Dream ฝันค้างบนทางรัก Yuri
บทที่ ๑๔ : ฤๅลิขิตฟ้ามากั้นรัก
หลังจากที่เจ้าหญิงนลินยุพาทรงแต่งพระองค์เสร็จก็ทรงเสด็จพระดำเนินมายังท้องพระโรง พระธิดาทรงทอดพระเนตรเห็นว่าทุกพระองค์เสด็จโดยพร้อมเพรียงกันแล้ว บนพระราชบัลลังก์ทองคำสุกปลั่งพระเจ้าชัยวรเมธประทับเคียงข้างกับพระนางสวรินทร์เทวี พร้อมด้วยเจ้าชายธราเทพพระเชษฐาของพระธิดา เมื่อเจ้าหญิงนลินยุพาประทับบนพระราชบัลลังก์เรียบร้อยแล้ว ท้าวชัยวรเมธจึงทรงพระราชทานอนุญาตให้ราชทูตจากเมืองบุปผาลัยอ่านพระราชสาส์น
เมื่อราชทูตได้อ่านพระราชสาส์นจบ เจ้าหญิงนลินยุพาก็เสด็จตรงกลับพระตำหนัก ก่อนจะทิ้งพระวรกายลงบนพระแท่นบรรทม ทรงกรรแสงร่ำไห้ราวพระทัยกำลังแตกสลาย
“ลูกหญิง....” พระนางสวรินทร์เทวีผู้เป็นพระราชมารดาทรุดพระองค์ลงเคียงข้างก่อนรับสั่งปลอบประโลม
“อย่าร้องไห้ไปเลยลูกรัก แม่เห็นแล้วปวดใจยิ่งนัก”
“ลูกไม่อยากอภิเษกด้วยเสด็จพี่อติรัณณ์ ลูกมิได้รักพระองค์” พระธิดาผู้น่าสงสารทูลตอบพระสุรเสียงสั่นเป็นที่น่าเวทนายิ่งนัก
“แม่จะทูลขอเสด็จพ่อให้”
“ฮือ....ถึงเสด็จพ่อจะเห็นใจลูกแต่เสด็จพี่อติรัณณ์ฤๅจะทรงยอมเพคะ หากลูกปฏิเสธก็คงต้องจะเกิดสงครามในไม่ช้า” พระมารดาได้สดับดังนั้นก็พระทัยหาย
“บางทีอาจจะให้ลูกธราเทพ ทูลสู่ขอเจ้าหญิงมณีจันทร์มาเป็นพระมเหสีอาจจะเป็นทางที่จะเลี่ยงสงครามได้” พระนางตรัสตอบ
นั่นยิ่งสร้างความทุกข์สาหัสแก่พระธิดา เพราะจะบอกใครได้เล่าว่าเพลานี้ดวงฤทัยของพระองค์มีเพียงพระพักตร์หวานของเจ้าหญิงมณีจันทร์ซึ่งเป็นอิสตรีเยี่ยงเดียวกับพระองค์ ซึ่งพระองค์มิได้คิดหมายปองหญิงหรือชายอื่นใดอีก
ราตรีนี้หม่นมัวนัก พยับเมฆเคลื่อนทับบดบังแสงดาวแสงเดือนจนดูอึมครึมไปทั่วทั้งพระนคร สายฝนกระหน่ำลงมาในกลางดึกคืนนั้นราวกับรับรู้ถึงความทุกข์ระทมของเจ้าหญิงนลินยุพา คืนนั้นพระธิดานลินยุพาเข้าบรรทมทั้งน้ำพระเนตร
“ท่ามกลางคืนเหน็บหนาวดาวไร้เมฆ ดูวิเวกหวั่นไหวชวนไห้หวน
เสียงลมหวิวปลิวไหวคล้ายใจครวญ ภาพเก่าชวนหวนหาให้อาลัย
หยดน้ำตาคั่งค้างหว่างร่องแก้ม สะอื้นแซมเกินกลั้นด้วยหวั่นไหว
กลางคืนหนาวเช้าร้อนอ่อนฤทัย ชลนัยน์ไหลหลั่งทั้งอุรา
เสียงเต้นรัวหัวใจยามไหวเปลี่ยว ใจห่อเหี่ยวร่วงโรยเฝ้าโหยหา
สายลมคลึงดึงร่วงพวงน้ำตา หยาดหยดรดบนหน้าข้ารำพัน
ฤๅฟ้าแกล้งให้ห่างนุชสุดสวาท จนชีวาตม์ทรมาแทบอาสัญ
ด้วยรักร้างจางสวาทขาดสัมพันธ์ ฟ้าลงทัณฑ์สาปใจให้ตรอมตรม
ลิขิตฟ้ามากั้นใจฤทัยโศก แสนวิโยคกล้ำกลืนสุดขื่นขม
เฝ้าโหยหาอาลัยใจระทม ใจโศกซมคิดถึงเจ้าเยาวมาลย์”
...........................................................................
ทางฝ่ายเจ้าหญิงมณีจันทร์ทรงรอเจ้าหญิงนลินยุพาพระดำเนินมาหา รอแล้วรอเล่าแต่ก็ไร้วี่แวว พระนางมิได้เสด็จมาเหมือนดังคืนก่อน
“เกสร ทำไมป่านนี้แล้วเจ้าพี่ยังไม่เสด็จมา” พระธิดาทรงตรัสและดำเนินมาไปรอบๆห้องพระบรรทมด้วยความกระวนกระวาย
“หม่อมฉันมิทราบเพคะ”
“เฮ้อ...ถ้าคืนนี้พระองค์ไม่มา เราจะไปหาพระองค์เอง
“จะทรงเสด็จได้เยี่ยงไรเพคะ หนทางที่จักไปก็ไกลหนักหนา”
“ไปได้สิ ทำไมจักไม่ได้ ในเมื่อเจ้าพี่ยังทรงอุตส่าห์ดั้นดั้นมาหาเราจนได้ ทำไมเราจะหาหนทางไปหาพระองค์บ้างมิได้เล่าเกสร”
“แต่...”
“ไม่มีแต่เกสร เจ้าไปให้คนเตรียมม้าไว้เถิด เราจักไปหาพระองค์”
“พระองค์ทรงม้าเป็นฤๅเพคะ”
“ถึงจะไม่เป็นแต่มันคงจะเป็นหนทางเดียวที่จะทำให้เราได้พบพระองค์มิใช่ฤๅ”
“ทรงทำพระทัยเย็นไว้เถิดเพคะ ยังไงเสียวันพรุ่งพระองค์ก็จักได้พบพระนางอยู่ดีเพคะ”
“เจ้าหมายความว่าเยี่ยงไร เกสร”
“เอ่อ...วันพรุ่งเมืองเราจะไปเยือนนครพินทุปุระเพคะ”
“จริงรึเกสร เรายินดีที่สุดเลย วันพรุ่งเราจักได้พบพระองค์แล้ว”
“เพคะ หม่อมฉันยินดีด้วยนะเพคะ”
“ถ้าเยี่ยงนั้น เรารีบนอนดีกว่า วันพรุ่งจักได้ตื่นเช้าๆ” เจ้าหญิงมณีจันทร์ตรัสถามพระพี่เลี้ยงเกสรในขณะที่ทรงบรรทมบนพระแท่นบรรจถรณ์แล้ว
“เพคะ พระธิดา” พระพี่เลี้ยงเกสรพูดก่อนจะคลุมผ้าบรรทมให้พระธิดา
จากนั้นเจ้าหญิงมณีจันทร์ก็ทรงเข้าสู่ห้วงนิทรารมย์อย่างปิติสุขที่จักได้พบพระเชษฐภคินีในวันพรุ่ง ท่ามกลางการปรนนิบัติพัดวีของเกสรพระพี่เลี้ยงคนสนิทและเหล่านางกำนัล พระพี่เลี้ยงเกสรมองพระธิดาที่ทรงบรรทมหลับไปแล้วอย่างสงสารจับใจ พระธิดามิได้ทรงล่วงรู้เลยสักนิดว่า…..
วันพรุ่งที่จักเสด็จเยือนนครพินทุปุระนั้น หาใช่การเสด็จเยือนในฐานะราชอาคันตุกะโดยทั่วไปไม่ !!!!
...........................................................................
พระอาทิตย์ทอแสงอันแจ่มใสเมื่อรุ่งอรุณ น้ำฝนที่ติดอยู่ตามใบไม้ กอหญ้าต้องแสงอาทิตย์เป็นประกาย เมฆฝนที่ทะมึนอยู่เมื่อยามราตรีเหลือในสภาพเหมือนปุยนุ่นเล็กๆ ที่ถูกลมพัดปลิวไปติดขอบฟ้า บรรยากาศยามเช้าช่างสดใสต่างจากหัวใจใครคนหนึ่งซึ่งมีแต่ทุกข์ระทม !
เจ้าหญิงนลินยุพาถูกปลุกบรรทมแต่เช้าตรู่เพื่อขัดสีฉวีวรรณและแต่งองค์ทรงเครื่องเพื่อเตรียมการต้อนรับพระราชอาคันตุกะจากนครบุปผาลัยที่เสด็จมาสู่ขอพระองค์ พระนางทรงนุ่งผ้ายกสีน้ำเงินปักดิ้นทองห่มสไบแพรสีฟ้าขลิบทอง พระเกศาดำขลับถูกเกล้าเป็นมวยปักด้วยพระจุฑามณีทองคำลงยา แลดูงดงามราวกับนางอัปสร
เมื่อทรงเสด็จถึงท้องพระโรงก็พบว่าบนพระราชบัลลังก์ทองคำสุกปลั่งพระเจ้าชัยวรเมธประทับเคียงข้างกับพระนางสวรินทร์เทวี เจ้าชายธราเทพทรงประทับที่พระราชบัลลังก์ทองคำใกล้เคียงกัน ใกล้กันนั้นพระเจ้าชัยวรรธนะประทับเคียงข้างกับพระมเหสีศุภาวลัย พร้อมด้วยเจ้าชายอติรัณณ์ และเจ้าหญิงมณีจันทร์ พระนางถวายบังคม พระชนก พระชนนี พระเชษฐาตลอดจนผู้มาเยือนด้วยกิริยาที่ชดช้อยงดงามยิ่งนัก เจ้าชายอติรัณณ์ทรงเสด็จลงจากพระราชบัลลังก์ ไปประทับเคียงข้างเจ้าหญิงนลินยุพาซึ่งได้จัดไว้ต่างหาก
“นลินยุพา ที่อามาในวันนี้เพื่อมาสู่ขอหลานให้กับอติรัณณ์ หลานยินยอมพร้อมใจรึไม่” พระเจ้าชัยวรรธนะทรงรับสั่งขึ้นด้วยความเอ็นดูในท่วงท่าชดช้อยงดงามนั้น
ทางฝ่ายเจ้าหญิงมณีจันทร์ได้สดับดังนั้นก็พระพักตร์ซีดเผือดและปวดร้าวในพระทัยยิ่งนัก ที่แท้แล้วการเสด็จเยือนนครพินทุปุระในวันนี้เป็นการทูลสู่ขอพระเซษฐภคินีให้อภิเษกกับพระเชษฐา หาใช่การเสด็จเยือนในฐานะราชอาคันตุกะโดยทั่วไปไม่ !
“หม่อมฉัน...” เจ้าหญิงนลินยุพารับสั่งด้วยพระสุรเสียงตะกุกตะกักและแผ่วเบาด้วยความปวดร้าวพระทัย ทั้งๆที่ได้เตรียมพระทัยมาก่อนหน้านี้แล้ว และยิ่งได้ทอดพระเนตรเห็นพระพักตร์ซีดเผือดของเจ้าหญิงมณีจันทร์ พระทัยของพระองค์ก็เหมือนจะขาดรอนๆ
“ว่าอย่างไรล่ะลูกหญิง เจ้าเต็มใจรึไม่ก็บอกมาเถิด พ่อจะไม่บังคับเจ้า” พระเจ้าชัยวรเมธทรงรับสั่งขึ้นเมื่อพระธิดามิได้รับสั่งอันใดออกมา
“หม่อมฉันยินดีจะอภิเษกด้วยเจ้าพี่อติรัณณ์เพคะ...” รับสั่งด้วยความขื่นขมยิ่งนัก เพลานี้พระนางมิกล้าจะทอดพระเนตรมองเจ้าหญิงมณีจันทร์ แต่ถ้าหากพระนางจะทรงทอดพระเนตรสักนิดจะทรงพบกับพระพักตร์ที่ซีดเผือดพร้อมๆกับที่พระอัสสุชลค่อยๆไหลอาบพระพักตร์ทีละน้อยด้วยความร้าวรานพระทัย
“ขอบใจน้องมากที่ยอมอภิเษกกับพี่” เจ้าชายอติรัณณ์รับสั่งอย่างปิติสุขในพระทัยยิ่งนักตรงกันข้ามกับพระขนิษฐาของพระองค์เองที่เพลานี้มิต่างกับมีเข็มเป็นล้านๆเล่มมาปักที่ดวงหทัยของพระนาง
“หม่อมฉันขอแสดงความยินดีกับเจ้าพี่อติรัณณ์กับเจ้าพี่นลินยุพานะเพคะ ขอให้เจ้าพี่ที่หม่อมฉันรักทั้งสองพระองค์ทรงเกษมสำราญตราบนิรันดร์เพคะ” เจ้าหญิงมณีจันทร์รับสั่งด้วยพระสุรเสียงหวานแต่มีแววประชดใครบางคนอยู่ในที พระนางทอดพระเนตรเจ้าหญิงนลินยุพาอย่างไม่ละพระเนตร แต่อีกฝ่ายกลับเบือนพระพักตร์หนีและไม่ยอมสบเนตรด้วย ทั้งนี้เพราะความรู้สึกผิดกำลังเกาะกินพระทัยของพระนางอยู่นั่นเอง
“ขอบใจน้องมาก เสร็จจากงานอภิเษกของพี่ คงถึงคราวของน้องกระมัง ใช่รึไม่น้องธราเทพ” รับสั่งพร้อมทั้งทรงพระสรวลและทรงตรัสถามเจ้าชายธราเทพซึ่งทรงทราบดีว่าน่าจะทรงพึงใจเจ้าหญิงมณีจันทร์อยู่ไม่น้อย
“พระเจ้าค่ะ” เจ้าชายธราเทพตรัสก่อนทอดพระเนตรไปยังเจ้าหญิงมณีจันทร์ ก่อนที่จะขมวดพระขนงด้วยความสงสัย ใยพระพักตร์ของเจ้าหญิงมณีจันทร์จึงหมองเศร้าและเต็มไปด้วยคราบพระอัสสุชลเยี่ยงนี้ ทั้งๆที่อีกไม่กี่เพลาจะถึงงานมงคลของพระเชษฐา !!!
“เป็นอันว่าหลานตกลงจะอภิเษกด้วยกับลูกอติรัณณ์ ใช่ฤาไม่” พระเจ้าชัยวรรธนะทรงรับสั่งขึ้นอีกครั้ง เพื่อความแน่นอนว่าพระนางจะไม่ทรงเปลี่ยนพระทัย
“เพคะ หม่อมฉันตกลง” เจ้าหญิงนลินยุพารับสั่งด้วยพระสุรเสียงหนักแน่นเพื่อยืนยันว่าพระนางไม่เปลี่ยนพระทัย
“เป็นอันว่าตกลงตามนี้ งานจะอภิเษกจะจัดขึ้นในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้า เจ้าเห็นว่าอย่างไร” พระเจ้าชัยวรรธนะตรัสถามเจ้าหญิงนลินยุพาถึงกำหนดการจัดงานอภิเษก
“หม่อมฉันเห็นควรเพคะ...” รับสั่งด้วยความยินดียิ่งนักเพราะอย่างน้อย ยังมีเพลาให้พระนางได้เตรียมพระทัยเสียร่วมเดือน
“แต่กระหม่อมว่าน่าจะเลื่อนงานอภิเษกเข้ามาอีกหน่อยพระเจ้าค่ะ....กระหม่อมอยากอภิเษกเร็วๆ” หากแต่เจ้าชายอติรัณณ์ทรงรับสั่งคัดค้าน พระองค์ทอดพระเนตรมองเจ้าหญิงนลินยุพาอย่างทรงหลงใหลยิ่งนัก ดังนั้นหนึ่งเดือนจึงเป็นเพลาที่นานยิ่งนักสำหรับพระองค์
“เจ้าเห็นว่าเพลาเท่าใดจึงจะสมควร...” พระเจ้าชัยวรเมธทรงรับสั่งถามขึ้นมาบ้างเมื่อทรงเห็นแววกระตือรือร้นฉายออกมาจากพระเนตร ต่างจากผู้เป็นว่าที่เจ้าสาวที่พระพักตร์ซีดเผือดฉายแววหม่นเศร้าลงทุกทีๆ
“เจ็ดวันพระเจ้าค่ะเสด็จลุง เจ็ดวันก็เพียงพอแล้วในการเตรียมพิธีเฉลิมฉลองงานอภิเษกพระเจ้าค่ะ”
“ถ้าเยี่ยงนั้น ตกลงตามนี้ เจ็ดวันข้างหน้าจะมีพิธีอภิเษกระหว่างเจ้าชายอติรัณณ์และเจ้าหญิงนลินยุพา” พระเจ้าชัยวรเมธทรงรับสั่งพร้อมกล่าวปิดการประชุมก่อนรับสั่งแยกย้ายให้ทุกพระองค์เสด็จพักผ่อนตามพระอัธยาศัย ท่ามกลางความรู้สึกยินดีกันถ้วนหน้าทั้งสองนคร.....จะยกเว้นก็เสียแต่ผู้เป็นว่าที่เจ้าสาวและพระขนิษฐาของผู้เป็นว่าที่เจ้าบ่าวเท่านั้น !!!!
...........................................................................
พระจันทร์สีนวลจ้าส่องแสงอยู่วงรัศมีสีขาว น้ำขึ้นเต็มฝั่ง นิ่งไม่กระดุกกระดิก แต่เป็นเงาแวววาวเหมือนถาดเงินใบใหญ่ที่ขัดมัน เจ้าหญิงมณีจันทร์ทรงทอดพระเนตรพระจันทร์และสายน้ำในสระรมณ์นลินผ่านพระบัญชรที่เปิดไว้รับลมด้วยพระพักตร์หม่นหมอง พระอัสสุชลค่อยๆไหลรินลงมาอาบพระพักตร์ ทัศนียภาพของนครแห่งนี้งดงามยิ่งนักแต่พระนางกลับไม่มีกระจิตกระใจจะเชยชม พระทัยของพระนางล่องลอยไปถึงถ้อยคำที่เจ้าหญิงนลินยุพาเคยฝากรักไว้ว่าพระองค์จะทรงรักและภักดีกับพระนางแต่เพียงผู้เดียวแต่ในเพลานี้พระนางกลับอภิเษกกับพระเชษฐาของพระนางเอง พระนางทรงรู้สึกมิต่างจากโดยคนรักนำมืดดาบมาแทงข้างหลังจนทะลุถึงพระทัย ยิ่งนึกพระนางก็ยิ่งทรงเจ็บปวดพระทัยยิ่งนัก พระนางทรงทอดพระเนตรพระอนามิกาซึ่งสวมพระธำมรงค์ซึ่งเจ้าหญิงนลินยุพาทรงพระราชทานให้ก่อนจะค่อยๆถอดมันช้าๆและขว้างทิ้งไป
พระธำมรงค์วงน้อยลอยตามแรงขว้างมากระทบพระบาทของผู้มาเยือน ก่อนจะทรงก้มลงไปเก็บพระธำมรงค์ขึ้นมาไว้ในพระหัตถ์ พระองค์ทรงสาวพระบาทไปหาร่างบางของเจ้าหญิงมณีจันทร์ที่กำลังกันแสงสะอื้นไห้อย่างน่าเวทนานั้นด้วยความรู้สึกสงสารจับพระทัย เมื่อทรงพระราชดำเนินไปถึงก็ทรงยื่นพระธำมรงค์กลับคืนไปให้ผู้เป็นเจ้าของ
เจ้าหญิงมณีจันทร์ทอดพระเนตรผู้นำพระธำมรงค์มาคืนให้ด้วยความร้าวรานพระทัย แววพระเนตรฉายความเจ็บปวดอย่างปิดไม่มิด
“เจ้าพี่จะเสด็จมาหาหม่อมฉันทำไม ในเมื่อไม่กี่เพลาพระองค์ก็จักทรงอภิเษกแล้ว” พระสุรเสียงเต็มไปด้วยความตัดพ้อระคนน้อยพระทัยเมื่อได้ทอดพระเนตรเห็นผู้มาเยือน
“พี่ขอโทษน้องหญิง...พี่ขอโทษ...พี่ไม่ได้อยากให้เหตุการณ์มันไปเยี่ยงนี้แต่พี่ไม่มีทางเลือกจริงๆ” เจ้าหญิงนลินยุพาตรัสทั้งน้ำพระเนตรก่อนที่จะดึงพระวรกายบอบบางของเจ้าหญิงมณีจันทร์มาไว้ในวงพระกร
“ทรงปล่อยหม่อมฉันเถิดเพคะ....หากเจ้าพี่อติรัณณ์มาพบเข้าจักไม่พอใจที่ว่าที่พระชายามากอดกับผู้อื่นเยี่ยงนี้” ตรัสพร้อมกับพยายามออกจากอ้อมพระกรแต่ก็เป็นไปได้ยากเมื่ออีกฝ่ายกลับเต็มไปด้วยเรี่ยวแรงมหาศาลได้กระชับพระกรแน่นจนพระนางไร้เรี่ยวแรงขัดขืนทั้งๆที่พระวรกายบอบบางมิต่างกัน
“พี่รักน้องหญิงคนเดียว...น้องได้ยินรึไม่มณีจันทร์”
“อย่าทรงตรัสว่ารักหม่อมฉันอีกเลยเพคะ ถ้าพระองค์รักหม่อมฉันจริงๆ ไยพระองค์จักต้องอภิเษกกับผู้อื่นไยพระองค์จักต้องอภิเษกกับเจ้าพี่อติรัณณ์ด้วยเพคะ” ตรัสพร้อมทรงกันแสงสะอื้นอย่างไม่เข้าพระทัย
“มณีจันทร์ หากพี่ไม่ยอมอภิเษก เจ้าก็รู้มิใช่รึว่าจะเกิดอะไรขึ้น...เจ้าจะยอมให้นครของเราทั้งสองนครที่ไม่เคยมีเรื่องบาดหมางกัน ต้องทำสงครามกันเยี่ยงนั้นรึ...เจ้าจักทำเยี่ยงไรเล่าหากเจ้าเป็นพี่...” เจ้าหญิงนลินยุพาตรัสออกมาด้วยพระสุรเสียงหนักแน่นแต่เต็มไปด้วยความเว้าวอน พระนางทรงคลายอ้อมกอดลงก่อนที่จะทรงสบเนตรเจ้าหญิงมณีจันทร์ด้วยพระเนตรที่เปี่ยมไปด้วยความรักความเสน่หาอยู่มิคลาย
“หม่อมฉัน...” เจ้าหญิงมณีจันทร์ทรงนึกเห็นจริงในข้อนี้ ท่าทีของพระนางอ่อนลงไม่แข็งขืนเหมือนเมื่อครู่
“ว่าอย่างไรเล่ามณีจันทร์....หากเจ้าเป็นพี่...เจ้าจักทำเยี่ยงไร” พระนางทรงตรัสถามอีกครั้ง
“หากหม่อมฉันเป็นพระองค์...หม่อมฉันก็คงจักทรงกระทำเยี่ยงเดียวกับพระองค์เพคะ” ตรัสพร้อมกับทรงโผเข้ากอดพระเชษฐภคินีอันเป็นที่รัก ทั้งสองพระองค์ทรงโอบกอดกันและกันด้วยความโศกเศร้าอาดูรในโชคชะตาที่ได้พบเจอ น้ำพระเนตรไหลอาบพระพักตร์ของเจ้าหญิงทั้งสององค์
พระพี่เลี้ยงเกสรและพระพี่เลี้ยงกันตามองพระธิดาทั้งสองที่โอบกอดกันร่ำไห้ ด้วยความเวทนาจับใจ พระองค์ทรงทำบาปทำกรรมอันใดไว้หนอ ถึงต้องประสบกับโศกนาฏกรรมทางความรักเยี่ยงนี้
ค่ำคืนนี้คงเป็นค่ำคืนสุดท้ายที่จะทรงอยู่ในอ้อมกอดของกันและกันฉันท์คนรัก เพราะนับจากนี้ไปไม่กี่เพลา ทั้งสองพระองค์ก็จักตกอยู่ในฐานะคนเคยรักกันเท่านั้น
...........................................................................