหมด ในสายลมฤดูร้อนที่ผ่านพลิ้ว...คืนนี้ต้องจบลงอย่างไม่ธรรมดา...เธอต้องรีบสารภาพความรู้สึกลึกซึ้งที่ยิ่งนานวันยิ่งทำให้ตัวเองรู้สึกอึดอัดในหัวใจให้หล่อนได้รับรู้เสียที...และคินสิตาก็ทำสำเร็จแม้จะประหม่าและเก้อเขินเป็นที่สุดแต่สาวน้อยผู้นั้นก็รับทราบและตอบรับความรู้สึกของเธอด้วยความยินดีอย่างท้วมท้น

คืนหนึ่ง ทั้งคู่ออกไปหาเครื่องดื่มเบา ๆ จิบกันที่ผับใกล้ ๆ คอนโดของคินสิตา ทั้งคู่แต้นรำกันจนผับปิด ก่อนที่จะกลับบ้านและคินสิตาได้จูบหล่อนเป็นครั้งแรก มันทำให้นึกสงสัยว่าทนอดใจรอมานานขนาดนั้นได้อย่างไร และแทนที่จะปล่อยให้หล่อนเข้าห้องไปนอน คินสิตาจูงมือหล่อนไปนั่งที่โซฟา หลังจากนั้นทั้งสองก็ได้ใช้เวลานานนับชั่วโมงบอกเล่าความฝันแก่กัน...และแล้วในคืนอันร้อนชื้นนั้น สองสาวก็เสียความบริสุทธิ์ให้แก่กัน หลังจากนั้นอีกเพียงสามสัปดาห์หล่อนก็จากไปพร้อมกับฤดูร้อนและหัวใจของใครคนหนึ่ง คินสิตาเฝ้ามองหล่อนผู้นั้นจากไปในเช้าตรู่ของวันฝนพรำ ...

เธอจำได้ว่าเคยพูดถึงหล่อนให้เพื่อนชาวต่างชาติฟัง ครั้งแรกเพื่อนของเธอส่ายหน้าหัวเราะ "นี่ใช่มั้ยปิศาจที่คุณต้องวิ่งหนีหัวซุกหัวซุน" เธอทำหน้างงกับคำพูดของเพื่อน ก่อนจะได้คำตอบว่า "ความทรงจำก็เหมือนเงาปิศาจที่คอยตามหลอกหลอนเราไงล่ะ"

เมื่อภาพความทรงจำที่ลอยอยู่ตรงหน้าค่อยลบเลือนไป คินสิตาเงยหน้าขึ้นมองดวงเดือน ดวงดาวที่พร่างพราวเต็มฟ้าในค่ำคืนนั้น ถอนหายใจยาว ลึก แต่มีเพียงความอ้างว้างเท่านั้นที่เธอสัมผัสได้...


คินสิตายกมือที่มีนิ้วเรียวยาวของตนเองเสยผมดำสนิท รู้สึกถึงละอองชื้นจับอยู่ตามเส้นผม เธอเริ่มออกเดินอีกครั้ง พยายามข่มความรู้สึกหดหู่ของตัวเอง นึกถึงประสบการณ์รักที่ยังฝังใจว่าคงจะเป็นเพียงแค่สิ่งเปราะบาง เป็นแค่ภาพลวงตาพอๆ กับความรักที่คงมีอยู่จริงเฉพาะในบทกวีของนักประพันธ์หรือมิฉะนั้นก็ของคนช่างฝันหวานเท่านั้น

ใจของหญิงสาวอ้างว้าง หนาวเหน็บ รู้สึกตัวคนเดียว จนต้องรำพึงกับตนเองว่าในที่สุดแล้วมนุษย์ทุกคนก็มีเพียงตัวตนของตนเท่านั้น ไม่มากหรือน้อยไปกว่านั้นเลย...



……………………………………………….

มีต่อในเม้นที่ 1 นะคะ




ออฟไลน์ สี่เมษา

  • Moderator
  • หน้าใหม่
  • *****
  • กระทู้: 8
Re: ตอนที่ 1. Under The Moon Light
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: 06 มกราคม 2014 เวลา 01:11:54 »
ตอนที่ 1. Under The Moon Light (ต่อ)



อุ้ย!!!...????

โอ้ย!!!...????

ความเร่งรีบอีกทั้งความมืดทำให้ไอยดาวิ่งไปชนเข้ากับบางสิ่งบางอย่างที่สูง อบอุ่น และแข็งแรง เข้าอย่างจัง ความแรงของการปะทะนั้นทำเอาร่างแบบบางของสาวน้อยแทบจะเซทรุด ดีที่คินสิตายังตั้งหลักไว้ได้และเธอก็แข็งแรงและว่องไวพอที่จะโอบรั้งร่างนุ่มนิ่มของคนซุ่มซ่ามที่วิ่งมาเข้ามาชนเอาไว้ได้ก่อนที่ใครคนนั้นจะหน้าไถไปกับพื้นทรายเบื้องล่าง

ไอยดาเกาะเกี่ยวร่างสูงไว้แน่นหวังยึดเป็นที่พึ่งพิง ใบหน้าของเด็กสาวซุกซบอยู่ตรงซอกคออุ่นร้อนของคนที่หล่อนเพิ่งวิ่งเข้ามาชนเข้าโครมใหญ่เมื่อครู่...คินสิตาได้แต่ยืนนิ่งสำนึกถึงร่างน้อยๆที่อยู่ในอ้อมแขนตัวเอง ด้วยไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดีเมื่อจู่ๆ ก็มีใครไม่รู้วิ่งมาชนเธอแถมยังกอดรัดเธอไว้แน่นอย่างนี้เสียอีก มือของคินสิตาลูบเบาๆ อยู่ที่แผ่นหลังของคนตัวน้อยนั้นอย่างเงอะงะเต็มที่...

"แล้วเธอเป็นใครกันล่ะนี่?..." คินสิตาเอ่ยถามด้วยความสงสัย ถือเป็นการทำลายความเงียบไปโดยปริยาย  เมื่อไอยดารู้สึกตัวว่าอยู่ที่ไหนและกำลังทำอะไรอยู่ เธอรีบผละตัวถอยออกมาหนึ่งก้าว ก่อนจะแหงนเงยขึ้นมองคนตัวสูงกว่า

ลมหายใจของคินสิตาชะงักไปชั่วอึดใจ...เธอพบว่าตนเองทอดสายตามองใบหน้าที่แสดงถึงความตกใจ แปลกใจ และเป็นใบหน้าของสาวน้อยแรกรุ่น ที่งามอร่ามแจ่มใสมากที่สุดเท่าที่เคยเจอมา! ผมที่ปลิวไสวของหล่อนเป็นสีดำสนิทเหมือนคืนมืดมิดไร้ดาว ผิวพรรณก็ขาวผุดผาดเป็นนวลใยตัดกับสีผม ดวงหน้านั้นประกอบด้วยเครื่องหน้าที่งามละมุนละม่อมได้รูป...ดวงตากลมโตสะท้อนแสงจันทร์เห็นประกายระยิบงามจับใจ และแปลกตา...ช่างเป็นดวงตาที่ใสกระจ่างลึกล้ำ ล้อมรอบด้วยขนตาดกหนายาวงอนดำสนิทเป็นแผง ที่ตอนนี้ ดวงตางามคู่นั้นกำลังจับจ้องมองมาที่เธอด้วยความรู้สึกคละเคล้า ระหว่างสนใจใคร่รู้กับความหวาดกลัว แต่ดูเหมือนอย่างหลังจะมีอิทธิพลมากกว่า

"สวัสดีค่ะ..." ไอยดาเป็นฝ่ายทักทายด้วยน้ำเสียงหวานใสผ่านอากาศยามค่ำที่แสนจะเย็นยะเยือกแต่กลับให้ความรู้สึกอบอุ่นแก่คนฟัง

"สวัสดี..." คินสิตาทักตอบยิ้มๆ

"แล้วคุณเป็นใครคะ?" หล่อนตอบคำถามดั้งเดิมของคนที่ถามก่อนด้วยการย้อนถามคำถามเดียวกันไปเสียอย่างนั้น แต่ไม่รู้ทำไมคินสิตาไม่ได้คิดติดใจเลยแม้แต่น้อย อาจจะเพราะท่าทางของผู้หญิงตรงหน้าที่ปราศจากมารยาเสแสร้งใดๆ นั่นเอง

"ฉันชื่อคิน...แล้วเธอล่ะชื่ออะไร?" เป็นอีกครั้งที่หล่อนเพิกเฉยต่อคำถาม

"แค่คินเฉยๆ หรือคะ?" ถามพร้อมกับเอียงคอมองคนตรงหน้า "แปลกจัง...คุณคงจะมีชื่อที่ยาวกว่านี้ใช่มั้ยคะ" รอยยิ้มของคนฟังก็เลยยิ่งดูจะเปิดเผยกว้างขวางยิ่งขึ้น

"ใช่ ฉันมีชื่อเต็มยาวๆ อย่างที่เธอว่าจริงๆ นั่นแหละ" คินสิตาเหยียดกายเต็มความสูงตระหง่าน ข่มให้ร่างกระทัดรัดอ้อนแอ้นของไอยดาดูเล็กจ้อยไปเลยทีเดียว

"ฉันชื่อคินสิตา" พูดพร้อมกับโค้งตัวลงต่ำ เพลิดเพลินกับการได้จ้องมองใบหน้าสวยสดใส มีชีวิตชีวาของคนตัวเล็กกว่านั้น

"แล้วตอนนี้...ฉันชักจะรู้สึกประสาทขึ้นมานิดๆ เพราะยังไม่รู้เลยว่าตัวเองกำลังพูดอยู่กับใคร" ดวงตาคมสีน้ำตาลของคินสิตา ซึ่งยามปกติจะแฝงไว้ด้วยแววเศร้าซึ้งมาบัดนี้กลับทอประกายสนุกสนานขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว

ไอยดารู้สึกหัวใจเต้นแรง คนคนนี้ทำให้เธอเกิดความรู้สึกทึ่งแปลกๆ อย่างที่ไม่เคยเป็น เป็นความรู้สึกที่แสนแปลกที่หล่อนค่อนข้างชอบ สาวน้อยยิ้มตอบในอาการประหม่าจนเห็นลักยิ้มบุ๋มที่สองข้างแก้มสีชมพูอ่อนระเรื่อ รู้สึกว่าเขาจะถามอะไรหล่อนสักอย่าง แต่หล่อนลืมไปแล้ว่าเขาถามอะไร

คินสิตาเห็นอาการแล้วก็เลยถามซ้ำ "แล้ว...ตกลงว่าเธอมีชื่อหรือเปล่า?"

"คะ...เออ...ใช่...ฉันชื่อ ไอยดา คุณจะเรียกฉันว่า ไอย์ เฉยๆ ก็ได้นะคะ" หญิงสาวตอบ พยายามข่มอาการหัวใจเต้นแรงของตนเองให้ช้าลง ทำไมหล่อนจะต้องตื่นเต้นขนาดนี้ด้วยก็ไม่รู้ เขาก็เป็นแค่คนแปลกหน้าคนหนึ่ง แล้วก็เป็นผู้หญิงเหมือนๆ กับเธอเสียด้วย แต่ไอยดาก็ต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่า ผู้หญิงตัวสูง ท่าทางมาดมั่น เจ้าของน้ำเสียงเรียบเรื่อย กับดวงตาคมที่ทำให้หล่อนวูบไหวได้คนนี้ ประทับใจเธอเข้าอย่างจัง หล่อนคิดว่าเขาดูเท่ห์แบบไม่เหมือนใครที่หล่อนเคยพบเจอมา

"แล้วบ้านของฉันก็อยู่ถัดจากบ้านหลังใหญ่สีขาวเลยชายหาดตรงนี้ไปอีกนิดเดียวเองค่ะ..." หล่อนชี้ไปที่ตอนบนของเนินทรายเล็กๆ เลยจุดที่ทั้งสองยืนอยู่ไปเล็กน้อย

คินสิตายิ้มพร้อมกับพยักหน้าเนิบๆ  บอกให้รู้ว่าเธอรับทราบแล้ว ผู้หญิงคนนี้คงมีบ้านอยู่ใกล้ๆ กับบ้านของมารดาของเธอเห็นจะไม่ผิด เมื่อดูจากการชี้ชวนบอกกล่าวของหล่อนแล้ว

"ยินดีที่ได้พบเธอคืนนี้นะ...ไอยดา"

เด็กสาวเอียงคอ คิ้วขมวดมุ่น

"คุณรู้ได้ยังไงคะ?"

"รู้อะไร..." คินสิตาชักงง

"ก็รู้ว่าคุณจะยินดีที่ได้พบฉัน เราเพิ่งจะพบกัน คุณจะยินดีได้ยังไง ฉันอาจจะเป็นคนที่ร้ายกาจมากๆ ก็ได้นะคะ" หญิงสาวชี้แจงเป็นเหตุเป็นผล ทำเอาคนฟังที่นึกไม่ถึงมาก่อน ต้องหัวเราะออกมาระลอกใหญ่เลยทีเดียว การตีความคำพูดทักทายธรรมดาตามมารยาทที่คนในสังคมใช้กันไปเป็นเรื่องเป็นราวของเด็กสาวทำให้คินสิตาทั้งทึ่งทั้งขำ

"จริงของเธออีกนั่นล่ะ...แต่เอาเป็นว่า เท่าที่ได้คุยกันมา ฉันไม่คิดว่าเธอจะเป็นคนร้ายกาจขึ้นมาหรอกนะ แต่ฉันรู้อะไรอย่างนึง...ฉันไม่เคยพบใครมีเสน่ห์เป็นธรรมชาติมากได้เหมือนเธอมาก่อน" แว่บหนึ่งไอยดาเห็นแววสลดใจของคนพูดแล้วก็นึกสงใสว่าอะไรคือสาเหตุ อดไม่ได้ที่จะเอาคำพูดเมื่อครู่ของเขามาครุ่นคิด

"คุณคงมาจากกรุงเทพฯ สินะคะ...ฉันอาจแตกต่างจากคนอื่น เพราะคนที่คุณเคยรู้จักและพบเจอมาคงจะมีความคุ้นเคยในการพูดถึงแต่สิ่งที่เหมาะสมมากกว่าฉันมั้งคะ"

"ก็อาจจะใช่...แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่น่ายินดีเสมอไปหรอกนะ"

"เปล่าค่ะ...ฉันไม่ได้หมายความว่ามันจะน่ายินดีหรือไม่หรอกนะคะ แต่เท่าที่ฉันเคยพบเห็นมา คำพูดเหมาะสมส่วนใหญ่ จริงๆ แล้วมักจะเป็นคำโกหกของคนที่ฉลาดมากๆ ต่างหาก" คำตอบของไอยดาทำให้คินสิตาต้องอึ้ง และตะลึงไปอีกรอบ

"เธออายุเท่าไหร่..." ถามออกไปขรึมๆ ทั้งที่ยังจ้องหน้าสาวน้อยอย่างพินิจพิเคราะห์

"สิบแปดค่ะ..."

คินสิตาไม่รู้เหมือนกันว่าอย่างไหนน่าประหลาดใจมากกว่ากัน...ความงามสะดุดตากับทีท่าฉลาดปราดเปรื่องที่ไม่น่าจะเป็นของสาวน้อยแรกแย้มขนาดนี้ หรือ ความจริงที่ว่าเด็กสาวออกมาเดินเล่นยามดึกดื่นค่ำคืนตามลำพังคนเดียวอย่างนี้ได้อย่างไร

"สิบแปด!!!..." คินสิตาทวนคำตอบ

"ค่ะ...ที่จริงแล้วก็ครบวันนี้พอดีค่ะ" ต่อท้ายด้วยน้ำเสียงเจือเศร้า

"เธอจะบอกว่า วันนี้เป็นวันเกิดของเธอยังงั้นเหรอ?" คิ้วดกหนาของคนพูดเลิกสูงขึ้น เพราะอีกฝ่ายพยักหน้าหงอยๆ "งั้นเธอก็ควรจะอยู่บ้านฉลองวันเกิดของตัวเองกับครอบครัวนะ" บอกออกไปในน้ำเสียงยังติดความสงสัย

"พ่อกับแม่เสียชีวิตแล้วตั้งแต่ฉันยังเด็กค่ะ...ฉันอยู่กับยาย...แล้ววันนี้ยายก็ไม่ว่าง" ไอยดาหันหลังให้กระทันหัน หล่อนเหยียดตัวตรง ไหล่ผึ่ง และเชิดคางอย่างทรนง

"อ้าว แย่จัง" คินสิตามองหล่อนด้วยสายตาอ่อนโยนลงกว่าเดิม

"ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ฉันคุ้นเคยกับการดูแลตัวเองดี"

"นั่นเห็นได้ชัดเลยล่ะ..." สาวน้อยคนนี้มีสง่าราศีในตัวเอง ซึ่งหาได้ยาก หล่อนมีความพิเศษไม่เหมือนใครจริงๆ ความรู้สึกชื่นชมและบางสิ่งบางอย่างยิ่งกว่านั้นหลั่งไหลเข้าสู่ความรู้สึกของคินสิตา และสิ่งนั้นช่วยหลอมละลายความรู้สึกโดดเดี่ยว อ้างว้างของเธอเองได้จนแทบหมดสิ้น

ขณะจับตามองสาวน้อยผู้เข้มแข็ง...ทรนงองอาจคนนี้ คินสิตาก็คิดว่าตัวเองกับไอยดามีอะไรหลายอย่างที่เหมือนกัน ดวงตาสองคู่สบกัน ความรู้สึกยากอธิบายและแสนแปลกประหลาด เป็นความประทับใจที่มีต่อกันโดยที่ไม่จำเป็นต้องเอื้อนเอ่ยออกมาระหว่างคนทั้งคู่

ในที่สุดไอยดาก็เป็นฝ่ายพูดขึ้นก่อน หล่อนบอกเล่าความชอบส่วนตัวบางอย่างให้คนแปลกหน้าผู้ซึ่งหล่อนกลับมีความรู้สึกคุ้นเคยด้วยเหมือนเขาไม่ใช่คนแปลกหน้าเลย

"ฉันชอบมาเดินเล่นตามชายหาดที่นี่ค่ะ" บอกพลางสบดวงตาสีน้ำตาลอบอุ่นของคินสิตา กระแสลูบไล้จากดวงตาคู่นั้นทำให้ไอยดาต้องเมินหน้าไปมองฟองคลื่นปั่นป่วนของท้องทะเลแทน

"งั้นเหรอ?...เธอคงจะมีเหตุผลอีกสินะ" คินสิตาก้มมองเสี้ยวหน้าด้านข้างงามละมุนนั้น

คนฟังเงียบไปอึดใจใหญ่ ในที่สุดก็อธิบาย "มันช่วยให้จิตใจปลอดโปร่ง และมันก็เป็นเพื่อนของฉันได้ด้วย"

"เพื่อน? ไหนลองแนะนำเพื่อนเธอให้ฉันรู้จักบ้างได้มั้ย" คินสิตาทวนคำตอบนั้นอย่างสนใจเพราะกับสาวน้อยคนนี้ เธอมีเหตุผลที่แตกต่างเสมอ

"ก็ทุกสิ่งทุกอย่างที่เห็นนี่ล่ะค่ะ" หล่อนสูดหายใจลึก "ทะเล...สายลม...พระอาทิตย์ตอนกลางวัน...มีดวงจันทร์กับดวงดาวในตอนกลางคืน...ทุกอย่างมันอยู่ที่นี่เป็นเพื่อนฉันค่ะ ไม่ว่าจะยังไง มันก็ไม่เคยเปลี่ยนไป...คุณเข้าใจใช่มั้ยคะ?"

คินสิตาเข้าใจดีทีเดียว และอาจดีกว่าไอยดาด้วยซ้ำ เธออยู่เห็นโลกมานานกว่าเด็กสาวตั้งหลายปี และรู้จักความเปลี่ยนแปลงไม่แน่นอนของชีวิตดีกว่าสาวน้อยมากมายนัก แต่เมื่อคินสิตาจับจ้องมองดวงตามีแววหวาดกลัวของอีกฝ่ายแล้วก็ต้องเปลี่ยนใจกระทันหัน บางทีเธออาจไม่รู้จักความผันผวนของชีวิตมากเท่าหล่อน...หรืออาจไม่รู้อะไรเลยก็เป็นได้

"เข้าใจสิ..." คำตอบแผ่วเบานั้นเหมือนจะเป็นการย้ำเตือนถึงบางสิ่งบางอย่างกับตัวเองเสียมากกว่า

การที่ได้เพื่อนแปลกหน้ามาเดินเคียงคู่ชมความงามของท้องทะเล ในค่ำคืนนี้ ทำให้อารมณ์ของคินสิตาแจ่มใสมาก นึกในใจว่าสาวน้อยคนนี้น่ารักทีเดียว มีทั้งความเป็นผู้หญิงสาวและความเป็นเด็กใส บริสุทธิ์ผสมผสานอย่างเหมาะเจาะอยู่ในตัว แต่ความคิดของหล่อนนี่สิ ห่างไกลจากความเป็นเด็กมากมายนัก

ไอยดารู้ว่าตนเองควรจะกลับบ้านได้แล้ว แต่หล่อนก็ไม่พร้อมจะกล่าวคำอำลากับเพื่อนใหม่ของเธอคนนี้...เขาทำให้หล่อนรู้สึกมีชีวิตชีวาอย่างประหลาด...เช่นเดียวกันกับคินสิตา จากที่ได้เฝ้ามองเรือนร่างอรชรอ้อนแอ้นแล้วก็รู้สึกว่าจิตใจเบาสบาย ปลอดโปร่งกับการมีไอยดา ท่ามกลางธรรมชาติอันน่าอภิรมย์รายรอบคนทั้งคู่ ถึงคินสิตาจะเคยชื่นชมความงามของท้องทะเลและท้องฟ้ายามค่ำคืนมาแล้วสักกี่หน แต่ ณ ยามนี้ เธอรู้สึกเหมือนได้มองสิ่งเหล่านั้นผ่านสายตาของสาวน้อยที่เดินอยู่ข้างๆ นี้

ชายหาดดูราบเรียบไม่สะทกสะท้านหวั่นไหวกับคลื่นที่กระทบกระแทกซัดหาฝั่ง แล้วก็ถอยห่างออกไปในทะเลลูกแล้วลูกเล่า

ไอยดาใช้สองแขนโอบกอดตนเอง เมื่อลมเย็นยามดึกโชยเอื่อยมาปะทะกาย "ฉันเห็นจะต้องกลับแล้วค่ะ" เด็กสาวบอกด้วยน้ำเสียงเจือเศร้า แกมทอดอาลัย

"จริงสิ...นี่มันดึกเกินไปแล้วสำหรับการออกมาวิ่งเล่น" คินสิตาเฝ้ามองสีหน้าและแววตาของอีกฝ่ายอย่างระมัดระวัง

"เธอควรจะได้เข้านอน...แล้วหลับไปพร้อมกับมีฝันดีๆ ในคืนของวันที่พิเศษอย่างนี้ไม่ใช่หรือ" ความเศร้าสร้อยฉายวาบผ่านใบหน้างดงามไร้ไฝฝ้าราคี พอเห็นแบบนั้นก็เกิดความรู้สึกแปลกประหลาด อยากจะยอมแลกกับทุกอย่างขอเพียงให้ใบหน้านั้นกลับมาแจ่มใสมีชีวิตชีวาอีกครั้ง

"มีอะไรบ้างไหมที่จะทำให้วันเกิดครั้งนี้มีความพิเศษสำหรับเธอ...มีรึเปล่า...อะไรสักอย่างที่เธออยากได้" ไอยดามองใบหน้าคมสวย ผมดกดำและหนาที่ถูกลมตียุ่งเหยิง กับดวงตาอบอุ่นลึกลับที่ทอดมองมายังตนเอง

'มีอย่างหนึ่งที่หล่อนต้องการ...อย่างเดียวเท่านั้น เป็นความใฝ่ฝันของสาวน้อยที่ไม่รู้ว่าจะมีวันเป็นจริงได้หรือไม่'

แต่ถึงอย่างนั้น...คำตอบที่บอกไปก็เป็นเสียงกระซิบแผ่วเบาที่สุด แม้ไอยดาจะลับกายหายไปในความมืดของยามค่ำคืนแล้วก็ตาม คินสิตาก็ยังยืนตรึงอยู่กับที่เพราะความไม่คาดคิด และอิทธิพลรุนแรงของคำตอบนั้น

สาวน้อยเขย่งปลายเท้าขึ้นมากระซิบตอบข้างๆ หูของเธอ บอกถึงความปราถนาอย่างเดียวที่ต้องการว่า...

'ฉันอยากให้คุณกลายเป็นเจ้าชายขี่ม้าขาว...มาช่วยปลดปล่อยฉันให้หลุดพ้นจากฝันร้ายที่ฉันมีค่ะ...'
.
.
.
.

...หมู่เมฆเคลื่อนข้ามขอบฟ้ามาบดบังดวงจันทร์อีกครั้ง ทั่วทั้งท้องฟ้ามืดมิด ทะเลเงียบสงัด ลมนิ่งสงบ ชายหาดร้างไร้ผู้คน....


……………………………………………….

จบตอนที่ 1

 

Powered by EzPortal
    ต้นฉบับในเว็บไซต์เป็นลิขสิทธิ์ของผู้แต่งต้นฉบับที่นำมาลง
    copyright © Yuriread.com All rights reserved.