ตอนที่ 3
หุงข้าวไว้แล้วขึ้นไปอาบน้ำลงมาก็พอดีกับที่ข้าวสุก จรัสตะวันทำอาหารเย็นรับประทานคนเดียวง่าย ๆ ไม่ต้องเปิดตู้เย็นเพราะไม่มีอะไรนอกจากน้ำเปล่า ไข่ไก่พึ่งเก็บมาจากเล้าเมื่อเช้า และบวบหอมเด็ดติดมือมาตอนที่ไปดูนักเรียนรดน้ำแปลงผักหลังเลิกเรียนวางอยู่ในตะกร้าเล็ก ๆ ในครัว เพียงเท่านี้ก็พอสำหรับมื้อเย็นอันเรียบง่าย บวบผัดไข่กับข้าวสวยร้อน ๆ นั้นมันอร่อยเพราะความสดใหม่ ไม่ต้องใส่เครื่องปรุงรสอะไรมาก และอีกไม่นานข้าวที่หุงนั้นก็จะเปลี่ยนเป็นข้าวในแปลงนาสาธิตนั้นด้วย เธอยิ้มอย่างมีความสุขเมื่อนึกถึงสิ่งเหล่านั้น ความฝันในวัยเด็กของเธอเป็นจริงทุกอย่างและยังมากกว่าฝันที่เธอได้กลับมาเป็นครูสอนหนังสือที่บ้านเกิดนี้ด้วย
หลังจากทานมื้อเย็นและล้างจานชามเรียบร้อย ก็ได้เวลาลงมือทำงาน รายงานเอกสารประกันคุณภาพการศึกษาที่ไม่รู้ว่าทำให้การศึกษาแย่ลงหรือไม่ อย่างน้อยก็ต้องเสียเวลาไปกับมันมากกว่าการเตรียมการสอนเสียอีก แต่เธอก็ไม่เคยให้ความสำคัญกว่าการสอนหนังสือที่แท้จริง ดังนั้นจึงนำกลับมาทำที่บ้านตอนกลางคืนแทน
เสียงหริ่งหรีดเรไรร้องระงมไปทั่วเพราะในส่วนทางด้านบ้านพักครูนี้มีทั้งทุ่งนา บ่อปลา เล้าไก่ แปลงผัก และยังสวนป่าธรรมชาติที่อนุรักษ์ไว้อีก เสียงหริ่งหรีดเหล่านั้นผสานเสียงนกกลางคืนที่ออกหาอาหารดังมาเป็นระยะ และเสียงกบเขียดในนา ถือว่าเป็นเพื่อนที่ดีสุดสำหรับเธอ มาอยู่ที่นี่ไม่เคยมีความเหงาเลยสักครั้ง ได้นอนฟังเสียงกล่อมจากธรรมชาติจนหลับทุกคืน ตื่นมาก็มีอากาศบริสุทธิ์อันแสนสดชื่นให้สัมผัสได้ทุกเช้า ให้กลับเข้าไปสอนอยู่ในกรุงเทพอีกครั้งต่อให้ได้เงินเดือนแพงแค่ไหนก็ไม่กลับไปอีกแล้ว
ลงมือทำงานไม่นานความฟุ้งซ่านก็หายไป ใจมาจดจ่ออยู่ที่งาน สิ่งนี้ได้มาจากการไปปฏิบัติธรรมยังวัดป่าในช่วงปิดเทอมก่อนจะย้ายกลับมาสอนที่บ้านเกิดนี้ การปฏิบัติธรรมไม่ได้ทำให้เธอเป็นคนดีสมบูรณ์แบบ แต่ทำให้ได้รู้จักคิดและยอมรับความเปลี่ยนแปลงได้มากขึ้น อย่างเช่นเคยรู้สึกต่อต้านการทำประกันคุณภาพการศึกษา ที่บ่อยครั้งพบว่าทำแบบผักชีโรยหน้า แต่พระอาจารย์ก็สอนให้รู้ว่ามันเป็นหน้าที่อย่างหนึ่งที่ต้องทำ เพราะฉะนั้นแทนที่จะมัวต่อต้านเป็นทุกข์กับมัน ก็เปลี่ยนมาตั้งใจทำจริงจัง และอันไหนที่ผักชีโรยหน้าเราก็พัฒนาให้เป็นจริงขึ้นมา ต่อไปก็ไม่ต้องใช้แบบผักชีโรยหน้า
เป็นคำสอนทางธรรมที่ยากจะนำมาปฏิบัติทางโลก แต่จรัสตะวันก็เข้าใจสิ่งนั้น นำมาปรับเปลี่ยนทัศนคติตัวเองใหม่ และตั้งใจทำหน้าที่ตรงนี้ให้ดีที่สุด เธอไม่ใช่คนดีที่หลุดพ้นจากวังวนกิเลศตัณหา เพียงแต่ตอนนี้มีความสุขดีกับชีวิตและหน้าที่ตรงนี้
ไม่มีเสียงใดไพเราะเท่าเสียงจากทำธรรมชาติ เพลิดเพลินกับเสียงนั้นและทำงานไปเรื่อย ๆ จนรู้สึกง่วงนอน เหลือบมองนาฬิกาก็เกือบห้าทุ่มแล้ว ง่วงก็นอน หากเป็นเมื่อก่อนเธอต้องทำให้มันเรียบร้อยตามที่ควรจะเป็นก่อนจึงนอน
ปิดไฟเข้านอนพร้อมกับเสียงขับกล่อมจากธรรมชาติ ชีวิตจะต้องการอะไรไปมากกว่านี้ มีความสุขกับสิ่งที่มีก็พอ
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
รัญรัมภานอนดูโทรทัศน์ไปเรื่อย ๆ ห้าทุ่มกว่าแล้วก็ยังไม่อาจข่มตาหลับได้ ผิดกับกอหญ้าที่กลับมาพอกินนมกินข้าวอิ่ม ก็พาเอาไปปล่อยให้วิ่งเล่นที่สนามหญ้าจนเหนื่อย เริ่มมืดพากลับเข้าบ้านมากินนมอีกรอบแล้วก็หลับปุ๋ยบนเบาะที่ปูไว้ให้ ชีวินบอกว่าถ้ากลัวว่าลูกหมาจะตื่นมากัดอะไรกลางดึกก็ให้ใส่กรงไว้ ทีแรกรัญรัมภาจะอุ้มกอหล้าเข้ากรง แต่กลับเปลี่ยนใจอุ้มให้ขึ้นมานอนบนห้องนอนด้วยเสียอย่างนั้น เพราะเมื่อพามาถึงบ้าน เธอก็สั่งการราวกับมันจะฟังรู้เรื่อง ห้ามกัดสายไฟ ห้ามไปรื้อกระถางต้นไม้ ห้ามฉี่ใส่บ้าน ห้ามนั่นห้ามนี่เท่าที่จะนึกได้ มันก็ได้แต่มองหน้า เอียงคอมองว่าเธอพูดอะไร พอบอกให้ไปวิ่งเล่นได้ มันถึงไปวิ่งเล่นตามประสาแล้วก็มากินแล้วก็นอน
รายการโทรทัศน์กว่าร้อยช่องของช่องเคเบิ้ลที่เสียค่าใช้จ่ายติดตั้ง และค่ารายเดือนอีกเดือนละหลายร้อยบาทไม่มีอะไรน่าสนใจสักนิด สุดท้ายก็กลับมาดูช่องธรรมดาตามเสียงหัวเราะของยายสาย มันเป็นรายการตลกไร้สาระที่ไม่น่าตลกด้วยสักนิด ดูไปก็คิดไปว่ายายสายหัวเราะตรงไหน พอหมดรายการตลกก็เป็นรายการข่าว เสียงหัวเราะและโทรทัศน์บ้านยายสายเงียบไป พร้อมกับไฟที่ดับลง แต่เธอยังคงกึ่งนอนกึ่งนั่งดูข่าวไปเรื่อย ๆ รู้สึกเหนื่อยล้า แต่ทำไมนอนไม่หลับและก็เริ่มรู้สึกหิวขึ้นมา
ระหว่างทางที่ขับรถกลับมาเมื่อตอนเย็นผ่านร้านขายอาหารทั้งที่เป็นร้านจริง ๆ และรถเข็นข้างทางหลายร้าน ก็มีแต่อาหารน่าเบื่อที่สั่งกินซ้ำ ๆ จนมาถึงโรงพยาบาลซึ่งมีร้านบะหมี่ที่มีสารพัดป้ายรับรองความอร่อย แต่ใคร ๆ ก็ลงความเห็นว่าสามารถกินกันตายได้เท่านั้น แต่ผ่านมาทีไรก็มีคนนั่งเต็มทุกโต๊ะทุกที
คนที่นี่สามารถร่วมโต๊ะกันได้ แม้จะไม่รู้จักกัน เธอเคยนั่งทานอยู่ดี ๆ ก็มีคนแปลกหน้ามานั่งลงและสั่งบะหมี่โดยที่ไม่ถามเธอสักนิดว่ามีคนนั่งหรือไม่ พอนานไปเธอถึงเข้าใจการใช้ชีวิตของคนแถวนี้ ไม่ใช่ว่าเขาไม่มีมารยาท แต่เขารู้จักการแบ่งปัน บางครั้งจะลุกไปตักน้ำที่ต้องบริการตัวเอง เขายังถามคนแปลกหน้าร่วมโต๊ะว่าเอาน้ำไหม รัญรัมภาเอาร้านบะหมี่นั้นไว้สำหรับกินกันตายเหมือนกัน ดังนั้นจึงขับรถผ่าน พอมาถึงร้านอาหารตามสั่ง ที่ทำได้ทุกอย่างแล้วแต่ลูกค้าจะสั่ง บางครั้งเธอก็ไปดูโต๊ะอื่นว่าเขาสั่งอะไรทาน อาหารจานไหนน่าทานก็จะมาสั่งแม่ค้าว่าเอาแบบโต๊ะนั้น แต่วันนี้ก็เบื่อที่จะต้องทานอาหารสั่งตามคนอื่นอีก จนในที่สุดก็กลับมาถึงบ้านโดยไม่รู้ทานอะไรในมื้อเย็น
เปิดตู้เย็นที่อัดแน่นไปด้วยอาหารสำเร็จรูปทุกชนิดที่มีขายในร้านสะดวกซื้อ เพียงแค่ใส่ในไมโครเวฟสักห้านาทีสิบนาทีก็พร้อมรับประทาน แต่ก็เบื่ออาหารพวกนี้เต็มที บางครั้งซื้อมาทิ้งไว้จนมันหมดอายุกลายเป็นอาหารของพวกยามเฝ้าหมู่บ้านฝูงนั้นไปก็บ่อย รวมทั้งนมและน้ำหวานที่วางเรียงกันอยู่เต็มตู้เย็น แต่ก็ไม่เห็นมีอะไรน่ากิน
รู้แล้วล่ะว่าทำไมหมาจรพวกนั้นจึงดีใจเมื่อเห็นเธอมา เพราะว่ามันได้กินแต่ของดี ๆ ในขณะที่ชาวบ้านแถวนี้ก็มีแต่อาหารเม็ดเป็นหลัก หรือบางครั้งอาจได้กินข้าวคลุกกับน้ำก๋วยเตี๋ยวบ้าง น้ำแกงบ้าง มีเศษเนื้อเศษกระดูกบ้างตามแต่จะหากันมาได้ แต่กับเธอมันได้กินทั้งไก่ทอดไก่ย่างลูกชิ้นอย่างดี รวมทั้งอาหารที่ซื้อมาจากร้านสะดวกซื้อเหล่านี้ด้วย
มองของในตู้เย็นแล้วก็ถอนใจ เทนมสดใส่แก้วแล้วก็หยิบแซนวิสแห้ง ๆ เก่า ๆ ในนั้นมาดูวันหมดอายุ มันยังทานได้ ขี้เกียจแม้แต่จะใส่ไมโครเวฟ ทานมันแบบเย็น ๆ นี่แหละ แค่กินกันตาย
ความจริงเธอไม่ได้ชอบอาหารแบบนี้หรอก หากกลับมาไวกว่านี้ยังมีกับข้าวตะกร้า ที่ป้าคนหนึ่งหิ้วเดินขายในโรงพยาบาลทุกเย็น ยกเว้นวันหยุด กับข้าวของป้าตะกร้าอร่อยทุกอย่างทั้งที่หน้าตาก็ธรรมดาและมีอยู่ไม่กี่อย่าง แถมราคาก็ถูกไม่น่าเชื่อ
ทนหิวไม่ไหว ในที่สุดก็ลงไปต้มบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปทาน ใส่ลูกชิ้นกับปูอัดเพื่อเพิ่มสารอาหาร แต่มันก็ไม่ผักให้ถูกหลักโภชนาการ ตู้เย็นเธอไม่มีของสดมานานแล้ว ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ใหม่ ๆ เพราะเคยทำอาหารทานเอง ใส่ตามสูตรทุกอย่างแต่พอทำออกมาทั้งรสชาติและหน้าตาไม่เป็นอย่างที่สูตรบอกไว้ สุดท้ายก็ต้องเอาไปให้หมาประจำหมู่บ้าน มันกินกันอย่างเอร็ดอร่อย แต่เธอก็ไม่คิดว่าจะต้องซื้อของแพง ๆ มาเพื่อทำให้หมากินอีกแล้ว
บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปทำให้ความหิวบรรเทา เจ้ากอหญ้าตื่นผงกหัวมาดูเธอนิดหนึ่งตอนที่กลับขึ้นมาแล้วก็หลับตานอนต่อ เกิดเป็นหมาบางทีก็ดีกว่าคนเสียอีก ไม่ต้องคิดอะไร กิน ๆ นอน ๆ ก็ไม่มีใครว่า และไม่ต้องไขว่คว้าอะไรมากไปกว่าการมีชีวิตรอดไปวัน ๆ
รัญรัมภาอิจฉาแม้กระทั่งหมา ทั้งที่เธอเกิดมาพร้อมสรรพทุกอย่างทั้งทรัพย์สมบัติ รูปสมบัติ และสติปัญญา แต่ทำไมกลับรู้สึกเหมือนว่าชีวิตยังขาดอะไรไปสักอย่าง
แม้จะยังไม่ง่วงแต่ก็ต้องนอน พรุ่งนี้เธอยังมีหน้าที่สำคัญต่อชีวิตคนอื่น นอนเพื่อตื่นมาก็ทำหน้าที่กันต่อไป ปิดไฟ หลับตา พลันคิดถึงใบหน้าครูจรัสตอนที่เดินมากับชีวิน ถ้าชีวินได้ครูจรัสมาเป็นคู่ชีวิตก็คงเป็นเรื่องที่เธอต้องอิจฉา คนเราเกิดมายากนักที่จะหาคนที่ตรงความต้องการทุกอย่าง และเมื่อพบคนที่ตรงตามนั้นแล้วเขาก็อาจจะไม่ได้เกิดมาเพื่อเรา
บางทีเธออาจจะต้องอยู่กับความเหงาแบบนี้ มีหมาเป็นเพื่อน และมีอาหารสำเร็จรูปประทังชีวิตไปจนตาย
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
มนุษย์เกิดมาเพื่อทำหน้าที่ ทุกคนต่างมีหน้าที่ของตัวเอง
ชีวิตวนเวียนไปตามวัฏจักรเดิม ๆ แต่วันนี้รัญรัมภาตื่นเช้ากว่าปกติเพื่อพากอหญ้าลงมาที่สนามหน้าบ้าน ปล่อยให้มันวิ่งเล่นทำธุระของมัน ส่วนเธอก็ขึ้นไปอาบน้ำ กลับลงมาอีกครั้ง เทอาหารเม็ดและน้ำไว้ให้ พอเธอเดินไปเปิดประตูบ้านมันก็วิ่งตามเพราะคิดว่าจะได้ออกนอกบ้าน
“หมอไปทำงาน กอหญ้าเฝ้าบ้านนะ อย่าซนกัดต้นไม้ล่ะ” รัญรัมภาอุ้มมันมาวางที่ชิงช้าซุ้มไม้เลื้อยก่อน มันยังตัวเล็กเกินกว่าที่จะกล้ากระโดดลงมา และจะได้สอนให้รู้ว่าถ้าเธอจะขับออกบ้านมันต้องมาอยู่บนนี้ซึ่งเป็นที่ปลอดภัยด้วย
ถอยรถออกไปจอดที่หน้าบ้านแล้วกลับเข้ามาปิดประตู อุ้มกอหญ้าลงมาที่พื้น สั่งความอีกสองสามคำ พอเดินไปมันก็วิ่งตาม รัญรัมภาหันมาชี้นิ้วแล้วสั่งว่า “หยุด เฝ้าบ้าน” ตามที่ชีวินเคยบอก กอหญ้าหยุดชะงักแต่ก็เอียงคอมองเธอด้วยความไม่เข้าใจเหมือนเคย ความจริงก็สงสารมันนะที่จะต้องอยู่ตัวเดียว
“หมอ เอาหมามาจากไหน” ยายสายยืนเกาะรั้วบ้านมองตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ร้องถามมา
“หน้าหมู่บ้านนี่แหละค่ะ มันยังเล็กเลยเอามาเลี้ยงไว้ กลัวพวกตัวใหญ่กัด” รัญรัมภาตะโกนตอบ เพราะแกหูตึงแล้ว
“หมอไม่ต้องห่วงหรอก ยายจะมาดูให้บ่อย ๆ ” ยายสายคงเข้าใจว่าเธอห่วงลูกหมา
“ขอบคุณค่ะยาย หมอเทอาหารเทน้ำไว้ให้แล้วล่ะค่ะ” รัญรัมภารู้ว่าถ้ายายสายบอกว่าจะดูนั่นก็คงมาดูผ่านรั้วแบบนี้ เป็นน้ำใจดี ๆ เพียงเล็กน้อยที่เธอไม่เคยได้รับเมื่ออยู่ในเมืองใหญ่
วันนี้ตื่นเช้ากว่าทุกวันจึงยังมีเวลาเลยไปหาของกินในตลาดตอนเช้า โจ๊กใส่ปาท่องโก๋ที่พึ่งเคยทานแบบนี้ที่นี่เป็นครั้งแรกและก็ติดใจ กาแฟโบราณร้านอาแปะนั้นก็กลิ่นหอมหวนรสชาติกลมกล่อมถูกใจ แกไม่ยอมบอกสูตรใครว่าทำอย่างไร คนที่จะได้สูตรก็คงเป็นลูกชายของแกที่ช่วยขายอยู่เท่านั้น ขอให้เขาขายตลอดไปเถอะนะ ไม่คิดว่าต่างจังหวัดแบบนี้จะมีร้านกาแฟโบราณที่อร่อยถูกใจเหมือนร้านในเยาวราชที่เคยไปมา
ขับรถผ่านโรงเรียนมัธยมก่อนถึงตลาด หากไม่มีภาพครูจรัสเดินคู่กับชีวินติดตาอยู่ เธอก็อยากจะแวะชวนไปหาอาหารเช้าทานด้วยกันในตลาด ไม่ใช่เธอขี้ขลาด แต่ไม่อาจทำร้ายผู้ชายดี ๆ อย่างชีวินได้
ผู้หญิงหลายคนที่ผ่านเข้ามาในชีวิตบางครั้งเธอก็พรากมาจากคนรักที่เป็นผู้ชาย แต่ก็หลายครั้งที่เธอถูกผู้ชายแย่งคนรักไปเหมือนกัน เพราะฉะนั้นเธอจึงคิดว่าแล้วแต่โอกาสของใครของมัน ยกเว้นจรัสตะวันกับชีวินที่เธอจะไม่มีวันทำร้ายคนทั้งคู่ จรัสตะวันมีหน้าที่การงานเป็นเกราะกำบัง ส่วนชีวินก็มีความเป็นเพื่อนเป็นสิ่งสำคัญ
“หมอจะมาทำไมไม่บอกป้าคะ” รัญรัมภาไปเจอกับป้ามลที่ร้านโจ๊ก เธอก็พึ่งนึกได้ว่าปกติถ้าจะมาตลาดตอนเช้า เธอจะเข้าไปรับป้ามลที่โรงพยาบาลด้วย แต่วันนี้เธอคิดอะไรเรื่อยเปื่อยจึงขับรถมาตลาดเลย
“ขอโทษค่ะป้า” รัญรัมภาไม่รู้ว่าจะแก้ตัวอย่างไรว่าทำไมเธอลืมไปรับป้ามลที่โรงพยาบาล
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ป้าแค่แปลกใจ พักนี้หมอดูไม่ค่อยสดใสเลยนะคะ” ป้ามลทัก เพราะถ้าหากอยู่โรงพยาบาลแล้วแทบจะไม่มีเวลาแม้แต่จะมองหน้ากัน
“เมื่อคืนนอนไม่ค่อยหลับค่ะ” รัญรัมภาตอบสั้น ๆ เธอไม่เก่งการจะหาเหตุผลอธิบายหากมันไม่ใช่ความจริง
“เป็นอะไรไปอีกล่ะค่ะ” ป้ามลพูดเสียงเบาลง อาการแบบนี้ของหมอรัญเท่าที่เคยเห็นผ่านมาก็คือตอนที่แฟนคนล่าสุดบอกเลิกและไปแต่งงาน แต่มันก็เป็นอยู่แค่ไม่กี่วัน แต่เท่าที่สังเกตมารัญรัมภาดูซึมลงมาหลายวันแล้ว และวันนี้ยิ่งดูซึมมากกว่าเดิม
“ไม่ได้เป็นอะไรค่ะ สงสัยว่าจะเครียดเรื่องโครงการที่ผู้อำนวยการให้ประชุมอาทิตย์หน้าค่ะ หมอยังไม่มีข้อมูลชุมชนเลย” รัญรัมภาดึงการสนทนาเข้ามาสู่เรื่องงาน
“ก็เอกสารที่ป้าใส่แฟ้มให้นั่นไงคะ เป็นข้อมูลพื้นฐาน ชีวิตชาวบ้านที่นี่ไม่ค่อยมีอะไรเปลี่ยนแปลงนักหรอกค่ะ ไปประชุมกลับมาแล้วได้เรื่องอย่างไงค่อยว่ากันต่อ” ป้ามลพยายามปลอบใจ
รัญรัมภาพยักหน้าและรีบทานโจ๊กที่มาเสิร์ฟร้อน ๆ ป้ามลฉีกปาท่องโก๋เป็นชิ้นเล็ก ๆ ใส่ให้ เธอชอบให้คนเอาใจใส่กับเรื่องเล็ก ๆ น้อยเพียงเท่านี้ ในขณะที่เรื่องสำคัญเธอกลับไม่ต้องการให้ใครมาใส่ใจ เธอตัดสินใจและแก้ปัญหาได้ด้วยตัวเองเสมอ
เสร็จจากร้านโจ๊กก็ไปต่อที่ร้านกาแฟอาแปะโดยไม่ต้องบอกกัน นอกจากวันไหนเธออยากดื่มกาแฟสดจึงจะชวนไปที่ร้านข้างธนาคาร ร้านนั้นมีขนมปังปิ้งโรยเครื่องสารพัดหน้าทั้งแยม นมข้นหวาน หมูหยองน้ำพริกเผา แต่ร้านอาแปะมีขนมปังสังขยาหอมหวานและขนมโบราณของคนจีน รัญรัมภาชอบทั้งสองร้าน แต่ขึ้นอยู่กับอารมณ์ว่าวันไหนอยากทานอะไร มากับป้ามลไปร้านไหนก็ได้ ป้ามลตามใจเธอเสมอ
“ไปโรงเรียนแต่เช้าเลยนะเภตรา” ป้ามลทักหลานสาวของอาแปะที่เข็นรถจักรยานที่จอดอยู่ข้าง ๆ รถเข็นขายกาแฟออกมาจอดไว้เตรียมไปโรงเรียน
“สวัสดีค่ะป้า สวัสดีค่ะคุณหมอ” เภตราในชุดนักเรียนมัธยมปลายยกมือไหว้อย่างเด็กที่ได้รับการอบรมมารยาทมาอย่างดี เพราะเธอมีแม่เป็นคนไทยแท้และเป็นครูสอนเด็กอนุบาลที่ศูนย์ปฐมวัยด้วย
“พักนี้มันขยันครับ ตั้งแต่ได้ครูประจำชั้นคนใหม่มาเนี่ย” พ่อของเภตรากึ่งพูดกับป้ามลกึ่งแซวลูกสาว
“หนูก็ขยันมาตั้งนานแล้วพ่อก็ วันนี้หนูมีเวรรดน้ำผัก” เภตราหันมากระเง้ากระงอดพ่อ แต่ก็ดูภูมิใจกับหน้าที่ที่เธอต้องรีบไปทำ
“เอาเม็ดผักใหม่ ๆ มาปลูกบ้างนะ อั๊วเบื่อผัดถั่วงอกกับผัดผักบุ้งแล้ว” อาแปะที่ยังง่วนอยู่หน้าหม้อต้มกาแฟตะโกนเสียงแหบ ๆ มาแซวหลานสาวซ้ำ ตามด้วยเสียงหัวเราะครื้นเครงของลูกค้าในร้าน
“หมดงวดนี้หนูจะปลูกผักกาด ปลูกคะน้า หรือปลูกกะหล่ำปลีเลยดีคะ” เภตราไม่ได้ลดราวาศอกในการต่อปากต่อคำก่อนที่จะเดินกลับเข้าไปในบ้านอีกครั้ง
บทสนทนาที่รัญรัมภาได้ยินนั้นมันสะท้อนความรู้สึกบางอย่างในใจ ตึกแถวสามชั้นเก่า ๆ นี้มีแต่ความรักอบอวลอยู่อย่างรู้สึกได้ ไม่ว่าจะเป็นความรักของคนในครอบครัว ความรักระหว่างคนขายกับลูกค้า เป็นความรักที่ไม่ต้องพูดออกมาไม่ต้องเสแสร้งแสดงว่ารักกัน แต่มันออกมาจากความรู้สึกที่คุ้นเคย
“คุณหมอเชิญนั่งข้างในก่อนครับ ข้างนอกมันยังไม่ว่าง” ลูกชายอาแปะเชิญให้เข้าไปนั่งในร้านเพราะด้านนอกหน้าร้านนั้นมีลูกค้าประจำจับจองหมดแล้ว
ป้ามลเดินนำเธอเข้าไปข้างใน มันก็โปร่งโล่งพอสมควร แต่บรรยากาศก็คงสู้ด้านนอกไม่ได้ ใครสัญจรผ่านไปมาก็ร้องทักทายกันตลอดเวลา รัญรัมภาชอบบรรยากาศแบบนี้
เภตรากลับออกมาพร้อมกระเป๋านักเรียน
“ยังสนใจเรียนพยาบาลอยู่ไหม ป้าจะได้ให้เพื่อนที่กรุงเทพซื้อหนังสือเตรียมสอบส่งมาให้” ป้ามลรีบบอกก่อนที่เภตราจะเดินผ่านไป เด็กสาวหยุดยืนในระยะที่ไม่ถึงกับเรียกว่าค้ำหัวผู้ใหญ่
“ขอบคุณค่ะ” เภตรายกมือไหว้
“ตอนนี้ครูจรัสกำลังสั่งหนังสือสำหรับเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัยมาชุดใหญ่ไว้ห้องสมุดโรงเรียนค่ะ หนูว่าจะรอดูหนังสือที่ครูจรัสสั่งมาก่อนค่ะ” เภตราพูดจาฉะฉานและฟังดูเป็นผู้ใหญ่เกินตัว ผิดกับตอนที่คุยกับพ่อและอาแปะ
รัญรัมภาวูบไหวในใจเมื่อได้ยินชื่อนั้น จรัสตะวัน มันฝังอยู่ในความรู้สึกอย่างบอกไม่ถูก
“ถ้าอย่างนั้นก็ได้ ฝากบอกครูจรัสด้วยนะว่าถ้าจะเอาเล่มไหนให้มาบอกป้า เพื่อนป้าเขาจะได้สั่งมาให้ในราคาข้าราชการ”
“ค่ะ หนูไปโรงเรียนก่อนนะคะ ต้องรีบไปรดน้ำผัก” เภตรายกมือไหว้ลาทั้งป้ามลและรัญรัมภา พอดีกับที่พ่อของเธอเอากาแฟกับขนมปังสังขยามาเสิร์ฟ เธอจึงยกมือไหว้พ่อไปด้วยแล้วรีบวิ่งออกไปไหว้อาแปะ คว้าจักรยานปั่นฉิวไปโรงเรียน
“ช่วงนี้มันบ้าปลูกผัก บ้ากิจกรรม ไม่รู้ครูจรัสทำอย่างไง ปกติมันไม่เคยห่างตำราจนกลัวมันจะบ้า” พ่อของเภตรามองตามลูกสาวด้วยความรักและภาคภูมิใจ
“นั่นสิคะ ปกติมาเห็นแต่เภตราเอาแต่อ่านหนังสือเรียน กิจกรรมอะไรกับโรงเรียนก็ไม่ค่อยทำ” ป้ามลเป็นฝ่ายสนทนา โดยรัญรัมภาแสร้งเป็นจิบกาแฟและจิ้มขนมปังสังขยาทานไปเรื่อย ๆ เหมือนไม่สนใจ แต่เธอกลับจับทุกคำพูดนั้นมาคิด
ชีวิตเภตราก็ไม่ต่างจากเธอสมัยมัธยมที่จมอยู่แต่กับกองตำรา ผิดกันแต่ว่าเธอไม่มีใครมาฉุดออกไปโลกภายนอก จนกระทั่งเรียนมหาวิทยาลัยก็ไม่วายต้องหมกมุ่นอยู่กับตำรา แต่ทว่าก็ได้มีโอกาสมาดูโลกข้างนอกเมื่อมาอยู่หอพักนักศึกษาแพทย์ ได้ไปออกค่าย ได้ไปเห็นชีวิตที่ต้องทนทุกข์ทรมานจากอาการเจ็บป่วยสารพัด รวมทั้งเห็นโอกาสในชีวิตของคนที่ไม่เท่ากัน
สิ่งเหล่านั้นปอกเปลือกของรัญรัมภาจากที่เรียนหมอตามที่พ่อและคนส่วนใหญ่ในตระกูลเรียนกัน เป็นการเรียนเพื่อจะได้ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ จนในที่สุดเธอเลือกที่จะมาอยู่ที่นี่เพราะไม่มีใครอยากจะมา แม้ว่าเธอจะมีสิทธิ์เลือกโรงพยาบาลดี ๆ ได้ก่อนเพื่อนหลายคน
เพียงเท่านี้เธอก็เข้าใจชีวิตและความคิดของเภตรา แต่คนที่ยังไม่สามารถแม้แต่จะเข้าใกล้กลับยิ่งทำให้เธอสงสัยเหมือนที่พ่อเภตราพูด ครูจรัสทำอย่างไรให้เภตราเปลี่ยนความคิดได้ และตัวครูจรัสเองคิดอย่างไรในการมาอยู่ที่นี่
“มันบอกว่าจะไปเรียนพยาบาลแล้วกลับมาทำงานที่บ้านเราเหมือนครูจรัส”
รัญรัมภาได้ข้อมูลเพิ่มเติมจากการสนทนาระหว่างคนสองคน โดยที่เธอไม่ได้ร่วมวงด้วย พ่อของเภตราพูดอะไรอีกสองสามคำ ก่อนที่เขาจะกลับไปบริการลูกค้าคนอื่นต่อ
“ครูจรัสเป็นคนที่นี่เหรอคะ” รัญรัมภาได้จังหวะถามเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง
“ใช่ค่ะ เกิดที่นี่ เรียนประถมที่นี่ แต่ตอนที่เข้ามัธยมได้ทุนไปเรียนในจังหวัด ไป ๆ มา ๆ พ่อแม่ก็เลยพาย้ายไปอยู่ที่อื่น จนพึ่งกลับมานี่แหละค่ะ” ป้ามลเล่าและยกกาแฟขึ้นจิบ
“ทำไมกลับมาคนเดียวล่ะคะ”
คำถามของรัญรัมภาทำให้ป้ามลนิ่วหน้า วางแก้วกาแฟและมองหน้าเธอตรง ๆ ด้วยความสงสัย
“หมอรู้ได้อย่างไงว่าครูจรัสกลับมาคนเดียว”
รัญรัมภารู้ตัวว่าพลาดไปที่เผลอทำให้ป้ามลสงสัยอีกครั้ง เธอแกล้งยกกาแฟขึ้นจิบเพื่อใช้เวลานึกคำตอบที่ดูมีเหตุผลว่าทำไมจึงรู้ว่าครูจรัสกลับมาบ้านเกิดคนเดียว
“พอดีวินเขาเล่าว่าหลังโรงเรียนมีแปลงนา หมอไปรับกอหญ้ากลับมาก็เลยแวะไปดูค่ะ เจอวินอยู่กับครูจรัสพอดี”
ไม่รู้ว่าป้ามลจะเชื่อสิ่งที่เธอเล่าหรือไม่ เธอก็ใช้เหตุผลเดียวกับที่บอกชีวิน โชคดีที่เธอเล่าเรื่องกอหญ้าให้ป้ามลฟังไว้แล้ว ทุกอย่างมันก็คงจะน่าเชื่อถืออยู่บ้าง ป้ามลไม่พูดอะไร จิ้มขนมปังใส่ปาก เธอก็โล่งใจ
“รีบทานเถอะค่ะ จะได้รีบกลับไปเตรียมตัวทำงาน วันนี้วันคลินิกเบาหวานความดันนี่คะ คนไข้จะเยอะกว่าทุกวัน” ป้ามลเตือนและเหมือนจะไม่ติดใจสงสัยอะไรเธออีก เธอรีบทำเป็นสนใจกาแฟและขนมปังตรงหน้า
ยิ่งได้รู้ข้อมูลมากเท่าไหร่ก็ยิ่งมีอะไรน่าค้นหา จรัสตะวัน อยากรู้ว่าใครกันที่ตั้งชื่อนี้ให้ จะรู้ตัวบ้างไหมว่ากำลังเป็นดวงตะวันที่จรัสอยู่ในใจใครบางคน
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
จนแล้วจนรอด รัญรัมภาก็ยังหาโอกาสที่จะไปพบครูจรัสอีกไม่ได้ ไม่รู้จะหาเหตุผลอะไร ครั้นจะบอกว่าไปขอโทษเรื่องวันนั้นมันก็ผ่านมาจนเลยเวลาที่จะใช้เป็นข้ออ้างได้แล้ว อีกทั้งยังต้องระวังไม่ให้ป้ามลสงสัย บางครั้งก็อยากจะถามป้ามลตรง ๆ ว่าทำไมต้องไม่อยากให้เธอเข้าไปเกี่ยวข้องกับครูจรัส หรือหากจะเป็นเพราะชีวินซึ่งป้ามลก็รู้จักดี
ถ้าหากเป็นเหตุผลข้อนั้น เธอก็พร้อมจะถอยออกมา แต่อยากจะหาโอกาสสักครั้งที่จะได้ไปทำความรู้จักกับจรัสตะวันอย่างเป็นทางการ
“หมอรัญจองตั๋วเครื่องบินเรียบร้อยหรือยังคะ”
ป้ามลมาเตือนในตอนบ่ายที่ไม่มีผู้ป่วยนอกรอตรวจแล้ว พรุ่งนี้และอีกสองคืนสามวันถัดจากนั้นที่เธอจะต้องไปประชุมซึ่งถือว่ามีความสำคัญต่อชาวบ้านแถวนี้โดยที่พวกเขายังไม่รู้
“เรียบร้อยแล้วค่ะป้า ทีแรกว่าจะไปเย็นนี้เลยแต่คิดว่าไปพรุ่งนี้เช้าดีกว่า ประหยัดค่าโรงแรมให้โครงการ”
รัญรัมภาพูดเหมือนกับว่าเป็นเรื่องล้อเล่น แต่แท้จริงเธอก็คิดแบบนั้น การไปประชุมครั้งนี้มีเทิดทูนไปด้วยในฐานะผู้ช่วยของเธอ ดังนั้นทางโครงการจึงต้องจองโรงแรมให้สองห้อง ครั้นจะกลับไปนอนบ้านที่กรุงเทพก็ไม่สะดวกกับการเดินทางมาประชุมที่โรงแรมซึ่งอยู่ไกลจากบ้านเธอ
เอกสารที่ป้ามลเตรียมให้ทำให้รู้อะไรหลายอย่างเกี่ยวกับเขตอำเภอนี้เพิ่มขึ้น มีโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลอีกหลายแห่งที่ยังขาดแคลนเจ้าหน้าที่สาธารณสุข และยังมีปัญหาทางสุขภาพของคนในชุมชนอีกมากมายที่ยังไม่ได้เข้าไปให้ความรู้และการรักษา
โครงการที่ผู้อำนวยการให้เธอไปประชุมนี้มีเพื่อนของผู้อำนวยการได้งบประมาณจากต่างประเทศมาศึกษาและค้นหาผู้พิการที่รักษาได้ด้วยการผ่าตัด หากเธอสามารถนำเสนอลักษณะพื้นที่และกลุ่มประชากรให้มีความน่าสนใจได้ โรงพยาบาลแห่งนี้ก็จะได้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ ซึ่งนั่นจะเป็นประโยชน์ต่อชาวบ้านแถวนี้มากที่สุด รู้ว่าการที่เธอเป็นศัลยแพทย์นั้นยิ่งทำให้มีโอกาสสูงที่ได้รับเลือก ดังนั้น จึงตั้งใจอ่านเอกสารต่าง ๆ ให้เข้าใจ สงสัยอะไรก็พยายามถามป้ามลไว้ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้
“ถ้าทางโครงการเลือกโรงพยาบาลเรา เขาจะมาพัฒนาห้องผ่าตัดให้ หมอรัญอาจจะต้องทำงานหนักขึ้นนะถ้าเป็นอย่างนั้น”
ผู้อำนวยการถามหยั่งเชิงเธอในวันที่เรียกไปพบและยื่นเอกสารโครงการให้อ่าน เธออ่านลวก ๆ แต่ก็พอเข้าใจ โรงพยาบาลได้ห้องผ่าตัดที่ดีขึ้น ชาวบ้านก็จะได้รับการรักษาที่ดีและสะดวกขึ้น แต่การที่งานเธอจะหนักขึ้นนั้น ไม่ใช่ประเด็นสำคัญเลย
“เท่าที่อ่านวัตถุประสงค์กับกลุ่มเป้าหมายของโครงการ ดิฉันคิดว่ามันน่าจะคุ้มค่าถ้าเขาเลือกโรงพยาบาลเรา ดิฉันยินดีรับงานนี้ค่ะ” รัญรัมภาตอบด้วยความมั่นใจ
อ่านเอกสารไปจนคิดว่าเข้าใจดีแล้วจึงจัดเข้ากระเป๋าเอกสาร เธอเป็นคนที่ต้องเตรียมการให้พร้อมสรรพเสมอว่าจะทำอะไร การไปประชุมครั้งนี้จะต้องนำสิ่งที่ดีกลับมาให้ชาวบ้านให้ได้ ข้อมูลผู้พิการที่ได้มาคร่าว ๆ นั้น มันยังไม่สมบูรณ์และไม่ได้มีการสำรวจจริงจัง ส่วนใหญ่เอามาจากรายชื่อผู้รับเบี้ยยังชีพคนพิการซึ่งมันไม่มีรายละเอียดมากนัก แต่เมื่อเทียบกับจำนวนผู้พิการที่อยู่ในระบบการดูแลของโรงพยาบาลก็บ่งบอกว่ามีจำนวนผู้พิการอีกมากที่ยังเข้าไม่ถึงการรักษา
“ป้ามลคะ หมอจะพากอหญ้าไปฝากหมอวินไว้ ป้าอยากได้อะไรในตลาดไหมคะ” รัญรัมภาแวะไปหาป้ามลที่ห้องพักพยาบาลเมื่อถึงเวลาเลิกงาน และรู้ว่าป้ามลจะอยู่ทำงานจนสองทุ่มทุกวัน
“ไม่เอาอะไรค่ะหมอ หมอรีบไปรีบกลับนะคะ อย่าเถลไถล ฝนก็ทำท่าจะตกด้วย รีบไปเถอะค่ะ”
รัญรัมภาหันมาพยักพเยิดและอมยิ้มกับพยาบาลเวรบ่ายเมื่อได้ยินคำพูดของป้ามล ทุกคนล้วนแต่ต้องถูกป้ามลสั่งสอนแบบนี้อย่างเท่าเทียมกัน
“ค่ะ แค่เอาหมาไปฝากแล้วจะรีบกลับมาจัดกระเป๋าค่ะ” รัญรัมภาแกล้งตอบรับเสียงหวาน และรีบเดินออกมาก่อนที่จะโดนดุต่อหน้าพยาบาล
กลับบ้านมาพากอหญ้าขึ้นรถ เธอเคยขับรถพามันไปเที่ยวเล่นหลายครั้ง จนสามารถสอนให้มันนั่งหน้าได้โดยไม่ซน มันโตไวผิดหมาไทยธรรมดา ไม่รู้ว่าผสมอะไรมาบ้าง ชีวินเคยพูดตอนที่เธอเอาไปรับวัคซีนตามนัดว่า กอหญ้าน่าจะได้แต่พันธ์ดีมา อาจจะได้พันธ์นักล่าผสมกับพันธ์หมาบ้าน มันจึงโตไวและแข็งแรงมาก
แต่ในสายตารัญรัมภา กอหญ้าก็ยังเป็นลูกหมาอยู่ดี เธอพามันไปรู้จักพี่ ๆ ในหมู่บ้านแล้ว
ยิ่งนับวันก็เหมือนมันฟังรู้เรื่องว่าเธอพูดอะไรและทำให้หายเหงา ทุกวันตอนเย็นมันจะมานั่งรอเธอที่หน้าประตูรั้ว พอเห็นรถมาจอดมันก็จะรีบวิ่งไปนั่งรอที่ชิงช้าแต่ว่าขึ้นเองไม่ได้ รัญรัมภาจะเข้าบ้านไปอุ้มมันขึ้นนั่ง แล้วจึงมาขับรถเข้าบ้าน ชีวินบอกให้เธอทำให้มันรู้ว่าต้องมานั่งตรงนี้ทุกครั้งที่มีรถเข้าออกบ้าน เพื่อป้องกันอุบัติเหตุ
ตั้งแต่มีกอหญ้า เธอก็ชอบที่จะอยู่บ้านมากกว่าไปเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจที่ไหน คุยกับมันไป หรือแค่มีมันอยู่ใกล้ ๆ ก็สบายใจแล้ว
ถึงคลินิกรักษาสัตว์ของชีวิน วันนี้มีลูกค้านั่งอยู่สองสามราย รัญรัมภาจูงกอหญ้าจะพาเข้าไปในร้าน มันทำท่าขัดขืนเพราะคงจำได้ว่ามาที่นี่แล้วเจ็บตัว
“วันนี้ไม่ฉีดยา แต่พามาฝากไว้ หมอจะไปประชุมไง” เห็นหันมาพูดกับมันพร้อมกับผลักประตู คนที่อยู่ในร้านหันมามองเธอที่พยายามยื้อยุดกอหญ้าให้เข้ามา
“กอหญ้า เป็นอะไร บอกว่าไม่ได้ฉีดยาไง” เธอดุมันทั้งที่รู้ว่ามันไม่เข้าใจ คนในร้านก็เหมือนลุ้นให้เธอดึงลูกหมาเข้ามาในร้านให้ได้ คนเลี้ยงสัตว์ย่อมรู้ว่าการคุยกับสัตว์เลี้ยงเหมือนเป็นมนุษย์ด้วยกันนั้นแสดงถึงความรักและผูกพันมาก
“ กอหญ้า เข้ามานี่มา” เสียงของลูกค้าคนหนึ่งช่วยเรียกมันเข้าไป มันเอียงคอทำหน้าสงสัยเหมือนทุกครั้งที่เห็นอะไรแปลก ๆ หรือได้ยินเสียงที่ไม่คุ้นเคย
รัญรัมภาหันไปตามเสียงนั้น มันไม่แค่กอหญ้าหรอกที่แปลกใจ เธอเองก็แปลกใจเหมือนกันที่พบกับจรัสตะวันที่นี่
“เข้ามาสิกอหญ้า” จรัสตะวันนั่งยอง ๆ กับพื้น กระดิกนิ้วและทำเสียงจิ๊กจั๊ก ๆ เรียกลูกหมา ไม่น่าเชื่อว่ามันจะได้ผล กอหญ้ากระดิกหางดีใจและวิ่งไปหามือที่กระดิกเรียกทันที
“สวัสดีค่ะครูจรัส” รัญรัมภาทักทายเมื่อเห็นว่าครูจรัสสนใจแต่ลูกหมา ไม่ได้เงยหน้ามามองเธอเลย
“สวัสดีค่ะ” จรัสตะวันเงยหน้าขึ้นมาตอบและเล่นกับลูกหมาต่อ พอดีกับที่ชีวินเดินออกมาจากห้องตรวจ พร้อมกับน้อยที่หิ้วตะกร้าใส่แมวออกมา ลูกค้าคนหนึ่งลุกไปรับตะกร้า พร้อมทั้งรับยาและฟังวิธีการป้อนยาที่น้อยสอนให้
“เป็นไงกอหญ้า มาอยู่กับหมอวินสักสามสี่วันก่อนนะ” ชีวินนั่งลงไปทักกอหญ้าเหมือนกับจรัสตะวัน
“รัญไม่ต้องห่วงนะ เดี๋ยวน้อยจะเอากอหญ้าไปอยู่ข้างบนด้วย แต่ไม่มีสนามหญ้าให้วิ่งเล่นเหมือนบ้านหมอรัญนะ” ประโยคหลังเขาพูดกับกอหญ้า ก่อนที่จะลุกขึ้นมายืนคุยดี ๆ กับรัญรัมภา จรัสตะวันรู้ตัวว่าไม่ควรจะอยู่ในวงสนทนาเพราะว่าเป็นเรื่องส่วนตัวของสองคน จึงเดินมานั่งที่เก้าอี้สำหรับลูกค้านั่งรอ
“น้อย เอากอหญ้าไปไว้ในกรงใหญ่ก่อน” ชีวินบอกลูกจ้างเมื่อเห็นว่าส่งแมวให้ลูกค้าเรียบร้อยแล้ว
“รัญอยู่คุยกับครูจรัสก่อนก็ได้นะ เรามีตรวจอีกสองเคส” ชีวินยืนคุยกับรัญรัมภา และหันมาทางจรัสตะวัน ซึ่งเขาเคยแนะนำให้ทั้งสองรู้จักกันมาแล้ว
“ไม่เป็นไร เราต้องรีบกลับจัดกระเป๋า ขอโทษด้วยนะคะครูจรัส มีโอกาสจะขอเข้าไปดูแปลงนาใหม่นะคะ” พูดออกไปแล้วรัญรัมภาก็โมโหที่พูดปิดโอกาสตัวเองเสียอย่างนั้น
“ค่ะ ยินดีค่ะ” จรัสตะวันตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงเป็นมิตรเหมือนเดิม เหมือนครั้งที่ได้รู้จักกันครั้งแรก
รัญรัมภาไปลากอหญ้าในกรงใหญ่ เหมือนมันเข้าใจว่าต้องอยู่ที่นี่ หมอมีงานสำคัญต้องไปประชุม มันตะกรุยตะกายกรงจะออกมาหา แต่พอรัญรัมภาจุ๊ปากดุมันก็หยุด
“เป็นหมาของหมอต้องเสียสละความสุขส่วนตัวรู้ไหม” รัญรัมภาบอกมันไป ทั้งที่ความจริงนั้นเธอบอกตัวเอง