Chapter 15
ฉันตื่นขึ้นด้วยความงัวเงียพร้อมๆ กับเสียงนาฬิกาปลุกที่ดังขึ้น อาการเจ็บแปล๊บของหลังและไหล่ตามมาด้วยเสียงร้องโอดโอยของฉัน ปวดกล้ามเนื้อ ปวดตัว ปวดหัว ตัวรุมๆ รู้สึกเหมือนจะมีไข้ อยากลาป่วย แต่เมื่อนึกถึงกองงานที่อยู่บนโต๊ะแล้วมันทำให้ฉันสำเหนียกตัวเองได้ว่า
‘กูห้ามลา แม้แต่ลาตาย!’
“เรียวจันทร์ อาบน้ำ ปฏิบัติ!” ฉันส่งเสียงสั่งตัวเองอีกครั้ง ไม่งั้นไม่มีทางลุกจากเตียงได้เป็นแน่ แล้วค่อยๆ เดินลากขาเข้าไปในห้องน้ำ
สายน้ำเย็นๆ จากฝักบัวทำให้ร่างกายของฉันสดชื่นขึ้นมาได้มากขึ้น ความง่วงหายไป ที่ยังคงเหลือก็คือความเครียดกับงาน ฉันพยายามสลัดความเครียดนั้นทิ้งไปพร้อมกับปลอบตัวเองว่า
“เสร็จงานเมื่อไหร่กูจะลาพักนอนให้หนำใจเลยคอยดูสิ” ฉันพูดกับตัวเองหน้ากระจกก่อนแปรงฟัน
เมื่ออกมาจากห้องน้ำแต่งตัวเสร็จแล้วก็เดินไปที่กระเป๋าเอกสาร มันเป็นกระเป๋าเป้ที่สามารถยัดคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คใส่ลงไปได้ ช่วงนี้ฉันต้องขนงานกลับมาทำที่บ้านบ่อย สาเหตุที่ปวดไหล่ก็คงเป็นเพราะไอ้น้ำหนักของกระเป๋าบวกกับคอมพ์ด้วยเป็นแน่ ฉันหยิบมือถือขึ้นมาดูก็ตกใจ
“แม่เจ้า 50 Miss Call เจ้าหนี้ที่ไหนโทรมาหากูวะเนี่ย!”
เมื่อไล่เปิดดูรายชื่อก็เห็นเป็นเบอร์ของโต้ง 3 สาย ส่วนนอกนั้นอีก 47 สายเป็นของฟาง! เอ่อ มึงจะโทรหากูเอาโล่ห์เหรอวะ
ฉันเดินออกจากบ้านตรงไปยังป้ายรถเมล์พลางกดเบอร์โทรหาเพื่อนเกย์
“ฮัลโหลอีเรียว เมื่อคืนโทรหากูทำไมวะ กำลังเข้าด้ายเข้าเข็มอยู่เลยนะมึง”
“เออ กูขอโทษ ใครจะไปรู้ว่ามึงกับลังสวิงกิ้งหมี่เกี๊ยวกับคนอื่นอยู่ ได้ข่าวว่าเป็นเด็กนี่หว่า อายุเกิน 15 หรือยังวะ”
“อีนี่ ข่าวไวนักนะมึง สนใจทำไมวะเรื่องอายุ”
“อ้าว กูถามเพราะว่าดีไม่ดีเดี๋ยวมึงจะโดนข้อหาพรากผู้เยาว์ ติดคุกขึ้นมากูขี้เกียจวิ่งส่งข้าวส่งน้ำให้มึงในคุกนะเว้ย”
“อ่ะนะมึง เกินแล้วเว้ย เกิน 15 และ มึงไม่ต้องห่วงกูหรอก กูอ่ะหล่อเลือกได้ มึงก็รู้ดี”
“จ้า พ่อสุดหล่อ คนเก่ง อกหักขึ้นมาอย่ามาชวนกูไปกินเหล้าลูบหลังให้มึงอ้วกก็แล้วกัน”
“ไม่มีทางซะหรอก”
“เออ”
โต้งเงียบเสียงไปครู่หนึ่งแล้วพูดขึ้นมาว่า “ว่าแต่มึงโทรหากูมีเรื่องอะไรป่าววะ เห็นอีแนนมันบอกว่ามึงมีเรื่องไม่สบายใจ”
“ก็... มีว่ะ”
“มีอะไรมั่งวะเนี่ย... กูว่านะมึงควรไปพบจิตแพทย์เป็นตัวเป็นตนดีกว่าให้พวกกูเป็น Counselor ให้มึงท่าจะดีกว่านะ ปัญหามึงแต่ละปัญหาเงี้ยแม่งทำให้พวกกูประสาทแดก”
“จะว่ายังไงดีวะ มันเรื่องเยอะว่ะมึง”
“เรื่องอะไรล่ะยะ”
“มันพูดยากว่ะ” แล้วฉันก็เงียบ สมองกำลังไล่เรียงว่าจะเล่าเรื่องไหนให้เพื่อนฟังก่อนดี
“พูดยาก... โอ้ย! เรื่องมึงเยอะจริงอีเรียว เรื่องอะไรวะ เรื่องงาน หรือเรื่องหัวใจ”
“ทั้งสองเรื่องแหละ เรื่องแรกอ่ะรับมือได้ แต่เรื่องที่สองอ่ะดิกูไม่รู้จะทำยังไง มันงงๆ มึนๆ”
เกย์หนุ่มถอนหายใจดังเฮือกใหญ่ “ไหนเรื่องเป็นไงมาไง เล่าให้ฟังหน่อยดิ๊”
“เอ่อ... มันก็...” ฉันกำลังจะเปิดปากเล่าแต่ก็ได้ยินเสียงสายเรียกซ้อนดังขึ้นมาในหูโทรศัพท์ เมื่อยกหูขึ้นมาดูเบอร์นั้นเป็นเบอร์ของฟาง
“มึง... ฟางโทรมา มึงคิดว่ากูควรจะรับมั้ย” ยังไม่ทันได้เล่าอะไรฉันก็โพลงถามโต้งขึ้นมา
เพื่อนเกย์ตอบกลับมาว่า “แล้วหัวใจมึงบอกว่าอะไรล่ะ ควรรับหรือไม่ควรรับ”
“ไม่รู้ว่ะ”
“ถ้ามึงไม่รู้ กูเองก็ไม่รู้เหมือนกัน ไปคิดเรียบเรียงให้มันดีก่อนแล้วค่อยโทรหากู มึงชอบคิดมากเดี๋ยวก็เส้นเลือดในสมองแตกหรอกมึง ไม่ต้องไปคิด อยากทำอะไรทำ ใจมึงบอกว่าอยากมึงก็ทำ ไม่อยากก็ไม่ต้องทำโอเค๊ แค่นี้นะไปล่ะ” แล้วโต้งก็วางหูไป
“อ้าวเฮ้ย! เดี๋ยวดิ” ยังไม่ทันจะพูดอะไรเลย แล้วก็โดยมันเทศน์ตั้งแต่เช้าแล้วก็ทิ้งไปแบบไม่มีเยื่อใย อีโต้ง! มึงทำกูได้!
เสียงเรียกเข้าของสาวหน้าแรงดังขึ้นมาทันทีหลังจากที่เพื่อนเกย์วางสาย ฉันมองดูที่ชื่อของเพื่อนสาว ถอนหายใจ แล้วก็กดรับสาย
“ฮัลโหล”
“ทำไมเมื่อคืนไม่รับสายเค้า ทำไมตัวไม่โทรหาเค้าบ้างเลย” อะไรวะใส่กูมาเป็นชุดเลย กูไม่ได้ใส่เสื้อกันกระสุนนะเว้ย ตัวกูพรุนจากอีโต้งแล้วยังต้องมาพรุนกับมึงอีกเหรอเนี่ย!
“ก็ทำงานหนัก ทำโอที กลับบ้านดึก เหนื่อยก็เลยนอน” ฉันตอบไปด้วยเสียงเซ็งๆ
“อย่ามาโกหกเค้าเลย เซรินก็ทำงานที่เดียวกับตัว แต่ทำไมโทรหาเค้าได้ล่ะ นี่แสดงว่าตัวมีข้ออ้างไม่อยากคุยกับเค้าใช่มั้ยล่ะ”
ฉันขมวดคิ้วกับคำพูดของเพื่อนสาว “ถึงจะทำงานที่เดียวกันแต่หน้าที่ต่างกัน ไม่ใช่ว่าต้องเหมือนกันสักหน่อย อีกอย่างหยางก็แสดงตัวว่าจะจีบแกก็เลยโทรหาแกเพื่อทำความรู้จักกับแกมันก็สมควรไม่ใช่หรือยังไง”
“ก็ใช่ แต่ทำไมตัวไม่โทรหาเค้าบ้าง”
“ทำไมต้องโทรหาแกด้วยล่ะ”
ฟางนิ่งไปกับคำถามของฉัน “ไม่เป็นห่วงเค้าบ้างเหรอ”
“ไปกับที่ทำงาน ไปอยู่รีสอร์ท ไปประชุม น่าเป็นห่วงตรงไหน”
“ไม่คิดจะห่วงเค้าเลยใช่มะ” เสียงของเพื่อนสาวดูเหมือนจะงอนหรือโกรธฉัน อะไรของมันวะเนี่ย มึงต้องการอะไรจากกู!
“จะให้ห่วงอะไรล่ะ”
“ไม่คิดถึงเค้าเลยใช่มะ”
“ก็... ไม่นี่” ฉันตอบ รถเมล์มาแล้ว ฉันเดินขึ้นรถและหาที่นั่งโดยไม่สนใจฟังสิ่งที่เพื่อนสาวกำลังพูดอยู่ในหูโทรศัพท์
“ทำไมตัวเป็นคนแบบนี้ล่ะ ทำไมตัวไม่คิดถึงเค้าบ้างเลย ไม่ห่วงเค้าบ้างเลยล่ะเค้าอุตส่าห์คิดถึงตัว เป็นห่วงตัวนะ” เสียงงอแงดังออกจากหูโทรศัพท์ ฉันเริ่มรำคาญ
“ขอบใจนะที่เป็นห่วง แต่แกไม่เห็นจำเป็นต้องทำแบบนั้น อีกอย่างทำไมฉันต้องคิดกับแกแบบนั้นด้วยล่ะ ฉันไม่ใช่แฟนแกสักหน่อย”
เสียงตะแง้วๆ ของฟางเงียบลงทันที “เมื่อกี้ว่าอะไรนะ” สาวหน้าแรงพูดเสียงเข้มขึ้น
“ฉันถามว่าทำไมฉันต้องคิดกับแกแบบนั้นด้วย ทำไมฉันต้องคิดถึงแก ทำไมฉันต้องเป็นห่วงแก ในเมื่อเรา... ไม่ได้เป็นอะไรกันนอกจากเพื่อน”
“เรียว... นี่ตัวกล้าพูดแบบนั้นกับเค้าเหรอ” เสียงของเพื่อนสาวเหมือนจะโกรธ
“กล้าดิ ทำไมจะไม่กล้า” ฉันพูด “ถ้าคิดจะโทรมาตอนเช้าๆ เพื่อมาหาเรื่องกันก็อย่าดีกว่า ฉันยิ่งปวดหัวอยู่ แกอย่ามาทำให้ฉันต้องปวดมากขึ้นอีกเลย”
“นี่ตัวเห็นเค้าเป็นคนน่ารำคาญขนาดนั้นเลยเหรอ”
“เคยบอกไปแล้วนี่ว่า... ใช่” ฉันหยุดคิดนิดหนึ่งแล้วตอบไป มันอาจดูทำร้ายจิตใจสาวหน้าแรงอยู่บ้าง แต่ฉันคิดว่าการทะเลาะกันมันจะทำให้ฉันมีช่องว่างและเว้นระยะห่างจากฟางได้มากขึ้น เพื่อให้ตัวเองได้สงบลงจากสภาพแวดล้อม และความคิดที่อยู่ในหัวได้บ้าง
“เรียว... แก... ไอ้บ้า!” เพื่อนสาวตะโกนใส่ราวกับว่าเธอโกรธจัด หลังจากนั้นเธอก็วางหูไป
“เฮ้อ... มีเรื่องไม่เว้นแต่ละวัน” ฉันบ่นพึมพำกับตัวเอง
‘กูหาเรื่องใส่ตัวชัดๆ’ ฉันคิดแล้วหลับตาลงอีกครั้ง หลังจากที่อาการปวดแล่นขึ้นมาที่หัว
...
ฉันนั่งทำงานอยู่เงียบๆ ไม่คุยกับใครแม้แต่หยางที่เดินเข้ามาทัก ฉันได้แต่ส่งยิ้มแห้งๆ ให้กับสาวจีนแล้วก้มหน้าก้มตาทำงานต่อไป หวังว่าการตั้งสมาธิกับงานที่อยู่ตรงหน้านั้นจะทำให้ฉันเลิกคิดเรื่องอื่นได้ แม้แต่การทะเลาะกับฟางทางโทรศัพท์เมื่อเช้านี้
เมื่อถึงเวลาพักกลางวัน ฉันหลีกเลี่ยงการไปกินข้าวกลางวันกับหยางเหมือนอย่างที่เคยๆ ทำมา ฉันแกล้งบอกว่านัดเพื่อนเอาไว้ว่าจะกินข้าวกลางวันด้วยแล้วเดินออกนอกออฟฟิศไปแบบเซ็งๆ ฉันหาข้าวราดแกงกินแถวๆ นั้นพร้อมกับนั่งคำนวณถึงงานที่ยังค้างอยู่ ตอนนี้เคลียร์ได้ไปแล้วครึ่งหนึ่งเหลืออีกครึ่งหนึ่งและน่าจะเสร็จทันเวลาถ้าขนงานกลับไปทำที่บ้านหรือมาลุยงานในช่วงวันหยุดเสาร์-อาทิตย์นี้
“What’s wrong with you? You looked strange today (คุณเป็นอะไรหรือเปล่า วันนี้คุณดูแปลกๆ ไปนะ)” สาวจีนทักพลางยื่นแก้วมอคค่าเย็นของโปรดที่เธอซื้อมาฝากฉันให้
“Nothin’, thanks (ไม่มีอะไรหรอก ขอบใจนะ)” ฉันรับแก้วมาแล้วยื่นเงินค่าน้ำให้ แต่เธอไม่รับ
“Keep it ‘til the day we’re free for dating (เก็บเงินไปใช้ตอนที่เราไปเดทกันดีกว่า)” หยางพูดแบบยิ้มๆ
ฉันมองเพื่อนร่วมงานแล้วส่งยิ้มเจื่อนๆ ให้ “I told you I couldn’t call this thing is a date but just having meal (ก็บอกไปแล้วไงว่าฉันไม่คิดว่ามันเป็นการเดทนะ ก็แค่กินข้าวด้วยกัน)”
“I see, how about ‘special meal between you and me’. Is that sound good, isn’t it? (ฉันรู้แล้วน่า ถ้าไม่เรียกว่าเดทถ้างั้นเป็นชื่อนี้มั้ย ‘มื้อพิเศษของเราสองคน’ ฟังดูดีป่ะ)”
หยาง... แกทำให้ฉันรู้สึกเลยว่าการที่คนๆ หนึ่งรู้สึกเบื่อ เลี่ยน และอึดอัดกับการถูกจีบนี่เป็นยังไง เอ่อ... คือมันรู้สึกไม่สบายใจอ่ะนะ และมัน... โว้ย... กูจะบ้า!
ฉันหัวเราะแฮะๆ “Whatever (ยังไงก็ได้)” แล้วก็หันหน้าเข้าหาคอมพิวเตอร์เพื่อส่งสัญญาณให้สาวจีนรู้ว่าฉันจะลงมือทำงานต่อแล้ว
ทำงานไปได้สักพักเลือดกำเดาไหลลงมาอีกแล้ว ฉันรีบหยิบกระดาษทิชชู่และยาขึ้นมาทันที อ้าว... ยาหมดแล้ว เออ... ใช่... วันนี้หมอนัดนี่นาเย็นนี้ต้องแวะเข้าโรง’บาลซะแล้วกู แสดงว่าไอ้ที่คุยกับไอ้ฟางเมื่อวันก่อนฉันจำวันหมอนัดผิดใช่มั้ยเนี่ย เฮ้อ... เรียวจันทร์ มึงต้องพักผ่อนแล้วล่ะ
ก่อนที่จะถึงเวลากลับบ้านได้ไม่เท่าไหร่ เสียงเตือน SMS ก็ดังขึ้น ฉันมองดูชื่อเจ้าของข้อความก็ขมวดคิ้วเพราะสาวหน้าแรงส่งมาหาฉันน่ะสิ
ฉันเปิดอ่านข้อความดู ฟางส่งมาสั้นๆ บอกแค่ว่า “วันนี้อย่าลืมไปหาหมอนะ”
ข้อความเพียงเท่านี้มันก็ทำให้น้ำตาร้อนๆ ของฉันคลอจนต้องรีบเงยหน้าเพื่อไม่ให้มันไหลออกมา เมื่อคืนกับเมื่อเช้าแกโทรหาฉันเพราะเตือนฉันเรื่องนี้ใช่มั้ย แต่แกกลับโดนฉันวีนใส่ ฉัน... ฉันผิดไปแล้วว่ะฟาง ความรู้สึกผิดเข้าครอบงำจิตใจพร้อมๆ กับความเสียใจที่เข้ามาแทนที่
“ขอโทษนะฟาง”
ฉันพูดออกมาเพียงเท่านั้น หลังจากนั้นก็เก็บของพร้อมงานส่วนหนึ่งที่ขนกลับไปทำที่บ้านแล้วขึ้นแท็กซี่ตรงไปที่โรงพยาบาลพลางกดส่ง SMS ตอบกลับไปว่า
“กำลังจะไปโรงพยาบาล ขอบใจนะที่เตือน เมื่อเช้าขอโทษด้วยนะ”
แต่สาวหน้าแรงก็ไม่ตอบอะไรกลับมาอีกเลย
...
“เชิญคุณเรียวจันทร์ห้องเบอร์ 7 ค่ะ” เสียงพยาบาลเรียกชื่อของฉันหน้าห้องตรวจ
“เชิญครับ” คุณหมอคนเดิมที่ตรวจฉันเมื่อคราวที่แล้วผายมือให้ฉันลงนั่งที่เก้าอี้ข้างๆ
“สวัสดีค่ะ” ฉันยกมือไหว้คุณหมอ
“ครับๆ เป็นยังไงบ้างครับ อาการดีขึ้นมั้ยครับ”
“ก็... ช่วงนี้เครียดจัดอ่ะค่ะ คิดว่าอาการยังทรงๆ อยู่อ่ะค่ะ”
“งั้นเดี๋ยวผมขอตรวจหน่อยนะครับ”
หลังจากนั้นคุณหมอก็ใช้หูฟังแนบที่หน้าอกและลำคอของฉัน เอาไฟฉายส่องตรวจดูที่จมูก ถามอาการฉันอีกยาวเหยียด สรุปได้ว่า
“คุณเรียวจันทร์ครับ ผมว่าคุณควรลดความเครียดลงบ้างนะครับ รู้สึกว่าอาการจะทรุดลงกว่าเดิมนะครับ”
“ร... เหรอคะ”
“ครับ จากอาการที่เล่ามาก็คือช่วงนี้เลือดกำเดายังไม่ทุเลาลงแล้วก็ไหลบ่อยขึ้นเรื่อยๆ ใช่มั้ยครับ”
“ค่ะ”
“เท่าที่ตรวจดู เส้นเลือดฝอยในจมูกของคุณมันเริ่มเปราะลงเรื่อยๆ ถ้าไม่ทำอะไรสักอย่างอาจจะทำให้เกิดฝีในโพรงจมูกหรือเนื้องอกในโพรงจมูกได้นะครับ”
“ขนาดนั้นเลยเหรอคะ”
“ตอนนี้ถ้าอาการเป็นหนักมากขึ้น อาจจะทำให้เกิดโรคที่เรียกว่าริดสีดวงในโพรงจมูกได้ครับ เพราะฉะนั้นคราวนี้ผมจะสั่งยาที่แรงขึ้นอีก แล้วก็ยาคลายเครียดรวมถึงยานอนหลับด้วย”
“ยานอนหลับด้วยเหรอคะ” ฉันรีบถามเพราะไม่ค่อยอยากพึ่งยาชนิดนี้เท่าไหร่นัก
“ครับ เพื่อให้ร่างกายของคุณได้พักผ่อนอย่างเต็มที่แต่ผมจะให้ที่ไม่แรงมาก เพื่อดูอาการก่อน และถ้าอาการยังทรุดหนักกว่านี้อีก ผมก็จะแนะนำให้คุณทำ MRI (เครื่องมือที่ใช้สำหรับสร้างภาพอวัยวะภายในร่างกาย) เพื่อวินิจฉัยได้ดีมากยิ่งขึ้น”
“อ่า... ค่ะ”
“ลดความเครียดบ้างนะครับ อาจจะเป็นด้วยการออกกำลังกาย ไปเที่ยว ดูหนังหรือฟังเพลงให้ร่างกายได้ผ่อนคลายบ้าง ถ้าเป็นไปได้ผมก็ขอแนะนำให้คุณหยุดงาน ถ้าคุณต้องการแบบนั้นผมก็จะเขียนใบรับรองแพทย์ให้ได้”
“ช่วงนี้หยุดไม่ได้เลยค่ะ งานเยอะมาก”
“ถ้าอย่างนั้นก็พักผ่อนให้มากๆ ก็แล้วกันนะครับ ผมขอแนะนำเลยว่า อย่านอนดึก ไม่งั้นอาการคุณจะทรุดหนักลงอีก”
“ค่ะ”
“มีคำถามมั้ยครับ”
“อาการแบบนี้จะใช้เวลารักษานานมั้ยคะ”
“มันขึ้นอยู่กับตัวคนไข้เองนั่นแหละครับว่าจะเข้มงวดและมีวินัยกับตัวเองแค่ไหน ไม่งั้นก็เป็นไปเรื่อยๆ พอปล่อยไปมันก็เรื้อรัง เป็นหนักเข้ามากขึ้นๆ มันก็ส่งผลเสียต่อร่างกาย” คุณหมอพูดพลางเขียนชื่อยาขยุกขยิกลงในแฟ้มประวัติของฉัน
“ค่ะ”
“มีคำถามอะไรอีกมั้ยครับ”
“ไม่มีแล้วค่ะ ขอบคุณค่ะคุณหมอ”
“ครับ งั้นเดี๋ยวผมจะนัดมาดูอาการอีกทีนะครับ”
“ค่ะ”
ฉันเดินออกจากห้องตรวจไปนั่งแหมะที่หน้าช่องจ่ายเงินและรับยา เซ็งจริงเว้ย ปัญหารุมเร้า ชีวิตตูเป็นอะไรนักหนาวะเนี่ย ฉันหยิบโทรศัพท์มือถืออกมาจากกระเป๋าอีกครั้งแล้วเปิดดูข้อความของฟาง ฉันมองตัวอักษรนั้นนิ่งหลังจากนั้นก็กดโทรออก
เสียงเพลงรอสายของสาวหน้าแรงวนไปแล้ว 2 รอบ แต่เจ้าของเครื่องก็ยังไม่รับสาย สงสัยคงจะงอนอยู่ เฮ้อ... ไอ้เรียวเอ้ย มีปัญหาแค่นี้ถึงกับต้องเหวี่ยงใส่คนอื่นเลยเหรอวะ แย่จริงๆ เลยมึง
ลองกดโทรไปหาอีกรอบ คราวนี้ขึ้นว่า Waiting แสดงว่าตอนนี้เจ้าของหมายเลขนี้กำลังคุยกับคนอื่นอยู่ ฉันถือหูรออยู่พักหนึ่ง เผื่อว่าฟางจะกดรับสายของฉัน แต่ก็ไม่... ฉันก็ทำได้แต่กดวางสาย
ฉันจ่ายเงินและรับยาหลังจากนั้นก็ขึ้นรถกลับบ้าน ฉันสัญญากับตัวเองไว้ว่าจะโทรหาเพื่อนสาวหลังจากถึงบ้านและจัดการเรื่องส่วนตัวเรียบร้อยแล้ว และภาวนาว่าในเวลาตอนนั้นสาวหน้าแรงคงจะรับสายของฉันบ้าง
...
21.40 น. ฉันนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ค นั่งทำงานในส่วนที่ขนกลับมาทำที่บ้าน ทำไปได้สักพักหนึ่งก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดโทรหาสาวหน้าแรงอีกครั้ง
ฟางปล่อยให้ฉันถือสายรอฟังเพลงอยู่ 3 รอบ ถึงจะกดรับสาย เสียงจ้อกแจ้กจอแจดังขึ้มาแทนที่เสียงของเพื่อนสาว ซึ่งแสดงว่าตอนนี้เธอกำลังอยู่ในงานเลี้ยงหรือตลาดที่ไหนสักแห่ง
“ฮัลโหลฟางเหรอ นี่ฉันเองนะ”
“อื้อ”
“แกอยู่ไหนอ่ะทำไมเสียงดังจัง”
“แกสนใจด้วยเหรอ”
โหยย เปลี่ยนสรรพนามแบบนี้แสดงว่ามันยังคงเคืองกูอยู่แน่เลย
“เอ่อ... ฉันขอโทษนะ แล้วก็ขอบคุณมากด้วยที่แกเป็นห่วง ที่ถามว่าอยู่ที่ไหนก็เห็นว่าเสียงมันดังก็เลยเป็นห่วง”
“ขอบใจนะที่เป็นห่วง แต่แกไม่เห็นจำเป็นต้องทำแบบนั้น ฉันไม่ใช่แฟนแกสักหน่อย” ป้าดดด นี่มันคำพูดกูเมื่อเช้านี่ ไอ้ฟาง มึงจำคำพูดทุกไดอะล็อกได้ถึงขนาดนี้แสดงว่ามันแค้นกูมาก...
“เฮ้ย... เรื่องเมื่อเช้าฉันขอโทษนะ พอดีว่าเครียดจัดแล้วก็ปวดหัวมากก็เลยอารมณ์เสียใส่แกอ่ะ ขอโทษจริงๆ”
“อื้อ”
รับคำมาสั้นๆ แบบนี้เรียวจันทร์ก็ฉิบหายสิครับท่าน โกรธอยู่ไม่หายแล้วกูจะทำยังไงให้มันหายโกรธละเนี่ย
“มีอะไรอีกป่าว”
“เอ่อ... ก็”
“ไม่พูดสักที รำคาญ แค่นี้นะ” สาวหน้าแรงพูดด้วยเสียงห้วนๆ แล้วก็วางสายไปเลย
คิ้วของฉันขมวดนิ่ว เฮ้อ... เซ็งจิต ไอ้ฟางมันเคืองฉันอย่างแรงแบบนี้คงต้องงอนฉันเป็นระยะเวลานานแน่ๆ คงต้องหาวิธีอื่นง้อตอนที่มันกลับมาซะแล้ว
ฉันนั่งทำงานต่อไปเรื่อยจนเวลาใกล้จะ 5 ทุ่ม อยู่ๆ สาวหน้าแรงก็โทรเข้ามาซะอย่างนั้น ไม่สิ ไม่เรียกว่าเป็นการโทรเข้ามา มันเป็นการยิงเบอร์เข้ามาเสียมากกว่า ฉันเลยโทรกลับไปหา
“ฮัลโหลที่รักเหรอคะ เค้าคิดถึงตัวจังเลย” ยังไม่ทันพูดอะไรเลยเสียงฟางดังขึ้นมาก่อน คำพูดและน้ำเสียงต่างจากเกือบ 2 ชั่วโมงที่แล้วราวกับหน้ามือเป็นหลังเท้า
ฉันตกใจกับคำพูดของเพื่อนสาว ขนที่แขนและคอลุกตั้งชันเพราะเสียงหวานจ๋อยของเพื่อนสาวที่ดูเหมือนว่ากำลังคุยกับแฟน แถมยังมีคำว่า “ที่รัก” อีก อู้ย ขนลุก
“เอ่อ... ฟ... ฟาง... แกเป็นอะไรมากป่ะ กินยาเขย่าขวดหรือเปล่าวะ”
“แหมม ที่รักก็... แค่เค้าโทรหาตัวช้าไปแค่ชั่วโมงเดียวทำไมต้องทำเสียงโกรธด้วยละคะ”
“ห... ห๋า...” ฉันร้องเสียงหลง นี่มันเป็นอะไรมากป่าววะเนี่ย
เสียงของสาวหน้าแรงหายไปพักหนึ่งท่ามกลางเสียงจอแจ หลังจากนั้นก็ดังขึ้นมาอีก คราวนี้ยิ่งทำให้ขนลุก เลือดกำเดาฉันแทบไหลอีกรอบ
“ตัวเองอ่ะ... เค้าคิดทึ้ง คิดถึงตัวเองมากเลยนะ เค้ารักตัวเองมากเลยนะคะ อย่างอนสิคะ เดี๋ยวกลับไปเค้าจะจัดหนักให้ตัวเองนะคะ อยากได้กี่ครั้งก็ตามใจตัวเองเลยน้า...”
ณ จุดนี้ ขอยกป้ายเรท ฉ. ฉิ่ง ให้ไอ้ฟางมันไปเลยค่ะ จัดนง จัดหนักอะไรของมันวะ แล้วกี่ครั้ง... โอ้ย... มึงพูดอย่างกะมึงไม่ทำได้งานกระทรวงศึกษาฯ กระทรวงแม่พิมพ์ของชาติเลยนะเว้ย!
แต่จู่ๆ เสียงของสาวหน้าแรงก็เปลี่ยนไปเป็นเสียงห้วนเช่นเดิม “แม่ง... หน้าตาอย่างกะปลาดุกถูกกินแก้มยังจะมาหลีกูอีก เซ็งเป็ด‘รมณ์เสีย”
“....................” ไม่มีคำพูดใดๆ ออกมาจากปากของฉัน รู้แต่ว่ามันเปลี่ยนอารมณ์ได้ไวมากเทียบเท่าความไวแสง
“ฟ... ฟาง”
“อะไร” เจ้าของชื่อตอบกลับด้วยเสียงแข็งปานกระดานไม้
“เมื่อกี้แกเป็นอะไร”
“ก็แค่โทรหาแกกันไอ้ผู้ชายที่เข้ามาจีบก็เท่านั้นเอง” นอกจากเสียงแข็งขึ้นแล้ว สรรพนามที่เรียกฉันว่า ‘ที่รัก’ เมื่อกี้ก็เปลี่ยนเป็นคำว่า‘แก’ ได้เร็วมาก
“ร... เหรอ”
“ไม่ใช่ว่าฉันอยากจะคุยกับแกหรืออยากให้แกเป็นไม้กันหมาหรอกนะ แต่พอดีชื่อแกมันขึ้นเบอร์แรกในลิสต์เบอร์โทรออกของฉันต่างหาก เห็นคุยด้วยแล้วอย่ามาทำได้ใจล่ะ ยังไงฉันก็ยังไม่ยกโทษให้แกหรอกนะ” คำพูดแบบนี้มันเหมือนตัวการ์ตูนที่มีคาแร็คเตอร์ ซึนเดเระ (รักนะแต่ไม่แสดงออก) แต่ฉันไม่รู้น่ะสิว่ามันซึนจริงๆ หรือเปล่า
“ก็ฉันขอโทษไปแล้วนี่นา จะให้ขอโทษอีกกี่ครั้งก็ได้”
“แค่คำพูดมันยังไม่พอหรอกย่ะ”
“แล้วแกจะให้ฉันทำยังไง”
“มันต้องมีการกระทำและพฤติกรรมตามมาด้วย อย่างน้อยๆ แกก็ต้องแสดงออกว่าฉันก็มีตัวตน เป็นคนๆ นึงที่เป็นห่วงแก ไม่ใช่คนที่ทำให้แกรำคาญแล้วก็ไล่ให้ไปไหนต่อไปอย่างกะหมูกะหมา นิสัยแกแย่มากเลยนะรู้มั้ย ทั้งดื้อ ทั้งหัวแข็ง ขี้รำคาญ ปากเสีย ปากหมา ไอ้บ้า”
โห ด่ามาเป็นชุด ถ้ามันมีปืนอยู่ในมือคงจะยิงกูจนพรุนซะแล้วละมั้ง
เสียงของสาวหน้าแรงยังคงก่นด่าฉันต่อไป จนฉันต้องพูดออกมาว่า “ค่าๆ ทราบแล้วค่ะคุณผู้หญิง แล้วจะให้อิฉันคนนี้ทำอะไรเพื่อไถ่โทษละคะ”
“มะรืนนี้มารับฉันเลย”
“เห็นทีคงจะไม่ได้ ทำอย่างอื่นแทนได้มั้ยอ่ะ”
ฟางขึ้นเสียงสูงทันที “อะไรกัน! ไหนบอกว่าจะทำได้ทุกอย่างเพื่อให้ฉันหายโกรธไง!”
คำนั้นกูยังไม่ได้พูดเลยนะ แค่ถามว่าจะให้ทำยังไงเท่านั้นเอง คิดเองเออเองอีกแล้ว
“แกลืมไปแล้วเหรอว่าวันเสาร์แกมีนัดกินข้าวกับเคียว”
“เออว่ะ ลืมไป”
“แล้วอีกอย่าง วันเสาร์ฉันก็ต้องไปเคลียร์งานที่ออฟฟิศด้วย”
“งั้นก็เอาอย่างอื่นก็ได้”
“อ่าฮะ”
“พาฉันไปช้อปปิ้ง กินข้าว ดูหนังในวันและเวลาที่ๆ ฉันอยากไป และฉันอยากจะทำ ที่สำคัญ แกต้องจ่ายให้ฉันให้หมด รวมทั้งเป็นคนขับรถให้ฉันด้วย”
เฮ้ย... นี่เห็นกูเป็นเพื่อนหรือว่าอะไรวะเนี่ย คนใช้ก็ไม่ใช่เพราะมันต้องจ่ายเงินให้ฉัน ไม่ใช่ฉันต้องออกเงินให้มัน สรุปมึงลดสถานภาพกูจากเพื่อนเป็นทาสกับตู้ ATM ไปแล้วใช่มั้ยไอ้ฟางงงงง
“เอ่อ... คุณเพื่อน” ฉันพูดขึ้นมาด้วยเสียงเบาๆ
“อะไร!” เสียงแข็งอีกแล้ว
“ไอ้ที่พูดมาเนี่ยจริงเหรอ”
“ก็จริงน่ะสิ แกคิดว่าฉันพูดเล่าหรือยังไง ฉันไม่ใช่เพื่อนเล่นแกนะ”
โหยยย ฟังมันพูดเข้า ไอ้เรียวเอ้ย มึงไม่น่าหาเรื่องเลย
“มีปัญหาหรือยังไง ถ้ามีปัญหาตั้งแต่นี้ต่อไปแกกับฉันก็ไม่ต้องมาคุยกันเลย”
‘แม่งเอ้ย! คิดว่ากูอยากจะคุยกับมึงนักหรือยังไง!’ ฉันอยากจะพูดคำนี้ใจจะขาด แต่ปากมันก็ไม่กล้า เพราะว่าความรู้สึกผิดเมื่อตอนเช้าและบ่ายนี้ยังค้างอยู่ในใจ เลยได้แต่พูดไปว่า
“ไม่ใช่ว่าไม่อยากคุยกับแก แต่ที่แกขออ่ะเห็นฉันเป็นบัตรเครดิตเคลื่อนที่ไปแล้วหรือยังไง ฉันไม่ใช่ป๋า ไม่ใช่พ่อเลี้ยงนะเว้ย”
“อะไร! ทำไม! แค่นี้ทำให้ไม่ได้ใช่มะ ชิ... ใช่ซี่...” แหนะ ขึ้นเสียงสูงอีกแล้ว แล้วทำไมไอ้ความรู้สึกผิดมันต้องมาหลังจากที่มันพูดเสียงสูงด้วยวะ โอ้ย... ไอ้อาร์ตตัวแม่เอ้ย!
“เออๆๆๆ ก็ได้ ยอมให้ก็ได้วะ ถือว่าเป็นการไถ่โทษ” กูยอมให้มึงก็ได้ เซ็งฉิบหาย
เสียงของสาวหน้าแรงตอบกลับออกมาอย่างดีใจหลังจากที่ได้ยินคำพูดของฉัน “เย้ๆๆๆๆ งั้นถ้าตัวว่างเมื่อไหร่เราไปกินอาหารญี่ปุ่นกัน เค้าอยากกินซูชิอ่ะตัว แล้วก็ดูหนังด้วย เมื่อตอนบ่ายเซรินโทรมาชวนเค้าไปดูหนังอาทิตย์หน้า”
เฮ้ย! สรรพนามเปลี่ยนไปดั่งหน้ามือเป็นหลังเท้าอีกแล้ว ไอ้ฟางมึงมีกี่อารมณ์กันแน่เนี่ย!
“แล้วก็ตอนนี้แป้งที่เค้าใช้อยู่ใกล้จะหมดพอดี ตัวซื้อ M.A.C หรือ NARS ให้เค้านะ เค้าอยากได้อ่ะ ไม่มีแป้งดีๆ ใช้นานแล้ว”
มันชักจะไปกันใหญ่แล้ว ทั้งอาหารญี่ปุ่น ทั้งแป้ง แต่ทำไมเสียงมันเปลี่ยน เหมือนมันไม่โกรธฉันซะอย่างนั้นล่ะ เริ่มงงแล้วนะเนี่ย
“ด... เดี๋ยวๆๆๆ ไอ้ฟางนี่มันอะไรกัน ทำไมทำเสียงกระดี๊กระด๊า แกไม่ได้โกรธฉันหรอกเหรอ”
“โกรธดิ แต่พอได้ยินตัวเองพูดว่าขอโทษก็หายแล้ว แต่ก็อยากแกล้งตัวเองต่ออ่ะ สนุกดี”
อ้ากกกกกกกกกกก โดนมันแกล้งคืน แถมตอแหลซะเนียนด้วย ไอ้เรียวมึงไม่น่าเล้ยยยยยยย
“อ้าวเฮ้ย! งั้นเมื่อกี้ก็...” หายโกรธกูนานแล้ว แบบนี้ต้องยกเลิก ที่พูดเมื่อกี้เป็นโมฆะ แต่เพื่อนสาวก็ไวกว่าฉันเพราะคุณเธอรีบพูดออกมาว่า...
“หยุดเลย! ลูกทหารพูดคำไหนคำนั้น” เอาคำพูดนี้มาสกัดดาวรุ่งกูอีกแล้ว
“....................” อึ้งรับประทานอีกหนเจ้าค่ะ
สาวหน้าแรงยังคงพูดต่อไป “อาหารญี่ปุ่นที่เค้าอยากกินอ่ะ ตัวว่าพวกเราไปกินที่ร้านไหนกันดีเหรอ เห็นเพื่อนเค้าบอกว่าแถวๆ ทองหล่อร้านเยอะมาก น่ากินทั้งนั้นเลยด้วย แถวซอยอารีย์ก็มีนะ หรือว่าถ้าจะดูหนังด้วยก็ต้องกินในห้างฯ ตัวว่าพวกเราจะกินร้านไหนกันดี”
“....................” ยังพูดไม่ออก ปล่อยให้คุณเธอพล่ามต่อไป
“งั้นเราไปกิน Otoya กันมั้ย หรือไม่ก็ ZEN แต่ฟูจิก็น่าสนนะ เค้าอยากกินพุดดิ้งอ่ะ”
มือฉันเริ่มกุมขมับ นี่กูแพ้มารยามันอีกแล้วเหรอเนี่ย โดนมันหลอกให้รู้สึกผิดตั้งครึ่งค่อนวัน นี่กูหลงรักไอ้คนแบบนี้ได้ยังไงกันเนี่ย!
จู่ๆ เสียงฟางก็เงียบลงไป ฉันก็เลยพูดกลับไป “ฟาง... ฮัลโหล... ฟาง... แกเป็นอะไร”
“อุ้ย ฟางๆ ดูคนนั้นสิหล้อหล่ออ่ะ จ้องมาทางแกใหญ่เลย” เสียงผู้หญิงคนหนึ่งดังเข้ามาในหูโทรศัพท์
“อื้อ” ฉันเดาท่าทางมันออก เพื่อนสาวของฉันคงกำลังเก๊กสวย อยู่แน่ๆ ด้วยท่านั่งหลังตรง ไขว่ห้าง เอามือเท้าคาง เงยหน้าขึ้น 30 – 45 องศา แล้วมองด้วยหางตา ขยิบตาหน่อยๆ เพื่อให้ดูเป็นเขิน ริมฝีปากอมยิ้มน้อยๆ ตอนนี้สายตาของคุณเธอคงจะมองปราดไปที่ชายหนุ่มคนที่ว่าให้หัวใจเต้นแรงเรียบร้อยแล้ว
“ดูดิๆ จ้องมาทางแกใหญ่เลยอ่ะอ้ายยยย” เสียงเพื่อนของฟางดังขึ้นมาอีกครั้ง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าฟางในมโนภาพที่ฉันวาดเอาไว้เมื่อครู่เป็นจริงอย่างแน่นอน
เสียงของสาวหน้าแรงดังขึ้นมาด้วยคำพูดดูเหมือนจะเขินอาย แต่ฉันว่ามารยาระดับครูอย่างเพื่อนสาวของฉันคงจะแกล้งทำอย่างแน่นอน
“ เมย์อ่ะ อย่าพูดอย่างนั้นสิ... เค้าเขินนะ”
“แหมม... เราพูดเรื่องจริงนะ เนี่ยๆ จ้องมาทางฟางใหญ่เลยอ่ะ”
เอ่อ... จะให้กูถือหูรออีกนานมั้ยอ่ะคุณเพื่อน
“อ้ายย คุณคนนั้นเค้าเดินเข้ามาทางนี้แล้วอ่ะ เมย์... เค้าจะทำยังไงดี” เสียงของฟางดังขึ้นมา ฉันนึกภาพตามได้เลยว่าผู้ชายคนนั้นคงจะเดินเข้ามาหาสาวหน้าแรงที่โต๊ะเป็นแน่
เฮ้อ... นี่มึงจะบริหารเสน่ห์ไปถึงไหนเนี่ย ถ้าไม่คิดจะรักใครจริงก็อย่างทำแบบนี้เลย เดี๋ยวไปหักอกเค้ามาโดนเค้าเอาคืนเหมือนคราวที่แล้วบ้างจะมานั่งร้องไห้ให้ฉันปลอบอีกเป็นแน่
เพื่อนสาวกดวางสายไปแล้ว คงจะคุยกับผู้ชายคนนั้นอยู่แล้วไม่อยากให้ฉันได้ยิน ฉันวางโทรศัพท์มือถือลงข้างตัว หยิบยานอนหลับขึ้นมากิน แล้วลงมือปิดคอมพ์เพื่อเข้านอน หมอบอกว่าหลังจากกินยาเข้าไปแล้วจะต้องเข้านอนภายใน 15 นาที แต่ก่อนที่จะปิดเครื่อง ฉันก็เปิดเพลงเก่าขึ้นมาฟัง 1 เพลง ซึ่งมันเข้ากับบรรยากาศเมื่อสักครู่มากๆ
Playgirl ฉันตกหลุมรักกับ Playgirl
และฉันควรทำตัวอย่างไร และจะเป็นเช่นไรเมื่อในตอนนี้
ฉันตกหลุมรักกับ Playgirl ฉันมอบหัวใจให้กับ Playgirl
และฉันควรทำตัวอย่างไร เมื่อฉันอาจจะต้องเสียใจกับ Playgirl คนนี้
(เพลง Playgirl: Lipta)
พรุ่งนี้ มะรืนนี้ หรือวันต่อๆ ไป ฉันกับไอ้ฟางจะเป็นยังไงฉันก็ไม่รู้แล้วล่ะ คงต้องรีบทำใจซะตั้งแต่ตอนนี้ซะแล้วสิ