ตอนที่ 1. Under The Moon Light
ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ กรุงเทพมหานคร
หญิงสาวรูปร่างสูงเพรียวท่าทางทะมัดทะแมง ในชุดเดินทางแบบสบายๆ เสื้อยืดเนื้อดีที่มีพื้นสีขาว สกรีนสีเทาดำเป็นปื้นไว้ตลอดด้านหน้าของตัวเสื้อ ชายเสื้อถูกสอดไว้ลวกๆ ในขอบของกางเกงยีนส์สีเข้มเอวต่ำ ซึ่งไร้วี่แววของเข็มขัด มีเสื้อสูทเข้ารูปสีดำที่สวมทับเอาไว้อีกชั้นหนึ่ง รวมถึงรองเท้าผ้าใบสีขาวสะอาดคู่เก่ง ทุกชิ้นเหมือนจะเป็นเพียงเครื่องแต่งกายธรรมดาๆ แต่ถึงกระนั้นมันก็ทำให้ผู้สวมใส่ดูดีได้ไม่หยอกเลยทีเดียว
คินสิตา เสยผมซอยสั้นของตัวเองลวกๆ ก่อนจะถอนหายใจหนักๆ แล้วดันรถเข็นที่บรรทุกกระเป๋าเดินทางหลายใบออกมาจากจุดรับกระเป๋า ตาคู่เรียวยาวคมซึ้งนั้นกวาดมองไปรอบตัว ช่วงเวลานี้ผู้คนดูจะไม่พลุกพล่านเหมือนเวลาอื่นๆ และเธอก็ดีใจที่เลือกเดินทางมากับไฟลท์นี้ ด้วยคงไม่ค่อยสนุกนักถ้าต้องมาเจอกับความแออัดยัดเยียดตั้งแต่นาทีแรกที่เธอเหยียบย่างลงผืนแผ่นดินไทยอีกครั้ง แทกซี่ซักคันคือสิ่งที่เธอต้องการ กับเวลาอีกแค่ชั่วโมงเศษ เธอก็คงจะได้นอนเหยียดยาวบนเตียงอบอุ่นอย่างที่ตั้งใจไว้
"ไป......ค่ะ" เธอบอกจุดหมายปลายทางแก่คนขับแทกซี่ แล้วก้าวเข้าไปนั่งที่เบาะหลัง เอนตัวสบายๆ สายตาจับจ้องดูภาพสองข้างทางที่แว่บผ่านตาไปราวกับดูสไลด์ สามปีครึ่งที่เธอเดินทางออกจากเมืองไทย ไม่นานมากนัก แต่ก็คงไม่เร็วอีกเช่นกันสำหรับคนที่ต้องรอคอย เธอตัดสินใจกลับมาเพราะไม่อาจต้านทานคำขอร้องของผู้เป็นมารดาได้
'งานที่กรุงเทพฯ ก็มีรออยู่แล้ว...จะไปเสียเวลาทำงานให้พวกฝรั่งเค้าทำไมล่ะลูก...ถึงไม่ได้พักอยู่กับแม่ แต่เราก็ยังไปมาหาสู่กันได้สะดวกกว่าอยู่ทางโน้นล่ะ...แม่จะให้คนเตรียมทำความสะอาดคอนโดไว้ให้นะ คิน กลับมาปลายเดือนนี้เลยนะลูก'
เธอยิ้มขำเมื่อนึกถึงบทสนทนากันครั้งหลังสุดของตัวเองกับผู้เป็นแม่ หนนี้แม่ของเธอไม่เปิดโอกาสให้ได้ปฏิเสธแม้แต่น้อย อันที่จริงคินสิตาก็เห็นว่ามันคงถึงเวลาที่เธอจะต้องกลับบ้านได้แล้ว โปรเจ็คชิ้นล่าสุดก็สรุปและส่งมอบให้ลูกค้าไปอย่างสมบูรณ์แบบและสวยงาม พร้อมกับเงินในบัญชีของเธอก็เพิ่มขึ้นอีกหลายหลัก เรื่องอะไรที่เคยทำให้เธอต้องหนีไป ใครบางคนที่ทำให้เธอต้องการไปอยู่ในที่ไกลแสนไกล ก็คล้ายกับว่ามันค่อยๆ จางหายไปกับคืนวันและกาลเวลาที่ผ่านพ้นไปได้บ้างแล้ว...
……………………………………………….
คอนโดสวยริมแม่น้ำเจ้าพระยา
กริ๊งงงงงงงงงงงงงงงง !!!
เสียงโทรศัพท์ที่ดังกังวานขึ้นนั้น ทำเอาคนที่กำลังนอนซุกผ้าห่มบนเตียงใหญ่อุ่นสบายนั้นต้องสะดุ้งตื่นอย่างไม่เต็มใจ
"แม่..." เสียงอู้อี้ขานออกไปเมื่อรู้ว่าเสียงที่ปลายสายนั้นคือใคร
"แม่จะบอกว่า ตอนบ่ายตาคิมเค้าจะให้คนเอารถไปให้นะ ก็รถคันเก่าของเรานั่นล่ะ" เสียงผู้สูงวัยพูดอย่างอารมณ์ดี ซึ่งคินสิตารู้ดีว่าแม่ของเธอดีใจมากแค่ไหนที่เธอกลับมา นี่คงไปกระวีกระวาดเอากับวาคิม พี่ชายของเธอให้จัดการเรื่องรถของให้ได้สำเร็จแล้วนั่นเอง
"นี่เมื่อคืนกลับมายังไง แม่จะให้พี่เค้าไปรับก็ไม่ยอม...แล้วยังเพลียอยู่หรือเปล่าล่ะลูก..." หญิงสาวหัวเราะเบาๆ มารดาถามเพราะเป็นห่วงนั้นเธอก็รู้ดี แต่ทำไมเธอจะไม่รู้ว่าประโยคหลังนั่นมารดาถามทำไม คงอยากจะเจอเธอนั่นเอง แต่ก็ไม่ยอมพูดออกมาตรงๆ สิน่า
"กลับแทกซี่น่ะแม่ ไม่อยากกวนพี่คิมเวลานั้นหรอกค่ะ นี่ว่าได้รถแล้วจะแวะไปเยี่ยมเค้าที่บริษัท แล้วเย็นๆ หนูจะขับรถไปหาแม่" บอกไปแล้วเธอก็รอฟังเสียงวี๊ดว้ายที่คาดว่าจะได้ยินจากปลายสาย
"จริงๆ นะคิน โอ้ย...ตายแล้ว แม่ยังไม่ได้ให้ใครจัดเตรียมเรื่องของกินไว้เลย แล้วยังห้องพักอีก เอาห้องเก่าดีมั้ยลูก...แล้วอะไรอีกล่ะ โอย...งั้นเดี๋ยวแม่ไปจัดการก่อนดีกว่า ใกล้ถึงแล้วโทรบอกแม่ด้วยนะ อย่าเบี้ยวแม่ล่ะลูก" แม่ของเธอวางสายไปแล้ว คินสิตาได้แต่ยิ้มให้ตัวเองกับท่าทีดีอกดีใจของมารดา นั่นเพราะเธอเองก็คิดถึงแม่มากเช่นกัน
……………………………………………….
ตึกสูง ใจกลางย่านธุรกิจ
คินสิตาเห็นเขาแล้ว ชายร่างสูงในชุดสูทสีเข้มที่ยืนกอดอกหันหลังให้เธอ ท่าทางที่กำลังสั่งงานอย่างจริงจังกับลูกน้องนั้นก็ช่างดูคุ้นตาเหลือเกิน วาคิม พี่ชายที่อายุต่างกันสิบสองปีของเธอนั่นเอง
"ไง..." หญิงสาวตบบ่าพี่ชายเบาๆ นี่ล่ะการทักทายที่เธอใช้กับผู้เป็นพี่ชายเสมอมา
"พี่รู้ว่าเราจะมา…" เสียงรู้ทันเอ่ยขึ้น มือทั้งสองยกขึ้นเท้าสะเอว แล้วค่อยๆ หันมาหาผู้มาเยือนอย่างช้าๆ เขาเอียงคอมองน้องสาว แววตาดูอบอุ่น มีรอยยิ้มน้อยๆ ที่มุมปาก พี่ชายเธอยังดูหล่อเหลา คมเข้มเหมือนเคย คินสิตาโผเข้ากอดคอพี่ชายด้วยความดีใจ
"ใจเย็นน้องสาว พี่หายใจไม่ออกแล้ว" พูดออกไปอย่างนั้น แต่เขาก็กอดรัดน้องสาวไว้แน่นเช่นกัน มือใหญ่ยีหัวคนผมสั้นด้วยความรักใคร่ เอ็นดู
"คิดถึง" หญิงสาวบอกหลังจากผละออกจากอ้อมแขนพี่ชายแล้ว ชายหนุ่มยิ้มอบอุ่นตอบน้องสาว
"ไม่ต้องมาพูดเอาใจเลย...นึกว่าจะยังไม่แวะมาเสียอีก...ไปคุยกันให้ห้องทำงานพี่ดีกว่าไป" วาคิมโอบเอวน้องสาว ขณะพากันเดินไปยังห้องทำงานของตัวเอง
"ก็ว่าจะมาของานพี่คิมทำ" คนเป็นพี่ทำหน้าไม่ค่อยเชื่อใจเมื่อได้ยินความต้องการของน้องสาว
"งานน่ะมีแน่อยู่แล้ว...แต่เราแน่ใจนะว่าไม่อยากพักผ่อนต่ออีกซักพัก" เมื่อสามปีที่แล้ว ขณะที่คินสิตาเพิ่งเรียนจบปริญญาตรีมาใหม่ๆ เขาเคยหมายมั่นว่าจะให้น้องสาวดูแลเรื่องดีไซน์ และการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้กับบริษัทส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับของเขา ด้วยเหตุผลกลใดก็สุดจะรู้ เพราะเจ้าตัวไม่ได้บอกอะไรพี่ชายมากไปกว่าแค่บอกว่าไม่อยากอยู่เมืองไทยแล้วก็ตัดสินใจไปเรียนต่อด้านการออกแบบเครื่องประดับที่ฝรั่งเศสสองปี ครั้นพอเรียนจบก็ไม่ยอมกลับมาช่วยงานเขาอีก ให้เหตุผลเพียงว่าอยากจะหาประสบการณ์ต่ออีกสักพัก และวาคิมก็รู้ดีว่าลองน้องสาวเขาพูดว่าจะทำอะไรแล้ว ใครก็ไม่อาจจะเข้าไปขวางได้ วาคิมทำได้แค่พยายามเข้าใจ แต่เขาก็ไม่แน่ใจว่าจะเข้าใจความคิดของน้องสาวตัวเองได้ดีนักหรอก แต่ถึงยังไงเขาก็ตามใจน้องสาวจนเคยตัวไปเสียแล้ว นั่นเพราะว่ามีกันแค่สองคนพี่น้อง และวาคิมก็ทำหน้าที่เป็นผู้นำครอบครัวมาตลอดตั้งแต่ผู้เป็นบิดาหมดลมหายใจไป
"ไม่อยากอยู่เฉยๆ...กลับมาจากเยี่ยมแม่ที่หัวหินแล้ว ว่าจะเริ่มงานเลย" คินสิตาให้คำมั่นกับพี่ชาย
"พี่ดีใจที่ได้ยินอย่างนั้น...เอาเป็นว่าพร้อมเมื่อไหร่ก็เข้ามาเริ่มงานได้เลย" วาคิมยิ้มกว้าง รอยยิ้มของเขาเต็มไปด้วยความสุข
" ขอบคุณมากค่ะพี่ชาย ไม่ว่าจะยังไง พี่ก็ยังใจดีเเสมอ" เธอกอดพี่ชายอีกครั้งด้วยความรู้สึกซาบซึ้งใจ ที่ไม่ง่ายนักที่คนแข็งๆ อย่างคินสิตาจะแสดงความรู้สึกอ่อนไหวออกมาตรงๆ เหมือนอย่างตอนนี้ ข้อนี้วาคิมรู้ดี เขามองตามหลังคินสิตา หลังจากเจ้าตัวเอ่ยลาอย่างปุปปับแล้วขอตัวกลับไป น้องสาวของเขาเคยเป็นคนสดใส ร่าเริง แต่พอเรียนจบมหาวิทยาลัยได้ไม่นาน เธอก็กลายเป็นคนเก็บตัว พูดจาน้อยคำ คล้ายคนเป็นโรคซึมเศร้า วาคิมยังจำได้ดีว่าอาการของน้องสาวในตอนนั้นดูย่ำแย่เพียงไหน เขาจึงไม่คิดที่จะปฏิเสธแม้แต่คำเดียวเมื่อเธอมาบอกเขาเรื่องความต้องการที่จะไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ และเมื่อครู่นี้ชายหนุ่มแน่ใจว่าเขายังเห็นความโศกซึ้งชนิดนั้นยังหลงเหลืออยู่ในแววตาของน้องสาว...
……………………………………………….
บ้านกึ่งกระท่อมหลังน้อย บนเนินทรายริมหาดอันสงบเงียบ
เสียงกรีดร้องของไอยดาปลุกเจ้าตัวให้ตื่นขึ้น!
หญิงสาวสะดุ้งลุกขึ้นนั่งบนเตียง หัวใจเต้นแรงมาก เหงื่อโทรมตัว หล่อนมองไปทั่วห้องด้วยสายตาทุกข์ทรมาน ปรารถนาจะเก็บเกี่ยวความมั่นคงของทุกอย่างรอบตัวเอาไว้ ห้องนอนเล็กๆ มีเฟอร์นิเจอร์น้อยชิ้นมาก ซึ่งหล่อนคุ้นตาเป็นอย่างดี แม้แต่ในเงามืดของตามราตรี
ไอยดาเลียริมฝีปากแห้งผากโอบแขนกอดรัดตัวเองเอาไว้ ทว่าความหนาวเย็นยะเยือกและความกลัวในใจไม่ลดน้อยลงเลย มีแต่ยิ่งเพิ่มมากขึ้น...ฟันของหล่อนกระทบกันหงึกๆ แม้จะพร่ำบอกตัวเองว่า...
"เธอปลอดภัยแล้วไอยดา...เธอปลอดภัยแล้ว"
หล่อนพร่ำพูดจนเหมือนคำอธิษฐานในใจ ขณะต่อสู้เพื่อรักษาสติสัมปชัญญะให้ครบถ้วนดังเดิม
ฝันร้าย...มันเป็นแบบนี้เสมอ
ตั้งแต่เด็กจนโตหล่อนมักจะฝัน เงาทะมึนอำมหิตย่างสามขุมเข้ามาใกล้ ความมืดดำที่โอบล้อมให้หล่อนค่อยๆ จมหายลงไป ภาพเหล่านั้นไม่เคยเปลี่ยนแปลง ยิ่งนานวันความกลัวของไอยดายิ่งเพิ่มเป็นทวีคูณ
หล่อนต้องการอากาศบริสุทธิ์
หญิงสาวลุกขึ้นไปคว้าเสื้อคลุมตัวโปรดสีชมพูอ่อนแบบมีฮู๊ดด้านหลังมาสวมใส่อย่างเร่งรีบท่ามกลางความมืด ไม่กี่นาทีหลังจากนั้นก็ออกมาจากห้องนอน วิ่งถลาลงบันไดแล้ววิ่งออกพ้นประตูบ้านหลังเล็กจ้อยไป ในใจนั้นรู้ดีว่าจะไปที่ใด มันเป็นสถานที่เดียวที่ให้ความสงบ ช่วยเยียวยาความเจ็บปวดและอ้างว้าง
……………………………………………….
คืนวันพระจันทร์เต็มดวง...ชายหาดราบเรียบ หัวหิน
คินสิตายืนนิ่งไม่ไหวติงบนชายหาดริมฝั่งทะเล ไม่รับรู้ถึงสายลมทะเลหนาวเย็นที่กระหน่ำใส่เรือนผมจนสะบัดปลิว เธอออกมานั่งเหม่อมองพระจันทร์นวลแสงอยู่บนโขดหินริมฝั่งหน้าบ้านพักริมทะเลบนหาดส่วนตัวที่เป็นสมบัติสืบทอดกันมาของครอบครัว ทุกครั้งที่ได้มาที่นี่ เธอชอบมานั่งตรงนี้เพื่อปลดปล่อยความคิดให้ล่องลอยไปอย่างไร้จุดหมาย เธอชอบมองดวงจันทร์กับเงาสะท้อนในทะเลเป็นที่สุด คินสิตาเคยนึกสงสัยกับตัวเองมาหลายหนแล้วว่า จะมีใครเคยใช้เวลายามค่ำคืนนั่งคิดคร่ำครวญเหมือนกับเธอบ้างหรือไม่
หลังจากมาถึงบ้านริมหาดเมื่อช่วงเย็นย่ำที่ผ่านมา และปล่อยให้มารดากอดรัด อีกทั้งพร่ำพรรณนาว่าท่านคิดถึงเธอมากมายเพียงใดแล้วคินสิตาก็เดินขึ้นไปห้องนอนของตัวเอง แช่ตัวในอ่างอาบน้ำเพื่อช่วยชำระล้างทั้งฝุ่นไคลและความเหนื่อยล้าไปจากร่างกาย หลังจากแต่งตัวด้วยยีนส์เก่าซีดๆ กับเชิ้ตแขนยาวสีฟ้าอ่อน และกลับลงมาทานมื้อค่ำกับมารดาแล้ว เธอก็ออกมานั่งที่นี่ ณ จุดที่กำลังนั่งขณะนี้ และเป็นจุดเดียวกับที่เธอเคยมานั่งทุกๆ ครั้งที่มาพักที่นี่
คินสิตาอายุยี่สิบห้าย่างยี่สิบหกแล้ว ยังไม่มาก แต่ก็มากพอที่จะรู้สึกเหงา นานแค่ไหนแล้วนะที่เธอไม่ได้ออกเดทเลย หรือแม้แต่จะรู้สึกถูกใจหมายปองใครสักคนก็ไม่มี เธอรู้ว่านี่เป็นความผิดของเธอเอง มีอะไรหลายอย่างคอยกั้นขวางระหว่างเธอกับใครคนใดก็ตามที่มีท่าทีอยากมาใกล้ชิด อะไรที่เธอไม่แน่ใจว่าจะเปลี่ยนมันได้ต่อให้ตั้งใจจะเปลี่ยนก็เถอะ บางครั้งบางคืนก่อนเข้าสู่ห้วงนิทรา เธอเคยนึกสงสัยว่าฟ้าดินคงลิขิตให้เธอต้องอยู่ตัวคนเดียวไปตลอดกระมัง ล่วงเลยเข้าสู่ราตรีกาลแล้ว เธอคิดว่าเสียงของธรรมชาติช่างมีชีวิตชีวาเร้าอารมณ์ มีบางครั้งที่หวนนึกถึงเสียงธรรมชาติเช่นนี้ โดยเฉพาะหลังจากเรียนจบจากมหาวิทยาลัยแล้ว
คินสิตารู้สึกว่าตัวเองโดดเดี่ยวซะเหลือเกินในยามนี้ บรรยากาศที่ริมชายฝั่งช่างเงียบเหงา...ครั้งหนึ่งเธอเคยคิดจะมีคนรักสักคน ถึงเธอจะไม่เคยคิดฝันว่าจะมีการแต่งงานเกิดขึ้นก็เถอะ แต่อย่างน้อยเธอยังรู้ตัวว่าเคยมีความรักครั้งหนึ่ง ครั้งเดียวเท่านั้น มันนานมาแล้ว แต่มันได้เปลี่ยนเธอไปเกือบทั้งชีวิต ความรักที่เลิศล้ำสามารถทำเช่นนี้ได้กับคนผู้หนึ่ง และในกรณีนี้มันเป็นการเปลี่ยนโดยสิ้นเชิง
หมู่เมฆเคลื่อนข้ามขอบฟ้าช้าๆ ประกายแห่งแสงจันทร์ก่อตัวหนาขึ้น จิตใจคินสิตาเริ่มล่องลอยย้อนไปสู่คืนวันหนึ่งที่เหมือนกับคืนนี้เมื่อเกือบสี่ปีก่อน
ณ งานเลี้ยงจบการศึกษาของภาควิชาที่เธอศึกษาอยู่ บรรยากาศคึกคักไปทั่วห้องที่จัดเลี้ยง คืนนั้นอากาศร้อนชื้น...เธอเดินเข้างานมาคนเดียว ขณะกำลังเบียดเสียดกับคนอื่น เพื่อมองหาหญิงสาวผู้กุมหัวใจของเธอได้ แล้วในที่สุดเธอก็ได้พบ...หล่อนสวย คินสิตายังจำความรู้สึกวูบแรกที่เห็นผู้หญิงคนนั้นในคืนนั้นได้ และเมื่อเธอก้าวเข้าไปทักทาย หล่อนก็หันมามองด้วยดวงตาหวานฉ่ำ
"สวัสดีค่ะ คิน" หล่อนทักด้วยท่าทีสบายๆ
ค่ำคืนนั้นเริ่มต้นอย่างธรรมดา และไม่น่าจะต้องจดจำรำลึกถ้าหากไม่ใช่ผู้หญิงคนนั้น ทันทีที่สบตาสดใสคู่นั้นก็รู้ว่าได้ว่านี่คือผู้หญิงของเธอ คืนนี้หล่อนช่างดูสวย ดูดีไปหมด ในสายลมฤดูร้อนที่ผ่านพลิ้ว...คืนนี้ต้องจบลงอย่างไม่ธรรมดา...เธอต้องรีบสารภาพความรู้สึกลึกซึ้งที่ยิ่งนานวันยิ่งทำให้ตัวเองรู้สึกอึดอัดในหัวใจให้หล่อนได้รับรู้เสียที...และคินสิตาก็ทำสำเร็จแม้จะประหม่าและเก้อเขินเป็นที่สุดแต่สาวน้อยผู้นั้นก็รับทราบและตอบรับความรู้สึกของเธอด้วยความยินดีอย่างท้วมท้น
คืนหนึ่ง ทั้งคู่ออกไปหาเครื่องดื่มเบา ๆ จิบกันที่ผับใกล้ ๆ คอนโดของคินสิตา ทั้งคู่แต้นรำกันจนผับปิด ก่อนที่จะกลับบ้านและคินสิตาได้จูบหล่อนเป็นครั้งแรก มันทำให้นึกสงสัยว่าทนอดใจรอมานานขนาดนั้นได้อย่างไร และแทนที่จะปล่อยให้หล่อนเข้าห้องไปนอน คินสิตาจูงมือหล่อนไปนั่งที่โซฟา หลังจากนั้นทั้งสองก็ได้ใช้เวลานานนับชั่วโมงบอกเล่าความฝันแก่กัน...และแล้วในคืนอันร้อนชื้นนั้น สองสาวก็เสียความบริสุทธิ์ให้แก่กัน หลังจากนั้นอีกเพียงสามสัปดาห์หล่อนก็จากไปพร้อมกับฤดูร้อนและหัวใจของใครคนหนึ่ง คินสิตาเฝ้ามองหล่อนผู้นั้นจากไปในเช้าตรู่ของวันฝนพรำ ...
เธอจำได้ว่าเคยพูดถึงหล่อนให้เพื่อนชาวต่างชาติฟัง ครั้งแรกเพื่อนของเธอส่ายหน้าหัวเราะ "นี่ใช่มั้ยปิศาจที่คุณต้องวิ่งหนีหัวซุกหัวซุน" เธอทำหน้างงกับคำพูดของเพื่อน ก่อนจะได้คำตอบว่า "ความทรงจำก็เหมือนเงาปิศาจที่คอยตามหลอกหลอนเราไงล่ะ"
เมื่อภาพความทรงจำที่ลอยอยู่ตรงหน้าค่อยลบเลือนไป คินสิตาเงยหน้าขึ้นมองดวงเดือน ดวงดาวที่พร่างพราวเต็มฟ้าในค่ำคืนนั้น ถอนหายใจยาว ลึก แต่มีเพียงความอ้างว้างเท่านั้นที่เธอสัมผัสได้...
คินสิตายกมือที่มีนิ้วเรียวยาวของตนเองเสยผมดำสนิท รู้สึกถึงละอองชื้นจับอยู่ตามเส้นผม เธอเริ่มออกเดินอีกครั้ง พยายามข่มความรู้สึกหดหู่ของตัวเอง นึกถึงประสบการณ์รักที่ยังฝังใจว่าคงจะเป็นเพียงแค่สิ่งเปราะบาง เป็นแค่ภาพลวงตาพอๆ กับความรักที่คงมีอยู่จริงเฉพาะในบทกวีของนักประพันธ์หรือมิฉะนั้นก็ของคนช่างฝันหวานเท่านั้น
ใจของหญิงสาวอ้างว้าง หนาวเหน็บ รู้สึกตัวคนเดียว จนต้องรำพึงกับตนเองว่าในที่สุดแล้วมนุษย์ทุกคนก็มีเพียงตัวตนของตนเท่านั้น ไม่มากหรือน้อยไปกว่านั้นเลย...
……………………………………………….
มีต่อในเม้นที่ 1 นะคะ