ตอนที่ 9
จรัสตะวันเข้าบ้านไปอาบน้ำอาบท่าอีกครั้ง เมื่อเช้าเธอเพียงล้างหน้าแปรงฟัน เปลี่ยนเสื้อผ้าลวก ๆ แล้วรีบไปกับพ่อของเภตรา พอมายืนหน้ากระจกสำรวจตัวเองอีกครั้งในชุดเสื้อผ้าก่อนที่จะอาบน้ำ ตามประสาผู้หญิงที่ย่อมมีความรักสวยรักงามเป็นธรรมดา อดคิดเปรียบเทียบตัวเองกับครูพัดชาไม่ได้ รายนั้นแต่งตัวราวกับเดินออกมาจากห้องเสื้อแฟชั่น แต่เธอนั้นเลือกเสื้อผ้าที่ใส่ได้หลายโอกาสและเรียบร้อยไว้ก่อน แต่ก็ช่างเถอะนะ เสื้อผ้ามันก็แค่หนึ่งในปัจจัยสี่ที่ใส่เพื่อปกปิดร่างกาย เธอจะใส่อย่างไรก็คงไม่มีใครสนใจ
อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้ามาเป็นชุดใส่อยู่บ้าน เสื้อยืด กางเกงขาสั้นสามส่วน แล้วก็กลับมาลงมาทำงานที่วางแผนว่าจะตื่นมาทำแต่เช้า เพื่อจะให้เสร็จภายในวันนี้ ส่วนพรุ่งนี้ก็จะได้ตรวจการบ้านเตรียมการสอนในวันจันทร์ จรัสตะวันไม่สามารถที่จะไปยืนอ่านแค่ที่มีในหนังสือให้ลูกศิษย์ฟังได้ วิชาวิทยาศาสตร์ยิ่งเป็นยาเบื่อสำหรับนักเรียนหลายคน เธอจึงต้องพยายามอธิบายเรื่องยาก ๆ ให้เป็นสามารถเข้าใจง่าย ๆ ให้ได้
การเป็นครูหากมองดูการทำงานจริง ๆ แล้วนั้นมันไม่มีวันหยุดที่แท้จริง นอกเสียจากว่าเธอจะสอนไปวัน ๆ ซึ่งนั่นไม่ใช่วิสัยของเธอ นั่งทำงานไปก็นึกห่วงรัญรัมภาอยู่บ้างที่ป่านนี้ยังไม่กลับมา คงยังรักครูพัดชาอยู่ไม่น้อย ไม่อย่างนั้นคงไม่หลบหน้าหลบตาหนีไปอยู่กลางทุ่งนาแบบนั้น ความรักมันดีอย่างไร มีแต่ทำให้เสียใจ แต่ทำไมใคร ๆ จึงยังไขว่คว้าหาความรักกันนัก บางครั้งรักคนอื่นจนลืมรักตัวเองด้วยซ้ำ
ทำงานอีกสักพักถ้ารัญรัมภาไม่กลับมาเธอจึงออกไปตาม หยุดความคิดไร้สาระแล้วหันมาสนใจงานเอกสารตรงหน้า เธอต้องหาหลักฐานการปฏิบัติงานมาใส่ในแต่ละตัวชี้วัด กิจกรรมทุกอย่างโรงเรียนก็ทำจริงทั้งนั้นแต่บางอย่างก็ไม่ได้ทำเอกสารหลักฐานไว้ เธอก็ต้องทำหลักฐานขึ้นมาใหม่ ทำงานเพลินจนลืมเวลาว่าจะไปตามหมอรัญ โชคดีที่โทรศัพท์มือถือดังขึ้นมา
“ครู อีหนูมันไม่สบาย ฉันไม่รู้จะทำอย่างไง” เสียงสั่น ๆ ของหญิงมีอายุปลายสายทำให้จรัสตะวันต้องรีบใช้มืออีกข้างรีบปิดแฟ้มเอกสารไว้ก่อน
“เป็นมาตั้งแต่เมื่อไหร่คะยาย” จรัสตะวันถามด้วยความร้อนใจ
“เป็นมาสองคืนแล้วค่ะ ตัวร้อนจี๋ให้กินยาแล้วตัวก็หายร้อนไปสักพัก หมดฤทธิ์ยาก็กลับมาเป็นอีก จะพาไปอนามัยมันก็ไม่ไป ครูมาพูดกับมันหน่อยสิคะ มันเชื่อใจครูคนเดียว” เสียงปลายสายสั่นทั้งด้วยความชราและความตกใจ
“ค่ะยาย ครูจะรีบไปเดี๋ยวนี้แหละ ยายเช็ดตัวให้เขาไว้เรื่อย ๆ นะ” จรัสตะวันพูดปกติเพื่อพยายามไม่ทำให้คนปลายสายตกใจไปมากกว่านี้ทั้งที่เป็นห่วงคนป่วยไม่น้อย
“ค่ะ ๆ แค่นี้นะครู ฉันจะรีบกลับไปดูมัน”
จรัสตะวันเดินตามทางเดินข้างบ้านเพื่อลงไปยังทุ่งนาไปยังบ้านของคนที่โทรศัพท์มาขอความช่วยเหลือจากเธอ พอถึงหลังบ้านเห็นรัญรัมภายังนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ก็นึกได้ว่าลืมออกมาตาม รีบเดินตรงไปยังต้นไม้ต้นนั้นเพื่อบอกให้กลับบ้านไปก่อน เธอมีธุระสำคัญ เดินยังไม่ถึงครึ่งทางทั้งกอหญ้าและหมาตัวใหญ่ที่มานอนพักอยู่ใต้โคนต้นไม้เป็นเพื่อนหมอก็พากันวิ่งมารับด้วยความดีใจ
“ทำไมไม่พาหมอกลับบ้าน” เธอพูดกับพวกมันแล้วรีบเดินตามไป
จนถึงตัวคนที่นั่งพิงโคนต้นไม้อยู่จึงพบว่าที่รัญรัมภานั่งอยู่ท่าเดิมนั้นก็เพราะนั่งหลับ ขนาดเธอเดินเข้าไปใกล้จนเกือบถึงแล้วก็ยังไม่รู้สึกตัว
“คุณหมอ คุณหมอคะ คุณหมอ” เธอเรียกเบา ๆ แต่หมอก็ยังคงนั่งนิ่ง หายใจเข้าออกสม่ำเสมอ ใบหน้ายามหลับสนิทนั้นเหมือนคนกำลังฝันดีด้วยซ้ำ
“คุณหมอค่ะ คุณหมอรัญรัมภาคะ” จรัสตะวันเรียกชื่อด้วยเสียงที่ดังขึ้น แต่รัญรัมภาก็ยังคงหลับสนิท
ขืนเรียกกันอยู่แบบนี้พอดีคนที่เธอจะต้องไปช่วยชะเง้อหาร้อนใจแย่ จึงตัดสินใจแตะที่แขนเบา ๆ เพื่อปลุกให้ตื่น รัญรัมภาปัดมือนั้นออก และขยับตัวทำท่าจะหลับต่อ
“คุณหมอคะ ตื่นคะ นี่ไม่ใช่ที่บ้านนะคะ” จรัสตะวันเรียกเสียงดังขึ้นและเปลี่ยนจากแค่แตะที่แขนเป็นจับเขย่า
รัญรัมภาลืมตาขึ้นมาช้า ๆ และหรี่ตากระพริบสองสามครั้งเพื่อปรับให้ชินกับแสงแดดตอนสายที่แรงขึ้น พอปรับสายตาได้ก็มองไปรอบ ๆ เหมือนทบทวนว่ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร
“หมอเผลอหลับไปเหรอเนี่ย กี่โมงแล้วครู” รัญรัมภาตบท้ายทอยตัวเองเบา ๆ เพื่อกระตุ้นประสาทให้ตื่นตัวเต็มที่
“จะสิบโมงแล้วค่ะ คุณหมอกลับบ้านไปก่อนนะคะ พอดีฉันมีธุระกะทันหัน” จรัสตะวันรีบบอกทันที ไม่อยากเสียเวลาตรงนี้นานมากไป
“ครูจะไปไหน” รัญรัมภาถามไปอย่างนั้นไม่ได้ต้องการคำตอบจริงจัง ในขณะที่ลุกขึ้นยืนปัดเศษหญ้าที่ติดตามขากางเกง
“ไปเยี่ยมคนน่ะค่ะ เขาไม่สบาย” จรัสตะวันตอบโดยไม่ทันคิด
“ไม่สบายอยู่โรงพยาบาลครูก็ไปกับหมอเลยสิ” รัญรัมภายังง่วนกับการเก็บดอกหญ้ามี่ปักติดกางเกงขณะที่คุยไปด้วย
“เขาอยู่บ้านค่ะ ไม่ได้อยู่โรงพยาบาล คุณหมอกลับไปก่อนนะคะ ฉันต้องรีบไป ขอโทษนะคะที่ไม่ไปส่ง” จรัสตะวันรีบพูดรวบรัด
“ไม่สบายทำไมไม่ไปหาหมอ” รัญรัมภาเลิกสนใจดอกหญ้าที่ยังติดอยู่ตามขากางเกงอีกหลายจุด แต่หันมาสนใจจรัสตะวันแทน
“คือเขาไม่ได้เป็นอะไรมากหรอกค่ะ หมอกลับเถอะคะ ฉันจะรีบไปเยี่ยมเขา” จรัสตะวันมัวแต่คิดจะให้หมอกลับบ้านจนลืมไปว่าคำพูดของเธอนั้นขัดแย้งกันเองจนทำให้รัญรัมภาสงสัย
“เขาไม่เป็นอะไรมาก แต่ครูจะต้องรีบไปเยี่ยมนี่นะ” รัญรัมภาจับอาการคนได้ไม่ยาก เมื่อตั้งใจมองจรัสตะวันก็เห็นอาการร้อนรนอยู่ในที
“เขาไม่ได้เป็นอะไรมากจริง ๆ ค่ะ แต่พอดีว่าฉันจะรีบไปเยี่ยมแล้วรีบกลับมาทำงาน”
รัญรัมภามองจรัสตะวันที่พูดออกมาโดยไม่สายตาส่อแววพิรุธบางอย่าง
“ครูรู้ตัวไหมว่าโกหกไม่เนียนเลย ครูจะไปเยี่ยมใคร เขาเป็นอะไร” รัญรัมภาพูดตามสิ่งที่ปฏิบัติจนเป็นนิสัยที่ไม่เอาการเจ็บไข้ได้ป่วยมาเป็นเรื่องเล่น ๆ
“เขา...ปวดหัวตัวร้อนเป็นไข้ธรรมดานี่แหละค่ะ ฉันแค่จะไปหายาให้เขากิน” จรัสตะวันพยายามพูดให้ดูเหมือนปกติ
“มีคนไข้แต่ไม่ให้หมอไปด้วย ทั้งที่มีหมออยู่ตรงนี้ ครูคิดว่าครูรักษาคนไข้ได้ดีกว่าหมอเหรอ ครูคิดว่าครูวินิจฉัยอาการได้ถูกต้องแน่นอนแล้วเหรอว่าแค่ปวดหัวตัวร้อนเป็นไข้ธรรมดา ถ้าใครก็รักษาโรคได้ง่าย ๆ ก็ไม่ต้องมีหมอสิ”
จรัสตะวันเป็นครูตลอดเวลา รัญรัมภาก็เป็นหมอตลอดเวลาเหมือนกัน จรัสตะวันอ้ำอึ้งพูดไม่ออกเมื่อได้ฟังน้ำเสียงจริงจังและการพูดตามหลักความจริงของคนเป็นหมอ เธอไม่มีทางจะวินิจฉัยโรคได้ดีกว่าหมอแน่นอน
“ให้หมอไปด้วยดีกว่า ถ้ารู้ว่ามีคนไข้แล้วหมอไม่ไปรักษามันก็ผิดจรรยาบรรณ และหมอเองก็คงรู้สึกผิดด้วย” น้ำเสียงของรัญรัมภาขณะนี้ไม่ใช่รัญรัมภาคนที่ทานอาหารเช้ากับเธอ แต่เป็นรัญรัมภาที่มีความเป็นหมออยู่ในตัวเองเต็มเปี่ยม จนจรัสตะวันไม่กล้าที่จะปฏิเสธหรือหาข้ออ้างที่จะไม่ให้หมอไปด้วย
“ไปก็ไปค่ะ แต่ต้องเดินไปนะคะ บ้านเขาอยู่ข้ามถนนข้างหน้าไปนี่แหละค่ะ” เธฮยอมจำนนตามความจริงที่ควรทำแต่น้ำเสียงนั้นแฝงด้วยความไม่สบอารมณ์บางอย่าง ออกเดินนำไปตามคันนาเล็ก ๆ โดยมีหมาตัวใหญ่กับตัวเล็กวิ่งนำหน้า
“กลับบ้านได้แล้ว” เมื่อใกล้จะถึงถนน จรัสตะวันก็ร้องบอกฝูงหมาที่วิ่งนำหน้าไปหยุดอยู่ตรงทางที่ขุดเป็นขยักคล้ายบันไดสำหรับเดินขึ้นไปถนนที่ถมสูงกว่าทุ่งนา
“แล้วกอหญ้าล่ะทำอย่างไง” รัญรัมภาพึ่งได้โอกาสพูดด้วยอีกครั้ง เพราะตั้งแต่เดินมาจรัสตะวันก็จ้ำเอา ๆ ด้วยความชำนาญการเดินบนทางแคบ ๆ นี้ รัญรัมภาเดินไม่ค่อยถนัดนักแต่ก็พยายามเดินให้เร็วเพื่อตามให้ทัน
“เขาก็กลับไปด้วยกันแหละ เขาเคยมา พวกนี้ไม่กล้าข้ามถนนหรอกค่ะ เคยโดนรถชน” ไม่รู้ว่าน้ำเสียงห้วนสั้นนั้นเกิดจากความเหนื่อยจากเดินเร็ว ๆ หรือความขุ่นเคืองในใจที่รัญรัมภาจับความรู้สึกนี้ได้โดยอัตโนมัติ
“ไป กลับได้แล้ว พาน้องไปกินข้าว จะตามมาทำไมไม่รู้” จรัสตะวันดุหมาอีกครั้งเมื่อพวกมันยังไม่วิ่งกลับไป พอใช้เสียงดังหมาตัวใหญ่สุดก็ออกวิ่งนำตัวอื่นกลับไปยังทางที่เดินมา รวมทั้งกอหญ้าที่ทำท่าพะวักพะวงอยู่รั้งท้าย
“ตามพี่ ๆ ไปนะกอหญ้า เดี๋ยวครูกลับ” จรัสตะวันร้องบอกเมื่อเห็นท่าทางแบบนั้น รัญรัมภามองตามกอหญ้าที่ออกวิ่งเต็มที่ทันที่ที่ได้ยินจรัสตะวันบอก มาอยู่ด้วยแค่สองสามวันกอหญ้าคุยกับครูจรัสรู้เรื่องมากกว่าเธอเสียอีก
จรัสตะวันเดินไปยังทางที่ขยักเป็นขั้นให้เดินขึ้นไปบนถนนได้สะดวก แดดสายร้อนมากขึ้นทุกที แถมยังไม่มีอุปกรณ์ป้องกันความร้อนใด ๆ เหงื่อเปียกโชกไปทั้งตัวรัญรัมภา แสงจ้าจนเห็นเป็นพรายน้ำบนถนนลาดยางที่พึ่งสร้างเสร็จไม่นาน แถมกลิ่นยางมะตอยเมื่อโดนความร้อนยังระเหยขึ้นมาจนแสบจมูก แต่จรัสตะวันกลับเดินข้ามถนนไปเหมือนไม่เหนื่อยไม่ร้อนและไม่สนใจคนข้างหลังว่าจะเป็นอย่างไร ถึงหมอจะทำงานหนักแค่ไหนก็ยังอยู่แค่ในโรงพยาบาล มีเครื่องปรับอากาศเย็นฉ่ำ เดินไปเดินมาเหนื่อยก็นั่งพักหรือหากออกตรวจในชุมชนก็อยู่กับที่ ไม่ใช่มาเดินตากแดดโทง ๆ กลางทุ่งนาแบบนี้ ในเมื่อครูจรัสทนได้ เธอก็ต้องทนได้เหมือนกัน จะเดินถึงไหนก็จะไป
“ทำไมเราไม่ขับรถมากัน” เมื่อเดินข้ามถนนไปอีกฝั่งก็ลงเดินทางที่เป็นหัวคันนาเหมือนกันไปได้สักระยะ และเริ่มเห็นว่ามีบ้านคนอยู่เป็นกลุ่ม ๆ อีกไม่ไกล รัญรัมภาจึงตัดสินใจถาม จริง ๆ ต้องการหาเรื่องคุยมากกว่าเพราะตั้งแต่เดินมาจรัสตะวันก็จ้ำเอา ๆ ราวกับลืมว่ามีเธอมาด้วย
“คุณหมอก็ดูถนนสิคะ ถ้าขับรถมาต้องย้อนกลับไปทางโรงพยาบาลหรือไม่ก็ต้องไปผ่านตลาดแล้ววนไปอีกทางถึงจะเป็นทางรถเข้าบ้านได้” จรัสตะวันตอบโดยที่ไม่หันมามองและไม่หยุดเดิน
รัญรัมภาหันกลับไปมองดูถนนที่ข้ามมาก็จริงอย่างที่ครูจรัสว่า เธอยังไม่เห็นว่าถนนสายนี้มีทางตัดตรงไหนที่ใกล้กับกลุ่มบ้านคนกลางทุ่งนานี้ อยู่มาสามปีเธอก็ไม่ค่อยได้ไปไหน ก็มีแต่ไปเที่ยวตามผับบาร์หรือแม้แต่ร้านคาราโอเกะกับเทิดทูนหรือออกมาตรวจในชุมชนก็มากับรถโรงพยาบาลไปอยู่ตามสถานีอนามัยที่ปัจจุบันเปลี่ยนเป็นโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล เธอจึงไม่ได้รู้เส้นทางมากกว่าบ้านมาโรงพยาบาลและตลาดกับเข้าไปในตัวจังหวัด
เดินผ่านบ้านไม้หลังใหญ่ที่รัญรัมภาคิดว่าบ้านคนไข้แต่ก็ไม่ใช่ คนที่นั่งอยู่ใต้ถุนบ้านตะโกนทักทายจรัสตะวันอย่างคุ้นเคย
“ครูมาดูสุภามันเหรอ ยายมันพึ่งมาขอโทรศัพท์กับผมเมื่อกี้นี้”
“ค่ะ ครูไปก่อนนะคะ” จรัสตะวันหยุดคุยด้วยแค่นั้นแล้วก็รีบเดินไป
“อ้าว หมอรัญมาด้วย ดี ๆ จะได้ช่วยรักษามันดี ๆ หน่อย”
การที่พูดอย่างนั้นก็เหมือนถึงการทักทายรัญรัมภาไปในตัว ชาวบ้านแถวนี้แม้จะมีความเจริญเข้ามาหลายอย่างแต่ก็ยังอยู่แบบชาวบ้าน การทักทายกันก็เป็นแบบกันเอง แต่รัญรัมภาไม่มีเวลาหยุดคุยด้วย เพราะจรัสตะวันเดินห่างไปไกล จึงได้แต่ยิ้มรับและเดินกึ่งวิ่งตามคนข้างหน้าไป
บ้านคนไข้อยู่ถัดบ้านหลังใหญ่หลังนั้นเข้ามาไม่ไกลนัก จะเรียกว่าเป็นบ้านรัญรัมภาก็ไม่กล้าเรียกเต็มปาก มันเป็นเหมือนเถียงนาที่ทำให้มิดชิดและแข็งแรงกว่าเท่านั้นเอง หลังคามุงสังกะสีแต่สนิมเกาะจนเป็นสีน้ำตาล บันไดทำด้วยไม้หยาบ ๆ แต่ยังดีที่ประตูบ้านดูแข็งแรงและเหมือนพึ่งทำใหม่
“ยาย ครูมาแล้ว” จรัสตะวันหยุดตรงบันไดและตะโกนขึ้นไป รัญรัมภาเดินตามมาทันพอดี พอได้มีเวลาพักหายใจ “ครูมากับใคร” เสียบแหบพร่าตอบมา คงมองจากรอยแตกของฝาบ้านจึงเห็นว่าจรัสตะวันไม่ได้มาคนเดียว
“คุณหมอจ้ะ คุณหมอที่โรงพยาบาล เขาจะมารักษาสุภา” จรัสตะวันตอบน้ำเสียงประหม่านิด ๆ รัญรัมภารู้สึกแปลกใจ
“สุภา ไม่ได้เป็นอะไรมากหรอกค่ะ ไม่ต้องใช้หมอ ครูขึ้นมาดูมันคนเดียวพอ” เสียบแหบพร่านั้นตอบโดยที่ยังไม่ออกมาเปิดประตูบ้านให้
“ให้หมอขึ้นไปดูเถอะยาย ฉันเป็นครู ไม่ใช่หมอ เผื่อสุภาเป็นอะไรมาก หมอจะได้รักษาทัน” จรัสตะวันพยายามพูดให้เหมือนเป็นเรื่องปกติ ถึงตอนนี้รัญรัมภาก็สงสัยแล้วว่าคนไข้คนนี้ต้องไม่ปกติ
“ยาย หมอ หมอรัญเองนะ ให้หมอขึ้นไปดูหน่อยเถอะจ้ะ” รัญรัมภาตัดสินใจพูดออกไป อย่างไรวันนี้เธอก็ต้องได้รักษาคนไข้คนนี้
คนในบ้านไม่ตอบกลับมาแต่ได้ยินเสียงพึมพำคุยกันอยู่ชั่วอึดใจจึงเสียงแหบพร่าตอบมา
“อีหนูมันไม่ยอมให้ใครขึ้นมานอกจากครูจรัสคนเดียว”
คราวนี้จรัสตะวันหันมามองเธอด้วยความหนักใจ
“บอกแล้วไงคะว่าหมอไม่ต้องมา หมอรออยู่ข้างล่างนี้แหละค่ะ ฉันจะขึ้นไปคนเดียว”
“หมอบอกแล้วไง มีคนไข้ยังไงหมอก็ต้องรักษา คนไข้ชื่อสุภาใช่ไหม” รัญรัมภาไม่มีอารมณ์จะต่อล้อต่อเถียง เธอเป็นห่วงคนไข้ที่อยู่บนบ้านมากกว่าทั้งที่ยังไม่รู้ว่าป่วยเป็นอะไร
“สุภา หมอจะมารักษาให้สุภาหายไข้นะ ให้หมอขึ้นไปหาได้ไหม” นำเสียงรัญรัมภาอ่อนโยนจนจรัสตะวันยังต้องยอมให้ ต่างยืนนิ่งรอเสียงคนในบ้านตอบกลับมา แต่ทว่าก็ยังเงียบอยู่
“เขาเป็นอะไรกันแน่ ครูบอกหมอมา หมอจะได้รู้ว่าต้องทำอย่างไง” ความจริงรัญรัมภาเดาในใจไว้หลายกรณีว่าคนไข้ที่ไม่ปกติคนนี้จะป่วยเป็นอะไร อาจป่วยเป็นโรคติดต่อบางอย่างที่ทำให้คนไข้รู้สึกอับอายหรืออาจจะมีปัญหาทางจิต ซึ่งเธอต้องหาวิธีพูดเพื่อให้คนไข้วางใจให้ได้
ท่าทางและคำพูดของรัญรัมภาในตอนนี้มีอำนาจบางอย่างแฝงอยู่จนจรัสตะวันต้องพูดความจริงออกไป
“สุภาเขาเสียโฉมจากอุบัติเหตุค่ะ เลยเก็บตัวอยู่แต่ในบ้านไม่ออกไปเจอใคร” จรัสตะวันอธิบายสั้น ๆ และเบา ๆ เพื่อไม่ให้คนบนบ้านได้ยิน
รัญรัมภาเงียบครุ่นคิดหาวิธีที่จะให้คนไข้เต็มใจให้เธอขึ้นไปรักษา
“ครูต้องช่วยเล่นละครตามหมอไปด้วยนะ” เธอบอกจรัสตะวันแล้วพูดกับคนบนบ้านอีกครั้ง
“สุภา หมอเป็นเพื่อนสนิทครูจรัสนะ ครูจรัสให้หมอช่วยมารักษาหนู เพราะเขาเป็นห่วงหนูมาก หนูไว้ใจหมอได้นะ ถ้าไม่เชื่อก็ฟังครูจรัสพูดนะ” รัญรัมภาพูดจบก็ขยิบตาให้จรัสตะวันเล่นตามบทที่นำทางไป
“สุภาให้หมอขึ้นไปเถอะนะ ครูรับรองเองจ้ะ หมอเป็นเพื่อน..สนิทครูจ้ะ” จรัสตะวันยอมพูดตามบทที่รัญรัมภาบอกแม้จะรู้สึกตะขิดตะขวงใจที่ต้องพูดว่าคนพึ่งรู้จักกันเป็นเพื่อนสนิท
คนบนบ้านยังคงเงียบอยู่
“ครูขึ้นไปนะจ๊ะสุภา สุภาเชื่อใจครูได้นะ” จรัสตะวันย้ำอีกครั้ง
“ถ้าไม่ใช่สนิทกับครู หมอคงไม่กล้ามาหรอกนะ” รัญรัมภาแกล้งพูดดัง ๆ หวังให้มีผลต่อความคิดคนบนบ้าน
เวลาผ่านไปอีกครู่ใหญ่จนรัญรัมภาจะถอดใจ แต่ไม่ได้เลิกล้มความคิดที่จะรักษาเพียงคิดว่าคงต้องใช้เวลามากกว่านี้และอาจจะไม่ใช่วันนี้ที่คนไข้จะไว้ใจเธอ กำลังจะบอกให้จรัสตะวันขึ้นไปเพียงคนเดียวก็พอดีที่ประตูบ้านเปิดแง้มออกมา หญิงชราหลังงุ้มนิด ๆ ยื่นหน้าอันเหี่ยวย่นออกมา มองซ้ายขวาอย่างระแวดระวัง
“ครูรีบขึ้นมาเถอะค่ะ สุภามันยอมแล้ว”
จรัสตะวันรีบก้าวขึ้นบันไดทันทีที่ได้ยินคำพูดนั้น รัญรัมภารีบก้าวขึ้นไปติด ๆ พอขึ้นมาบนบ้าน รัญรัมภาก็ต้องหยุดเพื่อสูดลมหายใจให้ชินกับอากาศที่อบอ้าวและอึดอัดเนื่องจากหลังคาสังกะสีที่ถ่ายเทความร้อนลงมา และยังไม่มีการเปิดหน้าต่างระบายอากาศอีก นอกจากพัดลมตัวเล็กที่เปิดส่ายไปมา
จรัสตะวันเดินนำไปยังมุมบ้านที่มีร่างเล็ก ๆ นอนอยู่ภายใต้ผ้าห่มผืนบาง ๆ และใบหน้ามีผ้าขนหนูพันอยู่จนเห็นแต่ดวงตา
“สุภาเป็นอย่างไง ให้ครูดูซิ” จรัสตะวันนั่งพับเพียบลงข้าง ๆ คนไข้ รัญรัมภาก็นั่งลงใกล้ ๆ เธอพยายามใช้สายตามองให้สุภารู้ว่าไว้ใจเธอได้
“ครูจรัสขยับให้หมอดูดีกว่านะ” รัญรัมภาแตะแขนให้จรัสตะวันขยับไป เพื่อที่เธอจะได้เข้ามาใกล้คนไข้มากขึ้น แววตาของสุภายังมองเธอด้วยความหวาดระแวงอย่างเห็นได้ชัด
“ไม่ต้องกลัวหมอนะจ๊ะ สุภาเป็นไข้มากี่วันแล้ว” รัญรัมภาซักถามโดยไม่สนใจว่าคนไข้จะยังเอาผ้าปิดหน้าปิดตาอยู่
“บอกหมอเขาไปสิอีหนู หมอเขาจะมารักษา” ยายของสุภาเดินถือขันน้ำมาวางลงข้าง ๆ ให้จรัสตะวัน เธอยกขึ้นดื่มโดยไม่รังเกียจความบุบบู้บี้ของขันใบนั้น มันแค่บุบบู้บี้เพราะผ่านการใช้งานมานานแต่ทั้งขันและน้ำในนั้นก็สะอาดดี
“เมื่อคืนวาน” เสียงอู้อี้จากใต้ผ้านั้น รัญรัมภารู้ได้ว่าคนไข้ไม่สามารถพูดได้ถนัดนัก
“แล้วอาการเป็นอย่างไง ปวดหัว แล้วปวดเนื้อปวดตัวด้วยไหมจ้ะ” รัญรัมภาเริ่มซักอาการ
จรัสตะวันได้แต่นั่งฟังเมื่อรัญรัมภาซักถามรายละเอียดต่าง ๆ ของอาการ และทำอีกหลายอย่างเหมือนเวลาที่หมอตรวจร่างกายเพียงแต่ไม่มีอุปกรณ์ช่วยเท่านั้น บางครั้งก็หันไปถามยายว่าแถวนี้มีคนเป็นไข้เลือดออกไหม นอนกางมุ้งทุกวันหรือเปล่า และอีกหลายคำถามที่จรัสตะวันคิดว่าไม่น่าถามเพราะไม่เกี่ยวกับอาการเจ็บไข้ได้ป่วยเลย
“คงเป็นไข้หวัดใหญ่ เดี๋ยวหมอสั่งให้ที่โรงพยาบาลจัดยามาให้นะจ๊ะ ยายให้สุภาจิบน้ำไว้เรื่อย ๆ แล้วเช็ดตัวบ่อย ๆ นะคะ” รัญรัมภาให้สุภานอนพักและหันไปพูดกับยาย ตลอดการรักษารัญรัมภาไม่ได้สนใจใบหน้าที่ไม่ยอมเปิดผ้าพันนั้นเลย เมื่อหมอไม่สนใจสุภาก็มีท่าทีผ่อนคลายลง
“แต่ถ้ากินยาแล้วมีอาการผิดปกติหรือไม่ดีขึ้น ยายรีบโทรไปบอกครูจรัสเลยนะคะ หมอจะได้รีบมา”
“สุภา อีกสักสองสามวันหมอจะมาตรวจอีกครั้ง หนูให้หมอมาได้ไหมจ๊ะ” รัญรัมภาคุยสุภาสลับกับคุยกับยาย และกลายเป็นจรัสตะวันที่ต้องนั่งฟังเฉย ๆ
“ค่ะ” สุภาตอบรับจนแทบไม่ได้ยิน
“หมอขอบัตรประชาชนสุภาหน่อยสิคะ จะเอาไปทำเรื่องเบิกยามาให้”
“ค่ะ หมอทานน้ำสิคะ ยายจะไปเอาบัตรสุภามาให้” ยายบอกแล้วยันกายลุกขึ้น
การดื่มน้ำขันเดียวกันเป็นเรื่องปกติของคนต่างจังหวัด โดยเฉพาะยายของสุภาที่ยังเป็นคนสมัยเก่า ไม่ได้คำนึงถึงสุขอนามัย รัญรัมภาหยิบขันน้ำขึ้นมาดื่มทันที โดยที่จรัสตะวันไม่ทันจะเตือนว่าเธอดื่มมันไปแล้ว เดี๋ยวให้ยายเอามาให้ใหม่ ความจริงรัญรัมภาก็เห็นว่าจรัสตะวันดื่มน้ำจากขันนั้นไปก่อนแต่เธอก็ยังดื่มต่อหน้าตาเฉย
“น้ำฝนใช่ไหม ชื่นใจจัง” รัญรัมภาวางขันลงพอดีกับที่ยายเอาบัตรประชาชนของสุภามาให้
“แถวนี้มีอนามัยนี่ อยู่ตรงไหนนะครูจรัส เบิกยาที่อนามัยก็ได้ จะได้ไม่ต้องรอนาน” รัญรัมภาพึ่งนึกได้จริง ๆ
“อยู่ไม่ไกลหรอกค่ะ แต่อีหนูมันไม่ยอมไป” ยายของสุภาเป็นฝ่ายตอบแทน
“ไม่เป็นไรค่ะยาย เดี๋ยวหมอไปเอายามาให้ จะได้เอาเครื่องมือมาตรวจอีกทีด้วย ไปครูพาไปหน่อย”
รัญรัมภาลุกขึ้นยื่นอย่างรวดเร็ว และยังยื่นให้จรัสตะวันจับเพื่อช่วยดึงตัวขึ้นมา จรัสตะวันไม่ยอมจับมือนั้นแต่ยันกายลุกขึ้นเองด้วยความลำบาก เพราะเธอนั่งพับเพียบอยู่ท่าเดียวมานานจนเป็นเหน็บชา พอลุกขึ้นได้รัญรัมภาก็เดินนำไปที่ประตู
ถนนเลี่ยงเมืองนั้นเป็นถนนตัดใหม่เพื่อเป็นทางผ่านไปจังหวัดอื่นแต่ก็มีจุดเชื่อมกับถนนสายเก่าที่ชาวบ้านใช้สัญจร เดินตามถนนสายเก่าไปไม่ไกลก็ถึงสถานีอนามัยที่เปลี่ยนเป็นโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล รัญรัมภาต้องมาเข้าเวรตรวจรักษาที่นี่เดือนละครั้ง แต่เธอมาจากทางโรงพยาบาลแล้วเลี้ยวเข้าถนนสายเก่าตรงจุดเชื่อมโดยที่ยังมาไม่ถึงโรงเรียน จึงพึ่งนึกพื้นที่ออกว่าถนนไปตลาด ถนนเลี่ยงเมืองและถนนสายนี้มันขนานกันไป จริงอย่างที่จรัสตะวันว่าเดินลัดทุ่งนามาสะดวกกว่า
เจ้าหน้าที่ทุกคนที่นี่รู้จักเธอดี รับบัตรของสุภาไปจัดการเขียนไปใบเบิกยาตามที่รัญรัมภาบอกว่าให้ทำเป็นสุภามาเองแบบฉุกเฉิน ความจริงก็ผิดกฎระเบียบการเบิกจ่ายยาและการรักษา แต่กฎระเบียบหรือจะสำคัญเท่ากับชีวิตคน
“มีร้านก๋วยเตี๋ยวตรงนั้นด้วย เดี๋ยวตอนเอากระเป๋ายามาคืนเรามากินกันนะ” รัญรัมภาอุทานด้วยความดีใจเมื่อมองไปยังฝั่งตรงข้ามระหว่างนั่งรอยาและเห็นเพิงขายก๋วยเตี๋ยวของชาวบ้าน
“คุณหมอจะกินได้เหรอคะ” จรัสตะวันถามด้วยน้ำเสียงไม่เชื่อว่ารัญรัมภาจะพูดจริง เธอยังจำที่ป้ามลบอกได้ว่าหมอรัญกินยาก รักสะอาด แล้วก๋วยเตี๋ยวชาวบ้านจะกล้ากินได้อย่างไร แต่เมื่อกี้กลับดื่มน้ำขันเดียวกับเธอได้ ประหลาดคน
“ชาวบ้านกินได้หมอก็กินได้สิ หรือเขาจะวางยาพิษหมอ รีบเอายาไปให้สุภาเถอะ หมอหิวจะแย่แล้ว”
จรัสตะวันแทบจะตามอารมณ์รัญรัมภาไม่ทัน เดี๋ยวก็จริงจังเดี๋ยวขี้เล่น ไม่คงเส้นคงวา มิน่าใคร ๆ ถึงบอกว่าหมอรัญเอาใจยาก ใจดีแต่กับคนไข้ซึ่งเธอพึ่งได้เห็นกับตา แต่อารมณ์ที่เปลี่ยนไปมาบางครั้งก็พาให้คนอื่นเดาใจไม่ถูกว่าจะต้องวางตัวอย่างไรในแต่ละอารมณ์ของหมอ
“หมอรัญเก่งนะคะ ทำให้สุภายอมให้ตรวจได้ แถวนี้ไม่มีใครได้ขึ้นบ้านสุภาหรอกค่ะ ยกเว้นครูจรัสกับหมอนี่แหละ” เจ้าหน้าที่อยู่เวรพูดในขณะที่นำกระเป๋าแพทย์สนามมาให้พร้อมยาที่สั่งไป
“เดี๋ยวหมอเอามาคืนนะ ขอบใจมาก” รัญรัมภารับกระเป๋ามาสะพายและเป็นฝ่ายเดินนำจรัสตะวันไป
ตรวจสุภาเสร็จเอากระเป๋ามาคืนที่เจ้าหน้าที่แล้วรัญรัมภาก็เดินข้ามมายังร้านก๋วยเตี๋ยวอย่างที่พูดไว้ แถมยังเป็นคนไปสั่งเองและสั่งเผื่อเธอด้วย ไหนป้ามลบอกว่าหมอรัญทานยาก ไม่ชอบไปสั่งอาหารเอง ป้ามลต้องจัดการเรื่องอาหารกลางวันให้เป็นประจำ แต่ตอนนี้การกระทำของหมอตรงข้ามทุกอย่าง แสดงว่าที่ทำเป็นเรื่องมากก็คงแค่เรียกร้องความสนใจมากกว่า
“ร้านก๋วยเตี๋ยวนี้พึ่งมาเปิดแน่ ๆ หมอมาเดือนที่แล้วยังไม่มีเลย” รัญรัมภาชวนคุยระหว่างที่นั่งรอก๋วยเตี๋ยว
“เขาเคยขายในตลาดค่ะ แต่พอดีตรงที่เคยขาย เจ้าของจะสร้างอาคารพาณิชย์ ป้ากับลุงแกเลยย้ายมาขายที่นี่ค่ะ”
“ครูรู้จักชาวบ้านดีจัง รู้ว่าใครเป็นอย่างไง ทั้งที่พึ่งมาอยู่ แต่หมออยู่มาสามปี มีแต่คนรู้จักหมอ แต่หมอไม่รู้เลยว่าใครเป็นอย่างไง เขาทักก็พยักหน้าเหมือนจำได้ไป” รัญรัมภาพูดออกมาพร้อมกับแววตาที่ชื่นชมจรัสตะวันที่มีสัมพันธภาพที่ดีกับชาวบ้านทั้งที่พึ่งย้ายกลับมาได้ไม่นาน
“พอดีฉันต้องออกเยี่ยมบ้านนักเรียนนี่คะ ก็เลยต้องรู้จักชาวบ้านเป็นธรรมดา บางคนก็พอจะจำฉันได้เลยคุยกันง่ายค่ะ” จรัสตะวันตอบด้วยอารมณ์คงที่เสมอไม่ว่าหมอจะคุยด้วยอารมณ์อย่างไร
“แล้วครูรู้จักสุภาได้ไง เพราะเขาไม่ยอมออกมาเจอใครแล้วก็ไม่ยอมให้ใครไปหาด้วย” อีกแล้วที่รัญรัมภาเปลี่ยนอารมณ์มาจริงจังทั้งที่เมื่อสักครู่พึ่งคุยเล่นไป
“ฉันมาเยี่ยมบ้านนักเรียนแถวนี้ ชาวบ้านเขาก็เล่าเรื่องนั้นเรื่องนี้ไปเรื่อย จำไม่ได้หรอกค่ะว่าใครพูดเรื่องสุภา ฉันก็เลยลองไปหาเขาดู” จรัสตะวันพูดน้ำเสียงเบาลง บ่งบอกให้รู้ว่าไม่อยากให้คนอื่นได้ยิน รัญรัมภาเข้าใจ พอดีกับที่คนขายเอาก๋วยเตี๋ยวมาเสิร์ฟ ต่างคนจึงต่างทานกันไปเงียบ ๆ
จรัสตะวันนั้นเงียบขรึมเป็นปกติอยู่แล้ว แต่รัญรัมภาที่อารมณ์แปรเปลี่ยนไปมา ตลอดเวลาที่ต่างทานก๋วยเตี๋ยวโดยไม่ได้คุยกันเลยนั้นก็เดาไม่ได้ว่าเธอกำลังคิดอะไร อาจจะคิดว่ามื้อนี้เป็นอาหารที่รสชาติแย่ที่สุดแต่จำใจฝืนทานก็ได้
“ครูมีเงินมาไหม” รัญรัมภาเงยหน้าจากชามก๋วยเตี๋ยวที่เหลือเพียงน้ำติดก้นชามขึ้นมาด้วยแววตาเป็นกังวล เพราะความหิว ความเหนื่อยและความที่ครุ่นคิดอะไรบางอย่างในใจที่ยังไม่อยากบอกจรัสตะวัน ทำให้รัญรัมภาลืมไปว่าเธอไม่มีเงินติดตัวมาสักบาท แม้กระทั่งโทรศัพท์มือถือก็ทิ้งไว้ในรถ
“ไม่มีค่ะ” จรัสตะวันตอบหน้าตาเฉยและก้มหน้าทานก๋วยเตี๋ยวในชามของตัวเองต่อ
“อ้าว ครู แล้วจะทำอย่างไง อายเขาตายเลยมากินก๋วยเตี๋ยวแต่ไม่มีเงินจ่าย” รัญรัมภาร้อนใจจริง ๆ สิ่งที่เธอยอมไม่ได้คือการเสียหน้า แม้ว่าชาวบ้านแถวนี้จะรู้จักครูจรัสรวมทั้งเธอด้วยดี คงไม่มีใครคิดว่าจะมาโกงค่าก๋วยเตี๋ยวไม่กี่บาท หรืออาจจะไปยืมเงินเจ้าหน้าที่ที่อยู่เวรนั้นก็ได้ แต่รัญรัมภาก็อายเกินกว่าจะทำแบบนั้น
“ถามป้าดูสิคะ ให้หมอล้างชามแทนค่าก๋วยเตี๋ยวได้ไหม” จรัสตะวันยังละเลียดก๋วยเตี๋ยวในชามอย่างสบายใจ
“จะบ้าเหรอครู พูดเป็นละครไปได้ หมออายเขา ทั้งเนื้อทั้งตัวหมอก็ไม่มีของมีค่าอะไรเลย”
จรัสตะวันไม่ได้กิริยาตื่นเต้นตกใจหรือเห็นใจความกังวลใด ๆ ของหมอ วางตะเกียบและยกน้ำขึ้นดื่ม
“ป้าคะ เก็บเงินค่ะ” เธอร้องบอกป้าที่ทำหน้าที่เก็บโต๊ะและเก็บเงิน
“ครู หมอไม่มีเงินนะ” รัญรัมภารีบพูด หรือว่าจรัสตะวันจะบ้าให้เธอล้างชามชดใช้ค่าก๋วยเตี๋ยวนี้จริง ๆ
“ห้าสิบบาทจ้ะครู” ป้ารีบเดินมาที่โต๊ะ มองชามแล้วบอกราคา จรัสตะวันควักธนบัตรใบละหนึ่งร้อยบาทจากกระเป๋ากางเกงส่งให้ และยกน้ำขึ้นดื่มต่อจนหมดแก้วแล้วรับเงินทอนมา
“ครูแกล้งหมอใช่ไหม ไหนบอกไม่มีเงินไง” รัญรัมภาต่อว่าทันทีที่ป้าทอนเงินเสร็จแล้วเดินไปโต๊ะอื่น
“ก็ไม่มีเงินเยอะ มีมาแค่ร้อยเดียว ฉันพูดไม่จบ” จรัสตะวันพูดยิ้ม ๆ แม้จะเป็นยิ้มกึ่งขบขันที่หลอกเธอได้ แต่มันก็เป็นรอยยิ้มแรกที่รัญรัมภาได้เห็นจากครูจรัส
“ครูนี่ ร้ายเหมือนกันนะ แกล้งหมอได้” รัญรัมภาแกล้งทำเสียงดุต่อว่าซึ่งไม่มีผลอะไรกับจรัสตะวันสักนิด
“ไปกันหรือยังคะ ป่านนี้กอหญ้ารอแล้ว” จรัสตะวันลุกขึ้นเดินนำออกจากร้าน รอยยิ้มเพียงแวบเดียวนั้นหายไปเหลือไว้เพียงใบหน้าไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ เหมือนเดิม