ดาวบนพื้นน้ำ
บทที่ ๙ : บาดแผลที่ไม่มีวันจาง
เช้าตรู่อากาศเย็นสบายพัดมาตามหน้าต่างห้องนอนของธนัญญา ในใจของหญิงสาวนึกประหวั่นพรั่นพรึงยิ่งนัก ครูสาวค่อยๆลืมตาขึ้นมาพร้อมกับกวาดสายตาไปรอบๆห้องแต่ไม่พบสิ่งผิดปรกติ เธอจึงลุกขึ้นเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าภายในห้องนอนของตนเองแล้วไปอาบน้ำยังห้องน้ำที่อยู่อีกด้านของอาคารสถานสงเคราะห์เด็กกำพร้าแห่งนี้
หญิงสาวรีบอาบน้ำแต่งตัวด้วยเสื้อโปโลสีชมพูอ่อน กระโปรงตัวยาวบานๆสีช็อกกิ้งพิ้งค์ แล้วเดินเข้าไปหาแม่ครูเดือนฉายในห้องครัว ผู้มีพระคุณของหญิงสาวกำลังใช้ทัพพีคนข้าวต้มหมูที่ตั้งไว้ในหม้อบนเตา
“อ้าวน้องเรย์ตื่นแล้วหรือลูก ไปเก็บผักบุ้งมาให้แม่ครูหน่อยสิจ๊ะ แม่จะผัดให้น้องๆทานเป็นอาหารเช้า” แม่ครูเดือนฉายบอกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนขณะกำลังง่วนอยู่กับการประกอบอาหารมื้อเช้า
“ค่ะ” ธนัญญายิ้มให้ผู้มีพระคุณก่อนจะถือกระจาดเดินออกไปหลังบ้าน ซึ่งเป็นสวนครัวขนาดใหญ่ มีผักหลายชนิด เช่น ตะไคร้ โหระพา กระเพรา พริก คะน้า ผักกาด ซึ่งแปลงที่ใหญ่ที่สุดเป็นผักบุ้ง ธนัญญาเลือกเก็บผักบุ้งที่ลำต้นสีเขียวอ่อนอวบน้ำน่ารับประทานใส่กระจาด
“มาแล้วเหรอจ๊ะน้องเรย์ ขอบใจนะจ๊ะ” แม่ครูสูงวัยรับกระจาดใส่ผักบุ้งมาจากหญิงสาวมาวางไว้บนโต๊ะ
“เดี๋ยวหนูผัดผักบุ้งและทำอาหารให้น้องๆทานเอง แม่ครูไปพักเถอะนะคะ” ธนัญญากล่าวพร้อมกับขอผักบุ้งกระจาดดังกล่าวไปล้างทำความสะอาดยังอ่างล้างภาชนะภายในห้องครัวนั้น
“จะดีเหรอลูก หนูเหนื่อยกับงานมากพอแล้ว มาบ้านทั้งทีแม่อยากให้หนูได้พักบ้าง” แม่ครูสูงวัยกล่าวกับหญิงสาวด้วยแววตาอ่อนโยนขณะมองเจ้าหล่อนหยิบจับงานในครัวด้วยความคล่องแคล่วอยู่ชั่วครู่ก่อนหันกลับไปทำข้าวต้มต่อ
“ถ้าเป็นไปได้หนูไม่อยากกลับไปที่นั่นอีกแล้วค่ะ อยากอยู่ที่นี่กับแม่ครูและน้องๆตลอดไป...” ธนัญญาพูดด้วยน้ำเสียงแผ่ว ในมือของหญิงสาวหั่นผักบุ้งเพื่อประกอบอาหารแต่สายตากลับเหม่อมองออกไปไกล
“เป็นอะไรไปลูก งานหนักเหรอจ๊ะ” แม่ครูเดือนฉายละสายตาจากข้าวต้มหมูที่กำลังปรุงอยู่ หันมามองหญิงสาวด้วยสายตาและน้ำเสียงที่เปี่ยมไปด้วยความห่วงใย
“เปล่าหรอกค่ะ โอ๊ย !” ด้วยความไม่ระวังทำให้คมมีดบาดลึกเข้าไปในนิ้วเรียวสวยนั้น เลือดสดๆไหลออกมาเต็มผักที่หั่นอยู่บนเขียง
“ตายแล้ว น้องเรย์เจ็บมากไหมลูก” แม่ครูเดือนฉายกุลีกุจอมาทำความสะอาดบาดแผลให้หญิงสาว หญิงสาวมองบาดแผลแล้วสะท้อนในหัวอกบาดแผลเพียงเท่านี้เทียบไม่ได้กับบาดแผลในหัวใจของเธอเลยสักนิด
“ผักเปื้อนหมดเลย หนูขอโทษนะคะ”
“จะมัวไปห่วงผักทำไม มาเร็วเดี๋ยวแม่ทำแผลให้” แม่ครูเดือนฉายเดินไปหยิบกล่องยาและอุปกรณ์ทำแผลมาจากห้องพยาบาลของอาคารแห่งนี้
“ขอบคุณนะคะแม่ครู” ธนัญญากล่าวกับผู้มีพระคุณ เมื่อปลาสเตอร์ยาแผ่นใหญ่สีหวานถูกปิดทับรอยแผลที่นิ้วของเธอ หลังจากใส่ยาเรียบร้อยแล้ว
“ไปพักซะไป๊ ไม่ต้องมาช่วยแม่ครูหรอกลูก”
“แต่ว่า แผลแค่นี้หนูยังไหวค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้น หนูเอาข้าวต้มถ้วยนี้ไปป้อนแม่ครูธัญทิพย์นะจ๊ะ ระวังอย่าให้แผลของหนูโดนน้ำล่ะ” แม่ครูเดือนฉายกล่าวขณะปรุงรสข้าวต้มหมูหม้อนั้นด้วยซีอิ๊วขาวจากนั้นจึงใส่ต้นหอมและผักชีที่หั่นเป็นท่อนๆเป็นลำดับท้าย แล้วตักใส่ชามเพื่อนำไปให้คนป่วยรับประทาน
“ค่ะ” หญิงสาวรับคำก่อนถือถาดใส่ข้าวต้มหมูหนึ่งชาม น้ำหนึ่งแก้ว พร้อมแก้วใบเล็กใส่ยารักษาโรคไปยังห้องพักของแม่ครูธัญทิพย์
“แม่ครูขา ทานข้าวได้แล้วค่ะ” ธนัญญาเข้ามาในห้องพักของแม่ครูผู้มีพระคุณของหญิงสาวอีกท่านหนึ่ง ขณะนี้ท่านแต่งกายเรียบร้อยด้วยเสื้อผ้าชุดใหม่ ใบหน้าและผมเผ้าก็สะอาดสะอ้านเรียบร้อย คาดว่าก่อนหน้านี้แม่ครูเดือนฉายคงเข้ามาดูแลแล้วรอบหนึ่ง
“น้องเรย์อยากรู้ไหมจ๊ะว่าใครคือพ่อแม่ของหนู” แม่ครูธัญทิพย์เอ่ยปากถามขึ้นหลังจากรับประทานอาหารมื้อเช้าเสร็จแล้ว
“หนูไม่อยากรู้หรอกค่ะแม่ครู ป่านนี้พวกท่านคงมีลูกใหม่มีครอบครัวที่มีความสุขและลืมหนูไปหมดแล้ว ชีวิตหนูมีแต่แม่ครูทั้งสองที่ชุบเลี้ยงมาก็พอแล้ว เดี๋ยวหนูเอาไปชามไปล้างและไปช่วยแม่ครูเดือนฉายดูแลน้องๆก่อนนะคะ”
“น้องเรย์ แม่ครูขอโทษ...” แม่ครูวัยกลางคนกล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่ว ในขณะที่หญิงสาวเจ้าของชื่อออกจากห้องพักของตนเองไปร่วมนาทีแล้ว
..................................................................................
คืนนั้นหลังจากช่วยแม่ครูเดือนฉายดูแลแม่ครูธัญทิพย์และน้องๆเรียบร้อยแล้ว ธนัญญามายืนชมท้องฟ้ายามค่ำตรงม้านั่งหลังอาคารสถานสงเคราะห์เด็กกำพร้าซึ่งเธออยู่อาศัยมาตั้งแต่จำความได้ ค่ำคืนนี้ท้องฟ้าสลัว แสงดาวพร่างพราวอยู่เต็มท้องฟ้า พยับเมฆเพียงบางๆไม่ได้เข้ามาบดบังแสงสกาวเหล่านั้น กลิ่นดอกไม้ราตรีระรวยความหอมมาตามสายลมเอื่อยเป็นครั้งคราว สายลมเย็นที่พัดมาเพียงแผ่วๆแต่สร้างความเหน็บหนาวให้หญิงสาวยิ่งนัก เธอจึงเดินกลับเข้ามาในอาคารแห่งนั้นอีกครั้งเพื่อเข้าห้องพักของตนเอง
ดวงเดือนทอแสงนวลสาดส่องลอดผ่านผ้าม่านสีหวานเข้ามาในห้องนอน หญิงสาวเดินตรงไปยังเตียงนอน ก่อนจะดึงผ้าห่มสีเดียวกับผ้าม่านขึ้นมาห่มและล้มตัวลงนอน มือบางคว้าโทรศัพท์มือถือที่วางเอาไว้บนโต๊ะข้างเตียงมากดเลขหมายปลายทางที่คุ้นเคย
เสียงเพลงจากโทรศัพท์มือถือดังขึ้นทำให้ปิญารัตน์ผละออกจากอ้อมแขนอุ่นของกนกพิชญ์แต่ยังมิวายใช้มืออีกข้างโอบเอวของสาวเจ้าเอาไว้ ก่อนจะล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงแล้วหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา สีหน้าของหญิงสาวสลดวูบเมื่อชื่อของธนัญญาโชว์หราอยู่ที่หน้าจอโทรศัพท์
“ใครโทรมาคะ ทำไมไม่รับสาย” น้ำเสียงหวานของกนกพิชญ์เอ่ยถามเมื่อเห็นอีกฝ่ายกดสายทิ้ง
“เรย์โทรมาจ๊ะ” ปิญารัตน์ตอบด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก
“ถ้าอย่างนั้นพี่เจนก็รับสายพี่เรย์สิคะ แพมขอตัวไปนอนก่อนนะคะ พรุ่งนี้ต้องตื่นไปทำงานแต่เช้า...” กนกพิชญ์พูดจบก็แกะมือที่โอบเอวเธอเอาไว้ ก่อนเดินขึ้นไปยังตัวบ้านเพื่อเข้าห้องของตนเอง
“ฮัลโหล...” เสียงเพลงจากโทรศัพท์มือถือดังขึ้นอีกครั้ง ปิญารัตน์กดรับสายด้วยน้ำเสียงสั่น
“เจนหลับแล้วเหรอคะ ทำไมรับสายช้าจัง” กลับมาด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย เกรงว่าเสียงโทรศัพท์ยามวิกาลของเธอจะรบกวนเวลาแห่งความสุขของคนรัก
“ยังไม่นอนหรอกจ๊ะ” น้ำเสียงเนือยๆคล้ายไม่อยากสนทนาจากปลายสาย ทำให้ธนัญญารู้สีกได้ถึงความเปลี่ยนไปของปิญารัตน์ หยดน้ำใสคลั่งคลอริ้นขอบตา
“ชมจันทร์อีกแล้วใช่ไหมคะ แล้วน้องแพมล่ะคะ เรย์ไม่อยู่ฝากดูแลน้องสาวเรย์ด้วยนะคะ...” ถามทั้งน้ำตาเมื่อเอ่ยถึงกนกพิชญ์ คนรักเก่าของปิญารัตน์ ซึ่งเธอนึกเอ็นดูราวกับหล่อนเป็นน้องสาวแท้ๆของตนเอง
“แพมเข้าห้องนอนตั้งแต่หัวค่ำจ๊ะ แล้วทางนั้นเป็นอย่างไรบ้าง”
“เรียบร้อยแล้วค่ะ วันอาทิตย์เรย์ก็จะกลับแล้ว...แต่ตอนนี้ดึกแล้วเข้าห้องนอนได้แล้วนะคะ อยู่ตรงระเบียงคนเดียวอันตรายออกค่ะ”
“รับทราบครับผม ถ้าอย่างนั้นเจนเข้านอนแล้วนะ ฝันดีจ๊ะเรย์”
“ฝันดีค่ะเจน”
ปลายสายวางไปแล้ว ธนัญญานอนลืมตานิ่งอยู่บนเตียงสีหวาน หยดน้ำใสไหลอาบแก้มนวล เจ้าของ ของเขากลับมาแล้วสินะ สิ่งที่เธอควรจะทำ คือ คืนเขาไปให้เจ้าของเดิมใช่ไหม...
ในขณะที่หญิงสาวกำลังจะข่มตาให้หลับ สายตาของเธอก็กระทบเข้ากับบางสิ่งบางอย่างที่ยืนอยู่ตรงปลายเตียงที่เธอนอนอยู่
“คุณ...คุณอย่าทำอะไรฉันนะ ฉันกลัวแล้ว” หญิงสาวพูดออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่ว เมื่อร่างอรชรของหญิงสาวในฝัน นุ่งผ้าไหมสอดดิ้นทองฉลุเชิงปักลายไทยยาวกรอมเท้า ห่มสไบเฉียงสีครีมนวลปักดิ้นทอง ใบหน้าที่งดงามผิวขาวบริสุทธิ์ผุดผ่องเปล่งประกาย ปรากฏร่างให้เห็น
“ที่เรามาวันนี้ไม่ได้ต้องการทำร้ายเจ้า” อิสสตรีนางนั้นพูดด้วยสีหน้าราบเรียบ พร้อมกับทรุดตัวนั่งบนเตียงนอนที่ธนัญญากำลังนอนอยู่
“แล้วคุณต้องการอะไร”
“เราต้องการให้เจ้าต้องชดใช้สิ่งที่เจ้าทำไว้กับเรา ทัณฑิกา!” หญิงสาวในชุดโบราณหันมาเฉพาะส่วนศีรษะในขณะที่ลำตัวยังหันอยู่ในทิศทางเดิม ก่อนตะโกนออกมาด้วยน้ำเสียงกร้าว
“ชดใช้อะไร ฉันไม่เคยทำอะไรคุณ” หญิงสาวถามออกมาด้วยความสงสัยระคนหวาดกลัว
“อดีตชาติของเจ้าเยี่ยงไรเล่า” สายตาของหญิงสาวนางนั้นจ้องมองมายังเธอด้วยสายตาที่เศร้าสร้อยและทุกข์ระทม
“คุณอโหสิกรรมให้อดีตชาติของฉันเถอะนะ ฉันเกิดชาติใหม่แล้วไม่ได้รู้เรื่องด้วยเลยสักนิด” ธนัญญาพนมมือไหว้หญิงสาวนางนั้นด้วยความตระหนก
“เจ้าจะให้เราอโหสิกรรมให้นาง ทั้งๆสิ่งที่นางทำให้เราต้องตายเยี่ยงนั้นฤๅ เจ้าจำเอาไว้ว่าต่อให้เจ้าเกิดอีกกี่ชาติ เจ้าก็ต้องชดใช้ให้เรา” เมื่อพูดจบร่างของอิสตรีที่ชื่อภัควลัญชญ์ก็จางหายไปต่อหน้าต่อตา ในขณะที่สติสัมปชัญญะของหญิงสาวดับวูบไป...
...