web stats

ข่าว

+-User

Welcome, Guest.
Please login or register.
 
 
 
Forgot your password?
ปัญหาการสมัครสมาชิก
วิธีเปลี่ยนสถานะเป็นนักเขียน
วิธีลงนิยาย
วิธีใช้งานบอร์ด

+-สถิติการใช้งาน

Members
Total Members: 880
Latest: Levitra5a
New This Month: 0
New This Week: 0
New Today: 0
Stats
Total Posts: 1553
Total Topics: 886
Most Online Today: 153
Most Online Ever: 601
(21 กันยายน 2024 เวลา 08:04:58 )
Users Online
Members: 0
Guests: 13
Total: 13

ผู้เขียน หัวข้อ: อยากให้รู้ว่ารัก : ตอนที่ 16  (อ่าน 1396 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 2 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ ป่านิทรา

  • Moderator
  • หน้าใหม่
  • *****
  • กระทู้: 24
อยากให้รู้ว่ารัก : ตอนที่ 16
« เมื่อ: 22 มกราคม 2014 เวลา 20:16:12 »
ตอนที่ 16

เช้าวันอาทิตย์ที่แสนสดใสแต่ใครบ้างคนกลับนั่งทำหน้าเครียดอยู่ที่บ้านของตัวเอง

ชลธิดาที่กำลังคิดไม่ตกกับปัญหาแน่นหัวอก นั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่ที่ศาลาไม้ทรงแปดเหลี่ยมสีขาวในสวนหน้าบ้าน เสียงถอนหายใจยังคงดังขึ้นอยู่หลายต่อหลายครั้งจนคนเป็นพี่ที่ยืนมองอยู่นานแล้ว อดรนทนไม่ไหวต้องเข้ามาถามไถ่สาเหตุที่ทำให้น้องสาวตัวแสบมานั่งทำหน้าเหมือนคนอึไม่ออกอยู่อย่างนี้

“ไงเรา ใกล้จะถึงวันเกิดอยู่แล้ว แทนทีจะดีใจกระดี๊กระด๊ากลับมานั่งหน้าเครียดทำไมกันหืม” ปฐวีเดินเข้ามาลูบหัวน้องสาวด้วยความรักและเอ็นดูก่อนจะทรุดตัวนั่งลงข้างๆ

ชลธิดาหันไปมองพี่ชายแท้ๆ ด้วยรอยยิ้มก่อนจะย่นจมูกใส่คนรู้ดีไปซะทุกเรื่อง

“เค้าไม่ได้เครียดสักหน่อย ตัวอย่ามามั่วสิ”

“มั่วที่ไหน หลักฐานคาตาอยู่ชัดๆ ดูซิเนี่ยขมวดจนจะเป็นปมอยู่แล้ว” ปฐวีหัวเราะก่อนจะแกล้งใช้นิ้วจิ้มไปที่หัวคิ้วของน้องสาวแรงๆ

“โอ้ย เค้าเจ็บนะ มือตัวใหญ่อย่างกับยักษ์เดี๋ยวหน้าเค้าก็มีรูหมดสวยกันพอดี” ชลธิดาร้องโว้ยวายพลางปัดมือพี่ชายออกจากหน้าของตัวเอง

“ฮ่าๆ หน้าก็หนาหัวก็แข็งอย่างเรามันคงไม่เป็นรูง่ายๆ หรอกมั้ง”

“โหยย ตัวว่าเค้าหน้าหนาเหรอ ผู้ชายอะไรว่าผู้หญิงคอยดูนะเค้าจะไปฟ้องแม่” ชลธิดาทำหน้างอเป็นตะขอใส่

“เราเนี่ยนะผู้หญิง พี่นึกว่าแม่มีลูกผู้ชายสองคนซะอีก” ปฐวีพูดกลั้วหัวเราะอดแหย่น้องเล็กให้หน้างอหนักกว่าเดิมไม่ได้

“ตัวอ่ะ นิสัยไม่ดี เค้าไม่คุยด้วยแล้ว” ชลธิดาว่าหน้าง้ำก่อนจะลุกขึ้นยืนแต่ยังไม่ทันได้ไปไหนปฐวีก็คว้าแขนน้องสาวให้นั่งลงตามเดิมเสียก่อน

“โอ๋ๆ เดี๋ยวสิ พี่ยังคุยกับเราไม่จบเลย ไหนบอกมาสิว่าเราเครียดเรื่องอะไร”

“เค้าไม่ได้เครียดน้า เค้าก็แค่......”

“ก็แค่.....”  ชายหนุ่มลากเสียงตามเพราะกำลังลุ้นว่าน้องสาวจะบอกอะไร

“ก็แค่มีเรื่องให้คิดเยอะตามประสาวัยรุ่นเท่านั้นแหละ”  เพราะคำตอบเฉไฉของน้องสาวทำให้ปฐวีส่ายหน้าพร้อมกับรอยยิ้ม

“เอ๊....แล้ววัยรุ่นคนนี้กำลังคิดเรื่องอะไรอยู่น้า.....หรือว่า...จะเป็นเรื่องความรัก อ่ะๆ กำลังมีปัญหาหัวใจอยู่รึไงจ๊ะน้องสาว” ชายหนุ่มทำท่าครุ่นคิดก่อนจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงล้อๆ ยิ่งพอเห็นน้องสาวตัวแสบมีปฏิกิริยาก็ยิ่งทำให้เขาแน่ใจว่าสิ่งที่เขาคิดเป็นเรื่องจริงแน่ๆ

“นั่นแน่ ใช่จริงๆ ด้วยแฮะ”  ปฐวียิ้มกริ่มชี้นิ้วใส่น้องสาว

“เปล่าสักหน่อย”  น้องนุชรีบปฏิเสธหน้ามุ่ย

“อย่ามาปากแข็งหน่อยเล๊ย ถ้าเรื่องหัวใจปรึกษากูรูผู้รอบรู้อย่างพี่ได้นะ”  ปฐวีทำท่ายืดอกภูมิใจที่ได้อวยตัวเอง แต่อีกฝ่ายนี่สิหูผึ่งหางตั้งขึ้นมาทันที

นั่นสิ! เธอลืมที่ปรึกษาชั้นเยี่ยมอย่างพี่ชายเธอไปได้อย่างไรกัน ในเมื่อชายหนุ่มกับแฟนสาวก็เคยเป็นเพื่อนกันมาก่อนตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมปลายก่อนจะเปลี่ยนฐานะมาเป็นแฟนกันเมื่อตอนเข้ามหาลัยนี่เอง ประสบการณ์โดยตรงเลยนะนั้น

“ตัว...เค้าถามอะไรหน่อยดิ”  ชลธิดาทำท่ากระแซะเลียบๆ เคียงๆ ถาม

“ถามมาสิ”  ปฐวีอมยิ้มกับท่าทางขี้อ้อนของน้องสาว

“ทำไมตัวถึงเป็นแฟนกับพี่สาล่ะ” ชลธิดากำลังหมายถึงสุนิสาแฟนสาวของพี่ชาย

“อ้าว ไอ้นี่ถามแปลกๆ ก็ต้องรักกันนะสิไม่งั้นจะมาเป็นแฟนกันทำไม”

“แต่พี่สาเขาเป็นเพื่อนกับตัวมาก่อนนะ”

“แล้วยังไงล่ะ”ปฐวีขมวดคิ้วไม่เข้าใจว่าน้องสาวของเขาจะถามอะไรกันแน่

“ตัวไม่กลัวเสียเพื่อนเหรอถ้า...ถ้าหากคบกันแล้วไปไม่รอดอ่ะ”  ชลธิดาเว้นระยะไปนิดนึง ก่อนจะพูดให้จบด้วยเสียงที่ติดกังวล

“ไม่กลัวหรอก”  ชายหนุ่มเริ่มถึงบางอ้อ พอจะเข้าใจแล้วว่าเจ้าตัวแสบกำลังกลุ้มเรื่องอะไร

“ทำไมล่ะ”

“ก็เพราะว่าพี่ไม่ได้คบกับพี่สาเล่นๆ นะสิ พี่รักเขาและเขาก็รักพี่ เรารักกันด้วยความจริงใจเราจึงก้าวข้ามคำว่าเพื่อนมาเป็นคนรัก ส่วนเรื่องจะไปกันรอดมั้ยมันเป็นเรื่องของอนาคต ไม่มีใครหรอกนะที่จะหยั่งรู้ได้ว่าอนาคตจะเป็นยังไง แต่ที่รู้ได้แน่ๆ คือถ้าเราจะรักกัน เราก็ต้องทำวันนี้ให้ดีที่สุดและดูแลกันให้ดีที่สุด เพื่อที่เราทั้งสองคนจะได้ไม่ต้องมานั่งเสียใจในภายหลัง เพราะถ้าเราทำอย่างเต็มที่แล้วอย่างน้อยเมื่อเลิกรากันไป เราก็ยังเป็นเพื่อนกันได้อยู่” ปฐวีอธิบายให้น้องสาวฟังด้วยรอยยิ้มตามประสาคนที่มีประสบการณ์มากกว่า

เมื่อได้ฟังคำที่พี่ชายบอกชลธิดาก็ยิ้มออก นั่นสินะ ถ้ารักกันจริงๆ ก็ไม่เห็นต้องกลัวอะไรเลย ฝ่ายโน้นนะมีใจให้เธอแน่ๆ ข้อนี้เธอรู้ดีอยู่แล้ว เหลือเพียงแค่ว่าเธอต้องรู้ใจตัวเองเสียก่อนว่ารู้สึกกับอีกคนอย่างไรกันแน่ และเธอก็พร้อมแล้วที่จะเปิดใจเพื่อค้นหาคำตอบนั้นอย่างจริงๆ จังๆ เสียที แต่ก่อนที่สองพี่น้องจะได้พูดคุยอะไรกันต่อไปอีก เสียงเตือนไลน์โปรแกรมแชทสีเขียวของน้องนุชสุดท้องก็ดังขึ้นมาเสียก่อน

ชลธิดาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูพอรู้ว่าเป็นข้อความจากใครรอยยิ้มที่มีอยู่ก่อนแล้วก็พลันให้ยิ้มมากขึ้นกว่าเดิมอีก

Cha_em:มอนิ่งค่ะชาวโลก (*^o^*)/

My dear:มอนิ่งเช่นกันคุณมนุษย์ต่างดาว (-_^)

Cha_em:555 ทำไมวันนี้ตื่นเช้ามาตอบไลน์ได้ล่ะ

My dear:เผอิญวันนี้นัดสาวไว้เลยต้องรีบตื่น

Cha_em: เอ?....นัดสาวที่ไหนไว้หน๊อ~~

My dear: ก็สาวแถวๆ นี้แหละ

Cha_em: สวยไหมค่ะ

My dear: หึ ไม่สวยเลย

Cha_em: (-_-*)

My dear: แต่น่ารักนะ

Cha_em: >///<

My dear: อ่ะๆ มีเขินๆ

Cha_em: ไม่คุยด้วยแล้วมารอรับที่หน้าบ้านเลย :P

My dear: ถึงแล้วเหรอ

Cha_em: ยังค่ะแต่เข้ามาในหมู่บ้านแล้ว ออกมารอรับเลยอีกห้านาทีถึงนะ

My dear:น้อมรับcupป๊ม

ตลอดเวลาที่ชลธิดาคุยไลน์อยู่ ปฐวีก็คอยสังเกตพฤติกรรมยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ของน้องสาวตัวเอง  ‘เออเน๊าะเมื่อไม่กี่นาทีที่แล้วยังนั่งหน้าเครียดอยู่เลย แล้วดูตอนนี้สิยิ้มจนแก้มแทบจะปริอยู่แล้ว’ชายหนุ่มกำลังนั่งคิดเพลินๆ จู่ๆ น้องสาวตัวดีก็ลุกพรวดพราดไม่บอกไม่กล่าว จนคนเป็นพี่ต้องรีบพูดรั้งเอาไว้ก่อนที่ร่างสูงน้อยกว่าเขาไม่กี่เซ็นจะก้าวพ้นศาลาออกไป

“เดี๋ยวสิ จะไปไหนล่ะไม่อยู่คุยกับพี่แล้วเหรอ”

“ไม่คุยแล้ว เค้าจะรีบไปรับเอมที่หน้าบ้าน” พูดจบก็เดินชิ่งหนีออกไป ทิ้งคนเป็นพี่ไว้ที่ศาลาคนเดียว

“แหม พอมีสาวมาหาก็ทิ้งพี่ทิ้งเชื้อเลยนะไอ้ตัวแสบ”

<

<

<

ที่หน้าบ้าน

ชลธิดารออยู่ที่หน้าบ้านไม่นานรถแท็กซี่สีฟ้าก็มาถึง คนตัวสูงรีบกระวีกระวาดไปเปิดประตูให้ทันทีที่รถจอดสนิท จนผู้โดยสารอดยิ้มกับความน่ารักของคุณแฟน(เฉพาะวันหยุด)ไม่ได้

“ยินดีต้อนรับค่ะคุณผู้หญิง” ชลธิดากล่าวต้อนรับพลางโค้งตัวเล็กน้อยก่อนจะยื่นมือไปให้สาวหมวยจับไว้ตอนลงจากรถ

“บริการประทับใจดีจังเลยน้าวันนี้” นุชนารถกล่าวยิ้มๆ รู้สึกปลื้มอกปลื้มใจที่คนตัวสูงทำให้เธอรู้สึกเหมือนคนสำคัญที่ได้รับการเอาใจใส่เป็นพิเศษ

“แหม แฟนมาบ้านทั้งทีก็ต้องเซอร์วิสกันหน่อยซีคะ ไปค่ะเข้าบ้านกันดีกว่าเน๊อะ” นุชนารถได้ฟังที่อีกคนพูดก็พาให้ตาโต คำว่าแฟนและคำพูดคะ ขาช่างเป็นคำที่ไพเราะเสนาะหูเธอเหลือเกิน ‘โอ้ยย นู๋เอมอยากจะกรี๊สสเหลือเกินขร้า’ และแม้ว่าในใจอยากจะเต้นแร้งเต้นการ้องกรี๊ดให้ลั่นสนั่นซอยสักเท่าไร แต่นุชนารถก็ได้แต่เก็บอาการเหล่านั้นไว้ไม่ยอมเผยมันออกมาหรอก เพราะเธอกลัวว่าไก่จะตื่นหมดนะสิ (ไม่ต้องกลัวหรอกนู๋เอม ไก่มันตื่นมาได้สักพักแล้วจ้า) จะแสดงออกได้มากสุดก็เพียงแค่ยิ้มรับเท่านั้นเอง

ชลธิดาจับจูงมือเล็กของนุชนารถพาเดินเข้ามาในบริเวณบ้าน พลางลอบมองสาวหมวยข้างกายอย่างพินิจพิจารณาแบบเปิดใจเป็นครั้งแรก

‘จะว่าไปยัยเอมนี่ก็น่ารักดีนะ ปากนิดจมูกหน่อย หน้าขาวใสแบบหมวยนี่คะ ตัวเล็กๆ แต่อกบิ๊กเบิ้ม ผิวก็เนียนขาก็สวย น่าฟัดไปทั้งตัวแถมยังน่ารักอีกต่างหาก  เง้อ!ว่าแต่ทำไมมันเพิ่งจะมาน่ารักเอาตอนนี้ว่ะ  เอ...หรือว่ามันน่ารักอยู่แล้วแต่เราไม่เคยเห็นเองหว่า เออ ชักจะงงกับสายตาตัวเองซะแล้วสิ’ คิดแล้วก็ยกมือเกาหัวตัวเองแกรกๆ ‘แต่ช่างมันเถอะ ในเมื่อความคิดวันนี้ไม่เหมือนวันวาน และสาวเจ้าตรงหน้าก็แต่งตัวน่ารักมาซะด้วยงานนี้ขอวาดลวดลายตามแบบฉบับจอมกะล่อนประจำกลุ่มซะหน่อยเถอะ หุหุ’

“เอมคะ” 

“คะ” นุชนารถขานรับพร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองคนที่เดินอยู่ข้างๆ

“มีใครบอกเอมหรือยังคะว่า....”  คนตัวสูงจงใจพูดไม่จบประโยคเพื่อให้อีกคนสงสัยเล่น

“ว่าอะไรคะ?” นุชนารถถามพลางทำสีหน้าแบบว่าอยากรู้มาก

“ว่า...เอมน่ารักมากเลย” ชลธิดาโน้มตัวเข้าไปใกล้คนข้างๆ แล้วกระซิบหยอดคำชมจนสาวหมวยออกอาการเก้อเขิน จากที่เคยเดินหน้าตั้งตรงก็เปลี่ยนเป็นเดินก้มหน้างุดเพื่อซ่อนริ้วรอยแห่งความเขินอายแทน

“จะ จริงเหรอ” แม้จะเขินจนไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมาแต่ก็อดที่จะถามเพื่อความแน่ใจไม่ได้

“จริงค่ะ คาวาอี้มากๆ เลยน้า~~~” แต่ถึงจะก้มหน้าก็ใช่ว่าคนตัวสูงจะไม่เห็นริ้วแดงๆ บนแก้มขาว แถมตอนนี้มันยังลามมาถึงใบหูอีกด้วยให้คนเอ่ยชมได้อมยิ้มกับอากัปกิริยาน่ารักน่าชังเหล่านั้นด้วยความชอบใจ

“ปากหวานจังเลยนะวันนี้ เผลอไปกินอะไรผิดสำแดงมารึเปล่าคะ ถึงได้พูดจามีคะมีขาเสียงหวานใส่เอมแบบนี้อ่ะ”  แหม ถ้ารู้ว่ากินแล้วน่ารักแบบนี้ เธอจะเอาให้คนตัวสูงกินทุกวันเลยเชียว หุหุ

ชลธิดาหยุดเดิน แล้วหันมามองคนตัวเล็กที่ยังคงเอาแต่ก้มหน้า อย่างกับว่าพื้นหินขัดหน้าบ้านเธอมันมีอะไรน่าสนใจนักหนางั้นแหละ

“ทำไมล่ะคะ คนเป็นแฟนกันเขาก็พูดหวานๆ แบบนี้ทั้งนั้นแหละ หรือว่าเอมไม่ชอบคะ ถ้างั้นฉันเปลี่ยนไปพูดแบบเดิมก็ได้นะแก” พอได้ยินน้ำเสียงและสรรพนามที่เปลี่ยนไปอาการเขินอายก็พลันหายไปหมดสิ้น

‘โธ่ๆ ตรงกันข้ามเลยจ๊ะที่รัก ชะเอมคนนี้ชอบมากมาย ชอบจนจะละลายอยู่แล้วค๊า อย่าเพิ่งหมดโปรโมชั่นเลยนะคะ ขอร้องล่ะพลีสๆๆ’

“ชอบสิ! ชอบมากเลยด้วย เอาแบบหวานๆ เซอร์วิสเค้าเยอะๆ แบบเดิมนั่นแหละดีแล้วนะๆ นะคะ” นุชนารถเขย่าแขนอ้อนคนตัวสูงโดยไม่ได้รู้เลยว่าไอ้คุณแฟน(เฉพาะวันหยุด)มันแค่อำเธอเล่นเฉยๆ

“ชอบหวานๆ เหรอคะ” ชลธิดายิ้ม เอ่ยถามเสียงนุ่มพร้อมกับใช้มือข้างที่ว่างอยู่ลูบไล้แก้มนวลของสาวขี้อ้อนเล่นเบาๆ จนเจ้าของแก้มกลับมามีอาการเขินอายอีกรอบ จนต้องยืนพิงกายเอาหน้าซบกับไหล่ของร่างสูงไว้เพื่อหนีอาย

“ชอบซีคะ มีคนมาหวานใส่แบบนี้ใครบ้างจะไม่ชอบล่ะ” นุชนารถตอบเสียงหวานทั้งๆ ที่ยังคงซ่อนใบหน้าหนีอายอยู่อย่างนั้น

“ถ้าชอบ งั้นเวลาคุยกันก็ต้องเงยหน้าขึ้นมามองตากันพร้อมกับส่งยิ้มหวานๆ ให้กันบ้างสิคะ คนทำจะได้มีกำลังใจหวานใส่คุณแฟนตลอดทั้งวันเลยไง”  ชลธิดาบอกก่อนจะเชยปลายคางสาวหมวยให้แหงนหน้าขึ้นมามองกันพร้อมกับส่งยิ้มหวานๆ ให้

“เดียร์อ่ะ ไม่คุยด้วยแล้ว เข้าบ้านดีกว่า” นุชนารถทุบที่แขนอีกคนเบาๆ แก้เขินก่อนจะเดินหนีเข้าไปในตัวบ้านเพราะทนความหวานที่อีกคนหยอดไว้ไม่ไหว

“คนบ้า พูดมาแต่ล่ะคำคนเค้าเขินจะแย่อยู่แล้วนะ แถมยังจะมายิ้มแบบนั้นอีกนี่กะจะให้ละลายกองอยู่หน้าบ้านเลยรึไง” นุชนารถเดินพึมพำเข้าไปในตัวบ้านพร้อมกับรอยยิ้มเขินที่ประทับอยู่เต็มใบหน้า

‘แหมๆ เขินเค้าล่ะเซ่’ ส่วนคนตัวสูงพอเห็นอาการคนตัวเล็กที่ทนเขินไม่ไหว จนต้องเผ่นแหนบหายเข้าไปในตัวบ้านก่อน ก็อดที่จะเย้าหยอกด้วยคำพูดตามหลังคนขี้อายไม่ได้

“ที่รักจ๋าาาาา รอเดียร์ด้วยสิจ๊ะ” ก่อนจะรีบกึ่งวิ่งกึ่งเดินตามประกบแฟนกำมะลอที่ชักจะอยากให้เป็นแฟนตัวจริงๆ เข้าไปทุกทีแล้ว

‘อุต้ะ! มีเรียกที่รักจ๋าด้วย โอ้ยๆ เขินหนักเข้าไปอีก เดียร์นะเดียร์แค่นี้นู๋เอมก็หลงจะแย่อยู่แล้วน้า’
เพราะความเขินจัดทำให้นุชนารถรีบเดินเร็วมากขึ้นไปอีกจนขาแทบจะขวิดกันอยู่แล้ว สาวหมวยไม่อยากจะคิดเลยว่าตอนนี้หน้าตัวเองจะแดงมากแค่ไหน แต่ต่อให้เร็วแค่ไหนมีหรือจะสู้คนขายาวกว่าได้เดินไปได้ไม่นานคนขายาวกว่าก็ตามมาทัน

“ขาก็ไม่ยาวสักหน่อย แต่ทำไมเดินเร็วจังเลยคะ” ชลธิดาถือโอกาสรวบเอวนุชนารถทันทีที่เดินมาถึง หยุดการเคลื่อนไหวของสาวหมวยไว้ด้วยอ้อมกอดของตัวเอง

“เดี๋ยวเหอะ ว่าเอมขาสั้นเหรอ” คนร้อนตัวว่าถูกแหน็บเรื่องสรีระร่างกายจนไม่ทันได้รู้ว่าตัวเองกำลังตกอยู่ในอ้อมกอดก็ตีเพี๊ยะเข้าให้ที่ต้นแขนคนปากดีไม่แรงนักแค่พอให้คันเล่นๆ

“เปล่านะคะ แค่สงสัยว่าทำไมเดินเร็วจังเท่านั้นเอง อีกอย่างขาแบบเอมไม่สั้นหรอกแต่กำลังพอดีเลยต่างหากแถมขาสวยด้วยนะเออ~” ‘เดียร์ชอบ’ คำหลังนี่ขอเก็บเอาไว้ก่อนแล้วกันนะ ไว้แน่ใจเมื่อไรจะพูดให้ฟังทุกวันเลย

แล้วสาวหมวยก็ได้อายม้วนต้วนไปอีกรอบก้มหน้างุดให้อีกคนชอบใจอีกแล้ว

“ว่าแต่เอมทานอะไรมารึยังคะเนี่ย”  ชลธิดาถามด้วยความใส่ใจเกรงว่าสาวหมวยอาจจะยังไม่ได้ทานข้าวเช้ามา

“เรียบร้อยมาจากบ้านแล้วค่ะ” พอเจ้าของบ้านถามถึงเรื่องอื่นก็ค่อยคลายจากอาการเขินอายได้บ้าง ก่อนที่แขกตัวน้อยจะสังเกตได้ว่าภายในบ้านไม่มีใครอยู่เลยนอกจากพวกเธอสองคน นุชนารถถึงถามหาเจ้าของบ้านรายอื่น

“ว่าแต่ ทำไมวันนี้บ้านเงียบจังเลยล่ะคะ แม่อรกับพี่ๆ ไปไหนกันหมด”

“แม่กับพี่พายออกไปดูร้านตั้งแต่เช้าแล้วล่ะค่ะ ส่วนพี่วีนั่งเล่นอยู่ที่ศาลาในสวนหน้าบ้านนั่นแหละ”

“อ้าว...เหรอคะ เมื่อกี้ตอนเดินเข้ามาเอมไม่ได้ทันสังเกตเลยไม่ได้เข้าไปทักพี่วีเลย”

“ก็เอมมัวแต่เดินก้มหน้านี่คะ แล้วจะไปเห็นใครที่ไหนได้ล่ะนอกจากพื้นอ่ะ ขนาดเดียร์เดินอยู่ข้างๆ เอมยังไม่มองเลยจนเดียร์ชักจะอิจฉาพื้นบ้านตัวเองแล้วนะคะ”  ชลธิดาทำกระเง้ากระงอดใส่จนแขกตัวเล็กต้องทำการง้อโดยเร่งด่วน

“โอ๋ๆ อย่าไปอิจฉาพื้นเลยค่ะ เพราะคนที่เอมอยากมองมากที่สุดก็คือเดียร์นะคะ” นุชนารถเผลอบอกความรู้สึก พร้อมกับยกมือขึ้นจับแก้มคนขี้งอนไว้ทั้งสองข้างอย่างง้องอน ให้คนฟังยิ้มจนตาหยีเพิ่งจะรู้ว่าคนตัวเล็กรู้สึกกับเธอมากมายขนาดนี้ อาการ(แกล้ง)งอนเมื่อกี้จึงหายเป็นปลิดทิ้งเลยทีเดียว

“ว่าแต่...เราจะขึ้นห้องกันเลยไหมคะ หรือว่าจะหาของว่างรองท้องกันก่อนดีจะได้มีแรงเยอะๆ ไว้ใช้ข้างบน”

“มาทำการบ้านนะคะ ไม่ได้มาทำอย่างอื่นจะได้ใช้แรงเยอะๆ อ่ะ”  อีกแล้วนะทำไมชอบพูดอะไรให้คนอื่นเขาคิดลึกอยู่เรื่อยเชียว

“โอ้ยยย การบ้านนี้ล่ะค่ะตัวดี สูบพลังชีวิตดีนักเชียว นี่ถ้าไม่มีพลังงานสะสมไว้เยอะๆ อาจจะสลบเหมือดก่อนเสร็จก็ได้น้า~~” ชลธิดาบอกหน้าทะเล้น สายตาก็กรุ้มกริ่มชวนให้คนตัวเล็กคิดลึกตาม

“บ้า!” ปากก็บอกว่าบ้าแต่ไอ้สายตากรุ้มกริ่มนี่สิทำเอาเธอยิ้มไม่หุบเลยทีเดียว

“ป่ะ ขึ้นห้องกันดีกว่า เดี๋ยวสายๆ ค่อยให้ป้านุ่ม(แม่บ้าน)เอาของว่างขึ้นไปให้แล้วค่อยเติมพลังกันตอนนั้นก็แล้วกันเน๊อะ” แล้วชลธิดาก็คลายกอดออกก่อนจะจับจูงมือนุชนารถขึ้นห้องนอนของตัวเองไป

สองสาวนั่งทำการบ้านด้วยความตั้งใจอาจจะมีกระเซ้าเย้าแหย่เล่นกันบ้าง คุยเรื่องเพื่อนบ้าง เรื่องเรียนบ้าง และเรื่องอื่นๆ จิปาถะเมาส์มอยกันไปตามประสาเรื่อยเปื่อยตลอดเวลา ทำให้เรื่องน่าเบื่ออย่างการทำการบ้านในความคิดของร่างสูงเปลี่ยนเป็นความสนุกสนานเพลิดเพลินมีความสุขได้อย่างไม่น่าเชื่อ

และยิ่งได้นุชนารถซึ่งเป็นเด็กเรียนเก่งคะแนนระดับท็อปไฟว์มาสอนให้ การทำการบ้านวิชาคณิตศาสตร์จึงไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป และแม้ชลธิดาจะเป็นเด็กที่ไม่ค่อยสนใจการเรียนสักเท่าไหร่ แต่ด้วยความที่เป็นเด็กฉลาดหัวไวนุชนารถแนะนำอะไรให้แป๊ปเดียวก็เข้าใจและสามารถทำเองได้ทั้งหมด ทั้งสองใช้เวลาไม่นานก็ทำการบ้านเสร็จครบทุกวิชา

“เสร็จแล้วๆ” ชลธิดาพูดขึ้นหลังจากที่ปิดสมุดการบ้านวิชาสุดท้ายลง

“เดียร์กี่โมงแล้วอ่ะ” นุชนารถถามขณะที่กำลังเก็บสมุด หนังสือและเครื่องเขียนต่างๆ ใส่ในกระเป๋าเป้ใบย่อมของตัวเอง

“สิบเอ็ดโมงแล้วล่ะ เอมหิวหรือยังคะ”  ชลธิดาหันไปมองนาฬิกาก่อนจะหันกลับมาถามคนตัวเล็ก

“ยังค่ะ ขนมที่ป้านุ่มยกมาให้เมื่อตอนสายยังนอนอยู่ในท้องอยู่เลย”  นุชนารถตอบพลางนึกถึงบูลเบอรี่ชีสพายแสนอร่อยที่ป้านุ่มแม่บ้านนำขึ้นมาเสริฟ์พร้อมกับน้ำชาเขียวเย็นเจี๊ยบชื่นใจให้พวกเธอถึงสองรอบ

“ก็กินไปตั้งสามชิ้น ไม่อิ่มก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้วล่ะค่ะ”

“ไม่ต้องมาแซวเอมเลยนะ ก็ของเขาอร่อยจริงๆ นี่นา ว่าแต่ไปซื้อมาจากร้านไหนคะเนี่ย”

“ซื้อที่ไหนกันคะ นั่นนะฝีมือคุณอิงนภาล้วนๆ นะจะบอกให้”  ชลธิดาบอกด้วยความภาคภูมิใจซะอย่างกับว่าตัวเองทำเองงั้นแหละ

“หื้มม นี่พี่พายทำเองเหรอ อร่อยขนาดนี้ทำขายได้เลยนะคะเนี่ย” นุชนารถทำตาโตก่อนจะชื่นชมพี่สาวคนโตของคุณแฟน(เฉพาะวันหยุด)จากใจจริง

“เดียร์ก็ว่างั้นแหละเน๊อะๆ”  ชลธิดาได้ทีรีบหาพวกอวยพี่สาวตัวเอง

“อืม สุดยอดเลย” นุชนารถบอกพลางยกโป้งนิ้วให้

หลังจากชื่นชมกับรสชาติของขนมหวานแสนอร่อยทั้งคู่ก็ไม่ได้พูดคุยหรือทำอะไรกันต่อ ได้แต่นั่งเงียบๆ ที่โต๊ะเขียนหนังสือ ผ่านไปสักพักนุชนารถก็นึกขึ้นได้ว่าตัวเองยังไม่ได้ไปทักทายปฐวีพี่ชายคนรองของว่าที่แฟนในอนาคตเลย เธอจึงเอ่ยปากชวนเจ้าของห้องให้ลงไปข้างล่างด้วยกัน

“เออ เดียร์เราลงไปข้างล่างกันไหม เอมจะได้ไปสวัสดีพี่วีด้วย”

“ไม่เอาอ่ะเดียร์ยังไม่อยากลงเลย” เจ้าของห้องปฏิเสธสั่นหัวดิกเพราะความขี้เกียจเริ่มเข้าครอบงำ

“เหรอ แล้วเราจะทำอะไรต่อดีล่ะ....อืมม.....เปิดหนังดูกันไหม”  นุชนารถทำท่านึกพลางมองหากิจกรรมที่จะทำต่อไป ก่อนจะไปสะดุดกับแผ่น cd มากมายที่อยู่ในชั้น

“ไม่เอาอ่ะ เดียร์ดูหมดแล้ว”

“งั้นก็ฟังเพลง”

“ไม่เอา”

“ดูทีวี”

“ไม่เอา”

“ไอ้นู้นก็ไม่เอา ไอ้นี่ก็ไม่เอา งั้นคุณหญิงเดียร์ช่วยเสนอความคิดมาหน่อยสิคะว่าอยากจะทำอะไรบ้าง นอกจากนั่งกันเฉยๆ เนี่ย”

“อยากทำอะไรงั้นเหรอ อืมมๆ.....อ๋อ นึกออกแล้ว”

“หื๊ม ว่าไงคะ”

“กิจกรรมเสียเหงื่อไง”

“กิจกรรม..เสียเหงื่อ?”  นุชนารถทวนคำ

“ใช่ ปกติทำเองคนเดียวมันก็เพลินอยู่นะแต่มันไม่เร้าใจอ่ะ สงสัยคงเพราะไม่มีใครมาช่วยกระตุ้นก็เลยไม่ค่อยมันส์เท่าไหร่ ก็อย่างว่าอ่ะนะของแบบเนี่ยมันต้องสองคนถึงจะได้อารมณ์มันส์กว่ากันเย๊อะ”  โอ้ว~~~ประโยคดังกล่าวพาเอาหัวใจคนฟังคิดเตลิดบรรเจิดไปไกล(อีก)แล้ว

“สะ สะ สองคน มะ มันส์กว่าเหรอ”  แม่สาวจอมจิ้นถามเสียงตะกุกตะกัก

“อืม มันส์มากเลยนะเอมลองดูไหมเดี๋ยวเดียร์สอนให้แรกๆ อาจจะติดๆ ขัดๆ ไปบ้างตามประสาคนไม่เคย แต่พอหลายๆ รอบเข้าเดี๋ยวร่างกายก็ชินแล้วมันก็จะขยับไปเอง ยิ่งถ้าบ่อยๆ ถี่ๆ เข้านะไม่ว่าจังหวะจะเร็วหรือแรงแค่ไหนก็โยกได้สบายเลย”  นุชนารถถึงกับหน้าเปลี่ยนเป็นสีแดงแปร๊ดเมื่อได้ฟังประโยคต่อมาจบ

“เออ...แต่....จะดีเหรอ”  นุชนารถทำกระมิดกระเมี้ยนถามเสียงเบา เพราะถ้าเป็นความต้องการของคนตรงหน้าเธอก็พร้อมที่จะให้อยู่หรอกนะ ก็ไอ้ที่วางแผนอ่อยเขาอยู่ทุกวันก็เพื่อให้เขาปรารถนาตัวเองแบบนี้ไม่ใช่เหรอ แต่พอเอาเข้าจริงๆ ชักหวาดๆ ยังไงไม่รู้แฮะ

“ดีสิ ดีมากๆ เลย แล้วก็ห้ามปฏิเสธด้วยนะรู้ไหม คนเป็นแฟนกันเขาไม่ปฏิเสธการทำกิจกรรมร่วมกันหรอกนะ” ชลธิดาไม่ยอมเปิดโอกาสให้อีกฝ่ายปฏิเสธจึงจัดการมัดมือชกคนตัวเล็กซะเลย ก่อนจะเดินไปที่เตียงหยิบหมอนสองใบมาหนีบไว้ที่แขน แล้วเดินกลับไปจูงมือคนตัวเล็กที่นั่งอึนอยู่บนเก้าอี้ให้เดินตามเธอมาที่หน้าทีวี

ชลธิดาจัดการวางหมอนทั้งสองใบลงบนพื้นห้องก่อนจะกดไหล่สาวหมวยให้นั่งตามลงไป

“เอมรอตรงนี้แป๊ปนะ เดี๋ยวเดียร์ไปเอาอุปกรณ์เสริมก่อน” เจ้าของห้องบอกก่อนจะเดินไปเปิดบานเลื่อนของตู้เสื้อผ้าสไตล์ Reach-In Closet บานใหญ่สีชมพูหวานที่ดูเหมาะเจาะลงตัวกันดีกับเฉดสีของห้องนอนที่เป็นโทนสีชมพูอ่อนๆ ตัดกับสีชมพูสด ซึ่งเป็นสีโปรดของสาวเจ้าของห้องที่ดูออกจะขัดๆ ไปบ้างกับบุคลิกแก่นแก้วแสบซ่าของตัวเอง

“ตะ ต้องใช้อุปกรณ์เสริมด้วยเหรอเดียร์” นุชนารถถามเสียงหลง ตอนนี้เธอนึกไปถึงเจ้าอุปกรณ์ต่างๆ ที่สาวๆ ใช้กับคู่นอนในคลิปหวาบหวิวที่ตัวเองเคยแอบเปิดดูในอินเตอร์เน็ตเพื่อเป็นกรณีศึกษาในวิชาสร้างเสริมประสบการณ์ชีวิตด้วยตนเอง (อ่ะๆ อย่าเข้าใจผิด นู๋เอมแค่ดูเฉยๆ ไม่ได้ทดลองทำด้วยตนเองหรอกนะย๊าาาา)

“ต้องใช้สิ เอมรู้ไหมเมื่อก่อนเดียร์ก็ไม่เคยใช้ไอ้นี่หรอกนะ เล่นแต่ละทีใช้มือล้วนๆ สนุกมันก็สนุกอยู่นะแต่โคตรเหมื่อยเลยอ่ะ นานๆ เข้านิ้วก็ชาแถมยังปวดนิ้วอีกต่างหาก แต่พอซื้อไอ้นี่มานะดีกว่าใช้นิ้วเยอะเลยมันส์กว่าด้วย จำได้ว่าตอนที่ซื้อมาใหม่ๆ เดียร์ล่อซะหลายรอบเลยมารู้ตัวอีกทีก็เช้าอีกวันแล้วจากที่ปวดนิ้วเลยกลายเป็นปวดขาแทน ฮ่าๆ” ชลธิดาร่ายยาวในขณะที่ตัวเองกำลังเขย่งหยิบอุปกรณ์เสริมที่ว่าในกล่องที่ถูกเก็บไว้ที่ชั้นบนสุดของตู้

นุชนารถเบิกตากว้างร้องอุทานเสียงดังลั่นในใจ โอ้ววว..บร๊ะเจ้า!!!! ล่อหลายรอบเลยเหรอ แล้ววันนี้เธอจะโดนเจ้าอุปกรณ์เสริมนี่กี่รอบกันล่ะเนี่ย ครั้งแรกเขาว่ามันเจ็บซะด้วยสิแค่คิดก็กลืนน้ำลายฝืดคอแล้ว เอ๊ะ! ว่าแต่คนตัวสูงไปล่อกับใครตอนไหนมาล่ะเนี่ย ทำไมถึงรอดหูรอดตาเธอไปได้ล่ะ ม่ายยยยยๆ งานนี้ต้องมีเคลียร์!!!

“เอาล่ะหยิบได้แล้ว” เมื่อได้ของที่ต้องการแล้วชลธิดาก็ปิดตู้ก่อนจะเดินย่างสามขุมกลับไปหาสาวหมวยที่นั่งหน้าตาตื่นกอดหมอนแน่นรออยู่

นุชนารถจ้องถุงพลาสติกสีขาวขุ่นในมือของชลธิดาตาไม่กระพริบ ใจมันหวิวๆ สั่นๆ ก่อนจะพาลพาให้เสียววูบวาบในช่องท้องเมื่อยามคิดถึงตอนที่ต้องรับเจ้าอุปกรณ์เสริมดังกล่าวเข้าไปอยู่ในร่างกายของตนเอง แต่ก่อนที่นุชนารถจะได้จิ้นอะไรมากไปกว่านั้นประโยคที่ทำให้เธอต้องกลืนน้ำลายดังเอื้อกก็ถูกเปล่งออกมาจากคนตัวสูงที่มายืนอยู่ตรงหน้าเธอแล้ว

“เตรียมตัวเตรียมใจไว้ได้เลยนะคะที่รัก รับรองงานนี้เราสองคนได้เหงื่อท่วมตัวแน่ๆ อิอิ” ชลธิดาบอกพลางฉีกยิ้มกว้างจนตาปิด





 

Powered by EzPortal
    ต้นฉบับในเว็บไซต์เป็นลิขสิทธิ์ของผู้แต่งต้นฉบับที่นำมาลง
    copyright © Yuriread.com All rights reserved.