web stats

ข่าว

+-User

Welcome, Guest.
Please login or register.
 
 
 
Forgot your password?
ปัญหาการสมัครสมาชิก
วิธีเปลี่ยนสถานะเป็นนักเขียน
วิธีลงนิยาย
วิธีใช้งานบอร์ด

+-สถิติการใช้งาน

Members
Total Members: 880
Latest: Levitra5a
New This Month: 0
New This Week: 0
New Today: 0
Stats
Total Posts: 1553
Total Topics: 886
Most Online Today: 31
Most Online Ever: 601
(21 กันยายน 2024 เวลา 08:04:58 )
Users Online
Members: 0
Guests: 27
Total: 27

ผู้เขียน หัวข้อ: What a Coincidence! Chapter 13  (อ่าน 3102 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ nuffy

  • Moderator
  • ขาจร
  • *****
  • กระทู้: 93
What a Coincidence! Chapter 13
« เมื่อ: 19 มกราคม 2014 เวลา 00:02:53 »
Chapter 13

ฉันนั่งตาบวมตุ่ยเพราะอดนอนอยู่บนรถของพี่ชายที่ขับไปส่งฉันที่ทำงาน วันนี้เคียวต้องผ่านไปติดต่องานแถวที่ทำงานฉันพอดี ฉันก็เลยติดรถไปด้วย

“เป็นไรป่าววะ เมื่อคืนนอนดึกหรือยังไง”

“อื้อ...” ฉันตอบแบบแกนๆ

“จะนอนมั้ยละ” ว่าแล้วก็เอื้อมไปยื่นหมอนใบเล็กให้

ฉันรับหมอนมากอดไว้ แต่ก็ยังไม่ได้นอนตามคำที่ไอ้หน้าเกือบหล่อว่าได้แต่นั่งเหม่อมองถนนและรถที่อยู่ตรงหน้าอยู่อย่างนั้น

“ฟางไปต่างจังหวัดวันนี้ใช่มะ” เคียวถาม

“อื้อ”

“กลับมาเมื่อไหร่ล่ะ”

“วันเสาร์มั้ง ยังไม่ได้ถามเลย”

“ทำไมไม่ถามละวะ”

“ก็มันไม่ได้บอกนี่นา”

“อะไรของมึงวะ...” ไอ้พี่ชายพูดด้วยน้ำเสียงเซ็งๆ “โทรไปถามให้หน่อยดิว่ากลับวันไหน”

“ถามทำไมอ่ะ”

“กูจะไปรับ... แล้วก็กะว่าจะพาฟางไปกินข้าวด้วยกัน”

ฉันนิ่งไปพักหนึ่งมือเจ้ากรรมก็เผลอไปแตะที่ริมฝีปาก เมื่อคืนฉันนอนไม่หลับเลย หลับตาลงทีไรก็เห็นแต่ใบหน้าของเพื่อนสาวหน้าแรงตลอด พอคิดแบบนั้นก็ดันนึกถึงตอนที่จูบฟางก่อนที่ฉันจะกลับบ้านไม่ได้ ความรู้สึกนั้นมันยังติดอยู่ที่ริมฝีปาก และ... ติดอยู่ในใจของฉัน...

“เรียว... ไอ้เรียว...” เคียวตีไหล่ฉันเบาๆ ทำให้ฉันตื่นจากภวังค์

“ฮะ... เอ้อ... ว่าไง”

“เป็นไรวะ วันนี้มึงแปลกๆ นะเนี่ย”

“เปล่าๆ แล้วมีอะไร”

“โทรไปถามฟางให้หน่อยดิว่ากลับวันไหน”

“ทำไมไม่โทรไปถามเองล่ะ”

“อะไรวะ แค่นี้โทรให้หน่อยไม่ได้หรือไง หรือว่าทะเลาะกันอีกแล้ว”

“เปล่า” ฉันตอบอย่างรำคาญ ก่อนที่เคียวจะพูดอะไรออกมาอีกเสียงโทรศัพท์ของฉันก็ดังขึ้นเป็นเสียงข้อความ SMS คนที่ส่งเข้ามาคือฟางนั่นเอง

“เค้ามาถึงที่ทำงานแล้วนะ ตอนนี้กินข้าวอยู่กำลังรอรถออก เค้าจะกลับวันเสาร์ตอนเย็นๆ นะ ตัวมารับเค้าได้มั้ย”

เห็นดังนั้นฉันจึงอ่าน SMS ให้พี่ชายฟัง

“ว่าไงอ่ะมึง คุณนายเค้ากลับวันเสาร์เย็น จะไปรับมั้ย”

“ส่งบอกไปให้หน่อยว่ากูจะไปรับเอง ถ้าไม่เหนื่อยมากจะชวนกินข้าวเย็นด้วย”

“เออ...” ฉันส่ง SMS กลับไปหาฟาง อีกพักหนึ่งฟางก็ส่งกลับมาอีกครั้ง ซึ่งส่งไปตอบตกลงว่าจะให้เคียวไปรับ และรับนัดกินข้าวด้วย ข้อความของฟางไม่ได้พูดถึงเรื่องจูบเมื่อคืนเลย แต่เธอก็ยังส่งข้อความลงท้ายมาเหมือนเดิมว่า “รักนะ จุ๊บ จุ๊บ” แต่คำนี้ฉันก็ไม่ได้อ่านให้ไอ้เคียวมันฟังหรอกนะ

“เจ๋ง” ไอ้หน้าเกือบหล่อพูด “จะพาฟางไปกินร้านไหนดีน้า...”

“อะไรของมึง... หรือว่ามึงจะจีบไอ้ฟาง” ฉันถามพี่ชาย

“เออ กูตัดสินใจแล้ว... กูชอบฟางว่ะ กูจะจีบฟาง”

ฉันรู้สึกวูบๆ หวิวๆ หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะเมื่อได้ยินพี่ชายพูดแบบนั้น

“มึงชอบฟางจริงๆ เหรอ”

“เออ... ก็ฟางน่ารัก ขี้อ้อน ช่างเอาอกเอาใจ มีเสน่ห์ กูชอบ”

“เหรอ...”

ก่อนที่เราสองคนจะพูดอะไรออกไป ก็มีรถเข้ามาปาดหน้ารถของเคียว ไอ้หน้าเกือบหล่อเหยียบเบรกจนตัวโก่งพลางสบถเป็นภาษาญี่ปุ่น 2 – 3 คำ หลังจากนั้นความเงียบปกคลุมเข้ามาในรถ ฉันรู้สึกอึดอัดกับบรรยายกาศภายในใจของฉันและภายในรถ ที่เต็มไปด้วยความอัดอั้นตันใจ ความไม่เข้าใจ ความหงุดหงิดใจ และความเงียบงันชวนอึดอัด ฉันจึงเอื้อมมือไปกดวิทยุเพื่อให้มีเสียงอะไรภายในรถบ้าง เสียงเพลงจากคลื่นวิทยุก็ดังขึ้น
 
“Loving You Too Much So Much Very Much Right Now
ไม่รู้ว่าเจอเธอทำไมถึงยาว ชิล ชิล ได้ไหม รู้ไหมดวงใจฉันปลิว”
(เพลง Too Much So Much Very Much: ธงไชย แม็คอินไตย)
 
เจอเพลงรักของป้าเบิร์ด ตอนนี้ไม่อยากฟัง ฉันจึงกดเปลี่ยนคลื่น
 
“เธอจะรักไม่รัก จะรักไม่รัก เธอจะรักฉันไม่รัก จะรักไม่รัก
เมื่อไหร่จะได้รู้สักที ว่ารักในครั้งนี้จะเป็นยังไง”
(เพลงรักไม่รัก: ลุลา)
 
เพลงของลุลา ชอบนะ แต่ตอนนี้มันไม่มีอารมณ์จะฟังเพลงแบบนี้อ่ะ เปลี่ยนคลื่นอีก
 
“ในใจไม่เคยมีผู้ใด จนความรักเธอเข้ามา
ทำให้ดวงตาฉันเห็นความสดใส ข้างกายไม่เคยมีผู้ใด
จนความรักเธอเมตตา เป็นพลังให้ฉันสู้ต่อไป
บนโลกที่โหดร้าย.....เหลือเกิน”
(เพลงก่อน: Modern Dog)
 
ไม่ไหวๆ เปลี่ยนอีก ทำไมเจอแต่เพลงรักวะ พี่ป๊อด ทำไมทำกับหนูแบบนี้ หนูยังไม่พร้อม เอื้อมมือกดไปยังคลื่นเพลงสากล
 
“Every minute, every second, every hour of the day -iyiyi
Every hour of the day -iyiyi
Every time that I'm away -iyiyi
Missing You Missing You”
(เพลง IYiYi: Cody Simpson ft. Flo Rida)

เจอเพลงรักอีกแล้ว แถมยังมีคิดถึงทุกนาที ทุกวินาที ทุกชั่วโมง ทุกวันอีก ไม่เอา กูไม่คิดถึงอะไรมากมายขนาดน้าน เปลี่ยนนนนนนนนน
 
“I’ve been spending all my time
Just thinking about ya
I don’t know what to do
I think I’m fallin’ for you”
(เพลง Fallin’ for you: Colbie Caillat)
 
โว้ยยยยยย ทำไมเจอแต่เพลงแบบนี้ เพลงความหมายอื่นไม่มีแล้วหรือไงวะเนี่ย กูจะบ้า... เปลี่ยนคลื่น ถ้าเจอเพลงรักอีกกูจะฟังเพลงยุ่นของไอ้เคียวมันแล้วนะ
 
แล้วก็ดันมาเจอแจ๊กพ็อตเพลงนี้... ไอ้วิทยุบ้า มึงจะฆ่ากูใช่ม้ายยยยย
 
“And you can tell everybody this is your song
It may be quite simple but now that it's done
I hope you don't mind
I hope you don't mind that I put down in words
How wonderful life is while you're in the world”
(เพลง Your Song: Elton John)
 
“นี่มึงจะเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาทำไมวะ หาเพลงอะไรอยู่” ไอ้หน้าเกือบหล่อบ่นขึ้น เพราะรำคาญที่ฉันเปลี่ยนคลื่นวิทยุไปๆ มาๆ   

“กูอยากฟังข่าวอ่ะ หรือไม่ก็ฟังอะไรก็ได้ที่ไม่ใช่เพลง The Shock ได้ก็ยิ่งดี”

“ฟังข่าวก็รอ 7 โมงเช้า ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาเลย The Shock ตอนกลางวันมีที่ไหนวะ มึงเป็นไรมากป่ะเนี่ย”

ฉันไม่ตอบแต่เอื้อมมือไปกดปุ่มเปิดซีดีเพลงของเคียว เพลงภาษาญี่ปุ่นดังขึ้น อย่างน้อยก็เป็นเพลงที่ฟังไม่ออก ไม่รู้ว่าหมาย เฮ้อออ โล่งอก...

ฟังไปได้สักพักหนึ่งสมองเจ้ากรรมก็ดันอยากจะรู้เนื้อเพลง ก็เลยให้ไอ้หน้าเกือบหล่อแปลให้ฟัง ซึ่งเป็นความคิดที่ผิด... ผิดมาก... กูไม่น่าให้มันแปลให้ฟังเล้ยยยย
 
“MERUTO Tokete shimai sou
MELT แทบจะละลายอยู่แล้ว

Suki da nante zettai ni ienai... Dakedo
จะให้บอกออกไปได้ยังไง ว่าฉันรักเธอ... แต่ถึงงั้นก็เถอะ

MERUTO Me mo awaserarenai
MELT ไม่อาจแม้สบตาเธอได้

Koi ni koi nante shinai wa Watashi
ไม่ได้จะมีความรงความรักอะไรซักหน่อย ฉันน่ะ

Datte kimi no koto ga ...Suki na no
แต่ว่าก็ดัน... ชอบเธอซะแล้ว”
(เพลง Melt: Supercell)
 
ฉันรีบกดปิดวิทยุ แล้วล้มตัวลงนอนเอาหมอนปิดหน้าโดยทันที

“อะไรของมึงวะ คนเค้าฟังอยู่ดีๆ เว้ย เป็นไรเนี่ย เมนส์ไม่มาหรือยังไง”

“อื้อ” ฉันพลิกตัวไปมาด้วยความหงุดหงิดใจ

“เฮ้ยๆๆๆ ลุกขึ้นมาพูดกันดีๆ ดิ เป็นไรของมึง”

“ช่างกูเหอะน่า ขอกูอยู่เงียบๆ ก่อนได้มะ”

“เออๆๆๆ ตามใจ”

อ้ากกกกกกกกกก อยากตายนัก ทำไมกูต้องมาเป็นแบบนี้ด้วยวะ ไม่นะไอ้เรียว ม่าย... จูบเมื่อคืนมันบังเอิญ มันเป็นอุบัติเหตุ กูไม่ได้รักไอ้ฟาง กูไม่ได้รักมานนนนน

เรื่องแบบนั้นมันไม่มีทางเป็นไปได้ ไม่มีทางเกิดขึ้นกับฉัน มันเป็นเรื่องบังเอิญ มันเป็นเรื่องที่ไม่คาดคิด และมันจะต้องไม่เกิดขึ้นจริง ไอ้ฟางต้องมีแฟน ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม และคนที่เป็นแฟนมันต้องไม่ใช่ฉัน!
...

ฉันลงจากรถแล้วเดินตรงไปที่ทำงานอย่างเซ็งๆ ฉันก่นด่าตัวเองอยู่ในใจว่าทำไมถึงจูบไอ้ฟางไปอย่างนั้นได้ ดีนะที่ไม่ถูกมันตบเอา จาก SMS เมื่อเช้าดูเหมือนว่ามันจะไม่ติดใจอะไรด้วยซ้ำ ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้นก็ดีไปจะได้ไม่ต้องนั่งฟังมันด่าว่าฉันจูบมันโดยไม่ได้รับอนุญาต

เมื่อถึงหน้าประตูรั้วของออฟฟิศ ฉันยังไม่เดินเข้าไปแล้วเดินเลยไปที่ร้านค้าด้านข้างเลยออฟฟิศไปหน่อย ฉันหยุดยืนอยู่หน้าร้านขายของชำ

“มาโบโร่เมนทอลไลท์หนึ่งซองค่ะ” ฉันบอกกับคนขาย

เมื่อได้มาแล้วก็จุดบุหรี่สูบ ฉันยอมทนปวดหัวและเลือดกำเดาไหลมากกว่าที่จะมาเครียดและคิดมากกับเรื่องพรรค์นี้ บุหรี่มวนแรกหมดไปอย่างรวดเร็ว มวนที่สองก็ถูกจุดขึ้นในเวลาไม่กี่วินาที ฉันยืนมองควันบุหรี่สีเทาที่ลอยอ้อยอิ่งอยู่ตรงหน้าแล้วถอนหายใจ

‘ไม่เอาน่าไอ้เรียว อย่าคิดมาก เรื่องแค่นี้จิ๊บจ๊อยน่า’

บุหรี่ 2 มวนหมดไปพร้อมๆ กับเท้าของฉันที่ก้าวตรงไปที่ตึก UN สถานที่ทำงานของฉัน เพื่อดำเนินกิจกรรมตามปกติ

“Ryochan, can you come to my office? (เรียวจันทร์ คุณเข้ามาหาฉันที่ออฟฟิศหน่อยสิ)”  เดินเข้าออฟฟิศมาได้ไม่ทันไร โดนนายเรียกซะแล้ว

“Yes, ma’m (ค่ะ)” ฉันเดินเข้าไปหาคุณแองเจล่าในห้องทำงานของเธอ

“Please prepare these documents for the meeting, I need at least 3 days before the date. (คุณช่วยเตรียมเอกสารที่จะใช้ในการประชุมที ฉันอยากให้เสร็จอย่างน้อย 3 วันก่อนการประชุม)”

“Yes, ma’m (ได้ค่ะ)” ว่าแล้วก็เอาเอาสมุดโน้ตขึ้นมาจดๆๆๆ และจดตามคำอธิบายถึงสิ่งที่นายต้องการ ซึ่งมีทั้งบทความที่ต้องสรุปและถอดออกมาจากรายงานประชุม เสร็จแล้วเอามาให้นายเช็คก่อน เมื่อเช็คเรียบร้อยแล้วก็สรุปออกมาแล้วทำพาวเวอร์พ้อยต์ไว้พรีเซ็นต์ในงาน หลังจากนั้นก็เอาทั้งสองตัวนั้นไปถ่ายเอกสารเพื่อแจกจ่ายในที่ประชุม

“Another thing, we need to collect more publications from WHO/SEARO and finish on database system by this week (อีกอย่างนะ เราต้องรวบรวมสื่อจากองค์การอนามัยโลกภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แล้วเอาข้อมูลเข้าระบบฐานข้อมูลภายในสัปดาห์นี้)”

“Yes, ma’m (ได้ค่ะ)”

“Does everything clear? Do you get all points? Please repeat them all (ทุกอย่างเคลียร์นะ คุณเข้าใจทุกประเด็นใช่มั้ย งั้นทวนหน่อย)”

ฉันทวนทุกอย่างที่นายสั่งตามที่จดเอาไว้ในสมุดโน้ต เจ้านายสาวใหญ่หัวทองพยักหน้าหงึกๆๆ แล้วก็เพิ่มเติมบางประเด็นที่เธอต้องการหรือฉันจดตกไป

“Alright, everything clear. Great! (เอาล่ะทุกอย่างเคลียร์ ดีมาก)”

แล้วเจ้านายผลักกองเอกสารกองใหญ่ให้ฉัน “Update me your progress every day by e-mail (ส่งเมล์รายงานความก้าวหน้าให้ฉันทุกวันด้วยนะ)”

“Yes, ma’m (ได้ค่ะ)”

“Good… off you go (งั้นก็ไปได้แล้ว)”

ฉันเดินออกมาจากห้องนายเซ็งๆ แบบนี้ทุกทีอ่ะ ชอบสั่งอะไรปุ๊บปั๊บลงมาห่าใหญ่ แต่บ่นไปก็เท่านั้น ฉันหอบกองเอกสารไปวางไว้ที่โต๊ะของตัวเองแล้วนั่งลงบนเก้าอี้อย่างเหนื่อยอ่อน ปวดหัวจริงเว้ย นั่งทำใจและไว้อาลัยให้กับตัวเองอยู่ 1 นาที แล้วคว้าหูโทรศัพท์แล้วต่อสายไปยังองค์การอนามัยโลกภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือที่เรียกสั้นๆ ว่า WHO/SEARO เพื่อเริ่มงานแรกของวัน

เมื่อวางสายเสร็จก็เริ่มจัดตารางของตัวเองในปฏิทินและบันทึกช่วยจำ หนังสือและเอกสาร 120 เล่ม จาก WHO/SEARO จะมาถึงในวันพุธ ฉันมีเวลาอีก 2 วันในการคีย์ข้อมูลหนังสือพวกนี้เข้าระบบฐานข้อมูล แล้วหลังจากนั้นจึงทำงานอย่างอื่นต่อไปได้ เมื่อส่งเมล์รายงานนายไปเรียบร้อยแล้ว

ฉันนั่งทำใจอีกครั้งแล้วเริ่มหยิบเอกสารที่จะใช้ในการประชุมขึ้นมาทำต่อ หน้าที่ของฉันก็คือสรุปใจความสำคัญจากเอกสารต่างๆ ที่อยู่ในกองนี้ออกมาเป็นบทความ ทำพาวเวอร์พ้อยต์ และผลิตเป็นเอกสารประกอบการประชุม ซึ่งกว่าจะสกัดไอ้กระดาษกองพะเนินนี้ออกมาเป็นบทความขนาด A4 ยาว ไม่เกิน 20 หน้า ทำพรีเซ็นเตชั่นก็คงจะทำให้ชีวิตของฉันเกือบจะแดดิ้นสิ้นลมปราณ และกว่าจะผลิตเป็นเอกสารประกอบการประกอบการประชุมอีก 200 ชุดก็คงจะต้องยืนหน้าเครื่องถ่ายเอกสารจนขาแข็งแถมพ่วงมาด้วยเป็นมะเร็งอีกแหงม

คิดแล้วเศร้าใจกับชะตาชีวิตตัวเองแต่ถ้ามันช่วยให้ลืมเรื่องของไอ้ฟาง หรือเรื่องของคนอื่นได้มันก็คงจะดี เมื่อคิดได้แบบนั้นฉันจึงตะลุยงานตั้งแต่เช้ายันเที่ยง และกว่าจะโงหัวขึ้นมาก็ปาเข้าไปเที่ยงครึ่ง คนที่มาฉุดฉันออกจากเก้าอี้ทำงานก็คือหยางนั่นเอง

“Hey, Ryo, it’s 12.30 now. Let’s have lunch (เฮ้ เรียว ตอนนี้เที่ยงครึ่งแล้วนะ ไปกินข้าวกันเถอะ)”

“Really? (จริงเหรอ)” ฉันบิดขี้เกียจไปมา “Ok… let’s go (โอเค ไปเหอะ)”

ขณะที่กำลังเดินไปที่โรงอาหารสาวจีนก็หยิบมือถือของตัวเองขึ้นมาแล้วเปิดรูปของสาวหน้าแรงตอนที่กำลังลองชุดที่จะใส่ไปงานแต่งงานยื่นให้ฉันดู

“Look at this Fang is so lovely! I almost screamed when I saw this picture (ดูนี่สิ ฟางน่ารักมากกกกก ฉันเกือบจะกรี๊ดแหนะตอนที่เห็นรูปนี้)”

เอามาให้ดูทำไมวะ กูก็อยู่ในเหตุการณ์รู้มั้ย

“I see (งั้นเหรอ)” ฉันตอบกลับไปสั้นๆ และก็ไม่ได้พูดอะไรอีก

หยางยังคงพูดเรื่องของฟางต่อไปขณะที่เราสองคนนั่งกินข้าวด้วยกัน ฉันได้แต่เออออไปตามคำพูดของเพื่อนร่วมงาน ส่วนในใจก็ยังคิดถึงเรื่องจูบนั่นไม่หาย แถมพ่วงมาด้วยความกังวลจากงานกองใหญ่ที่อยู่บนโต๊ะมันทำให้ฉันกินข้าวไม่ค่อยลง รู้สึกผะอืดผะอม อยากออกไปสูบอากาศข้างนอกชะมัดเลย

“I’m full, I need some fresh air. Let’s grab some caffeine (ฉันอิ่มแล้วล่ะ อยากไปสูดอากาศข้างนอกด้วย ไปหาคาเฟอีนกินกันเถอะ)” ว่าแล้วฉันก็เดินนำหน้าสาวจีนไปยังร้านกาแฟเจ้าประจำที่อยู่ด้านนอก

ฉันสั่งกาแฟแล้วทรุดตัวลงนั่งที่เก้าอี้อย่างเหนื่อยอ่อน หยางที่เดินตามมาสมทบก็พูดขึ้นมาอย่างเป็นห่วง

“What’s the matter? (เป็นอะไรหรือเปล่า)”

“Nothin’… just tired from work (ไม่เป็นอะไรหรอก แค่เหนื่อยจากงาน)”

“Seem like you’re not feeling well. I think you need some rest (คุณดูเหมือนจะไม่สบายนะ พักสักหน่อยดีกว่ามั้งฉันว่า)”

“I’m ok, thanks (ฉันสบายดี ขอบคุณที่เป็นห่วงนะ)”

สาวจีนจ้องหน้าฉันอย่างไม่เชื่อถือมากนัก ฉันถอนหายใจแล้วตอบว่า “Well, I’m little freakin’ out (ก็... รู้สึกประสาทเสียนิดหน่อยอ่ะนะ)”

“Well, can you tell me what happen and what’s the things made you feel like that. I can help… may be… (งั้นบอกได้มั้ยล่ะว่าเกิดอะไรขึ้น แล้วอะไรทำให้คุณรู้สึกแบบนั้น บางทีนะ ฉัน... อาจจะ... ช่วยคุณได้)” หยางพูดอย่างระวังพลางมองหน้าฉันไปด้วย ตอนนี้ฉันหยิบบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบแล้ว

“Thanks, but I already got my helper (ขอบใจนะ แต่ฉันมีผู้ช่วยแล้วล่ะ)” ฉันพูดพลางอัดบุหรี่เข้าปอด รู้สึกแสบจมูกเล็กน้อย แต่ก็พอทนไหว

“W… Wait Ryo! You shouldn’t smoke! Your health still not good… (ด... เดี๋ยวนะ เรียว! คุณไม่ควรสูบบุหรี่นะ สุขภาพของคุณยังไม่ดีเลย)”

ฉันยกมือปรามสาวจีนพร้อมๆ กับพ่นควันออกมา “Easy Yang… I’m ok… It helps me to release my tense (ไม่เป็นไรน่าหยาง เจ้านี่ช่วยให้ฉันคลายเครียดนะ)”

“But… you will get worse! (แต่อาการคุณจะแย่ลงนะ!)”

“I won’t (ไม่หรอกน่า)”

หยางขมวดคิ้ว สีหน้าเธอดูทั้งโกรธและเสียใจในเวลาเดียวกัน เธอมองดูฉันสูบเจ้านิโคตินมวนนั้นจนหมด แล้วเธอก็ทำสัญญาณมือไม่ให้ฉันสูบมวนต่อไป

“See? I’m still ok (ฉันยังโอเคอยู่เห็นมั้ย)” แต่ก็เจ็บจมูกนิดๆ แฮะ

“Stupid girl! What a stubborn girl you are! You’re freak! (คนบ้า! ทำไมคุณถึงได้บ้าอย่างนี้นะ! คนงี่เง่า!)” สาวจีนพึมพำขึ้นมาเบาๆ “If Fang knows you’re smoking again… (ถ้าฟางรู้ว่าคุณสูบบุหรี่อีกละก็...)”

อะไรวะ คำก็ไอ้ฟาง สองคำก็ไอ้ฟาง ไม่อยากได้ยินชื่อนี้เว้ย เมื่อได้ยินสาวจีนบ่นพึมพำออกมาแบบนั้นฉันก็โมโหแล้วพูดแทรกขึ้นมาขณะที่เพื่อนร่วมงานยังพูดไม่จบว่า

“So what! You think she will beat me or doing something with me if she knows? Listen… she is my friend not my mum, why everyone think that she can control me… (แล้วไงอ่ะ ถ้าฟางรู้แล้วจะตีฉันหรือจะทำอะไรฉันเหรอ ฟังนะ... ฟางเป็นเพื่อนฉัน ไม่ใช่แม่ ทำไมทุกคนคิดว่ายัยนี่ถึงคุมฉันได้นะ)”

สาวจีนที่กำลังพูดอะไรออกมาอีกก็เงียบ สีหน้าของเธอตะลึง “Ryo… you’re bleeding (เรียว... เลือดกำเดา...)”

ฉันก้มหน้าลงแล้วใช้กระดาษทิชชู่ซับห้ามเลือดทันที เฮ้อ... ให้มันได้อย่างนี้สิ ทำไมมันต้องไหลด้วยวะเนี่ย มือของหยางแตะที่หลังฉันเบาๆ ราวกับปลอบให้ฉันใจเย็นลง ฉันปลายหางตามองเธอ สาวจีนมีสีหน้าตกใจ

“I didn't mean that… She’s so worried about you. She wants you to get well soon. And so do I (ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นนะ ฟางแค่เป็นห่วงคุณ อยากให้คุณหายเร็วๆ ฉันเองก็เหมือนกัน)”

เลือดหยุดไหลแล้ว ฉันนั่งตัวตรงตามเดิม มีอาการมึนหัวเล็กน้อย หยางดูท่าทางกังวล ฉันโบกมือเร็วๆ เป็นสัญญาณตอบว่าฉันไม่เป็นอะไร

“Sorry… I just… (ขอโทษนะ... ฉันก็แค่...)” ฉันถอนหายใจแล้วยกแก้วกาแฟขึ้นมาดื่ม สาวจีนยังคงมองฉันด้วยสีหน้าที่ตกใจ

หยางกุมมือฉันไว้แน่น “it’s ok… it’s alright… Just curious why you have to hurt yourself. It’s not worth if you fall (ไม่เป็นไรนะ ไม่เป็นไร ฉันก็แค่เป็นห่วงว่าทำไมคุณถึงทำร้ายตัวเองแบบนั้น มันไม่คุ้มหรอกนะถ้าคุณเป็นอะไรไป)”

เราสองคนนั่งกินกาแฟอยู่ตรงนั้นเงียบๆ โดยไม่พูดไม่คุยอะไรกันอยู่พักหนึ่ง ฉันรู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย อาการปวดหัวยังคงมีอยู่นิดๆ ระหว่างที่กำลังนั่งปล่อยอารมณ์ไปเรื่อยๆ ในช่วงเวลาพักที่เหลืออยู่เสียง SMS จากโทรศัพท์ของฉันก็ดังขึ้นมา ฟางส่งมานั่นเอง เธอส่งมาบอกว่าเดินทางถึงโรงแรมที่สัมมนาเรียบร้อยแล้ว ฉันอ่านข้อความนี้ให้สาวจีนฟัง ทำเอาหยางยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ตามเคย

“She’s so sweet (ฟางน่ารักจังเลยอ่ะ)”

“So… what do you think about her? Will you ask her out? (แล้วคุณคิดยังไงกับฟางล่ะ แล้วคุณจะคบกับเธอมั้ย)”

“Hummmm… I’m still considering it. She’s lovely and sweet, good personality, smart… Why you ask? (หืมมม ก็กำลังคิดอยู่อ่ะนะ ฟางทั้งสวย อ่อนหวาน บุคลิกดี ฉลาด ...แล้วคุณถามฉันเรื่องนี้ทำไมอ่ะ)”

มึนกับยัยนี่จริงเอาไงกันแน่วะ จะจีบหรือไม่จีบคิดมาเร็วๆ กูจะได้หมดเรื่อง “She admires you. May be click on you (ฟางอ่ะชอบคุณนะ ดูเหมือนว่าจะตกหลุมรักคุณด้วย)”

“Really? Why she didn’t mention about this last time that we dated (จริงเหรอ แล้วทำไมฟางไม่บอกฉันตอนที่ไปเดทกันครั้งที่แล้วล่ะ)” อ้ากกก ไอ้จ๊าดง่าว กูจะไปรู้มันเร๊อะ แล้วใครจะไปบอกโต้งๆ อย่างนั้นละวะ ไอ้ฟางมันก็ไม่ได้เป็นหญิงไทยใจกล้าหน้าด้านขนาดนั้นนะเว้ย

“Yeap. And if you wanna go out with her you must be hurry. Many guys keep their eyes on her (ใช่สิ แล้วถ้าอยากจะคบกับฟางจริงๆ ละก็คุณจะต้องรีบแล้วล่ะ เพราะมีคนเล็งฟางไว้หลายคนเหมือนกัน)”

หยางทำท่าครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งแล้วตอบว่า “Very well. If you said like that I’ll push forward (โอเค ถ้าคุณยืนยันว่าอย่างนั้น ฉันจะเริ่มรุกก็แล้วกัน)”

ให้มันรุกจริงเถอะ มันจะได้ทำให้ฉันออกจากสถานการณ์ที่ลำบากใจและยุ่งยากอย่างนี้ได้เสียที
...

เช้าวันต่อมา ฉันมาถึงที่ทำงานด้วยความรู้สึกที่ดีขึ้น เนื่องจากไม่มีโทรศัพท์รบกวนจากยัยสาวหน้าแรง มีแค่เพียง SMS สั้นๆ มา Good Night ก็ตาม ฉันก็ได้แต่ส่งกลับไปตามเรื่องเท่านั้น

ฉันลุยงานที่วางกองอยู่บนโต๊ะอีกเช่นเคย โดยที่ไม่รู้เลยว่าเพื่อนร่วมงานสาวจีนของฉันทำอะไรบ้างจนกระทั่งถึงเวลากินข้าวเที่ยง

“You look lively today. What’s news? (คุณดูมีความสุขจัง วันนี้มีอะไรเหรอ)” ฉันถามหยาง

“I called Fang last night and I’ve just got some massage from her a minute ago as well (เมื่อคืนฉันโทรหาฟางล่ะ แล้วเมื่อกี้ฉันก็เพิ่งได้รับข้อความจากฟางด้วย)”

“I see. What did she said (เหรอ แล้วฟางว่าอะไรล่ะ)”

“She just finished morning session and now having lunch. And you know, she said she loves me at the end of the massage! I’m soooo happy (ฟางบอกว่าเธอเพิ่งจะเสร็จจากการสัมมนาช่วงเช้า ตอนนี้กำลังกินข้าวอยู่ คุณรู้มั้ยว่าเธอลงท้ายข้อความของเธอว่าเธอรักฉันล่ะ! ฉันโคตรดีใจเลย)”

คือไม่อยากทำให้เสียใจอ่ะนะว่ามันทำกับฉันแบบนี้ทุกทีอ่ะ อย่าเพิ่งดีใจไปเลย แต่ก็นั่นแหละนะ... ไม่อยากสกัดดาวรุ่ง ปล่อยให้ดีใจอย่างนี้ไปก่อนก็แล้วกัน

“Cool… (ก็เจ๋งดีนี่)” ฉันทำเสียงประหลาดใจที่สุดเท่าที่จะทำได้ มันไม่ค่อยเนียนเท่าไหร่ แต่ก็ตอแหลได้เท่านี้อ่ะนะ

สาวจีนตักข้าวเข้าปาก หลังจากนั้นก็พูดว่า “As you said I have many rivals, so I decided to go ahead (ก็อย่างที่คุณบอกว่าฉันมีคู่แข่งเยอะ ฉันเลยตัดสินใจที่จะเดินหน้า)”

“Aha… What’s next? (อ่าฮะ แล้วอะไรต่อล่ะ)”

“I need your help (ฉันอยากให้คุณช่วย)”

เหวยๆ มาแบบนี้อีกแล้ว จะจีบสาวนี่จีบกันเองทำกันเองไม่ได้หรือไงฟะ ทำไมต้องให้ตูช่วยด้วยวะ!

“What! (ทำไมอ่ะ)” ฉันถามกลับด้วยความหงุดหงิด

ใบหน้าของหยางเจื่อนลงเล็กน้อย “I don’t know much about Fang, I don’t know what’s she like or dislike. You know her more than me, just think you can give me a little help (ก็ฉันไม่รู้เรื่องฟางสักเท่าไหร่นี่นา ไม่รู้ด้วยว่าเธอชอบหรือไม่ชอบอะไร คุณรู้เรื่องเธอมากกว่าฉันอีก ก็แค่คิดว่าคุณจะช่วยฉันได้)”

ฉันถอนหายใจ “You already dated with her… I think you got some info. I’m just a childhood friend, don’t know much any details (ก็คุณไปเดทกับฟางแล้วไม่ใช่เหรอ ก็น่าจะมีข้อมูลบ้างซี่ ฉันมันก็แค่เพื่อนสมัยเด็กมันก็ไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรมากสักเท่าไหร่หรอก)”

“But seems like she opens to you than me. I’d like to have some more confident, if I have you (แต่ดูเหมือนฟางจะเปิดเผยกับคุณมากกว่าฉันนี่นา ฉันก็แค่คิดว่าฉันจะมีความมั่นใจมากขึ้นถ้ามีคุณอยู่)”

ฉันไม่ตอบอะไร เราสองคนก็ได้แต่นั่งมองหน้ากันจนกระทั่งเสียงโทรศัพท์ของสาวจีนดังขึ้น

“She calls me! (ฟางโทรมาหาฉันล่ะ)” หยางบอกด้วยท่าทางที่ดีใจมาก

“Take your time, I’ll buy some dessert (งั้นคุยไปก่อนละกัน ฉันจะไปซื้อขนม)”

สาวจีนพยักหน้าแล้วเธอก็คุยกับสาวหน้าแรงต่อไป ท่าทางของหยางดูแปลกไปทุกที เธอดูน่ารักขึ้น และสวยขึ้นทันตาเห็นเมื่อได้คุยกับฟาง มันก็คงจริงอย่างที่คำคนเขาบอกว่าผู้หญิงมักจะดูสวยขึ้นเมื่อมีความรัก

เมื่อฉันกลับมาที่โต๊ะพร้อมกับถ้วยขนมหวาน 2 ถ้วยทั้งของฉันและของสาวจีน  หยางก็ยื่นโทรศัพท์ให้ฉัน

“She wants to talk to you (ฟางอยากจะคุยกับคุณล่ะ)”

ฉันรับหูโทรศัพท์มาแบบงงๆ “ฮัลโหล”

“เรียว............ เค้าคิดถึงตัวจังเลยยยยยยยยยยย” เสียงแปดหลอดของสาวหน้าแรงก็ดังขึ้น

“อื้อ...” ด้วยความตกใจเลยพูดออกไปได้เท่านี้

“ตัวคิดถึงเค้ามั้ย”

“ก็...คิด...”

“เหรอ... ดีใจจังเลย คิคิคิ”

“แล้วเป็นไง ตั้งใจเรียนหรือเปล่า” ไม่รู้จะคุยอะไรกับมันก็ถามเรื่องงานเลยละกัน

“ก็ดีอ่ะนะ แต่เค้าเคยเรียนแล้ว มาทวนๆ หน่อยก็ดี... เออใช่เดี๋ยวนี้เซรินรุกเค้าจังเลยอ่ะ ตัวรู้ป่าว”

“เหรอ”

“ตัวไม่รู้เลยเหรอ...”

“ไม่ค่อยอ่ะ ตอนนี้งานเยอะมาก เต็มโต๊ะไปหมดเลย ก็เลยไม่ค่อยได้คุยกัน”

“อย่าเครียดนักนะ เดี๋ยวก็เลือดกำเดาไหลอีก ตัวกินยาครบหรือเปล่า” เสียงที่ดูเป็นห่วงเป็นใยของฟางที่ถามฉันนั้นมันทำให้หัวใจเต้นแปลกๆ

“ครบ... ยาใกล้หมดแล้ว แล้วก็ใกล้ถึงวันนัดแล้วด้วย”

“งั้นเดี๋ยวเค้าพาตัวไปโรง’บาลนะ”

“อื้อ... ขอบใจนะ”

เสียงของฟางเงียบไปพักหนึ่ง เหมือนกับว่าเธอจะถามอะไรบางอย่างกับฉัน ในใจของฉันจึงได้แต่ภาวนาว่าอย่าให้มันถามเรื่องจูบเลย

“เรียว...”

“ว่า...”

“เค้าถามอะไรตัวหน่อยดิ”

“อะไรเหรอ” เอาละเหวย จะถามอะไรกูเนี่ย หัวใจเต้นเร็วตุ้มๆ ต่อมๆ อย่านะเว้ย อย่าถามเรื่องจูบนะเว้ย

“XXX นี่มันแปลว่าอะไรเหรอ” เฮ้อ... ไม่ใช่ แต่ เอ๋... อะไรอ่ะ

“ห๋า ว่าไงนะ”

“XXX มันแปลว่าอะไร”

“ขอคำเต็มๆ ดิ แล้วคำนั้นเอามาจากไหน”

“ก็เวลาเซรินส่งข้อความมาให้เค้าก็จะลงท้ายด้วย XXX ทุกทีเลย มันแปลว่าอะไรอ่ะ เค้าไม่รู้...” สาวหน้าแรงเงียบ “เค้าก็เลยจะถามตัว... แบบว่า...ถ้าให้เค้าแปลเองมันจะเอ่อ... ติดเรทอ่ะ”

ฉันหัวเราะก๊ากจนหยางตกใจ ส่วนคนที่อยู่ปลายสายก็ทำเสียงงอแง เพราะไม่เข้าใจว่าฉันหัวเราะเพราะอะไร โอ้ย... ไอ้ฟางเอ้ย แสดงว่าแกชอบเปิดเว็บโป๊ดูใช่มั้ยเนี่ยถึงได้แปลคำว่า XXX เป็นคำติดเรทได้ซะนี่

“อะไรอ่ะ ตัวพูดดีๆ สิ เค้าไม่เข้าใจ”

“ก็ไอ้คำนั้นมันแปลว่าจูบไง เป็นคำที่เค้านิยมใช้ลงท้ายจดหมาย”

“อ๋อ แปลว่า จุ๊บ จุ๊บ จุ๊บใช่มะ”

“อื้อ”

เสียงหัวเราะคิกคักดังมาตามสาย ดูท่าทางมันชอบใจมากนะเนี่ย “เหรอ... น่ารักจังเลยอ่ะ เค้าจำไว้ใช้กับตัวมั่งดีกว่า”

เอ่อ... ไม่ต้องก็ได้มั้ง เกรงใจ เก็บไว้ใช้กับคนอื่นเถอะ

“คุยกับหยางต่อนะ”

“อ๋า... อย่าเพิ่งๆ ที่เค้านัดกินข้าวกับเคียวอ่ะ ตัวจะไปด้วยมั้ย”

“ไม่รู้สิ คงต้องดูก่อน ถ้าไม่ว่างก็คงไม่ไป”

“เหรอ... ไปกะเค้าไม่ได้เหรอ...”

“ทำไมต้องไปล่ะ”

“ก็เค้าอยากเจอตัวนี่นา”

“ก็มองหน้าไอ้เคียวไปสิ หน้าฉันกับหน้ามันก็เหมือนกันนั่นแหละ”

“ไม่เหมือน เคียวเป็นผู้ชาย แต่ตัวไม่ใช่นี่นา”

“เอาน่า มันก็เหมือนๆ กันนั่นแหละ”

“ไม่เหมือน...”

“เอางี้... ถ้าฉันไม่ไปก็ไว้ค่อยกินข้าววันที่ฉันหาหมอก็แล้วกัน”

“ก็ได้... สัญญานะ”

“อื้อ”

“เย้ๆๆๆ”

ฉันยื่นโทรศัพท์คืนหยางด้วยหัวใจที่พองโตนิดๆ รู้สึกดีที่ทำให้เพื่อนสาวหัวเราะ หรือพูดคุยกับฉันได้อย่างร่าเริง รู้สึกดีที่เห็นฟางมีความสุข... แต่เฮ้ย! เดี๋ยวก่อน! นี่กูเผลอตัวไปอีกแล้วใช่มั้ยเนี่ย...

ฉันกลับมานั่งทำงานด้วยความรู้สึกไม่ดีอีกครั้ง แล้วถามตัวเองเป็นครั้งที่ร้อยว่านี่ฉันเป็นอะไรไป... และคำตอบดูเหมือนจะมีเพียงคำตอบเดียว นั่นก็คือ ฉันหลงรักไอ้ฟางเข้าแล้ว...

คำถามต่อมาจึงผุดขึ้นมาในหัว ถ้ามันเป็นแบบนั้นจริง ฉันควรจะทำยังไง ก็ในเมื่อสถานการณ์ความรักของสาวหน้าแรงนั้นมันช่างยุ่งเหยิงเสียจริง ทั้งพี่ชาย ทั้งสาวจีน ทั้งผู้ชายคนอื่น

ก. ฉันควรจะช่วยพี่ชาย

ข. ฉันควรจะช่วยหยาง

ค. ฉันควรจะเชียร์ให้ฟางแต่งงานกับคนที่บ้านเลือกให้

ง. ฉันควรที่จะเลิกรักไอ้ฟาง

คำตอบ 4 ช้อยส์นี้วนเวียนอยู่ในหัว มันทำให้ฉันคิดอะไรไม่ออก และสาวหน้าแรงคนนี้ก็ทำให้ฉันเบลออีกจนได้เมื่อเธอส่ง SMS มาหาฉันก่อนเลิกงาน และลงท้ายว่า

“I love you XXX”

เจอแบบนี้อึ้งอย่างเดียว ฉันมองหน้าสาวจีนทีนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม และคิดถึงพี่ชายฝาแฝดของตัวเอง รวมทั้งคิดไปไกลถึงการดูตัวของไอ้ฟางแล้วก็เซ็ง เฮ้อ... ชีวิตกูทำไมมันวุ่นวายแบบนี้วะ!

คำตอบที่ฉันควรเลือกต้องเป็นข้อ ง งู เป็นอันดับแรก... แต่ฉันต้องทำยังไงดีละเนี่ย!




 

Powered by EzPortal
    ต้นฉบับในเว็บไซต์เป็นลิขสิทธิ์ของผู้แต่งต้นฉบับที่นำมาลง
    copyright © Yuriread.com All rights reserved.