ตอนที่ 14
เช้าวันเสาร์อีกครั้ง รัญรัมภาตื่นมาด้วยความรู้สึกเบื่อหน่าย อยากจะตื่นสาย ๆ แต่ร่างกายก็กลับลืมตาตื่นแต่เช้าตรู่ คงเป็นฤทธิ์ยานอนหลับที่เธอกินไปตั้งแต่หัวค่ำจึงทำให้ร่างกายได้พักผ่อนเต็มที่ รู้ว่ามันไม่ดีที่จะพึ่งยาบ่อย ๆ แต่จะทำอย่างไรได้ หน้าที่การงานที่ต้องรับผิดชอบต่อชีวิตคนไม่เปิดโอกาสให้เธอสามารถปล่อยร่างกายตามใจได้ เว้นเสียแต่เจ็บไข้ได้ป่วยจริง ๆ ดังนั้นบางคืนที่ไม่สามารถข่มตาให้หลับเองได้ เธอก็จำเป็นต้องใช้ยานอนหลับ
เมื่อคืนที่เธอกินยาก็เพราะเผลอคิดไปว่ายังเป็นเย็นวันพฤหัสบดี ทั้งที่เป็นเย็นวันศุกร์ ครั้นนึกได้ก็รู้สึกง่วงเพราะฤทธิ์ยาไปแล้ว ห้วงคำนึงสุดท้ายก่อนจะหลับคือเรื่องที่จรัสตะวันโทรศัพท์มาบอกเทิดทูนว่ายายของสุภาต้องเปลี่ยนคิวผ่าตัดเป็นวันจันทร์ด้วยเหตุจำเป็นบางอย่างของโรงพยาบาลศูนย์ ห้องพักผู้ป่วยรวมไม่มีที่ให้ญาตินอนเฝ้าได้ แล้วจรัสตะวันอยู่อย่างไร หรือกลับมาบ้านแล้ว อยากรู้แต่ก็ไม่รู้จะถามใคร จะโทรศัพท์ไปถามเจ้าตัวก็กลัว ๆ กล้า ๆ และไม่รู้ว่าจะถามอะไร เรื่องของยายสุภาทางโรงพยาบาลศูนย์ก็ประสานแจ้งมาที่โรงพยาบาลโดยตรงแล้ว
ตื่นเช้าเกินไปและไม่มีอะไรทำก็จะยิ่งพาให้ฟุ้งซ่าน
“ป้ามล ไปกินกาแฟที่ตลาดเป็นเพื่อนหมอหน่อยสิคะ” เช้าวันหยุดแบบนี้ คนที่ยังตื่นเช้าเสมอก็คือป้ามล ที่เธอชอบเรียกว่าคนรู้ใจเพราะไม่ว่าเธอจะชอบหรือไม่ชอบอะไร ป้ามลก็รู้หมด โดยเฉพาะเรื่องอาหารการกิน นอกจากจะรู้ใจแล้วยังตามใจเธอเสมอ ดังนั้นการไปทานอาหารเช้าในตลาดเธอจึงชอบไปกับป้ามลที่สุด
“นึกอย่างไงถึงอยากไปกินกาแฟที่ตลาดวันเสาร์คะหมอ” ป้ามลไม่เคยปฏิเสธสักครั้งหากเธอชวนไปไหน และความสงสัยนี้ก็ถามเป็นพิธีเท่านั้น
“หมออยากไปเดินตลาดนัดชาวบ้านด้วย ที่ป้ามลบอกว่านายอำเภอพึ่งทดลองทำไง” รัญรัมภานึกได้เพราะเธอกำลังคิดว่าหลังจากทานกาแฟแล้วจะไปทำอะไรต่อเพื่อใช้เวลาให้หมดไปให้มากที่สุด
“จะเอารถป้าหรือรถหมอไปคะ”
“รถหมอดีกว่าค่ะ อีกครึ่งชั่วโมงหมอไปรับ”
วางโทรศัพท์ไปแล้วก็รีบลุกไปอาบน้ำ คงจะมีป้ามลคนเดียวเท่านั้นที่ไปไหนมาไหนกับเธอได้โดยไม่ถูกชาวบ้านซุบซิบนินทา ความจริงวันนี้ควรที่เธอจะได้ตามจรัสตะวันไปดูแลยายของสุภาที่โรงพยาบาลศูนย์ หรือไม่ก็ได้พากอหญ้าไปวิ่งเล่นที่โรงเรียน แล้วเธอก็จะได้ไปเยี่ยมสุภาเพื่อหาทางให้ยอมเข้าสู่กระบวนการรักษาตามแผนการที่เธอวางไว้ หลายสัปดาห์แล้วที่ไม่ได้ไปเยี่ยมสุภา ไม่รู้ว่าจรัสตะวันได้ทำตามที่คุยกันไว้คืบหน้าไปถึงไหน แล้วตัวจรัสตะวันจะเป็นอย่างไรบ้างที่ต้องอยู่ท่ามกลางคำซุบซิบของชาวบ้าน ซึ่งแท้จริงแล้วก็มีต้นตอมาจากครูในโรงเรียนที่เป็นทั้งเพื่อนบ้านและสอนในหมวดวิชาเดียวกัน
แม้จะส่งข่าวที่เป็นการเป็นงาน จรัสตะวันยังต้องส่งผ่านคนอื่นมาถึงเธอ
“ถ้าแกจะรักใครนะ ไม่ต้องสนใจสายตาสังคมหรอก ทุกคนมีอคติของตัวเอง ดูอย่างข่าวดาราสิ พระเอกเป็นแฟนกับนางร้าย คนไม่พอใจยังเอาไปด่าเสีย ๆ หาย ๆ ทั้งที่ไม่ได้รู้นิสัยใจคอที่แท้จริงของเขาเลย การรักใครสักคนไม่ใช่การก่ออาชญากรรม ทำตามที่หัวใจต้องการไปเถอะ”
เพื่อนคนหนึ่งเคยบอกเมื่อรู้ว่าเธอแอบชอบรุ่นพี่ที่เป็นถึงประธานรุ่น แต่ครั้งนั้นเธอไม่ได้ทำตามความต้องการของหัวใจของตัวเองอย่างที่เพื่อนบอก แค่แอบชอบแล้วก็ปล่อยให้เลือน ๆ หาย ๆ ไปในการเรียนที่หนักขึ้นทุกวัน
แล้วสำหรับจรัสตะวัน เธอจะปล่อยให้เป็นเช่นนั้นอีกหรือ
เพียงครึ่งชั่วโมงที่อาบน้ำแต่งตัว ความคิดเธอก็ยังฟุ้งซ่านไปไกลได้ขนาดนี้ อีกกี่เสาร์กี่อาทิตย์ที่ตื่นเช้าแล้วเธอจะสามารถใช้ชีวิตได้ดังเดิม
“ผักนี้พวกหนูปลูกเองเหรอลูก” ป้ามลตรงไปที่โต๊ะผลิตภัณฑ์ของนักเรียนทันทีที่เห็น
“ไข่ไก่พวกนี้ก็เลี้ยงเองค่ะ เลี้ยงด้วยระบบโรงเรือนกึ่งปล่อยอิสระ ไม่ได้เลี้ยงโดยเอาไก่มาใส่เป็นช่อง ๆ แล้วให้กินอาหารอย่างเดียวนะคะ เราปล่อยให้ไก่เดินหากินเองแต่อยู่ในพื้นที่โรงเรือน อาหารก็เลี้ยงด้วยอาหารธรรมชาติค่ะ”
“ปลานี่ก็เลี้ยงกึ่งธรรมชาติค่ะ แต่ว่าไม่ได้เลี้ยงใต้เล้าไก่ รับรองไม่มีกลิ่นเหม็นค่ะ”
เด็กนักเรียนต่างช่วยกันอธิบายสินค้านำมาขายด้วยความภาคภูมิใจ ลูกศิษย์ของจรัสตะวันทั้งนั้น แต่ไม่มีอาจารย์ของพวกเขาอยู่ที่นั่น
“หมอ มาดูนี่สิคะ มาดูว่าอยากทานอะไร มื้อกลางวันป้าจะทำให้ทาน” ป้ามลอารมณ์ดีเป็นพิเศษที่ได้เลือกผักเลือกไข่สด ๆ ใหม่ ๆ และเด็กนักเรียนยังปลูกเอง เลี้ยงเองตามธรรมชาติด้วย
“ป้าทำอะไรหมอกินได้หมดแหละค่ะ” รัญรัมภาเดินมาสมทบ มองผักสดที่เธอเคยเห็นอยู่ในแปลง ไข่ไก่สดใหม่ที่เธอเคยได้ทานแล้วก็โปรดปรานนักหนาคือไข่เจียวใส่ใบโหระพา
“คุณหมอเคยไปทานข้าวบ้านครูจรัสแล้วค่ะ อร่อยใช่ไหมคะคุณหมอ” เด็ก ๆ พูดตามประสาซื่อ รัญรัมภาได้แต่ยิ้มให้ ในขณะที่ป้ามลยังสนใจแต่กองผัก และเลือกปลาแดดเดียว มีลูกค้าคนอื่นทยอยเข้ามา รัญรัมภาจึงถอยห่างออกไปยืนรอ
“เดี๋ยวนี้หมอรัญกินอาหารบ้าน ๆ ได้แล้วเหรอคะป้ามล นึกว่าชอบแต่เนื้อนมไข่”
เสียงหัวเราะคิกคักดังมาหลังจากที่ใครคนใดคนหนึ่งในกลุ่มลูกค้าพูดจบลง ใบหน้าของเธอร้อนวูบวาบขึ้นมาเมื่อรู้ว่าความหมายที่แฝงอยู่ในคำพูดนั้นคืออะไร
“ยังชอบกินเนื้อ กินนม กินไข่เหมือนเดิมแหละค่ะ ถึงมาหาเลือกไข่อยู่นี่ไง หมอรัญต้องกินอาหารที่มีประโยชน์เพื่อบำรุงร่างกาย จะได้มีแรงรักษาคนไข้ ใครเจ็บใครป่วยจะเป็นจะตายก็เห็นแต่ร้องห่มร้องไห้ขอให้หมอรัญเป็นคนรักษาทั้งนั้น” ป้ามลพูดพลางส่งกำผักและชี้กองปลาแดดเดียวให้นักเรียนใส่ถุงให้
“แหม ป้า พูดเล่นแค่นี้ก็ต้องโมโหด้วย” ใครคนหนึ่งในกลุ่มพูดแก้เก้อขึ้นมา
“เท่าไหร่จ๊ะหนู พวกหนูเป็นเด็กดีมาก ๆ เลยนะลูก เอาเวลาว่างมาทำกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ ใครสอน ครูจรัสใช่ไหม ครูดี ๆ แบบนี้หาได้ไม่ง่ายแล้ว ดูสิมาสอนไม่ถึงเทอมดี เด็ก ๆ มีทั้งไข่ ทั้งผัก ทั้งปลามาขาย ใช้เวลาว่างได้เป็นประโยชน์ดีจริงลูก ดีกว่าอยู่ว่าง ๆ แค่หายใจทิ้งก็เปลืองออกซิเจนแล้ว ยังดีแต่พูดไร้สาระพ่นคาร์บอนได้ออกไซค์ออกมาให้อากาศเสียอีก”
ป้ามลทำเหมือนไม่สนคำพูดของคนเหล่านั้นแต่เด็ก ๆ ก็รู้ว่าสิ่งที่ป้ามลพูดนั้นคือการตอบโต้อย่างเผ็ดร้อนตามนิสัยที่ไม่ว่ากับใครก็ไม่เคยไว้หน้าถ้าพพูดหรือทำอะไรที่ไม่เข้าท่าขึ้นมา ต่างพากะนหัวเราะกิ๊กกั๊กชอบใจกับคำพูดของป้ามลที่กลุ่มคนเหล่านั้นไม่เข้าใจนัก หรือยังตั้งตัวคิดตามไม่ทัน ป้ามลรับเงินทอนและถุงใส่ของมา
“ขอบคุณค่ะป้ามล ครั้งหน้าถ้ามีถุงผ้ามาใส่แทนถุงพลาสติกพวกเราแถมไข่ให้หนึ่งใบค่ะ” เด็ก ๆ ยกมือไหว้ขอบคุณอย่างพร้อมเพรียง
“ดีจริง จะได้ช่วยลดการใช้ทรัพยากร ใครสอนมาเนี่ย”
“ครูจรัสค่ะ” เด็ก ๆ พร้อมใจเสียงประสานที่เรียกชื่อครูจรัสราวกับนัดกันไว้ ป้ามลยิ้มพอใจกับคำตอบก่อนที่จะเดินมาหาเธอที่ยังยืนนิ่งงันด้วยชื่อนั้นมันบาดลึกเข้าไปในหัวใจ เธอกำลังทำให้คนดี ๆ ครูที่ดีของนักเรียนต้องเสียหายทั้งที่ยังไม่ได้ทำอะไรด้วยซ้ำ แล้วหากจะทำตามความต้องการของหัวใจ . . . จรัสตะวันจะต้องเจอกับอะไรบ้าง
“ไปกันเถอะค่ะหมอ” ป้ามลเดินมาหา และเรียกให้เธอเดินตามไปอีกทาง
“มาให้หมอถือค่ะป้า ป้าจะได้ดูของได้สะดวก” รัญรัมภาพึ่งนึกได้ว่าเธอไม่ได้ช่วยป้ามลถือของเลยเมื่อเดินถึงอีกฝั่งของตลาดแล้วป้ามลสนใจเลือกดูเครื่องจักสานของชาวบ้าน
“จับได้แล้ว ๆ ๆ ไอ้คนที่มันขึ้นไปข่มขืนสุภา” เสียงผู้ชายคนหนึ่งที่วิ่งกระหืดกระหอบมาพร้อมกับพูดระล่ำระลักทำให้ป้ามลชะงักมือที่กำลังจะส่งถุงให้รัญรัมภาช่วยถือ
“อะไร เรื่องมันเป็นยังไง” ป้ามลถามแทนเธอได้ดี
“ก็เมื่อคืน สักตีสาม มีคนขึ้นไปข่มขืนสุภาแล้วหนีไปซ่อนตัวในป่าหญ้า ตำรวจ ชาวบ้านล้อมจับมาตั้งแต่ตอนนั้น พึ่งจะจับได้เนี่ย”
ไม่จำเป็นต้องซักถามอะไรมากไปกว่านี้ และป้ามลก็เป็นคนรู้ใจรัญรัมภาดี เมื่อเธอออกวิ่งไปที่ลานจอดรถ ป้ามลก็รีบวิ่งตาม
“รถหมออยู่ข้างใน” รัญรัมภามองซ้ายมองขวาเพื่อหาคนช่วย เมื่อพบว่ารถของเธอนั้นมีรถคันอื่นมาจอดขวางไว้
“หนุ่ม ๆ ๆ ช่วยไปถามหาหน่อยว่ารถใครสามคันนี้ หมอจะต้องรีบเอารถออก” ป้ามลร้องบอกเด็กหนุ่มที่เตร็ดเตร่อยู่แถวนั้น
“เข็นได้ไหมป้า” รัญรัมภาหาทางแก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปก่อน
“จะเข็นอย่างไหมหมอ คันแรกมันต้องเลี้ยวออกทันที มันไม่เหลือที่ให้เข็นแล้ว” รัญรัมภาก็เห็นตามที่ป้ามลพูด แต่ความร้อนใจทำให้เธอไม่ทันคิดก่อนพูดออกมา
รัญรัมภาเดินไปเดินมารอเจ้าของรถมาถอยรถออกด้วยความร้อนใจ สุภาถูกข่มขืน ชีวิตคนบางคนทำไมถึงต้องประสบเคราะห์กรรมซ้ำ ๆ ด้วย เธอกำลังจะช่วยให้สุภาได้กลับมาใช้ชีวิตได้เหมือนคนทั่วไปกลับต้องมีเหตุร้ายเกิดขึ้นโดยที่ไม่ได้คาดคิดมาก่อน
“หมอ ใจเย็นนะคะ เรามีหน้าที่รักษาคนไข้แต่ไม่มีสิทธิ์ไปกำหนดชะตาชีวิตใคร” ป้ามลพยายามปลอบใจเธอ ป้ามลคนรู้ใจคงเข้าใจความรู้สึกของเธอเป็นอย่างดี หน้าที่ของเธอกับป้ามลไม่ได้ต่างกันแต่ประสบการณ์ในชีวิตที่มากกว่าป้ามลจึงสามารถสงบนิ่งและทำใจยอมรับได้ทุกสถานการณ์ แม้ว่ามันจะเจ็บปวดกับชะตาชีวิตของเพื่อนมนุษย์เพียงใด
“หมอไม่เข้าใจ ไอ้คนที่ทำมันทำได้ไง ทั้งที่สุภาเป็นแบบนั้น” รัญรัมภากำมือแน่น ใบหน้าขาวผ่องนั้นแดงก่ำด้วยทั้งความร้อนจากแดดและอารมณ์ที่พลุ่งพล่านในใจ
“หมอจะไปหาสุภาใช่ไหม กว่าจะตามหาเจ้าของรถได้คงอีกนาน เจมส์ไปส่งหมอก่อนดีกว่า”
เพราะมัวแต่มองหาคนที่ไปตามหาเจ้าของรถ ทั้งป้ามลและรัญรัมภาจึงไม่ทันได้ยินเสียงรถจักรยานยนต์ที่ขับซอกแซกมาตามช่องว่างระหว่างรถยนต์จนกระทั่งมาถึงตัว
เภตราลงจากหลังรถจักรยานยนต์ ยกมือไหว้ป้ามลและเธอตามอุปนิสัยที่ถูกอบรมมาจนเป็นความเคยชิน
“ดีเหมือนกัน แล้วนี่เภตราจะไปไหน รีบหรือเปล่า ป้ามลคะ เดี๋ยวไปส่งเภตราหน่อยนะคะ” รัญรัมภาตัดสินใจรวดเร็วเสมอโดยเฉพาะในสถานการณ์ที่เธอต้องการไปถึงคนไข้ให้เร็วที่สุดแบบนี้ เธอส่งกุญแจรถให้ป้ามลแล้วก็ขึ้นซ้อนท้ายเจมส์ที่พารถจักรยานยนต์แทรกไปตามช่องว่างแคบ ๆ อย่างคล่องแคล่ว
เจมส์พาเธอมาหาสุภาได้รวดเร็วทันใจ บ้านหลังใหญ่ก่อนถึงบ้านสุภาบัดนี้มาคนมาชุมนุมกันอยู่หลายคน ส่วนใหญ่เป็นคนแก่กับเด็ก
“อ้าว หมอรัญมาแล้ว สุภามันอยู่บนบ้านกับครูจรัสแน่ะครับ” เจ้าของบ้านรีบบอกโดยที่ไม่ต้องถามไถ่
“ไหนล่ะคะ คนที่ข่มขืนสุภา” รัญรัมภาไม่อาจสะกดความเคียดแค้นที่เจือออกมาในน้ำเสียงได้
“มันยังอยู่ในป่าหญ้าในคลองอยู่เลยหมอ ตำรวจกับพวกหนุ่ม ๆ กำลังล้อมกดดันอยู่ ถ้ามันไม่ออกมาเอง เขาจะถางหญ้าลุยเข้าไป ทีแรกเขากลัวมันมีปืน ครูจรัสพึ่งมาถามสุภาได้ว่ามันมาตัวเปล่า” เจ้าของบ้านให้ความกระจ่างเธออีกครั้ง ข่าวที่ได้รับรู้มาว่าจับได้แล้วจึงไม่เป็นความจริง
“เรื่องมันเป็นอย่างไงคะ” น้ำเสียงของรัญรัมภายังคงเคร่งเครียด
“ตอนตีสามกว่า ๆ ผมตื่นมาสวดมนต์ทุกวันครับ กำลังเปิดหน้าต่างห้องพระก็ได้ยินเสียงร้องมาจากบ้านสุภา ผมรู้ว่ามันต้องมีอะไรไม่ดีแน่ ๆ เลยรีบเปิดบ้านจะไปดูมัน พอลงบันได สุภามันก็วิ่งกระเซอะกระเซิงมาพอดี ผมกับเมียเลยช่วยกันลากมันขึ้นมาบนบ้าน ไอ้นั่นมันก็วิ่งตามมา แต่พอดีลูกชายผมตื่นลงมา มันเลยวิ่งหนีไปทางคลอง ลูกชายผมมันไปเรียกปลุกพรรคพวกแถวนี้มาล้อมไว้แล้วก็แจ้งตำรวจนั่นแหละครับ”
เมื่อได้ยินเรื่องราวจากปากคนที่อยู่ในเหตุการณ์จริง รัญรัมภาก็โล่งใจไปบ้าง อย่างน้อยก็หวังว่าสุภายังจะปลอดภัยดีเท่าที่ประเมินจากคำบอกเล่าของเจ้าของบ้านที่ให้ความช่วยเหลือคนแรก สุภาคงยังไม่ได้พลาดพลั้งเสียทีให้คนร้ายอย่างที่คนที่ตลาดพูด
“หมอขออนุญาตขึ้นไปดูสุภาหน่อยนะคะ” รัญรัมภาผ่อนคลายความเครียดลงไปมากจากน้ำเสียงที่อ่อนลง
“เชิญเลยครับคุณหมอ มันอยู่ห้องทางขวามือนะครับ สงสารมัน ตั้งแต่มาเมื่อคืนมันก็อยู่แต่ในห้อง ไม่ยอมให้ใครเข้าไปหา ขนาดเมียผมยังได้แค่เอาน้ำไปวางให้มัน โชคดีที่ครูจรัสมา จะได้รู้ว่ามันเป็นอย่างไงบ้าง”
“ขอบคุณค่ะ” รัญรัมภาเดินขึ้นบ้านไปเองโดยไม่ต้องมีพิธีรีตองรอให้เจ้าของบ้านนำขึ้นไป และเจ้าของบ้านก็ไม่ได้ตามขึ้นมาด้วย
ความเรียบง่ายและไว้วางใจ นี่คือเสน่ห์อย่างหนึ่งที่ตรึงให้รัญรัมภาตั้งใจจะใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ตลอดไป แม้จะต้องลำบากใจในบางเรื่องอยู่บ้าง แต่อย่างน้อยสามปีที่ผ่านมา เธอก็ใช้ความเป็นหมอในจิตวิญญาณพิสูจน์ตัวเองมาตลอด
ห้องขวามือ รัญรัมภามองไปยังห้องนั้นที่ประตูเปิดแง้มอยู่ และมีเสียงคุยกันแว่ว ๆ ออกมา เธอเดินไปและผลักประตูอย่างแผ่วเบา เหมือนภาพวันแรกที่ได้เห็นจรัสตะวันซ้อนขึ้นมา กิริยาอาการที่ปลอบโยนสุภาด้วยความเมตตาอาทรนั้นเป็นความงามที่รัญรัมภาติดตาตรึงใจตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็น และวันนี้เธอได้เห็นความงามนั้นอีกครั้ง เธอเก็บภาพนั้นไว้ในทรงจำ มิใช่ด้วยภาพถ่ายอย่างที่จรัสตะวันเคยบอก และพึ่งเข้าใจความหมายของการเก็บไว้ในความทรงจำลึกซึ้งก็วันนี้
“คุณหมอ” สุภาพูดเสียงอู้อี้เพราะใบหน้าพันมิดด้วยผ้าเช็ดตัวผืนใหญ่ มีแต่ดวงตาที่ยังมีความตื่นตระหนกอยู่บ้างเท่านั้นที่ปรากฏให้เห็น
รัญรัมภาเดินลงไปข้าง ๆ จรัสตะวัน ตอนนี้ไม่มีสิ่งใดสำคัญไปกว่าเรื่องของสุภา จรัสตะวันขยับให้รัญรัมภาได้นั่งลงใกล้ ๆ สุภาในระยะใกล้ชิดจนเกือบประชิดตัวเพื่อจะได้พูดคุยได้สะดวก
“สุภาแค่ตกใจค่ะคุณหมอ” จรัสตะวันพูดเกริ่นนำเพราะเดาได้ว่ารัญรัมภาคงรู้ข้อมูลมาแบบเดียวกันจากที่ชาวบ้านวิ่งไปตามเธอมา
“เจ็บตรงไปบ้างหรือเปล่าจ๊ะ” รัญรัมภาขยับไปชิดมากขึ้น สุภาส่ายหน้าแทนการตอบ
“มีแผลตรงไหนหรือเปล่า” สุภายังคงใช้การส่ายหน้า แม้ว่าจะยอมให้รัญรัมภาขึ้นมาหาได้แต่ก็ยังไม่สนิทใจพอที่จะกล้าพูดคุยด้วยมากนัก
“ให้หมอตรวจร่างกายหน่อยนะ”
“สุภาให้คุณหมอเขาดูหน่อยนะ” จรัสตะวันพูดซ้ำ สุภาขยับตัวนั่งให้ดีขึ้น แต่มือก็ยังกระชับผ้าที่พันปิดใบหน้าไว้แน่น
แม้จะรู้ว่าสุภาคงไม่เป็นอะไรมากนอกจากตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่รัญรัมภาก็อยากจะตรวจร่างกายภายนอกเท่าที่มือเปล่าจะทำได้ เมื่อไม่พบความผิดปกติใด ๆ เธอก็หันมามองจรัสตะวันราวกับจะขอความเห็นหรือคำปรึกษาอะไรบางอย่าง จรัสตะวันเข้าใจแต่ไม่รู้ว่าเรื่องอะไรที่หมอต้องการปรึกษา
“จะให้หมอดูหน้าได้หรือยัง” รัญรัมภาตัดสินโพล่งออกมาเพราะไม่สามารถสื่อสารให้จรัสตะวันเข้าใจได้ว่าเธอต้องการความคิดเห็นเรื่องใด
“คุณหมอ” จรัสตะวันเรียกเพื่อยับยั้งในสิ่งที่รัญรัมภาจะพูดต่อ สุภาพึ่งขวัญเสียมาไม่ใช่เวลาที่จะมาพูดเรื่องนี้เลย “ว่าไงสุภา จะอยู่แบบนี้ตลอดไปหรือเปล่า ถ้าต่อไปไม่มียายอยู่ด้วย สุภาจะอยู่อย่างไง” รัญรัมภายังคงพูดต่อไปโดยไม่สนใจจรัสตะวันที่ยิ่งตกใจเมื่อเธอพูดประโยคนี้ออกมา แม้แต่สุภาก็นิ่งงันเพราะไม่ทันตั้งตัวว่ารัญรัมภาจะถามเรื่องนี้ เมื่อมีแต่ความเงียบแทนคำตอบ รัญรัมภาจึงเป็นฝ่ายพูดต่ออยู่คนเดียว
“หนูอายุยังน้อย ยังมีอนาคตอีกไกล หมอบอกแล้วไงว่าใบหน้าของหนูรักษาได้ แม้อาจจะไม่กลับมาเป็นปกติเท่าเดิม แต่เห็นไหมว่าไม่มีใครรังเกียจหนูเลย ทุกคนพร้อมจะช่วยเหลือหนู ดูสิ ตั้งแต่ตีสาม เขามาอดหลับอดนอนล้อมจับคนร้าย หนูยังจะกลัวอะไรอีก” รัญรัมภาพยายามหาคำพูดที่คิดว่าจะมีผลต่อการโน้มน้าวใจสุภา แต่ทว่าก็ยังมีแต่ความเงียบกลับมา
“ให้คุณหมอดูหน้าหน่อยนะสุภา” จรัสตะวันพูดเสริมขึ้นมา รัญรัมภาหันไปมองแล้วยิ้มน้อย ๆ ให้แทนคำขอบคุณที่เข้าใจว่าเธอกำลังทำอะไร แม้จะสุภาจะยังใช้ความเงียบแทนคำตอบแต่การพูดของจรัสตะวันก็มีผลกระทบต่อสุภาไม่น้อย ดูจากท่าทีที่เริ่มลังเลแต่มือก็ยังจับผ้าที่พันใบหน้ากระชับมั่น
“หนูไม่สงสารยายเหรอจ๊ะ ยายแก่แล้ว สายตาก็ไม่ดีแต่ก็ต้องมาคอยดูแลหนู ทั้งที่หนูควรจะเป็นฝ่ายดูแลยายได้แล้ว หรือที่หนูยอมให้ยายไปผ่าตัดนี่เพราะต้องการให้ยายมาดูแลหนูต่อไปอีก หนูก็ได้อยู่อย่างสบายเหมือนเดิม”
การรักษาคนไข้ดื้อยาบางครั้งก็ต้องใช้ยาแรง รัญรัมภาจึงต้องใช้ถ้อยคำที่เหมือนกล่าวหาสุภาอย่างรุนแรงเกินกว่าเหตุ เธอรู้ว่าสุภาไม่ได้เป็นอย่างนั้นจากที่จรัสตะวันเคยเล่าให้ฟัง
“สุภาสงสารยายเถอะนะ ไปรักษากับคุณหมอพอหายแล้วหนูจะได้ทำงานหาเงินมาซื้อเสื้อผ้าใหม่ ซื้ออาหารดี ๆ ให้ยายกินไงจ๊ะ” เมื่อรัญรัมภาใช้ยาแรง จรัสตะวันก็ต้องเป็นยาบำรุงปลุกปลอบใจ
เธอเห็นแล้วว่าการที่รัญรัมภาพูดเรื่องสำคัญที่สุภาต้องตัดสินใจในเวลานี้เป็นผลดีกว่าที่เธอพยายามพูดมานาน ท่าทีของสุภาเริ่มลังเลไม่มั่นใจจากเดิมที่เคยปฏิเสธอย่างหนักแน่นกับเธอมาตลอด
“ขอเวลาหนูคิดอีกหน่อยนะคะ” สุภาพูดออกมาเป็นประโยคแรกหลังจากที่เงียบมานาน
รัญรัมภาและจรัสตะวันหันมาสบตากันโดยไม่ได้นัดหมายและไม่ต้องเอ่ยคำใดออกมาก็รู้ว่าความรู้สึกเมื่อได้ยินประโยคนั้นของสุภานั้นเป็นอย่างไร
“ระหว่างนี้สุภาไปอยู่กับครูก่อนนะ รอยายกลับมา” จรัสตะวันพูดกับสุภาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน น้ำเสียงแบบนี้ที่รัญรัมภาเคยได้ยินและทำให้รู้สึกอิ่มใจ ทั้งที่ไม่ได้พูดกับเธอ สุภาพยักหน้าว่าง่ายขึ้น
“งั้นสุภานอนพักก่อนนะ ให้คนกลับไปหมดก่อนค่อยไปบ้านครู หิวหรือยัง”
สุภาส่ายหน้าแทนคำตอบอีกครั้ง ก่อนที่จะเลื่อนตัวลงนอนบนที่นอนขนาดเล็กนั้นด้วยท่าทีที่ผ่อนคลายและสบายใจขึ้น เมื่อนอนลงดีแล้ว ผ้าที่ปิดใบหน้านั้นก็เลื่อนลงเผยให้เห็นบางเสี้ยวของใบหน้าที่มีรอยแผลเป็นจากอุบัติเหตุครั้งนั้น รัญรัมภาหันมายิ้มให้จรัสตะวันด้วยความยินดี
“เราคงต้องคุยกันจริง ๆ จัง ๆ ซะที ถ้ายายผ่าตัดกลับมาแล้วไม่มีปัญหาอะไร หมอจะได้รีบดำเนินการ”
“ลงไปข้างล่างกันเถอะค่ะ ไม่รู้ว่าเขาล้อมจับคนร้ายไปถึงไหนแล้ว” จรัสตะวันเปลี่ยนเรื่องคุย แม้รอยยิ้มบนใบหน้าจะหายไปเหลือเพียงใบหน้าที่ไม่บ่งบอกอารมณ์ใด ๆ เหมือนเดิม แต่รัญรัมภามั่นใจว่าไม่ได้รู้สึกไปเองว่าระยะห่างระหว่างเธอกับจรัสตะวันนั้นได้ย่นระยะเข้ามาแล้ว เธอพยักหน้าตอบรับแทนการพูดเพราะสุภาทำท่ากำลังจะเคลิ้มหลับ
“พอแล้วครับ ๆ ๆ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของตำรวจครับ” เสียงเอะอะห้ามปรามดังมาจากทางคลอง คนแก่และเด็กที่นั่งคุยกันรอดูหน้าคนร้าย พร้อมทั้งจรัสตะวันและรัญรัมภาหันไปมองตามที่มาของเสียง
คนร้ายตัวผอมเกร็งในสภาพเปียกปอนและเปรอะเปื้อนด้วยโคลนไปทั้งตัว ใบหน้าซูบตอบนั้นมีร่องรอยบวมปูดและเลือดแห้งกรังติดอยู่ มือทั้งสองข้างถูกใส่กุญแจมือและหิ้วปีกมาโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจสามสี่นายพร้อมด้วยชายหนุ่มอีกสี่ห้าคนต่างพยายามกันชาวบ้านหลายคนที่พยายามจะเข้าไปทำร้ายร่างกายคนร้ายด้วยความโกรธแค้น เมื่อไม่สามารถเข้าไปทำร้ายคนร้ายได้ ชาวบ้านต่างก็ใช้การตะโกนด่าทอแทน
“ไอ้นี่มันติดยา ธรรมดามันก็อยู่แต่กับกลุ่มพวกมัน ไม่ค่อยมาสุงสิงกับชาวบ้าน ไม่คิดเลยว่ามันจะมาทำร้ายสุภาได้ ความจริงมันก็เคยเป็นเพื่อนกันมาก่อนด้วยซ้ำ”
“นั่นนะสิ ต่อไปนี้เราต้องช่วยกันเป็นหูเป็นตาแล้วนะ พวกติดยายังไงก็ไว้ใจไม่ได้”
รัญรัมภาฟังชาวบ้านพูดคุยกันเงียบ ๆ จรัสตะวันเองก็ไม่ออกความคิดเห็นใด ๆ แสงตะวันกับชีวินพึ่งตามมาสมทบทีหลังยังไม่รู้เรื่องราวรายละเอียดมากนัก ต่างก็ได้แต่ฟังชาวบ้านพูดโดยไม่ออกความเห็นใด ๆ เช่นกัน ตำรวจนำตัวคนร้ายที่ต้องอยู่ในวงล้อมป้องกันของตำรวจและชายหนุ่มกลุ่มนั้นเดินมาจนใกล้ถึงแล้ว
“พี่จรัส” แสงตะวันอุทานออกมา เมื่อเธอเผอิญหันไปเห็นความผิดปกติในกิริยาอาการที่เหมือนนิ่งเงียบของพี่สาว มือทั้งสองข้างกำแน่น เนื้อตัวเริ่มสั่นเทาแต่ทว่าเธอเห็นช้าไป จรัสตะวันเดินดุ่มไปยังวงล้อมนั้น และฝ่าเข้าไปถึงตัวร้ายได้อย่างง่ายดาย โดยที่ไม่มีใครคาดคิด มือที่เคยจับแต่ปากกา มือที่เคยใช้แต่ทำสิ่งดี ๆ มือที่ไม่น่าจะสามารถทำร้ายใครได้กลับกลายเป็นมือที่กางออกและเกร็งฟาดไปบนใบหน้าซูบตอบและซีดเซียวของคนร้ายเต็มแรง
“แกทำได้ไง ! กับคนที่ชีวิตเขาแย่อยู่แล้วแบบนั้น แกทำได้ไง ! แกยังเป็นคนอยู่หรือเปล่า ไอ้สารเลว !”
น้ำเสียงเกรี้ยวกราดนั้นทำให้ทุกคนตกตะลึงอย่างไม่เชื่อหูและสายตาตัวเอง ก่อนที่ใครจะตั้งสติห้ามได้ทัน ฝ่ามือของจรัสตะวันก็ฟาดซ้ำ ๆ ลงที่คนร้ายตามแต่มันจะโดนตรงไหนเพราะคนร้ายก็พยายามปัดป้องตัวเองพัลวันด้วยมือที่ยังคากุญแจมืออยู่
“ครูจรัสครับ ครูจรัส ใจเย็นครับ” ตำรวจนายหนึ่งตั้งสติได้ก่อนใคร ผละจากคนร้ายมาดึงตัวจรัสตะวันให้ออกมาห่างแต่ทว่ากลับไม่สามารถต้านแรงความโกรธของเธอได้ ทำให้เธอดิ้นจนหลุดเข้าไปหาคนร้ายได้อีกครั้งพร้อมกับคำพูดที่ยังคงเกี้ยวกราดด้วยความโกรธแค้น เมื่อมีคนหนึ่งเริ่มได้ ชาวบ้านที่จ้องอยู่แล้วก็ถือโอกาสอาศัยจังหวะนี้เข้ามาจะรุมประชาทัณฑ์ตามที่จรัสตะวันได้นำทางไว้จนกลายเป็นจลาจลย่อมๆ ระหว่างผู้ที่พยายามป้องกันกับผู้ที่พยายามฝ่าเข้าไป
“ครูจรัส” รัญรัมภาพึ่งตั้งสติได้ เธอเองก็ตกใจกับกิริยาอาการที่ผิดปกติของจรัสตะวัน แต่ตอนนี้เธอไม่ได้สนใจว่าอาการผิดปกตินั้นจะเกิดจากอะไร จรัสตะวันอยู่ในวงล้อมของความวุ่นวายที่ไม่มีใครทัดทานได้ รัญรัมภาวิ่งไปยังกลุ่มจราจลนั้น เบียดแทรกเข้าไปจนถึงตัว
“ครูจรัส ! ครูจรัส ! ครูจรัสคะ ! ครู ! ครู ! ครูจรัส ! จรัสตะวัน !” รัญรัมภาพยายามเรียกชื่อเพื่อเรียกสติและดึงตัวจรัสตะวันออกมาจากความชุลมุนวุ่นวายนั้น
จรัสตะวันยามโกรธนี้ก็มีเรี่ยวแรงไม่น้อยทีเดียว ตัวผอม ๆ บาง ๆ แต่ไม่รู้เอาเรี่ยวแรงมาจากไหน
“ครูจรัสครับ ครูจรัส” ชีวินที่พึ่งแทรกกลุ่มคนมาหาจรัสตะวันได้ก็พยายามช่วยให้สติของจรัสตะวันกลับคืนมา แม้ว่าจรัสตะวันจะไม่ได้ฟังหรือสนใจว่าใครที่กำลังพยายามมาฉุดตัวเธอออกมา เมื่อมีแรงผู้ชายอย่างชีวินมาช่วยอีกคน ในที่สุดก็สามารถดึงตัวออกมาจากความวุ่นวายได้
อารมณ์เกรี้ยวกราดของจรัสตะวันลดลงไปและก็กลายเป็นอีกอารมณ์อย่างรวดเร็ว
“ทำไมต้องทำร้ายคนที่ไม่มีทางสู้ด้วย” เหมือนว่าเธอกำลังอยู่ในภวังค์บางอย่าง น้ำเสียงนั้นเริ่มสั่นเครือและทำท่าเหมือนจะร้องไห้ ชีวินและรัญรัมภาที่ยืนขนาบคนละข้างต่างช่วยกันประคองตัวจรัสตะวันไว้
“ครูครับ ครูจรัสครับ” ชีวินเรียกชื่อเธออีกครั้ง อยากจะรั้งเข้ามากอดปลอบใจแต่เธอก็ยังคงเหมือนไม่รับรู้แต่กลับขืนตัวไว้เมื่อเขาลองดึงเข้ามาหา
“ครูจรัสคะ ตั้งสติหน่อยนะคะ หมออยู่นี่นะ” รัญรัมภาพูดราวกับว่าจรัสตะวันเป็นคนไข้ที่เธอต้องปลอบประโลมและให้ความมั่นใจว่าอยู่กับหมอแล้วจะต้องปลอดภัย
“ทำไมต้องเกิดเรื่องนี้กับสุภาด้วย” คราวนี้จรัสตะวันร้องไห้ออกมาจริง ๆ และคำพูดของเธอก็บ่งบอกว่าเธอเริ่มรับรู้และควบคุมอารมณ์ตัวเองได้บ้างแล้ว
รัญรัมภาดึงตัวจรัสตะวันเข้ามากอดด้วยความรู้สึกสงสารจับใจ ไม่ว่าจะเพราะอะไรที่เป็นสาเหตุทำให้จรัสตะวันขาดสติได้ถึงเพียงนี้ เธอก็พร้อมและยินดีที่จะอยู่เคียงข้างเสมอ เธอจะทำทุกวิถีทางที่จะทำให้จรัสตะวันหยุดร้องไห้และมีรอยยิ้มออกมา แม้ว่าจะเป็นการทำเพื่อใครและไม่ได้อะไรตอบแทนเลยก็ตาม
จรัสตะวันสะอื้นอยู่ในอ้อมกอดของรัญรัมภา ชีวินจำต้องปล่อยมือให้รัญรัมภากอดกระชับได้แน่นเข้าไปอีกและตรงนี้ไม่ใช่ที่ที่เขาควรจะยืนอยู่ ความรู้สึกเป็นคนนอกทำให้ต้องตัดสินใจเดินออกมาหาแสงตะวัน
“ผมมีคำตอบเรื่องพี่สาวของคุณแล้วล่ะ” ชีวินพูดโดยที่สายตายังมองเห็นภาพนั้นด้วยความปวดร้าว
“คุณแน่ใจแล้วเหรอ” แสงตะวันถามทั้งที่เห็นคำตอบเหมือนกัน
ตำรวจสามารถกันตัวคนร้ายให้รอดพ้นจากการรุมประชาทัณฑ์ได้แล้วและรีบนำตัวมาขึ้นรถของสถานีตำรวจเพื่อความปลอดภัย โดยที่ยังมีคชาวบ้านอีกหลายคนตามมาด่าทอ
“ผมจะนำตัวคนร้ายไปดำเนินคดีตามกฎหมาย ใครเป็นญาติผู้เสียหายครับ” ตำรวจนายหนึ่งประกาศเสียงดังแข่งกับเสียงด่าทอ พอสิ้นเสียงของตำรวจนายนั้น ทุกคนก็หันมองหน้ากันเลิกลั่ก ญาติของสุภาก็มียายเพียงคนเดียวซึ่งตอนนี้ก็ไปผ่าตัดรักษาดวงตาอยู่
“ครูจรัสไงครับ เป็นคนเดียวที่สุภามันไว้ใจ”
เจ้าของบ้านหลังใหญ่พูดขึ้นมา ทำให้สายตาทุกคู่หันไปมองจรัสตะวันที่ยังคงสะอื้นอยู่ในอ้อมกอดของรัญรัมภา จรัสตะวันเคยต้องระแวดระวังความประพฤติของตัวเองไม่ให้มีเรื่องใดเสื่อมเสียในสายตาของคนเหล่านี้ บัดนี้สายตาเหล่านั้นต่างเห็นภาพที่เธอไม่ต้องการให้เห็นเห็นอย่างชัดเจนพร้อมกัน
รัญรัมภาไม่หวาดหวั่นกับสายตาของชาวบ้าน แต่ในสายตาหลายคู่นั้นมีทั้งชีวินเพื่อนรัก แสงตะวันและป้ามลที่ไม่รู้ว่ามาถึงตั้งแต่เมื่อไหร่ สามคนนี้เท่านั้นที่เธอหวาดหวั่น จรัสตะวันตั้งสติได้ดีแล้วจากคำประกาศของตำรวจนายนั้น แต่เธอไม่สามารถดึงตัวเองออกจากอ้อมกอดได้เพราะรัญรัมภากระชับไว้แน่น
“ไม่ต้องสนใจว่าใครจะมองครูอย่างไง หมอพร้อมจะรับผิดเองคนเดียว” รัญรัมภาพูดพอที่จะได้ยินกันสองคน
“ครูจรัสไม่สบาย ขอให้ครูจรัสได้พักสักครู่แล้วจะตามไปนะคะ” เธอพูดกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ
“เอา ๆ ๆ จบเรื่องจบราวแล้ว แยกย้ายกันไป ปล่อยให้เป็นเรื่องทางกฎหมาย ขอบใจทุกคนมาก ๆ”
เจ้าของบ้านช่วยแก้ไขสถานการณ์ที่อึดอัดได้ทันควัน เขาพูดคะยั้นคะยอให้ชาวบ้านแยกย้ายอยู่หลายคำกว่าที่จะยอมแยกกลับไปจริง ๆ
“จรัสเป็นอย่างไงบ้างลูก” ป้ามลพูดด้วยความห่วงใยเมื่อรัญรัมภาประคองจรัสตะวันเดินมาหา
“ไม่เป็นไรค่ะป้า” เธอตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนล้า
“เข้าไปกินน้ำกินท่ากันในบ้านก่อนเถอะครับ สุภามันก็อยู่ข้างบน” เจ้าของบ้านยังคงมีน้ำใจ เชื้อเชิญและเดินคนที่เหลืออยู่เข้าไปในบ้าน รัญรัมภายังคงไม่ปล่อยมือที่ประคองจรัสตะวัน แม้ว่าจะมีสายตาของป้ามลจับจ้องอยู่
“เดี๋ยวป้ากลับไปก่อนได้เลยนะคะ วันนี้หมอต้องอยู่ช่วยครูจรัสจัดการเรื่องสุภาก่อน”
เธอพูดกับป้ามลเบา ๆ ระหว่างที่เดินเข้าไปในบ้าน ป้ามลหันมามองจรัสตะวันเพื่อรอว่าจะมีคำปฏิเสธออกมา แต่ทว่าก็ไม่มีคำพูดใด ๆ อีกทั้งยังเดินไปตามแต่ที่รัญรัมภาจะประคองด้วย
“ถ้างั้นหมอก็เอารถไว้เลยนะคะ เดี๋ยวป้าให้หมอวินไปส่งเองค่ะ ดูแลครูจรัสให้ดี ๆ นะหมอ” ป้ามลยอมทำตามที่รัญรัมภาต้องการและส่งสัญญาณบางอย่างมาในถ้อยคำประโยคสุดท้าย
“ขอบคุณค่ะป้า”
เธอกล่าวคำขอบคุณที่ออกมาจากส่วนลึกของหัวใจ มือที่จับแขนประคองจรัสตะวันนั้นยิ่งกระชับให้มั่นคงไปอีก ราวกับจะบอกกับป้ามลว่าเธอจะไม่มีวันปล่อยมือจากจรัสตะวันอย่างแน่นอน
การรักใครสักคนไม่ใช่การก่ออาชญากรรม ครั้งนี้เธอจะทำตามความต้องการของหัวใจตัวเอง
:26: :26: :26: