ตอนที่ 4
การมาประชุมที่กรุงเทพครั้งนี้ทำให้รัญรัมภาระลึกได้ว่าเธอไม่ได้กลับมากรุงเทพไม่ต่ำกว่าครึ่งปีแล้ว แต่ทุกอย่างก็ยังเหมือนเดิม ตึกสูง อาคารกระจก ห้างสรรพสินค้า ผับบาร์ ร้านอาหาร รถราสารพันสิ่งอำนวยความสะดวก และต้นไม้มีพอให้รู้ว่าเมืองนี้ยังมีต้นไม้ ความรู้สึกของเธอต่อกรุงเทพเปลี่ยนไป มันไม่ใช่เมืองศิวิไลซ์อย่างที่เคยเชื่อมั่นมาตลอด
เธอเลือกที่จะเรียกแท็กซี่ไปโรงแรมแทนการที่คนที่บ้านบอกว่าจะส่งรถมาให้ใช้ มาประชุมไม่กี่วันและก็คงไม่ได้ไปไหนไกลเธอจึงปฏิเสธไป ส่วนเย็นนี้พ่อแม่และญาติพี่น้องที่พอมีเวลาว่างจะมาทานอาหารเย็นกับเธอที่โรงแรมแทน
“เทิดทูนอ่านข้อมูลมาดีหรือยัง เรื่องชุมชน เรื่องชาวบ้าน หมอคงพูดได้ไม่ละเอียด คงต้องให้เทิดทูนพูดให้ละเอียด”
รัญรัมภาทบทวนเตรียมการระหว่างที่นั่งแท็กซี่มาโรงแรม เทิดทูนไปคนในพื้นที่จึงมีความเข้าใจสภาพและวิถีชีวิตชาวบ้านได้ดีกว่า รวมทั้งสภาพภูมิศาสตร์ที่จะนำเสนอให้เห็นว่าชุมชนเธอมีอุปสรรคอย่างไรที่ทำให้ผู้พิการไม่เข้าถึงการรักษา
“เรียบร้อยแล้วครับหมอ ถ้าเราได้โครงการนี้ งานคงหนักน่าดู” เทิดทูนยังหวั่นใจกับงานข้างหน้าอีกทั้งยังทำท่าทางไม่เชื่อใจหมอรัญว่าจะทนลำบากได้ตลอดรอดฝั่ง เท่าที่อ่านเอกสารมาโครงการนี้ไม่ใช่หมอที่ต้องรอคนไข้มาหา แต่หมอต้องออกไปหาคนไข้เอง หมอรัญยังไม่รู้ว่าการไปหาคนไข้นั้นลำบากเพียงใด เพราะเคยออกไปแค่โรงพยาบาลตำบลกับจุดที่เคยออกไปให้บริการชุมชนเท่านั้น
“หนักแค่ไหนก็ต้องทำ ผอ.ก็อยากให้ได้โครงการนี้ โรงพยาบาลเราจะได้มีห้องผ่าตัดที่ได้มาตรฐาน ชาวบ้านจะได้ไม่ต้องไปรอคิวโรงพยาบาลจังหวัดอย่างเดียว”
“หมอจะไหวเหรอครับ เรื่องผ่าตัดผมไม่ห่วง แต่ห่วงเรื่องตอนไปในชุมชน”เทิดทูนพยายามพูดเพื่อรักษาน้ำใจหมอรัญ
“ทำไมล่ะ เราไม่ได้อยู่บนป่าหลังเขาเสียหน่อย ดูในหลวงสิ ลำบากแค่ไหนท่านยังเสด็จเลย”
เมื่อรัญรัมภาพูดแบบนี้ เทิดทูนจึงเงียบไป ต่างฝ่ายต่างคิดถึงหน้าที่ตัวเองในการเข้าประชุม
ขนาดมาถึงแต่เช้าแต่ก็หนีไม่พ้นการจราจรที่คับคั่ง ระยะทางจากสนามบินถึงโรงแรมไม่ได้ไกลมาก เพราะผู้จัดการประชุมต้องการอำนวยความสะดวกให้แพทย์และเจ้าหน้าที่จากต่างจังหวัดไกล ๆ ให้เดินทางไม่ลำบาก แต่รถที่ติดอย่างสาหัสนั้นทำให้การเดินทางจากแค่ประมาณโรงพยาบาลไปตลาดใช้เวลามากว่าชั่วโมงแล้ว
“ให้ผมอยู่แบบนี้ผมไม่อยู่หรอกนะครับ” เทิดทูนดูอึดอัดกว่าเธอ เพราะเขาอยู่ต่างจังหวัดมาตลอดชีวิต
“แต่ก่อนหมอก็คิดว่าอยู่ได้นะ แต่ตอนนี้ก็ไม่ไหวเหมือนกัน” รัญรัมภาก็เบื่อหน่าย เธอกลายเป็นคนต่างจังหวัดแล้ว มองตึกรามบ้านช่องสองข้างทางกับชีวิตผู้คนที่วุ่นวาย ทำให้คิดถึงบ้านพักครูจรัสยามอาทิตย์อัสดง เธอหลงใหลภาพนั้น
ยามพระอาทิตย์ใกล้ลับขอบฟ้าจะเป็นดวงกลมโตสีส้มสาดแสงสีเดียวกันไปบนทุ่งนาเขียวขจี เป็นภาพที่ไม่มี จิตรกรเอกคนใดของโลกจะวาดได้สวยเท่าธรรมชาติ หากสามารถหยุดช่วงรอยต่อเวลาระหว่างกลางวันและกลางคืนนั้นไว้ได้ รัญรัมภาก็อยากจะให้หยุดไว้แค่นั้น ไม่ต้องมีกลางคืน ไม่ต้องมีกลางวัน มีเพียงเวลานั้นและมีเพียง จรัสตะวัน
รัญรัมภาสะดุ้งกับความคิดตัวเอง ภาพครูจรัสกลับมาในห้วงคำนึงอีกครั้ง ตั้งแต่วันที่พาเด็กตกต้นไม้มาส่งโรงพยาบาล วันที่เธอไปที่บ้านพักครู และวันที่คลินิกของชีวิน เธอได้เห็นหน้าครูจรัสจริง ๆ ก็สองครั้งหลัง แต่ก็ยังไม่ได้พูดคุยกันมากมาย ทำไมต้องปล่อยให้มารบกวนความรู้สึกอยู่ได้
จรัสตะวันก็ไม่ใช่ผู้หญิงสวยผุดผาดบาดตาอย่างที่ชอบ ถ้าเทียบกับบรรดาผู้หญิงของเธอที่ผ่านมาก็สวยแบบธรรมดา ๆ ถ้าจะดูดีกว่าก็คงเพราะพูดจาดี ท่าทีเป็นมิตร ไม่มีจริตแบบหญิงสาวที่คงเพราะความเป็นครูครอบไว้ แต่ก็เหมือนไม่มีชีวิตชีวา ไม่น่าสนใจสักนิด แต่บ่อยครั้งที่รู้ตัวว่าครุ่นคิดถึง
“เทิดทูนรู้จักครูจรัสไหม” เธอนึกได้ว่าเทิดทูนเป็นคนในพื้นที่ และเป็นคนที่ไว้ใจได้
“ทำไมครับ หมอสนใจเหรอ” เทิดทูนหลิ่วตาตอบคำถามตามประสาคนที่รู้กัน
“ไม่ แค่อยากรู้ว่าเขาเป็นใคร เผอิญไปเจอที่คลินิกหมอวิน เลยนึกได้” เธอตอบเหมือนไม่มีอะไรมากไปกว่าถามถึงใครสักคน
“หมออย่าปิดผมเลย หมอไม่เคยถามถึงใครแบบนี้” เทิดทูนตอบด้วยท่าทีเป็นต่อว่าหมอปิดบังเขาไม่ได้หรอก
“ไอ้เทิด ถามว่ารู้จักไหม ไม่ใช่ให้มา .......” รัญรัมภาขึ้นเสียงและยั้งคำสุดท้ายไว้ได้ เพราะตอนนี้ไม่ได้มีเพียงเธอกับเทิดทูน ถ้าอยู่ในวงเหล้าเขาคงโดนไปมากกว่านี้
“แหม แค่นี้หมอต้องโมโห รู้จักสิครับ ตอนเด็ก ๆ ก็เคยเล่นด้วยกัน” เทิดทูนรีบตอบคำถามแต่ความยียวนยังไม่ได้ลดลงไป
“แล้วไง ทำไมเขาถึงไปอยู่ที่อื่น เขามีญาติพี่น้องอย่างไง” รัญรัมภาไม่สนใจว่าเทิดทูนจะมีท่าทางอย่างไร ทำไมเธอไม่ถามเทิดทูนตั้งนานแล้ว มัวแต่กลัวป้ามลจะระแคะระคาย จนไม่กล้าถามใคร
“ไม่สนใจจะอยากรู้เรื่องเขาไปทำไมล่ะครับ” เทิดทูนไม่ตอบคำถาม แต่กลับถามกลับมาก่อน แต่พอเห็นแววตาของหมอรัญที่บ่งบอกว่าถ้ายังไม่ตอบคำถามดี ๆ อาจจะมีเรื่องให้ได้ลงจากแท็กซี่แน่ ๆ
“ครูจรัสก็มีพ่อแม่กับน้องสาวอีกคน ผมได้เล่นด้วยกันแค่จบ ป.หก จรัสเขาก็สอบได้ทุนแล้วก็มีเถ้าแก่ในจังหวัดอุปการะให้ไปเรียนต่อที่โรงเรียนประจำจังหวัด รู้สึกว่าจะไปฝากกับครูในโรงเรียนนั้นแหละไว้ เขาไม่ค่อยได้กลับมาบ้านที่นี่ก็เลยขาดหายกันไป อยู่ไปอยู่มา พ่อแม่ก็ขายที่ขายทางจนหมด ก็เลยไม่รู้ว่าไปอยู่ที่ไหนกันจนเขาพึ่งกลับมาสอนนี่แหละครับ”
“ทำไมเขาย้ายไปอยู่ที่อื่นล่ะ” รัญรัมภาเริ่มสนใจประวัติจรัสตะวันขึ้นมาอย่างจริงจัง
“เรื่องมันไม่ค่อย เอ่อ หมออย่ารู้เลยครับ เอาเป็นว่าหมอสนใจครูจรัสใช่ไหม” คราวนี้เทิดทูนถามอย่างเป็นการเป็นงาน จนรัญรัมภาต้องเป็นฝ่ายขมวดคิ้ว
“ทำไมล่ะ ถ้าหมอสนใจแล้วเป็นอย่างไง”
เทิดทูนถอนหายใจก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงเบาลงและแฝงด้วยความหนักใจที่จะต้องพูดออกมา
“หมออย่าไปล้อเล่นกับจรัสเลยครับ ไปหาคนอื่นดีกว่า”
รัญรัมภายิ่งสงสัย ทำไมทั้งป้ามลและเทิดทูนต้องพูดเหมือนกัน จรัสตะวันมีอะไร ทำไมทุกคนจึงไม่อยากให้เธอไปยุ่งเกี่ยว
“ทำไมหมอจะสนใจครูจรัสไม่ได้ เขาเป็นอย่างไงเหรอ”
“จรัสไม่มีอะไรเสียหายหรอกครับ เขาเป็นคนดี เป็นเด็กเรียนมาตลอด เขาไม่เหมือน เอ่อ คนอื่น ๆ ของหมอนะครับ”
เทิดทูนรีบพูดก่อนที่รัญรัมภาจะเข้าใจจรัสตะวันผิดไปอีก แต่สิ่งที่เทิดทูนพูดนั้นกลับเหมือนย้อนกลับมาว่า รัญรัมภาไม่มีคุณค่าคู่ควรกับอีกฝ่าย
การใช้ชีวิตที่ผ่านมาของเธอไม่น่าไว้ใจ ผู้หญิงหลายคนผ่านมาและผ่านไปโดยที่เธอไม่เคยสะทกสะท้านกับการเอ่ยคำลา ไม่ว่าฝ่ายใดจะเอ่ยออกมาก่อน แม้กระทั่งคนสุดท้ายที่พึ่งแต่งงานไป ใคร ๆ ก็คิดว่าจะรัญรัมภาน่าจะเจ็บไม่น้อย ต่างได้แต่คอยดูอยู่ห่าง ๆ แต่กลายเป็นว่าเธอสามารถไปงานแต่งงานได้หน้าตาเฉย ใคร ๆ ที่รู้เรื่องเธอก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า หมอรัญเจ้าชู้และไม่รักใครจริง เห็นผู้หญิงเป็นเรื่องสนุกเท่านั้น
“หมอก็แค่อยากรู้จักกันไว้ ไม่ได้คิดอะไรหรอก ครูจรัสเขาอยู่บนหิ้งซะขนาดนั้น ใครจะกล้าแตะ” รัญรัมภาอดน้อยใจไม่ได้ ที่ทุกคนพร้อมใจปกป้องครูจรัสจนเหมือนเธอเป็นคนไม่ดีที่ไม่ควรเข้าใกล้ให้แปดเปื้อน
“โธ่ หมอ ก็ไม่ถึงขนาดนั้น เอาเป็นว่าหมออย่าไปล้อเล่นกับจรัสก็แล้วกัน อย่างไงก็คิดเสียว่าเขาก็เป็นเพื่อนผม”
รัญรัมภามองหน้าเทิดทูนด้วยความสงสัย เทิดทูนที่ปกติไม่เคยห้ามเธอกับใคร มีแต่หาทางช่วยให้ง่ายขึ้นด้วยซ้ำกลับตอกย้ำความสำคัญของจรัสตะวัน
“ถ้าหมอไม่ล้อเล่นล่ะ” รัญรัมภาถามด้วยความอยากเอาชนะ เทิดทูนถอนหายใจ
“จรัสไม่ใช่อย่างที่หมอต้องการหรอก ไม่นานหมอก็เบื่อ ผมว่าหมอไปหาคนอื่นที่สนุก ๆ ดีกว่าครับ”
ต่างคนต่างเงียบจนถึงโรงแรม พิษการจราจรทำให้เหลือเวลาอีกแค่ยี่สิบนาทีสำหรับการเข้าห้องพัก ล้างหน้าล้างตาแล้วรีบมาเข้าห้องประชุม
หลังจากนั้น เธอกับเทิดทูนก็มีแต่คุยกันแต่เรื่องงาน มันไม่ใช่เรื่องง่ายกว่าที่จะได้อะไรมา ในเมื่องบประมาณมีจำกัดสำหรับโรงพยาบาลที่พร้อมทั้งบุคลากรและระบบข้อมูลเท่านั้น การประชุมวันแรกเพื่อทำความเข้าใจโครงการทำให้รัญรัมภากับเทิดทูนต้องมาช่วยกันปรับเนื้อหาข้อมูลที่จะนำเสนอต่อคณะกรรมการโครงการในวันต่อมาใหม่เกือบทั้งหมด และเดือดร้อนถึงป้ามลที่ต้องเป็นคนให้คำปรึกษาทางโทรศัพท์จนดึกดื่น เกือบเที่ยงคืนกว่าแผนการนำเสนอจะเรียบร้อยได้อย่างที่ต้องการ แต่ก็ไม่มั่นใจนักว่าจะผ่านตามเงื่อนไขของโครงการหรือไม่
“ถ้าแผนงานเราผ่าน คืนพรุ่งนี้หมอจะพาไปฉลอง” รัญรัมภาตบไหล่เทิดทูนที่ง่วงจนตาจะปิดก่อนที่จะกลับห้องพักตัวเอง
“เอาแจ่ม ๆ นะหมอ ขอแบบลืมโลกไปเลย” เทิดทูนพูดทั้งที่แทบจะไม่มีแรงเดินกลับห้องพัก
รัญรัมภากลับมาตรวจสองงานอีกครั้งก่อนที่เข้านอน หลังจากทานอาหารกับครอบครัวแล้วเธอก็กลับขึ้นมาทำงานต่อจนไม่มีเวลาจะโทรศัพท์ไปถามถึงกอหญ้า แต่อยู่กับสัตวแพทย์ก็ไม่มีอะไรน่าห่วง
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
เที่ยงคืนแล้ว กอหญ้านอนหลับอยู่บนผ้าเช็ดตัวเก่า ๆ กับตุ๊กตาเน่าตัวโปรดที่กัดอยู่คาปาก หลังจากที่รับมาจากคลินิกหมอชีวิน พร้อมอาหารเม็ดและนมชงสำหรับลูกสุนัข แต่ไม่ได้เอาที่นอนมา จรัสตะวันจึงหาผ้าเช็ดตัวเก่า ๆ มาปูให้ กอหญ้าเรียนรู้อย่างรวดเร็วว่านี่คือที่นอนของมัน เธอทำข้าวผัดและแกะปลานึ่งคลุกให้เป็นอาหารเย็น เป็นอาหารเมนูเดียวกันทั้งคนและหมา แล้วก็พาออกไปวิ่งเล่นหน้าบ้านพักใหญ่
“อร่อยกว่าอาหารเม็ดใช่ไหมล่ะ กินข้าวแล้วก็กินนมนะ” จรัสตะวันเทนมอุ่น ๆ ให้หลังจากพากลับเข้าบ้าน แล้วก็ให้มันไปนอนฟัดกับตุ๊กตาจนหลับไป
เธอทำงานไปชำเลืองมองกอหญ้าไป ยิ่งรู้ว่ากอหญ้าเป็นหมาที่ถูกทอดทิ้งมา มันยิ่งดูน่าสงสาร และเธอก็รู้ว่าการต้องถูกขังอยู่ในกรงนั้นมันทรมานเพียงใด แต่การที่ไม่สามารถทำอะไรได้อย่างที่ต้องการนั้นมันยิ่งกว่าการถูกขังในกรง เธอพยายามปลงและลืมความรู้สึกนั้น มันผ่านมาแล้วและมันจะไม่มีวันหวนกลับมาอีก แต่ยิ่งพยายามลืมมันก็เหมือนยิ่งกลับจำ
ความหลังในอดีตมักจะตามมาหลอกหลอนเธอเสมอ แม้จะเข้าหาธรรมะแต่ว่ามันก็ช่วยได้แค่ชั่วคราวในตอนที่อยู่ในวัดเท่านั้น จรัสตะวันต้องพยายามทำอะไรให้มีเรื่องคิดตลอดเวลาเพื่อจะลบอดีตออกไป
เสียงลมพัดแรงและตามด้วยเสียงฟ้าร้องครืน ๆ ก่อนที่จะมีเสียงเปาะแปะของเม็ดฝนที่ตกใส่หลังคาสังกะสีโรงรถ และไม่นานเสียงเปาะแปะนั้นก็เปลี่ยนเสียงซ่า ๆ ของห่าฝนในเวลาอันรวดเร็ว ฟ้าแลบแปลบปลาบสาดแสงวาบเข้ามาเป็นระยะ จรัสตะวันลุกไปปิดหน้าต่าง แม้ฝนจะไม่ได้สาดเข้ามา แต่ทว่าแสงฟ้าแลบก็รบกวนการทำงานของเธอ
กอหญ้าตื่นขึ้นมาเมื่อได้บินเสียงเธอปิดหน้าต่าง มันเดินมาหาเมื่อได้ยินเสียงฟ้าผ่าจากไกล ๆ
“กลัวเหรอ ไม่ต้องกลัวนะ อยู่ในบ้านปลอดภัย” จรัสตะวันนั่งลงไปช้อนตัวกอหญ้าและอุ้มขึ้นมาวางบนตัก
ตัวมันหนักพอสมควร หมอชีวินบอกว่ามันน่าจะอายุสองสามเดือนไม่เกินกว่านี้ ตอนที่หมอรัญไปเจอนั้นคงพึ่งคลานขึ้นจากคลองน้ำโคลนข้างทางมาหลบอยู่ข้างกอหญ้า และเกือบจะโดนหมาตัวใหญ่กัดแล้ว
“ไปอย่างไงมาอย่างไงนะเรา โดนเขาเอามาปล่อยเหรอ” เธอพูดกับมันทั้งที่มันหลับไปแล้ว
ลูบหัวเล่นไปมาสักครู่จึงอุ้มจะเอากลับไปนอนที่เดิมแล้วจะมาทำงานต่อ มือหนึ่งอุ้มลูกหมา อีกมือก็ขยับผ้าให้เข้าที่เข้าทาง ยังไม่ทันจะวางมันลง เสียงลมพัดมากระโชกมาแรงกว่าทุกครั้งพร้อมกับเสียงกิ่งไม้หักโครมและตามด้วยเสียงหม้อแปลงไฟฟ้าระเบิดสนั่นหวั่นไหว ไฟฟ้าดับลงทันที ทั้งบ้านมีแต่ความมืด แสงแวบของฟ้าแลบนั้นมันก็ถูกหน้าต่างบังไว้จนไม่สามารถช่วยให้มองเห็นทิศทางในห้องนี้ได้
สิ่งที่เธอกลัวที่สุดเกิดขึ้นจนได้ เธอไม่ได้กลัวผีกลัววิญญาณ แต่เธอกลัวการอยู่ในความมืดเพียงลำพัง ความมืดที่เคยเกือบดับความหวังและความฝันดี ๆ ในชีวิตไป ความมืดที่ปล่อยให้เธอเดียวดายโดยไม่รู้ชะตากรรมอยู่หลายวันกว่ามันจะมีแสงสว่างมาช่วยให้เธอมีชีวิตใหม่ที่ใช่ว่าจะราบรื่นนัก เธอต้องติดปลักความมืดอยู่บ่อยครั้งกว่าจะได้แสงสว่างที่มั่นคง
จากที่พยายามลบอดีตแต่ความมืดเพราะไฟฟ้าดับคืนนี้ก็เหมือนคมมีดมากรีดบาดแผลเป็นของเธอให้เจ็บขึ้นมาอีกครั้ง ความหลังพรั่งพรูมาเหมือนภาพที่บันทึกวีดีโอไว้ เธอกอดกอหญ้าไว้แน่นและร้องไห้ออกมาด้วยความกลัวที่ฝังใจ
ชีวิตในวัยเมื่อเริ่มวัยรุ่น มันเหมือนตกนรกทั้งเป็นในวันที่เธอต้องอยู่ในห้องเช่าเก่า ๆ เพียงคนเดียว ๆ ในคืนฝนตกหนักเหมือนวันนี้ และเป็นคืนที่ไม่มีไฟฟ้าส่องสว่างเพราะยังไม่ได้จ่ายค่าห้องเช่า แม้แต่เงินจะซื้อเทียนสักเล่มยังไม่มี พ่อที่เป็นพนักงานขายของบริษัทเครื่องใช้ไฟฟ้ามักจะหายไปหลายวันกว่าจะกลับมาและในที่สุดก็หายไปเลยโดยไม่ส่งเงินมา จุนเจือ แม่ที่ไม่มีความรู้อะไรนอกจากหน้าตาที่ยังสะสวย ตัดสินใจไปเป็นนักร้องห้องอาหารที่กว่าจะกลับบ้านก็ไม่ต่ำกว่าตีสองตีสาม ด้วยความที่แม่ร้องเพลงอย่างเดียวและเลี้ยงลูกถึงสองคน เธอกับน้องสาวจึงต้องอดทนกับความไม่พอทุกอย่าง จนน้องสาวทนไม่ไหว ในวันที่ไม่มีไฟฟ้าใช้มาเป็นวันที่สี่หรือห้าแล้ว
“แสงจะไปขายพวงมาลัย” แสงตะวัน น้องสาวที่ห่างกับเธอสามปีบอกในเย็นวันหนึ่งซึ่งแม่ออกไปทำงานแล้ว
“แม่บอกไม่ให้ไปยุ่งกับเด็กพวกนั้นนะ” จรัสตะวันไม่กล้าห้ามน้องสาวแต่ก็ยังเชื่อฟังคำสั่งแม่
“พี่จรัสก็อย่าบอกแม่สิ แสงจะกลับมาก่อนแม่กลับ” แสงตะวันดึงดันที่จะไปให้ได้ และเธอก็รู้ว่าห้ามน้องสาวไม่ได้เหมือนกัน
แสงตะวันใจกล้าบ้าบิ่น มีเรื่องชกต่อยแม้แต่กับเด็กผู้ชายตัวโตกว่าเพราะถูกล้อเลียนว่ามีแม่ขายตัว ในขณะที่ จรัสตะวันได้แต่อดกลั้นและกลับมาร้องไห้เงียบ ๆ คนเดียว รู้ว่าแม่ไม่ได้ขายตัว ถ้าแม่ทำแบบนั้นพวกเธอคงสบายกว่านี้
“รอขออนุญาตแม่ก่อนไม่ดีเหรอ” จรัสตะวันพยายามหาทางยับยั้งในสิ่งที่น้องสาวจะทำ แม่บอกว่าเด็กปากซอยที่ขายพวงมาลัยส่วนใหญ่พอโตมาหน่อยผู้ชายก็ขายยา ผู้หญิงก็ขายตัว ห้ามพวกเธอไปยุ่งเกี่ยวด้วยเด็ดขาด
“พี่ก็รู้ว่าอย่างไงแม่ก็ไม่ให้ไป แสงเอาตัวรอดได้น่า พวกนั้นก็ไม่ได้เป็นอย่างแม่คิดทุกคนหรอก”
ในที่สุดแสงตะวันก็ออกไปขายพวงมาลัยจนได้ ทำให้เธอต้องอยู่คนเดียว
“พี่รีบอ่านหนังสือก่อนจะมืดเถอะ แล้วถ้าใครมาเคาะห้องไม่ว่าอย่างไงก็ห้ามเปิด ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย ล็อคกลอนให้ดี ๆ นะ แสงคงกลับมาสักเที่ยงคืน” แสงตะวันสั่งราวกับว่าเธอเป็นน้องไม่ใช่พี่
แสงตะวันมีทักษะการเอาตัวรอดได้เก่งกว่าเธอนัก เงินค่าอาหารก็ไม่เคยจ่าย แต่ได้อาหารกลางวันกินฟรีทุกมื้อ ด้วยการไปช่วยแม่ค้าขายในตอนพักกลางวัน ใครจะไม่ชอบที่มีคนช่วยโดยเสียค่าจ้างเป็นแค่อาหารจานเดียว มิหนำซ้ำบางวันยังมีอาหารเผื่อมาถึงเธอด้วย
“เก็บเงินไว้ซื้อหนังสืออ่านเสริมพี่เถอะ พี่เรียนเก่ง เรียนจบดี ๆ ต่อไปแสงจะได้อาศัยพี่ แสงเรียนไม่เก่งคงไปได้ไม่ไกล คงแค่หากินได้ไปวัน ๆ แบบนี้แหละ”
หากชีวิตมันลำบากแค่นั้นเธอก็คงไม่ฝังใจกับความมืดที่ต้องอยู่กับมันมาจนชาชิน
วันนั้นพอแสงตะวันออกไปขายพวงมาลัยไม่นาน ฟ้าก็มืดจนเธออ่านหนังสือต่อไม่ได้ ไม่มีอะไรทำได้นอกจากการนอนรอน้องสาวและแม่กลับมา แม่จะเอาเงินค่าแรงรายวันซื้ออาหารมาไว้ให้สำหรับพรุ่งนี้เช้า และเงินค่าอาหารกลางวันอีกคนละไม่กี่สิบบาท แม่ต้องเก็บหอมรอมริบสำหรับจ่ายค่าเช่าห้องก่อน
ความมืดปกคลุมได้ไม่นานก็ตามด้วยฝนตก ซึ่งมันทำให้อากาศเย็นสบายขึ้น จรัสตะวันนอนฟังเสียงฝนและนึกทบทวนบทเรียนไปเรื่อย ๆ เท่าที่จะนึกได้ เธอไม่กลัวเสียงฟ้าฝนและความมืด หากไม่มีสิ่งอื่นมารบกวน
เสียงเคาะห้องดังขึ้นในขณะที่เธอกำลังนึกสูตรเคมี ทีแรกคิดว่าแสงตะวันกลับมาเกือบจะลุกไปเปิดห้องง่าย ๆ แต่ก็นึกได้ว่ายังไม่ถึงเวลา เธอจึงกลับมานั่งบนที่นอน ใครอาจจะมาเคาะห้องผิด เพราะเสียงเงียบไปแล้ว
แต่ไม่นานเสียงเคาะห้องก็ดังขึ้นมาอีก คราวนี้เคาะเป็นจังหวะเหมือนหยั่งเชิงว่ามีใครอยู่หรือไม่ ห้องเช่าราคาถูกนี้ไม่ได้มีระบบรักษาความปลอดภัย ไม่มียาม ใครจะเข้าจะออกก็ได้ แม่ก็ไม่ได้อยากพาลูกสาวมาอยู่ในที่ที่แบบนี้หรอก แต่ที่อื่นที่ปลอดภัยก็ราคาแพงเกินไป มันจึงต้องเสี่ยงแลกเอา
“มีใครอยู่ไหมครับ ผมเอาของที่สั่งมาส่งครับ” เสียงนั้นดังมาจากหน้าห้อง
คำพูดของแสงตะวันทำให้จรัสตะวันใจสั่นระรัว แสงตะวันเที่ยวเล่นไปทั่วและรู้จักภัยรอบตัวหลายอย่าง ดังนั้น สิ่งที่สั่งเธอไว้ แสดงว่าต้องไปรู้อะไรมา “อย่าเปิดห้องไม่ว่าใครจะมาเคาะ”
เธอเชื่อคำพูดของน้องสาว และตอนนี้ครอบครัวเธอก็ไม่มีปัญญาไปสั่งของอะไรมา ควานมือหาสิ่งที่พอจะเป็นอาวุธป้องกันตัวได้ เธอไม่มีของใกล้มือนอกจากหนังสือเล่มหนากับปากกาที่กลายมาเป็นอาวุธเพียงชิ้นเดียว
เสียงเคาะห้องเงียบไป แต่กลายเป็นเสียงพยายามงัดลูกบิดแทน ความมืดและเสียงฝนนั้นมันทำให้ไม่มีใครสนใจใคร และแม่ก็สั่งไว้ไม่ให้ไปยุ่งกับใคร เธอจึงไม่รู้จะทำอย่างไรถ้าหากมันพังประตูเข้ามาได้ ฟ้าร้องครืน ๆ ตลอดเวลายิ่งช่วยกลบเสียงของคนที่พยายามงัดประตูเข้ามา รู้ว่าลูกบิดนั้นมันไม่ได้แข็งแรง และกลอนประตูก็ไม่ได้แน่นหนาที่จะต้านทานแรงผู้ชายได้
จรัสตะวันไม่รู้จะทำอย่างไร ได้แต่นั่งตัวสั่นกำปากกาไว้แน่น และร้องไห้ เธอไม่เคยทำได้อย่างแสงตะวันที่ไม่เคยมีน้ำตากับเรื่องอะไรสักครั้ง
“เมียผมมันโกรธที่ผมไปกับกิ๊ก ไม่ยอมให้ผมเข้าห้อง” คงมีใครสักคนเดินผ่านมาถามแล้วคำตอบนั้นก็ทำให้คนที่สงสัยเดินจากไป ผัวเมียทะเลาะกันมันเป็นเรื่องปกติของห้องเช่าแถวนี้
“แสง ช่วยพี่ด้วย กลับมาช่วยพี่ด้วย” จรัสตะวันร่ำร้องอยู่ในใจ กำปากกาและดึงผ้าห่มมาคลุมตัวสั่นเทา
ในใจได้แต่ภาวนาให้น้องสาวกลับมาทั้งที่รู้ว่ายังไม่ถึงเวลา ชะตาชีวิตเธอฝากไว้กับเพียงลูกบิดและกลอนประตูเท่านั้น ภาวนาให้มันแข็งแรงพอที่ต่อต้านกำลังคนด้วยเถิด
ตอนนั้นเธอไม่มีสติพอที่จะคิดหาทางเอาตัวรอดอื่นได้ ทำไมเธอไม่กล้าหาญ ไม่ฉลาดเอาตัวรอดเหมือนแสงตะวัน เมื่อมีเหตุการณ์คับขันจึงได้นั่งสั่นและร้องไห้ ภาวนาให้มีใครมาช่วย
เสียงลูกบิดที่ดังกริ๊กนั้นเธอรู้ว่ามันทำสำเร็จไปด่านหนึ่งแล้ว เหลือเพียงกลอนประตูที่เพียงแค่ยันแรง ๆ ไม่กี่ทีก็คงไม่มีแรงต้านอยู่ได้ เกือบจะทำใจหมดอาลัยตายอยากในชีวิตคิดทางออกได้สองทางคือรอมันเข้ามาหรือว่ากระโดดออกทางหลังห้องที่อยู่ชั้นสามนี้ ความมืดและเสียงฟ้าร้องเหมือนเร่งเร้าให้รีบตัดสินใจเลือกชะตากรรม แต่เธอก็ทำได้เพียงแต่กอดผ้าห่ม กำปากการ้องไห้ด้วยความหวาดกลัว
“เฮ้ย มึงทำอะไรว่ะ” เหมือนเสียงสวรรค์ส่งมา แม้ว่าจะมีเสียงฟ้าร้องแต่เธอก็จำได้ว่านั่นคือเสียงของน้องสาว
“มึงรีบไป อย่าให้กูเห็นหน้าอีก”
เธอวิ่งถลันไปที่ประตู ไม่รู้ว่าข้างนอกมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น แต่เธอรู้ว่าอย่างน้อยก็ไม่ได้อยู่คนเดียว รีบถอดกลอนประตูและพบน้องสาวยืนตัวเปียกโชกอยู่คนเดียว
ตั้งแต่วันนั้นเธอจึงกลัวการอยู่ในความมืดคนเดียวในคืนฝนตก แม้หลังจากวันนั้นแม่จะตัดสินใจให้เธอมาอยู่กับอาจารย์ท่านหนึ่งในโรงเรียน ในฐานะกึ่งผู้อาศัยกึ่งคนรับใช้ หากไม่จำเป็นคงไม่มีแม่คนไหนให้ลูกตกไปอยู่ในฐานะนั้น
“ตั้งใจเรียนนะจรัส อดทนเอาไว้ ถ้าไม่มีความรู้มันก็ได้แค่เต้นกินรำกินแบบแม่นี่แหละ”
แม่สอนเธอแล้วก็พาแสงตะวันจากไป เธอได้ทุนการศึกษาจนเรียนจบมัธยมปลายจนถึงเข้ามหาวิทยาลัยก็ได้ทุนต่ออีก ชีวิตของแม่และน้องสาวเป็นอย่างไรเธอไม่ได้รู้รายละเอียดมากนัก นอกจากแม่กับน้องสาวจะมาเยี่ยมเธอที่หอพัก
จากวันนั้นจนวันนี้ก็ไม่มีโอกาสได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันอีกเลย
เสียงลมเสียงฝนยังโหมกระหน่ำ ความมืดที่มีเพียงแสงฟ้าแลบวาบสว่างเป็นบางครั้ง ยิ่งทำให้สิ่งที่ฝังใจพรั่งพรูออกมาเป็นน้ำตา เธอไม่ได้ฝังใจเพียงว่าประตูห้องโดนงัดในคืนนั้น แต่ฝังใจที่ไม่มีพ่อคอยปกป้องเหมือนคนอื่น ฝังใจความยากจนที่มันทำร้ายเธอ แม้แต่แสงไฟเธอยังไม่มีสิทธิ์ได้ใช้เพื่อป้องกันภัยให้ตัวเอง
กอดกอหญ้าที่เหมือนจะรับรู้ว่าเธอกำลังหวาดกลัว มันครางหงิง ๆ เหมือนปลอบใจ ในตอนที่มันยังเป็นลูกหมาจรจัดและมีหมาใหญ่จะมาทำอันตราย ก็คงรู้สึกไม่ต่างจากเธอในคืนนั้น จรัสตะวันจึงเหมาเอาเองว่ามันเข้าใจความรู้สึกของเธอ
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
การประชุมในวันที่สองเพื่อนำเสนอแผนงานของแต่ละโรงพยาบาลผ่านไปด้วยดี มีหลายโรงพยาบาลที่น่าสนใจสำหรับการเป็นโรงพยาบาลนำร่อง และรัญรัมภาก็มั่นใจว่าโรงพยาบาลของเธอต้องได้เป็นหนึ่งในนั้น
หลังการประชุมผ่านไป พรุ่งนี้เป็นเรื่องการแถลงคณะกรรมการสำหรับโรงพยาบาลที่จะผ่านการคัดเลือก ถือว่าหมดหน้าที่ของคนมาประชุมที่ส่วนใหญ่มาจากต่างจังหวัด รัญรัมภาทำตามคำพูดแม้ว่าจะยังไม่ประกาศผล
ชีวิตของคนกลางคืนกับแสงสีนี้มีความแปลกอยู่อย่าง ทันทีที่ย่างก้าวเข้าไปมันเหมือนเป็นโลกอีกใบที่ความทุกข์ ความกังวลใดไม่มีสิทธิ์กล้ำกรายเข้ามา อาจจะเพราะแสงไฟหลากสีสันที่สาดแสงวูบวาบไปมาผสานกับเสียงเพลงที่ดังก้องจนต้องตะโกนคุยกัน หรือไม่อย่างนั้นก็ต้องเอียงหน้ามาจนชิดกัน มันเป็นหนทางง่าย ๆ ที่จะได้สร้างความสัมพันธ์
รัญรัมภาควงเทิดทูนเข้ามา แต่สายตาทุกคู่ก็รู้ว่าไม่ใช่คู่รักแน่นอน เมื่อก่อนที่ไปประจำที่ต่างจังหวัดใหม่ ๆ เธอได้ให้เทิดทูนพาไปรู้จักแหล่งบันเทิงในตัวจังหวัดเป็นประจำ จนกระทั่งคำนินทามาเข้าหูป้ามลว่าหมอมาใหม่กับพยาบาลผู้ชายเหมือนมีอะไรกัน ตอนนั้นเธอยังไม่รู้ฤทธิ์เดชป้ามลและไม่สนใจคำคนนินทาเพราะรู้ตัวดีว่าความจริงเป็นอย่างไร อีกทั้งได้ขออนุญาตภรรยาเทิดทูนก่อนไปทุกครั้ง
ชาวบ้านครหาไม่ทำให้เธอเดือดร้อน แต่การถูกป้ามลเรียกไปอบรมเรื่องการวางตัว ที่นี่เมืองมันเล็ก ชาวบ้านก็ยังยึดถือค่านิยมเก่า ๆ อย่าเอาสิ่งที่คนกรุงเทพเห็นว่าเป็นเรื่องธรรมดามาทำที่นี่ และอีกสารพัดที่สอนราวกับเป็นพ่อแม่ผสมกับครูบาอาจารย์
“สำหรับชาวบ้าน หมอไม่ใช่แค่คนที่รักษาเขา แต่เป็นคนที่เขาให้เกียรติและยกย่อง หมอจึงต้องประพฤติดีทั้งเรื่องการรักษาและเรื่องส่วนตัว”
คำสอนของป้ามลทำให้รัญรัมภาต้องปรับตัว เมื่อจะไปเที่ยวในเมืองก็ต้องหาคนอื่นไปด้วย แต่คนที่จะไปด้วยได้ก็ไม่ค่อยมีเวลาว่าง ระยะหลัง ๆ เธอจึงต้องไปนั่งร้านอาหารแถวนี้ที่มีเพลงให้ฟังและมีเหล้าให้ดื่ม ซึ่งเธอสามารถไปกับเทิดทูนได้เพราะอยู่ในสายตาชาวบ้านตลอดว่า หมอรัญไปกับเทิดทูนแล้วก็กลับบ้าน
แต่วันนี้ไม่มีใครมาคอยจับผิด ชีวิตคนกลางคืนจึงกลับมาเต็มรูปแบบอีกครั้ง
“วันนี้เต็มที่ เมาไม่ขับ กลับแท็กซี่” รัญรัมภากอดคอเทิดทูนเข้าไป ไม่ได้จองโต๊ะไว้ แต่มาแค่สองคนจึงเลือกที่นั่งที่เป็นบาร์ สั่งเครื่องดื่มมาทีละดริ้งค์
“ผมเลือกไม่ถูกหมอ หมอสั่งแรง ๆ ให้ผมเลยดีกว่า” เทิดทูนโยนภาระการสั่งเครื่องดื่มมาให้
รัญรัมภาจึงสั่งง่าย ๆ คือเธอสั่งอะไรก็จัดมาสองที่ บาร์เทนดี้ที่ชงเหล้านั้นถูกใจรัญรัมภาไม่น้อย ท่าทางยังเป็นนักศึกษามาหารายได้พิเศษ เสียงเพลงที่ดังเกินไปจนจับไม่ได้ว่าร้องว่าอะไร แต่ด้วยจังหวะที่เร้าใจบวกกับแสงไฟและความเมาก็ทำให้บรรยากาศมันยิ่งมีแต่ความสุขสนุกสนาน
“เรียนปีไหนแล้วเรา” รัญรัมภาไม่ได้สนใจเสียงเพลงและคนอื่นนัก หากแต่สนใจบาร์เทนดี้ที่ชงเครื่องดื่มให้มากกว่า เทิดทูนสนใจดูหญิงสาวในชุดเปิดนั่นนิดปิดนี่หน่อย หรือบางคนก็เหมือนแทบไม่ได้ใส่อะไรที่กำลังโยกย้ายอยู่กลางฟลอร์มากกว่า
“ปีสามค่ะ” บาร์เทนดี้สาวตอบตามมารยาท เธออาจจะชินกับการมีคนแวะเวียนมาถามแบบนี้
“เรียนคณะอะไรล่ะ” รัญรัมภาพยายามชวนคุยทุกครั้งที่สั่งเครื่องดื่ม
“เกษตรค่ะ” เธอตอบสั้น ๆ แล้วก็ไปทำงานต่อ
คำตอบนั้นทำให้รัญรัมภามองตามด้วยความไม่อยากเชื่อ ทั้งบุคลิก หน้าตา และท่าทางการเขย่าเครื่องดื่ม ไม่น่าจะเรียนเกษตรกรรม เธออยากจะคุยมากกว่านั้นแต่การวางตัวของเด็กสาวทำให้ไม่มีโอกาสได้คุยมากนัก วันนี้เธอมาพักผ่อนก็ควรหาความสำราญใจ จึงหันมาสนใจตามเทิดทูน
ชีวิตในโลกแบบนี้อย่าหวังที่จะหาความจริงใจ แต่หากต้องการความสุขชั่วคราวนั้นมันหาได้ง่ายเสมอ หากเธอสนใจผู้หญิงคนไหน ก็ไม่ยากที่จะทำความรู้จัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้หญิงหน้าตาดีที่มาหาคนเลี้ยงข้างหน้า สังเกตได้ไม่ยาก ส่วนใหญ่เธอจะนั่งกับที่เหมือนมาดูคนอื่นสนุกสนาน สั่งเครื่องดื่มมาหนึ่งแก้วก็จะจิบนาน ๆ ถ้าเห็นแบบนั้นแล้วถูกใจ รัญรัมภามักจะไม่พลาด
คืนนี้ก็เช่นกันมีผู้หญิงแบบนั้นหลายคน หน้าตาที่พอกเครื่องสำอางมาเต็มที่จนไม่รู้ว่าใบหน้าที่แท้จริงเป็นอย่างไร เสื้อผ้าที่ใส่เพื่อโชว์เรือนร่างอย่างโจ่งแจ้ง หลายคนมีผู้ชายมามาพูดคุยและสั่งเครื่องดื่ม บางคนก็มีผู้หญิงเข้ามาคลอเคลีย ในนี้เป็นสถานที่ที่อิสระทางความรู้สึก ความสัมพันธ์ขึ้นอยู่กับความพอใจ แต่อย่าถามหาความจริงใจ
“หมอ สายเดี่ยวสีแดงนั่น มองหมอนานแล้วนะ” เทิดทูนเอียงตัวมาพูดข้างหูโดยที่สายตายังสอดส่ายไปมา
“เห็นนานแล้ว แต่ไม่ไหวว่ะ ท่าทางกระหายไปหน่อย” รัญรัมภาตอบ สายตาเธอมองไปก็เห็นว่ามีอีกหลายคนที่มองเธอ เทิดทูนก็เห็นเหมือนกัน
“หมอเสน่ห์แรงชะมัด ไม่มีใครสนใจผมเลย” เทิดทูนพูดแซวมากกว่าจะจริงจัง
เขายอมอยู่ใต้อาณัติหมอรัญมาตลอด จะด้วยหน้าที่การงานหรือความมีอำนาจในตัวเองก็ไม่รู้ได้ หรืออาจจะเพราะหมอรัญจริงใจ กล้าบุกไปหาเมียเขาถึงบ้านเพื่ออธิบายเรื่องการชวนเขาเข้าไปในตัวจังหวัด ซึ่งหากเป็นเพื่อนคนอื่นคงได้แตกหักกัน แต่เมียเขากลับยอมให้ไปกับหมอรัญ แถมยังสั่งการว่าห้ามเมาจนพาหมอกลับมาไม่ได้
“ไม่ใช่เสน่ห์หน้าตาหรอก มันเสน่ห์ไอ้นี่ต่างหาก” รัญรัมภาดึงบัตรเครดิตสีดำที่เธอแกล้งนำมาจ่ายค่าเครื่องดื่มไปก่อน เพื่อให้ใคร ๆ เห็นว่าเธอไม่ธรรมดา บางคนมากับแฟนผู้ชายยังชม้ายตาให้เธอเมื่อเห็นบัตรใบนี้
“คืนนี้หมอจะได้กลับโรงแรมไหมเนี่ย” เทิดทูนหลิ่วตา เมื่อเห็นว่ามีหญิงสาวสะพรั่งคนหนึ่งยกแก้วเครื่องดื่มเป็นเชิงทักทายหมอรัญ
“กลับสิ คืนนี้แค่อยากมาฟังเพลง มาดูแสงสี เบื่อชีวิตแบบนี้แล้วล่ะ” รัญรัมภายกแก้วเป็นเชิงตอบรับคำทักทายและก็ไม่ได้สานต่อ
เด็กสาวบาร์เทนดี้ยังทำหน้าที่อยู่เหมือนเดิม รัญรัมภาสั่งเครื่องดื่มมาเพิ่มและเผื่อเทิดทูนทุกครั้ง
“เทิดทูนสั่งเองก็ได้ ชอบแบบไหนก็บอกเอาเหมือนเดิม วันนี้หมอเลี้ยงเต็มที่” เธอบอกเมื่อเห็นว่าเทิดทูนนั้นดื่มเร็วกว่า และต้องรอเธอสั่งทุกครั้ง
จะวันไหนเธอก็จ่ายให้เทิดทูนเสมอ เงินเดือนพยาบาลที่ต้องเลี้ยงลูกเล็ก ๆ นั้นไม่พอที่จะเหลือไปเสเพลได้ ถือว่าแลกกันกับการเธอได้เพื่อนที่ไว้ใจและไม่โดนป้ามลบ่นมากนักยามไปสำมะเลเทเมาด้วยกัน