Chapter 10
ฟางขับรถพาฉันไปที่โรงพยาบาลเอกชนที่อยู่แถวๆ ถนนงามวงศ์วาน ตลอดเวลาที่ขับรถเธอก็พูดถึงสาวจีนว่าน่ารักอย่างนั้น สวยอย่างนี้ อัธยาศัยดี โน่น นี่ นั่น เยอะไปหมดจนฉันเริ่มจะรำคาญ
“ตอนที่เซรินเช็ดปากให้เค้านะ เค้าอ่ะโคตรเขินเลยอ่ะเรียว... แบบว่า อ้ายยย คนอะไรน่ารักไปหมด เอาใจใส่เค้ามากๆ”
“เหรอ”
“ตัวรู้ป่ะตอนที่เค้าเห็นเซรินลงมาจากรถนะแบบว่าประกายวาบมาเลยอ่ะ คนอะไรซ้วย สวย” พูดไปก็หน้าแดงไปแถมยังทำตาหวานอีกต่างหาก
“เหรอ”
“เซรินคุยสนุ๊ก สนุกล่ะ นี่ถ้าเค้าพูดอังกฤษได้เก่งเท่าตัวนะ ป่านนี้เค้ากะเซรินคงคุยกันไม่หยุดหรอก”
พอเพื่อนสาวพูดถึงประเด็นนี้ ฉันเลยขอพูดบ้างหลังจากที่นอนฟังมันพูดอยู่นาน
“เออใช่ ไหนแกบอกว่าแกพูดอังกฤษไม่ได้ไง หลอกกันนี่หว่า พอเจอหน้าอ่ะพูดได้เลยทันที ถ้าเห็นว่าพูดได้แบบนี้รู้งี้ไม่ไปด้วยหรอก”
“ง่า... ก็เค้าอยากให้ตัวไปเป็นเพื่อนเค้านี่นา”
“ถ้างั้นทีหลังไม่ไปด้วยและ จะไปนัดกินข้าว ช้อปปิ้ง ดูหนังอะไรก็ไปกันสองคนก็แล้วกัน”
“ไม่เอานะ ไม่เอาๆๆๆ”
“อะไรของแก”
“ก็ตัวบอกว่าจะดูแลเค้าไง ตัวก็ต้องไปกับเค้าสิ”
“มีหยางแล้วจะเอาฉันไปทำไมวะ หยางก็ดูแลแกออกจะดี”
“ไม่เอาอ่ะเค้าอยากให้ตัวไปด้วย”
“ทำไมวะ”
“เค้ากลัว”
ฉันมองหน้าเพื่อนสาวหลังจากที่เธอพูดคำสุดท้ายออกมาจากปาก
“กลัวอะไร”
“กลัวว่าจะคุยไม่รู้เรื่อง กลัวว่าจะทำอะไรไม่ดีออกไป แล้วก็...”
“แล้วก็อะไร กลัวว่าเค้าจะทำอะไรแกงั้นเหรอ ฉันกลัวแกจะทำอะไรหยางมากกว่า”
“บ้า... เค้ากลัวว่าคนอื่นจะมองว่าเค้ากับเซรินเป็นแฟนกัน”
“อะไรของแกวะเนี่ย อยากมีแฟนเป็นผู้หญิงแต่กลัวเวลาคนอื่นมอง ฉันล่ะไม่เข้าใจแกจริงๆ เลย”
ฟางหันมามองหน้าฉันแบบงงๆ แล้วพูดว่า “เค้ายังไม่ได้บอกตัวสักหน่อยว่าเค้าอยากมีแฟนเป็นผู้หญิง”
“อ้าว... แล้วที่พูดเมื่อเช้าล่ะ ว่าถ้ามีแฟนเป็นผู้หญิงก็โอไม่ใช่เหรอ”
“ก็ใช่... แต่เค้ายังไม่ได้คิดจริงจัง”
คุยกับยัยนี่แล้วเหนื่อยเว้ย “เออๆๆๆ เอาไงก็เอา”
“แต่... ที่ตัวพูดมาก็ดีนะ”
“ห๋า... ว่าอะไรนะ”
“ก็มีแฟนเป็นผู้หญิงก็น่าสนใจไม่น้อย”
“งั้นเหรอ”
ฉันนอนฟังสาวหน้าแรงพูดถึงสาวจีนไปอย่างเงียบๆ จนกระทั่งถึงโรงพยาบาล ในใจพาลคิดไปว่าถ้าไอ้ฟางมันรู้ตัวว่าชอบผู้หญิงแล้วจริงๆ แล้ว อะไรจะเกิดขึ้นต่อไป
...
ฉันกับฟางนั่งรออยู่หน้าห้องตรวจหมายเลข 5 หลังจากที่ทำบัตร ชั่งน้ำหนัก วัดส่วนสูงและวัดความดันเลือดเรียบร้อยแล้ว สาวหน้าแรงเดินไปหยิบนิตยสารขึ้นมาอ่านฆ่าเวลา ส่วนฉันนั่งมองบัตรประจำตัวผู้ป่วยที่อยู่ในมืออย่างใจลอย
“คุณเรียวจันทร์ เชิญที่ห้องได้เลยค่ะ” เสียงนางพยาบาลวัยกลางคนดังขึ้น ฉันกับเพื่อนสาวก็เดินเข้าไปในห้องทันที
คุณหมอผู้ชายอายุประมาณ 40 ที่อยู่ในห้องก็สอบถามอาการของฉัน หลังจากที่ได้ฟังอาการผิดปกติตลอด 4 วันที่ผ่านมา คุณหมอก็ใช้หูฟังทาบที่หน้าอกของฉัน ส่องตรงที่จมูกของฉัน รวมทั้งเอาสำลีก้านยัดเข้าไปที่จมูกฉันแล้วให้หายใจแรงๆ อีกด้วย (เจ็บชะมัด)
“อืมม ไม่ทราบว่าช่วงนี้มีอาการปวดหัวด้วยหรือเปล่าครับ” คุณหมอถาม
“ค่ะ จะปวดหัวจี๊ดๆ เป็นช่วงๆ”
“แล้วมีโรคประจำตัวอะไรมั้ยครับ”
“ไม่มีค่ะ”
“เท่าที่ดูอาการตอนนี้ก็ยังปกติดี ถ้างั้นผมว่าไปเอ็กซ์เรย์ดีกว่านะ”
ฟางขมวดคิ้ว “ถึงกับต้องเอ็กซ์เรย์เลยเหรอคะ เพื่อนหนูจะเป็นอะไรร้ายแรงหรือเปล่าคะ”
“จากอาการที่เล่ามาก็มีข้อสันนิษฐานได้หลายประการครับ คือว่า สาเหตุหลักๆ ของเลือดกำเดาไหลอาจเกิดจากการกระทบกระเทือน เช่น การสั่งน้ำมูกแรงๆ การแกะจมูก อุบัติเหตุที่บริเวณศีรษะและใบหน้า โรคหวัดเรื้อรัง โรคภูมิแพ้ทางจมูก การอักเสบติดเชื้อ ถ้าในกรณีที่ร้ายแรงที่สุดก็อาจจะเป็นเนื้องอกที่โพรงจมูก หรือมะเร็งก็ได้”
เพื่อนสาวหันมามองหน้าฉัน ท่าทางของเธอดูจะเป็นห่วงฉันมากเนื่องจากพวกเราไม่รู้เลยว่าอาการเลือดกำเดาไหลบ่อยๆ ของฉันนั้นเกิดจากสาเหตุอะไรกันแน่
“เมื่อไม่พบอาการผิดปกติภายนอกก็คงต้องเช็คดูภายในจมูกและศรีษะแหละครับว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่” คุณหมอพูดต่อ
“ร้ายแรงขนาดนั้นเลยเหรอคะ” สาวหน้าแรงพูดพลางทำท่าขนลุก “แล้วเพื่อนหนูจะเป็นอะไรมากมั้ยคะ”
คุณหมอยิ้ม “ผมถึงให้ไปเอ็กซ์เรย์ยังไงละครับ เพื่อให้หาสาเหตุให้แน่ชัดว่าการที่เพื่อนของคุณเลือดกำเดาไหลบ่อยๆ จากอาการที่เล่ามาเนี่ยเกิดจากอะไรกันแน่ เราจะได้รักษาได้ทันยังไงละครับ”
“ค่ะๆๆ คุณหมอต้องรักษาให้ได้นะคะเพราะคนนี้เป็นเพื่อนที่หนูรักมาก” เอ่อ ไอ้ฟางพูดอะไรของแกวะเนี่ย กูอายนะเว้ย
คุณหมอกับพยาบาลยิ้มเล็กน้อย “ครับๆ เป็นหน้าที่ของพวกเราอยู่แล้ว” ว่าแล้วก็ยื่นใบส่งตัวให้คุณพยาบาลแล้วก็ให้ฉันเดินขึ้นไปยังห้องเอ็กซ์เรย์ที่อยู่ชั้น 2
ระหว่างที่นั่งรอเรียกตัวหน้าห้องเอ็กซ์เรย์อยู่นั้น ฉันเห็นเพื่อนสาวดูท่าทางกระวนกระวายใจยังไงชอบกลก็เลยถามออกไป
“ฟาง แกเป็นอะไร”
สาวหน้าแรงหันหน้ามามีน้ำตาคลอเบ้า “เปล่า”
“เฮ้ย แกจะร้องไห้ทำไมวะ”
“ก็เค้า... เค้า... เค้าไม่อยากให้ตัวเป็นอะไรนี่นา”
“ฉันรู้ว่าแกเป็นห่วง แต่ฉันก็ยังไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อยนี่นา”
“แล้วทำไมหมอถึงต้องให้มาเอ็กซ์เรย์ด้วยล่ะ”
“ก็เป็นวิธีการวินิจฉัยโรคไง ไม่เห็นต้องคิดมากเลย”
“เค้ากลัวตัวเป็นเนื้องอกกับมะเร็งอ่ะ ไม่เอานะ เค้าไม่ให้ตัวเป็นตัวต้องหายนะ ถ้าไม่หายเค้าไม่ยอม”
เอ๋า สั่งอย่างงี้ก็ได้ด้วยเหรอ มันไม่ง่ายขนาดนั้นหรอกม้าง แต่มาคิดๆ ดูก็น่ากลัวเหมือนกันแฮะ ไม่เคยเช็คซะด้วยว่าเป็นอะไรหรือเปล่า
“ตัวต้องหายนะ ไม่งั้น...”
“ไม่งั้นอะไร”
“ไม่งั้นเค้าจะร้องไห้”
คำตอบนี้ทำเอาฉันฮาจนเกือบตกเก้าอี้ ถ้ากูป่วยมึงจะร้องไห้ เอ้อ... ไอ้ฟางเอ้ย ขอบคุณแกจริงๆ เลยที่ร้องไห้ตอนฉันป่วย
“ร้องไห้เพราะอะไรอ่ะ”
“เพราะเค้าไม่มีเพื่อนเล่น”
“อะไรนะ” ฉันถามกลับอย่างไม่เชื่อหู
“เค้าไม่มีเพื่อนเล่น”
อ้ากกกกกกกกกกกก กูจะบ้า เอาคำขอบคุณของกูเมื่อกี้คืนมา ไอ้ฟางงงงงง คิดว่าตอนนี้พวกเรายังอยู่ชั้นประถมกันหรือยังไงวะ ไม่มีเพื่อนเล่นเนี่ยนะ จะให้กูฮาจนตกเก้าอี้เลยใช่มั้ยวะ
“อย่าพูดเล่นดิ เอาจริงๆ”
“ก็เค้าไม่อยากให้ตัวเป็นอะไร ถ้าตัวเป็นอะไรไปใครจะดูแลเค้า”
“ก็มีเยอะแยะไป ทั้งพ่อแม่แก พี่ๆ แก เคียว โต้ง แนน แถมหยางอีกคนนึงด้วย”
“ไม่เอาอ่ะ เค้าอยากให้ตัวดูแลเค้าอ่ะ ก็ตัวสัญญาแล้วไงว่าจะดูแลเค้าเป็นลูกทหารพูดแล้วห้ามคืนคำสิ” ว่าแล้วก็ทุบแขนฉันใหญ่
ฉันรีบจับมือทั้งสองของเพื่อนสาวเพื่อให้หยุดทำร้ายร่างกายฉันทันที “ถ้าอยากให้หายก็ต้องเป็นเด็กดี ห้ามดื้อ ห้ามทำร้ายร่างกายฉันโอเคมั้ย”
“ไม่โอ”
เหวย... มึงจะเอาอะไรกะกูเนี่ย
“ถ้าไม่โอก็ไม่เอา ไม่อยู่ด้วย ให้มันป่วยตายไปเลย” ฉันพูดประชด
“ไม่เอานะ ไม่เอาๆๆๆ ตัวต้องหายๆๆๆ เค้าขอโทษ” รีบพูดแก้ใหญ่เลย
“ถ้างั้นก็หยุดดื้อได้แล้ว”
“ไม่ได้”
“ทำไมวะ”
“ก็มันไม่ได้อยู่ในกฎนี่นา”
“กฎอะไรของแกอีก”
“ก็ข้อ 1 เค้าถูกเสมอ ข้อ 2 ถ้าเค้าทำผิดให้ย้อนกลับไปดูข้อ 1 ใหม่ ถ้าตัวไม่ทำตามกฎเค้าจะร้องไห้”
ปวดกบาลกับยัยนี่ซะจริง “เออๆๆๆ จะเอาอะไรก็เอา แต่ตอนนี้อยู่เฉยๆ ก่อนได้มั้ยคนยิ่งปวดๆ หัวอยู่”
“ก็ได้” พูดจบก็ทำท่างอนซึ่งเป็นเวลาเดียวกันกับที่ชื่อฉันดังขึ้นจากหน้าห้องเอ็กซ์เรย์ ฉันก็เลยเดินเข้าไปในห้องปล่อยให้เพื่อนสาวนั่งรออยู่ข้างนอก
ฉันจัดการเปลี่ยนชุดที่อยู่ในห้องล็อคเกอร์ตามที่เจ้าหน้าที่บอกแล้วก็ลงไปนอนบนเตียงที่จะนำเข้าสู่อุโมงค์เอ็กซ์เรย์เพื่อตรวจเช็คความผิดปกติของฉันตรงบริเวณสมองและใบหน้า ใช้เวลาอยู่ราวๆ 5 นาทีก็เสร็จ หลังจากนั้นฉันก็เปลี่ยนเสื้อผ้าและเดินออกมา ซึ่งเจ้าหน้าที่บอกว่าให้ไปนั่งรอที่หน้าห้องเบอร์ 5 เหมือนเดิมได้เลย
เมื่อเดินออกมาฉันเห็นฟางก้มหน้าก้มตากดมือถือของฉันอย่างเมามันส์ เมื่อฉันเดินเข้าไปใกล้จนเธอรู้สึกตัว สาวหน้าแรงก็สะดุ้งแล้วก็รีบเก็บมือถือที่ฉันฝากไว้ลงกระเป๋าถือทันที
“ทำอะไรอ่ะ”
“ป่าวววว”
“เหรอ”
“เสร็จแล้วเหรอ เป็นไงมั่งๆ”
“ก็กลับไปฟังผลที่ห้องเดิมอ่ะนะ”
“งั้นไปกันเถอะ”
ขณะนี้ฉันนั่งอยู่ตรงหน้าคุณหมอคนเดิมที่กำลังดูภาพเอ็กซ์เรย์ของหัวฉันอยู่ในจอคอมพิวเตอร์ คุณหมอขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วก็เริ่มถามคำถาม
“คุณเรียวจันทร์ คุณสูบบุหรี่หรือเปล่าครับ”
“ค่ะ/ ไม่ค่ะ” ฉันกับฟางตอบพร้อมกัน หลังจากนั้นก็มองหน้ากันเอง
คุณหมอขมวดคิ้ว “สรุปว่าสูบหรือไม่สูบครับ”
ฉันรีบตอบกลับไปว่า “สูบบ้างเป็นครั้งคราวค่ะ”
“ครั้งคราวนี้เป็นยังไงครับ”
“ก็ราวๆ เดือนละ 1 ซองค่ะ แต่ช่วงหลังๆ นี้ก็สูบจัดนิดนึงค่ะ”
“ครับๆ”
ฟางหยิกแขนฉันแล้วกระซิบ “นี่ตัวสูบบุหรี่ด้วยเหรอ”
“อื้อ”
“ทำไมไม่บอกเค้า แล้วทำไมตัวไม่ดูแลรักษาสุขภาพตัวเองแบบนี้ฮะ”
เอ๋า... นี่แกเป็นแม่ฉันเหรอไอ้ฟาง ฉันจะสูบบุหรี่มันก็เรื่องของฉันแล้วทำไมฉันต้องบอกแกด้วยวะ
“เรื่องของฉัน แกจะทำไมวะ”
“ผมขอถามต่อนะครับ” คุณหมอพูดขัด เมื่อเห็นว่าฉันกับไอ้ฟางกำลังจะต่อปากต่อคำกันต่อ “ช่วงนี้มีอะไรมากระทบกระเทือนที่ศรีษะหรือเปล่าครับ ประมาณว่าจำพวกโดนของแข็งตีที่หัวหรือเดินชนอะไร บ้างหรือเปล่าครับ”
ฉันนั่งนึกอยู่พักหนึ่งแล้วก็พูดว่า “ค่ะ เมื่อวันเสาร์ล้มค่ะ หัวฟาดพื้น”
“แรงมั้ยครับ”
“ก็คิดว่าแรงอยู่อ่ะค่ะ”
“หมดสติหรือเปล่าครับ”
“ไม่อ่ะค่ะ แต่มึนๆ แล้วก็หัวโน”
“ส่วนไหนของศรีษะกระแทกพื้นครับ”
ฉันเอามือไปจับที่ด้านหลังของหัวทันที “แถวๆ นี้อ่ะค่ะ”
“ผมขอดูหน่อยนะครับ” ว่าแล้วคุณหมดก็ลุกขึ้นมาจับๆ กดๆ ที่ด้านหลังหัวของฉัน ที่จริงมันไม่เจ็บแล้วแหละแต่พอมีคนมากดก็รู้สึกแปลกๆ
“คุณหมอคะ มีอะไรเหรอคะ เพื่อนหนูเป็นอะไรเหรอคะ”
“คือว่า...” คุณหมอพูดช้าๆ ฉันกับฟางกลืนน้ำลายดังเอื๊อก
“จากอาการ และผลเอ็กซ์เรย์แล้ว คุณเรียวจันทร์เป็น...”
“เป็นอะไรคะคุณหมอ” เพื่อนสาวถามด้วยเสียงสั่นๆ
ใจฉันคิดไปต่างๆ นาๆ ตั้งแต่ชื่อโรคยอดฮิต และโรคร้ายแรงทั้งมะเร็ง หัวใจ ความดัน เบาหวาน ไตวาย ไข้หวัดนก ไข้หวัด 2009 เอดส์ ซาร์ส อีโบล่า และโรคอะไรก็ตามที่ทำให้เลือดกำเดาไหลได้
“ไม่ใช่โรคร้ายแรงใช่มั้ยคะคุณหมอ” ฟางถามอีก
คุณหมอยังไม่ทันจะเปิดปากออกสาวหน้าแรงก็ถามอีก “จะรักษาหายมั้ยคะ ไม่เป็นอันตรายถึงชีวิตใช่มั้ยคะ จะอยู่ได้อีกนานใช่มั้ยคะ”
คำถามมันแต่ละอันมันไม่ได้ให้กำลังใจกูเลยนะ ไอ้ฟาง มึงหยุดถามได้ม้ายยยย
“คุณเรียวจันทร์เป็น”
เพื่อนสาวแหวขึ้นมาอีก “เป็นอะไรละคะคุณหมอ อย่ามัวแต่อ้ำอึ้งสิคะ”
“เป็นเยื่อโพรงจมูกอักเสบครับ” คุณหมอพูดเสียงดังใส่ฟางเพราะเห็นว่าเพื่อนสาวของฉันไม่ยอมฟังตั้งแต่แรก
“ห๋า...” ฉันกับฟางร้องเสียงหลง
“จากการวินิจฉัยของผมนะครับ โพรงจมูกของคุณเรียวจันทร์เนี่ยคดเล็กน้อย และดูเหมือนว่าเส้นเลือดฝอยในโพรงจมูกจะบางนิดหน่อย ประกอบกับช่วงนี้บอกว่าสูบบุหรี่จัด เครียด และได้รับความกระทบกระเทือนที่ศรีษะ ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เลือดกำเดาไหลบ่อย”
“คุณหมออธิบายหน่อยได้มั้ยคะ ไม่ค่อยเข้าใจอ่ะค่ะ” สาวหน้าแรงพูด
“มันก็หมายถึงภายในจมูกของเพื่อนของคุณมันบอบบางพอที่จะทำให้เลือดกำเดาไหลได้บ่อยและง่ายกว่าคนทั่วไป พอสูบบุหรี่จัดก็ทำให้เกิดอาการเยื่อโพรงจมูกอักเสบ ความเครียด จะทำให้ความดันเลือดสูงขึ้น ทำให้เลือดกำเดาไหลได้ง่ายขึ้น ประกอบกับได้รับความกระทบกระเทือนที่ศรีษะก็อาจทำให้เป็นตัวเร่งให้เลือดกำเดาไหลบ่อยครั้งครับ”
เฮ้อ... ก็แค่เนี้ย คิดอะไรเลยเถิดไปได้ ฉันถอนหายใจอย่างโล่งอก หันไปดูหน้าเพื่อนสาวที่ดูเหมือนจะดีใจที่ฉันไม่ได้เป็นอะไรมาก
“แล้วจะรักษายังไงคะ” ฉันถามบ้าง
“จากผลเอ็กซ์เรย์ไม่มีรอยแตกหรือร้าวที่กระโหลกศรีษะและจมูก คงไม่จำเป็นต้องผ่าตัด ผมจะให้ยาเพื่อเพิ่มความแข็งตัวของเลือด ยาพ่นจมูก และยาที่รักษาอาการอักเสบของเยื่อโพรงจมูก และช่วงนี้ก็ขอให้งดสูบบุหรี่ ถ้าเป็นไปได้ก็ควรเลิกนะครับ เพราะเส้นเลือดในจมูกของคุณมันบางอยู่แล้ว ไม่ควรไปทำร้ายมันด้วยสารพิษอีก แล้วก็อย่าเครียดมาก เพราะถ้าคุณเครียดมันจะทำให้ความดันเลือดคุณสูงและเลือดกำเดาก็จะไหลอีก”
“ค่ะ”
“มีอะไรสงสัยอีกมั้ยครับ”
ฟางถามขึ้นมาทันที “แล้วใช้เวลานานเท่าไหร่ถึงจะหายคะ”
“คงใช้เวลาสักระยะครับ เอาเป็นว่าผมจะให้ยาไปทานประมาณ 2 สัปดาห์ก่อน แล้วจะนัดมาตรวจอีกทีหลังจากที่ทานยาไปแล้ว”
“ค่ะ” ฉันรับคำ
...
พอกลับมาจากโรงพยาบาล ฉันก็ถูกไอ้ฟางคอยจ้ำจี้จ้ำไชเรื่องกินยาตั้งแต่ก่อนกินข้าวจนกระทั่งจะเข้าอาบน้ำ ฉันรู้สึกรำคาญยัยเพื่อนคนนี้มากจนต้องพูดออกมา
“โอ้ยยยยย พอแล้ว รู้แล้วน่า ฉันกินยาแน่ไม่ต้องห่วงหรอกน่า พูดๆ บ่นๆ อยู่นั่นแหละ แกไม่ใช่แม่ฉันนะเว้ย”
“เตือนแค่นี้ทำไมต้องแขวะกันด้วย เค้าไม่ได้อยากเป็นแม่ตัวสักหน่อย ตัวอ่ะดื้อ พูดอะไรก็ไม่ฟัง เตือนอะไรก็ไม่ฟัง กินยาแล้วก็นอนเลยนะ อ้อ แล้วบุหรี่อ่ะเลิกสูบได้แล้วด้วย สุขภาพตัวแย่เพราะไอ้ของพวกนี้นี่แหละ เพราะงั้นเค้าเลยต้องคุมตัวไม่ให้ไปยุ่งกับของพวกนี้อีก”
ฉันมองไอ้ฟางแบบเคืองๆ ไม่ได้พูดอะไรแต่เริ่มรู้สึกหงุดหงิด
“อาบน้ำแต่งตัวเสร็จแล้วก็กินยาซะสิอย่าทิ้งไว้นาน กินเสร็จแล้วก็นอนเลยนะ”
“เออ รู้แล้ว เดี๋ยวกินยาแล้ว” ฉันพูดรู้สึกมีน้ำโหนิดๆ กับคำพูดของเพื่อนสาว สั่งอยู่นั่นแหละ
สาวหน้าแรงเดินมานั่งข้างๆ ฉันเพื่อมาคุมฉันกินยา จ้องเอาๆ พอเอายาเข้าปากทีก็จ้องทีแถมทำหน้าทำตาลุ้นว่าฉันจะกลืนยาได้หรือเปล่า จนฉันกินยาไม่ได้เพราะว่าหน้าของมันเนี่ยแหละ
“ไม่ต้องจ้องได้มั้ย ฉันไม่ใช่เด็กสามขวบที่กินยาเม็ดไม่ได้นะเว้ย”
“ไม่เอา เค้าต้องคุม ไม่งั้นเดี๋ยวตัวจะแอบถุยยาทิ้ง ตัวต้องทำตามที่เค้าบอก ตัวต้องทำตัวดีๆ”
โอ้ยยย ไม่ไหวแล้ว ตามคุมกันทุกกระเบียดนิ้ว กูไม่ใช่ลูกมึงนะเว้ย “พอเหอะไอ้ฟาง ฉันโตแล้ว อายุก็เท่าแก ไม่ต้องมาคุม ไม่ต้องมาตามติด ไม่ต้องมาสั่ง อยู่เงียบๆ ไปเลย รำคาญว่ะ”
ฟางเงียบมองหน้าฉันด้วยสีหน้าตกใจ เพราะไม่คิดว่าฉันจะพูดแบบนี้
ฉันพูดต่อว่า “ตั้งแต่อยู่กับแก ฉันรู้สึกเหนื่อยว่ะ รู้มั้ยว่าไอ้ที่ฉันหัวโนนี่ก็เพราะแก แกถีบฉันตกเตียง แกทำให้ฉันเครียดเรื่องของแก แกมาให้ฉันต้องมารับผิดชอบเรื่องไม่เป็นเรื่องของแก ทั้งๆ ที่ฉันไม่ผิดสักนิด พูดง่ายๆ คือแกมาทำลายความสงบสุขของชีวิตฉัน”
“....................” สาวหน้าแรงยังคงเงียบ ใบหน้าของเธอเปลี่ยนไปจากสีหน้าตกใจเป็นเศร้าและเกือบจะร้องไห้
“ไม่ต้องร้องเลยนะ หยุดไปเลย ถึงแกร้องฉันก็ไม่ปลอบแกหรอก ไม่ต้องมานั่งติดด้วย ยาฉันกินเองได้ จะไปนั่งที่ไหน จะไปทำอะไรก็ไป”
น้ำตาใสๆ ของฟางไหลออกมาจากดวงตากลมโต ริมฝีปากขบแน่น แก้มออกเป็นสีแดงเล็กน้อย แต่ฉันยังคงมองแบบไม่สนใจแล้วลงมือเริ่มกินยา
“เรียว... เรียวว่าเค้า... เรียวว่าเค้า...” สาวหน้าแรงพูดออกมาเบาๆ ฉันเห็นมือของเธอกำแน่น ไม่รู้ว่าโกรธหรืออะไรแต่ฉันก็ยังคงทำเป็นไม่สนใจ
“คนใจร้าย คนใจดำ คนบ้า... ไอ้บ้า... ไอ้เรียวบ้า!” เพื่อนสาวยังคงพูดต่อไป และกระแทกเสียงในคำสุดท้าย แล้วเธอก็ถัดตัวไปที่มุมหนึ่งของห้องแล้วนั่งร้องไห้เงียบๆ
ฉันปลายหางตามองฟาง ไม่รู้ว่าพูดแรงไปหรือเปล่าแต่ก็อยากให้เพื่อนสาวรู้ตัวสักทีว่าฉันไม่ชอบให้ใครมาจ้ำจี้จ้ำไชหรือมาควบคุม แผ่นหลังของสาวหน้าแรงสั่นเล็กน้อย ความรู้สึกผิดเข้ามาในใจแต่ด้วยทิฐิที่มีอยู่ ฉันยังคงทำเป็นไม่สนใจ
ฉันหยิบหลอดยาพ่นขึ้นมา อ่านคำแนะนำในการใช้แล้วก็เริ่มทำตาม แต่ด้วยเพราะไม่เคยใช้มาก่อนทำให้เกิดอาการสำลักเพราะน้ำยาบางส่วนไหลลงคอ ฉันไอออกมาอย่างรุนแรง
ระหว่างที่ฉันกำลังก้มหน้าไอจนแสบจมูก แสบปอด น้ำตาไหลพรากๆ อยู่นั้นก็รู้สึกเหมือนมีมืออุ่นๆ มาลูบหลังให้จนกระทั่งอาการไอคลายลง เมื่อฉันเงยหน้าขึ้นก็เห็นฟางที่ใบหน้าเต็มไปด้วยน้ำตา มือข้างหนึ่งของเธอกำลังลูบหลังฉัน ส่วนมืออีกข้างหนึ่งกำลังเช็ดน้ำตาที่อยู่บนใบหน้า
“ไม่เป็นไรนะ” เพื่อนสาวพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงแหบๆ
“อื้อ” ฉันตอบรับด้วยเสียงที่แหบไม่แพ้กัน แล้วใช้มือเช็ดน้ำตาที่ไหลออกมาเพราะอาการสำลักออกจากใบหน้า
เราสองคนนั่งมองหน้ากันพักหนึ่ง หน้าของเพื่อนสาวยังคงดูเศร้าอยู่
สาวหน้าแรงพูดขึ้นมาว่า “นี่... เค้าทำให้ตัวลำบากขนาดนั้นเลยเหรอ... เค้าวุ่นวายกับตัวขนาดนั้นเลยเหรอ... เค้าไม่ดีขนาดนั้นเลยเหรอ”
ฉันไม่ตอบ ได้แต่นั่งนิ่ง
“...เค้าก็แค่อยากมีคนคุยด้วย อยากมีคนเข้าใจเค้า... อยากได้คนที่ดูแลเค้า ให้คำปรึกษาเค้า... เรียว ตัวรู้มั้ยว่าตั้งแต่ที่เค้าเจอตัวเค้ารู้สึกสบายใจขึ้น เค้ารู้สึกว่ามีคนเข้าใจเค้า มีคนคุยกับเค้าได้ทุกเรื่อง เรียว ตัวทำให้เค้ารู้สึกว่าเค้าไม่ได้อยู่คนเดียว ทำให้เค้ารู้สึกว่าเค้ายังมีเพื่อน ตัวทำให้เค้ารู้สึกเป็นตัวของตัวเอง เพราะเวลาเค้าอยู่กับคนอื่น เค้าต้องคอยระวังอยู่ตลอดเวลา แต่พอมีตัวแล้ว เค้า... เค้า... เค้ารู้สึกว่าเค้าเป็นคนสำคัญ”
ฉันมองฟางแบบอึ้งๆ น้ำตาของเพื่อนสาวไหลลงมาอีกครั้ง
“ขอร้องล่ะ ตัวอย่ารำคาญเค้าเลยนะ เค้าขอโทษนะ เค้าแค่เป็นห่วงตัว แค่ไม่อยากให้ตัวเป็นอะไรไปก็เท่านั้นเอง” แล้วสาวหน้าแรงก็กลั้นเสียงสะอื้นและน้ำตาไม่ได้อีกต่อไป เธอปล่อยให้มันไหลออกมาอีกครั้ง
ฉันรู้สึกเสียใจที่พูดแรงๆ แบบนั้นออกไป รู้สึกเสียใจจนไม่รู้จะทำอะไร นอกจากดึงตัวฟางเข้ามากอด
“ฉันขอโทษนะ ขอโทษ” ฉันพร่ำแต่พูดคำนี้ออกมา
“เค้าขอโทษที่จู้จี้กับตัว แต่เค้าเป็นห่วงตัวนะ”
“ฉันเข้าใจ แต่แกวุ่นวายกับฉันเกินไปหน่อยก็เท่านั้นเอง”
“เค้าไม่รู้นี่ว่าตัวไม่ชอบ ถ้าเค้าทำอะไรผิดตัวต้องบอกเค้าสิ”
“บอกไปแกก็เอากฎออกมาพูดทุกที ฉันไม่ชอบนะ”
“ขอโทษ...” สาวหน้าแรงพูดออกมาแค่คำเดียว เธอคลายอ้อมกอดจากฉันออก ใบหน้าของเราสองคนห่างกันเพียงนิดเดียว
“เค้าแค่อยากให้ตัวแคร์เค้า เค้าไม่ได้ตั้งใจให้ตัวรู้สึกไม่ดี แล้วก็... แล้วก็... เค้าแค่อยากดูแลตัว ไม่อยากให้ตัวเป็นอะไร... ยกโทษให้เค้านะ” ฟางพูด ใบหน้าของเธอแดงจากการร้องไห้ มีน้ำตาเปื้อน ฉันรู้สึกสงสารสาวหน้าแรงขึ้นมาจับใจ
“อื้อ” ฉันได้แต่รับคำสั้นๆ
เรามองตากันภายใต้อ้อมกอดอันอบอุ่น ใบหน้าของเราเคลื่อนเข้ามาใกล้กันมากขึ้นเรื่อยๆ ฉันเห็นฟางหลับตาลง ส่วนตาของฉันก็หรี่ลง และจับจ้องไปที่ริมฝีปากของคนที่อยู่ตรงหน้า ลมหายใจอุ่นๆ แตะอยู่ที่ปลายจมูก... ริมฝีปากของเราสองคนกำลังจะสัมผัสกัน...
“ก๊อกๆๆๆ ไอ้เรียว ไอ้เรียว แกอยู่ป่าว” เสียงพี่ชายของฉันดังขึ้นหน้าประตูห้อง ทำให้ฉันกับเพื่อนสาวสะดุ้ง และเด้งตัวถอยออกห่างจากกันทันที
“อยู่ ว่าไง”
“คุยด้วยหน่อยดิ ฟางด้วยนะ”
“เออ แป๊บนึง”
ฉันใช้ทิชชู่ซับคราบน้ำตาออกจากใบหน้า ส่วนสาวหน้าแรงเดินไปล้างหน้าที่ห้องน้ำ เสร็จแล้วฉันก็เดินไปเปิดประตูเพื่อให้เคียวเข้ามาในห้อง ไอ้หน้าเกือบหล่อเข้ามาคุยเรื่องงานแต่งของรุ่นพี่ที่ทำงานและชวนฟางไปงานด้วย ซึ่งเพื่อนสาวของฉันก็ตอบรับ ขณะที่นั่งคุยกันอยู่นั้นฉันก็คิดถึงเหตุการณ์เมื่อครู่นี้อยู่ในใจ
‘เฮ้ย! อย่าบอกนะว่าเมื่อกี้ฉันกำลังจะจูบไอ้ฟาง’ ฉันสะดุ้งหลังจากที่คิดทบทวนอยู่พักหนึ่ง แล้วก็หันไปหาตัวต้นเหตุที่นั่งคุยกับพี่ชายอย่างออกรส
‘ไม่นะ ไม่... นี่กูเป็นอะไรไปเนี่ย’ ฉันกรีดร้องอยู่ในใจ
สมองในส่วนเหตุผลเริ่มหาทางออกด้วยความคิดที่ว่า ‘เย็นเอาไว้ไอ้เรียว มันต้องไม่ใช่ เมื่อกี้มันเป็นแค่เรื่องบังเอิญ เอ็งคิดมากไปแล้ว’
...
เช้าวันต่อมาฟางเป็นคนขับรถไปที่ทำงานโดยมีฉันนั่งไปข้างๆ เพราะว่าฉันยังไม่ชินกับยาพ่นจมูก ซึ่งพอใช้ไปแล้วยังคงมีอาการสำลักและน้ำตาไหลเล็กน้อย เพื่อนสาวคงกลัวว่าฉันจะขับรถไม่ได้ก็เลยขับไปเอง
“อย่าลืมกินยาด้วยนะ วันนี้เค้าต้องไปประชุมแทนนายเสร็จแล้วเค้าจะโทรหา”
“จ้าๆ” ฉันรับคำแล้วเดินออกจากกระทรวงศึกษาฯ ไป
วันนี้ฝ่ายของฉันงานยุ่งพอสมควร เนื่องจากมีเอกสารให้เช็คและบันทึกลงในระบบฐานข้อมูลนั้นมากจนฉันแทบไม่มีเวลาจะพูดคุยกับคนอื่นเท่าไหร่นัก เมื่องานซาลงตอนก่อนเที่ยงเล็กน้อย ฉันก็บิดตัวไปมาเพื่อคลายความเมื่อยล้าจากการนั่งทำงาน ฉันสังเกตเห็นกล่อง 2 ใบที่โอโนดะซังเอามาให้ กล่องใบล่างเป็นของที่ไอ้หยกเพื่อนฉันฝากซื้อ ส่วนใบเล็กข้างเป็นเห็นบอกว่าเป็นของฝากให้ฉัน
ฉันเปิดกล่องใบบนออกดูก็พบกับขนมเซมเบ้ พายกล้วย (Tokyo Banana) กระดาษซับมันและสมุดโน้ต แต่ที่สะดุดตาฉันคือกล่องกระดาษแข็งเล็กๆ สีดำใบหนึ่ง และเมื่อหยิบขึ้นมาดูมันก็คือบุหรี่ยี่ห้อBlack Stone
‘โห... ของดีซะด้วย ไม่ลองไม่ได้แล้ว’ ฉันคิดแล้วก็หยิบกล่องบุหรี่นั้นขึ้นมาพร้อมกับไฟแช็คที่อยู่ในลิ้นชักโต๊ะ แล้วเดินออกจากโต๊ะทำงาน
เมื่อเดินสวนกับหยาง ฉันก็ถูกดึงมือเอาไว้
“Where are you going? (คุณจะไปไหนเหรอ)”
“Outside (ข้างนอก)”
“For what? (ไปทำไมเหรอ)” เอาและ จะมาเป็นแม่กูอีกคนและ
ฉันยักไหล่ “Relax, to release my tense (ผ่อนคลายไง คลายเครียด)”
“Ok, but without that one in your left hand (โอเค แต่ต้องไม่ใช้ด้วยไอ้ที่อยู่ในมือซ้ายคุณนะ)”สาวจีนชี้ไปที่ซองบุหรี่ที่อยู่ในมือฉัน
ฉันมองหน้าหยางอย่างแปลกใจ เพราะปกติแล้วเธอจะไม่เคยห้ามฉันเรื่องนี้ บางครั้งเธอก็ยังเคยเอาบุหรี่ที่ไต้หวันมาให้ฉันลองซะด้วยซ้ำ
“I’ve talked with Fang, she told me about your health condition. So, I promised her to take care of you. I think I should warn you about smoking (ฉันคุยกับฟางมา เธอบอกฉันเรื่องสุขภาพของคุณ ฉันก็เลยสัญญากับเธอว่าจะช่วยดูแลคุณ ฉันคิดว่าฉันควรจะห้ามคุณไม่ให้สูบบุหรี่)”
“C’mon, just only one (เถอะน่า แค่มวนเดียวเอง)” ฉันพูด
สาวจีนส่ายหน้า แล้วเธอก็หยิบกล่องบุหรี่ออกจากมือฉัน “I take care of it for a while until you health recover, or… (ฉันขอยึดมันไว้ก่อนจนกว่าสุขภาพของคุณจะดีขึ้น หรือว่า...)”
“Or what? (หรือว่าอะไร)”
“Or I consider that you can smoke again (หรือว่าหลังจากที่ฉันพิจารณาแล้วว่าคุณจะสูบมันได้อีกครั้ง)”
เอ๋า นี่มันมัดมือชกไม่ให้สูบกันชัดๆ นี่หว่า ฉันคิ้วขมวดอย่างไม่ค่อยพอใจนัก
“There there, don’t make your face like that. I do like this b’cos I care you. C’mon, I’ll treat you a cup of coffee (โอ๋ๆ อย่าทำหน้าอย่างนั้นสิ ที่ทำแบบนี้ก็เพราะว่าฉันเป็นห่วงคุณนะ เอางี้ฉันเลี้ยงกาแฟคุณเอง)”
“No… you have to treat me lunch as well (ไม่อ่ะ คุณต้องเลี้ยงข้าวกลางวันฉันด้วย)” ฉันพูด
หยางยิ้มกว้างแล้วก็ดึงมือฉันออกไปข้างนอก “Sure, but you pay for sweet (ได้สิ แต่คุณต้องเลี้ยงขนมนะ)”
“Deal (ตกลง)” ฉันพูด
“Good girl. It would be good if Fang is here with us (ดีมาก ฉันอยากให้ฟางอยู่ตรงนี้ด้วยกันจัง)”
“So… (งั้นเหรอ)” ฉันพูดพลางคิดถึงเหตุการณ์ในห้องเมื่อวาน ใบหน้าก็ร้อนขึ้นมา
“She’s really sweet and kind, I’m sure everyone likes her (เธอน่ารักแล้วก็ใจดี ฉันมั่นใจว่าทุกคนต้องชอบเธอ)”
สาวจีนเห็นหน้าฉันแดงขึ้นก็รีบถาม “What’s the matter? Are you ok? (เป็นอะไรหรือเปล่า คุณโอเคนะ)”
“I’m ok… (ฉันไม่เป็นไร)”
หยางดึงแขนฉันเข้ามากอด หลังจากที่เราสองคนเดินพ้นออกจากตึก Secretariat แล้ว “But if someone asks me, who is the most sweetest and kindest person for me. You know, that one is you, Ryo (แต่ถ้ามีคนถามฉันว่าใครเป็นคนที่น่ารักและใจดีที่สุดสำหรับฉัน คุณรู้มั้ยว่าฉันจะบอกว่าคนๆ นั้นคือคุณนะเรียว)”
“W… what… How come? (ห... ห๋า... ทำไมล่ะ)”
สาวจีนไม่ตอบ เธอได้แต่ยิ้มให้ฉันมันเป็นรอยยิ้มที่ฉันไม่เคยเห็นมาก่อนเลยทีเดียว เป็นยิ้มที่ทำให้ผู้ชายหลายคนละลายได้และรอยยิ้มนี้ทำให้หัวใจของฉันเต้นแรง ทำเอาหน้าของฉันที่แดงอยู่แล้วยิ่งเพิ่มดีกรีความแดงขึ้นไปอีก
‘ให้ตายเหอะ นี่กูเป็นอะไรไปวะ!’ ฉันตะโกนถามตัวเองอยู่ในใจ