Dream ฝันค้างบนทางรัก Yuri
บทที่ ๒๑ : หากแม้นโลกาจักไร้ซึ่ง “อิสตรี” ก็จักไม่ขอมีบุรุษใด
รุ่งสางของวันมหามงคลวันอภิเษกสมรส ระหว่างเจ้าชายอติรัณณ์ เจ้าชายรัชทายาทแห่งนครบุปผาลัยซึ่งทรงอานุภาพยิ่งใหญ่เกรียงไกรเหนือบรรดานครทั้งปวงกับเจ้าหญิงนลินยุพา เจ้าหญิงเพียงพระองค์เดียวของนครพินทุปุระซึ่งยิ่งใหญ่ไม่แพ้กัน
เพลานี้ พสกนิกรและข้าราชบริพารต่างกำลังตื่นเต้นตระเตรียมงานอภิเษก แขกเหรื่อต่างบ้านต่างเมืองเริ่มทยอยเดินทางมารอร่วมงานเฉลิมฉลองอภิเษก ทำให้บรรยากาศในนครพินทุปุระเต็มไปด้วยความคึกคักชื่นชม รอยยิ้มประดับอยู่ทุกใบหน้า จะเว้นเสียแต่ผู้เป็นเจ้าสาวและพระขนิษฐาของผู้เป็นเจ้าบ่าว
“พระฉวีของพระธิดางดงามยิ่งเพคะ หากเจ้าอติรัณณ์ได้ทรงทอดพระเนตร พระองค์ก็คงจะทรงพึงใจมิน้อยเพคะ” พระพี่เลี้ยงกันตากราบทูลชื่นชม
“ขอบใจมากกันตา แต่หากเลือกได้เราขอเป็นเพียงคนธรรมดาที่มีสิทธิ์เลือกอยู่กับที่เรารักได้ก็พอ”
“โถ่ ! พระธิดาของหม่อมฉัน ความรักของทั้งสององค์มิมีทางจักเป็นไปได้ ทรงหักพระทัยเถิดเพคะ” พระพี่เลี้ยงตรัสด้วยความรู้สึกสงสารพระธิดาจับใจ
“กันตาหากเราอภิเษกแล้ว เราฝากเสด็จพ่อเสด็จแม่เราด้วยนะ ไม่รู้ว่าอีกนานเพียงใดเราถึงจักได้มาเยือนอีกครา...” เจ้าหญิงนลินยุพาตรัสด้วยพระสุรเสียงเศร้า พระอัสสุชลคลั่งคลออยู่ในเบ้าพระจักษุ
“หนทางระหว่างสองนครมิไกลนัก ถ้าพระองค์อยากเสด็จมา เจ้าอติรัณณ์ก็มิทรงขัดหรอกเพคะ”
พระธิดารับสั่งเป็นนัย แต่พระพี่เลี้ยงกันตาหาได้เข้าใจไม่ นางเข้าใจไปอีกทาง.....
งานอภิเษกสมรสของเจ้าชายอติรัณณ์และเจ้าหญิงนลินยุพา ถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่สมพระเกียรติพระโอรสและพระธิดาของสองนคร ซึ่งทรงอานุภาพยิ่งใหญ่เกรียงไกรเหนือบรรดานครทั้งปวง ดังนั้นแขกเหรื่อภายในงานที่มาร่วมเป็นสักขีพยานความรักในครั้งนี้ ก็ย่อมมีมากมายเหลือคณานับ ทั้งพระมหากษัตริย์และพระมเหสี พระราชวงศ์ของนครต่างๆ พสกนิกรและข้าราชบริพารแขกเหรื่อต่างบ้านต่างเมืองต่างก็เดินทางมาร่วมงานนี้ด้วยเช่นกัน
พระตำหนักหลวงแห่งนครพินทุปุระถูกตกแต่งให้เป็นปะรำพิธีในการจัดงานภายในถูกประดับประดาไปด้วยอัญมณีหลากสี ทองคำสุกปลั่ง และหมู่มวลบุปผามาลีหลากสีสันนานานพันธุ์ที่ถูกกรองเป็นมาลัยและจัดช่อประดับตามจุดต่างๆทั่วพระตำหนัก ส่งกลิ่นหอมกรุ่นกำจายไปทั่วบริเวณ อีกมุมหนึ่งนางกำนัลที่ชำนาญการด้านดุริยางค์กำลังทำหน้าที่บรรเลงดนตรีและขับทำนองเสนาะอันไพเราะละมุนละไมขับกล่อมบรรดาแขกเหรื่อภายในงาน นางระบำร่ายรำด้วยท่วงท่าชดช้อยงดงาม สร้างความสุขสราญแก่บรรดาแขกเหรื่อยิ่งนัก
บนราชบัลลังก์ทองคำสุกปลั่ง พระเจ้าชัยวรเมธและพระนางสวรินทร์เทวีทรงประทับนั่งด้วยพระพักตร์เศร้าสร้อยด้วยทรงทราบดีว่าการอภิเษกในครานี้พระธิดาหาได้เต็มพระทัยไม่ อีกทั้งเจ้าชายธราเทพ พระเชษฐาของเจ้าหญิงนลินยุพาก็ทรงร้อนรุ่มพระทัยยิ่ง พระพักตร์หม่นเศร้าของพระขนิษฐาทำให้พระองค์ทรงสังเวชพระทัยในชะตากรรมที่มิอาจหลีกเลี่ยงได้ เจ้าบ่าวและเจ้าสาวต่างก็อยู่ในชุดทรงสีงาช้างเหลือบทองอร่ามพร้อมกับเครื่องประดับศิราภรณ์อัญมณีมีค่าสวยงามตระการตา
ทว่าบรรยากาศอันหอมหวานภายในงานมิได้ส่งผลให้เจ้าหญิงนลินยุพาทรงสุขพระทัยสักนิด ทรงประทับรับน้ำสังข์เคียงคู่กันบนราชอาสน์ด้วยพระทัยร้าวราน ทรงแย้มพระโอษฐ์แสนเศร้าประดับอยู่บนพระพักตร์งาม
“ขอคุณพระศรีรัตนตรัยจงอำนวยสุขแก่ลูกทั้งสอง...” พระเจ้าชัยวรเมธและพระนางสวรินทร์เทวีทรงร่วมรดน้ำสังข์แก่คู่บ่าวสาว เจ้าชายอติรัณณ์ทรงแย้มโอษฐ์ด้วยความยินดียิ่ง ตรงข้ามกับเจ้าหญิงนลินยุพาซึ่งทรงแย้มพระโอษฐ์เพียงเล็กน้อย
บรรดาแขกเหรื่อภายในงานรดน้ำสังข์แสดงความยินดีกับคู่บ่าวสาวและบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า ทั้งสององค์ทรงศิริโฉมเหมาะสมกันยิ่งนัก
“ขอให้เสด็จพี่ทั้งสององค์ทรงครองคู่กันยิ่งยืนนานเพคะ...” เจ้าหญิงมณีจันทร์ทรงรินรดน้ำสังข์ให้ทั้งสององค์เป็นลำดับสุดท้ายด้วยพระทัยจะขาดรอนๆ ทรงสบเนตรเจ้าหญิงนลินยุพาด้วยสายพระเนตรที่เต็มไปด้วยความทุกข์ระทม
เมื่อพิธีเสร็จสิ้นแล้ว เจ้าชายอติรัณณ์ทรงดื่มน้ำจัณฑ์ร่วมกับพระสหายที่มาแสดงความยินดี ทรงแย้มสรวลอย่างเปี่ยมสุข เพียงแค่นึกว่าคืนนี้พระองค์จะได้ร่วมอภิรมย์สมปองกับนางอันเป็นที่รัก...
เจ้าหญิงนลินยุพาประทับเพียงลำพังในห้องหอ แสงจันทร์สาดส่องลงยังพระแท่นบรรจถรณ์ ทรงหยิบสร้อยพระศอประดับจี้รูปทรงพระจันทร์เสี้ยวมาแนบพระอุระ ความคิดบางอย่างแวบเข้ามาในความคิดของพระนาง
“มณีจันทร์...พี่จักไม่ยอมให้ความรักของเราต้องลงเอยเยี่ยงนี้...หากแม้นโลกาจักต้องไร้เจ้า พี่จักไม่ปรารถนาอิสสตรีหรือบุรุษใดทั้งนั้น...” พระนางตรัสอย่างเด็ดเดี่ยวก่อนผลัดเปลี่ยนเครื่องทรง จัดแจงพระแท่นบรรจถรณ์ให้เหมือนพระนางทรงบรรทมอยู่ก่อนจะเผยพระแกล๑ และทรงกระโดดออกไปจากห้องนั้น
.....................................................................................
ดึกสงัดท่ามกลางบรรยากาศชื่นมื่นของงานอภิเษกสมรส เจ้าหญิงมณีจันทร์ทรงบรรทมนิ่งบนพระแท่นบรรจถรณ์น้ำพระเนตรไหลอาบพระพักตร์ด้วยความขมขื่นพระทัย... เพลานี้พระนางอันเป็นที่รักคงกำลังสุขสมกับพระเชษฐา ทรงลืมพระองค์จนสิ้นแล้ว
ท่ามกลางคืนเหน็บหนาวดาวไร้เมฆ ดูวิเวกหวั่นไหวชวนไห้หวน
เสียงลมหวิวปลิวไหวคล้ายใจครวญ ภาพเก่าชวนหวนหาให้อาลัย
หยดน้ำตาคั่งค้างหว่างร่องแก้ม สะอื้นแซมเกินกลั้นด้วยหวั่นไหว
กลางคืนหนาวเช้าร้อนอ่อนฤทัย ชลนัยน์ไหลหลั่งทั้งอุรา
เสียงเต้นรัวหัวใจยามไหวเปลี่ยว ใจห่อเหี่ยวร่วงโรยเฝ้าโหยหา
สายลมคลึงดึงร่วงพวงน้ำตา อาบพักตราหม่นเศร้าร้าวหทัย
“น้องหญิง น้องหญิง...” พระสุรเสียงหวานบนเศร้าดังมาจากพระแกล ๑ เจ้าหญิงมณีจันทร์ทรงพระดำเนินไปถอดดาลที่ลั่นไว้
“เจ้าพี่ เจ้าพี่ทรงมาได้เยี่ยงไร แล้วเสด็จพี่อติรัณณ์เล่าเพคะ” ตรัสถามด้วยพระสุรเสียงสั่น เมื่อคนที่พระนางกำลังทรงคิดถึงเสด็จมาอยู่ตรงหน้าพระพักตร์ พระวรกายของพระนางทรงชุดฉลองพระองค์เยี่ยงบุรุษเพศสีดำสนิท
“เสด็จพี่อติรัณณ์ทรงกำลังดื่มน้ำจัณฑ์อย่างสำราญกับพระสหาย มณีจันทร์...พี่จักหนี เจ้าจักหนีไปกับพี่ฤๅไม่...”
“เจ้าพี่....”
“เจ้าไม่ไปใช่หรือไม่ เจ้าหมดรักพี่แล้วฤๅ...” เจ้าหญิงนลินยุพาตรัสด้วยพระสุรเสียงตัดพ้อ อย่างทรงน้อยพระทัย
“หม่อมฉันยินดีไปกับเจ้าพี่เพคะ ต่อให้จะต้องหนีไปสุดหล้า หรือหม่อมฉันจะต้องตาย หม่อมฉันก็จักหนีเพคะ...” เจ้าหญิงมณีจันทร์ตรัสพร้อมกับทรงเก็บข้าวของส่วนพระองค์ใส่ห่อพระภูษา
“เจ้าพี่ทรงรับหม่อมฉันด้วยนะเพคะ” ตรัสพร้อมกับทรงปืนพระแกล ทิ้งพระวรกายอยู่เบื้องล่างที่มีเจ้าหญิงนลินยุพาทรงรอรับอยู่
เจ้าหญิงทั้งสองพระองค์ทรงโอบกอดพระวรกายของกันและกันอย่างแสนเสน่หา หากต้องมีพระชนชีพโดยปราศจากกันและกันแล้ว พระองค์จะทรงมีพระชนชีพต่อไปเพื่ออันใด...
“พี่ว่าเรารีบไปกันเถิด... ก่อนที่คนอื่นจักมาเห็น”
“เพคะ...”
เจ้าหญิงนลินยุพาทรงยกพระวรกายบอบบางของเจ้าหญิงมณีจันทร์ไว้บนหลังอินทรอาชา ม้าทรงตัวโปรดของพระองค์ ก่อนจะทรงขึ้นมาประทับด้านหลังนางอันเป็นที่รักและควบม้าออกไปอย่างรวดเร็วและเงียบกริบ...
เจ้าชายอติรัณณ์ทรงเข้ามาในห้องหอเพลาค่อนคืน สายพระเนตรจับไปที่พระแท่นบรรจถรณ์อย่างทรงหลงใหล ยิ่งนัก
“น้องหญิง น้องหลับแล้วฤๅ...” ตรัสถามพร้อมกับแย้มสรวล
เจ้าชายหนุ่มทรงเสด็จไปยังห้องสรงน้ำข้างๆห้องหอด้วยพระทัยเปี่ยมสุข จวบจนสรงน้ำเสร็จพระองค์ก็กลับเข้ามาในห้องหอ แต่งพระวรกายด้วยฉลองพระองค์สีขาวปักดิ้นทองและพระสนับเพลาสีเข้ม เสด็จพระดำเนินมาประทับยังพระแท่นนั้นด้วยพระทัยที่เต้นระรัว พระพักตร์แดงก่ำด้วยฤทธิ์น้ำจัณฑ์ที่ยังมิจางไป
“น้องหญิง....” ตรัสพร้อมกับเอนพระวรกายลงบรรทมบนพระแท่นบรรจถรณ์นั้น
ทรงเอื้อมพระกรแข็งแกร่งไปโอบกอดเรือนร่างใต้ผ้าคลุมบรรทม สัมผัสผิดแผกจึงทรงเผยผ้าคลุมบรรทมขึ้น สิ่งที่ปรากฏต่อสายพระเนตรมีเพียงพระเขนยที่จัดวางเรียงกันให้ดูคล้ายรูปร่างคนเท่านั้น...
“น้องหญิง น้องอยู่ที่ใด” ตรัสพร้อมกับพระดำเนินหาพระนางทั่วพระตำหนัก
“มีอันใดฤๅเพคะ เจ้าชาย” พระพี่เลี้ยงกันตา เดินมากราบทูลแทบพระบาท
“น้องหญิงนลินยุพา นางหายไป” ตรัสด้วยน้ำเสียงกร้าว
“พระธิดาทรงบรรทมอยู่ในพระแท่นบรรจถรณ์เพคะ”
“ไม่มี นางไม่ได้อยู่ในนี้ ทหาร ทหาร!!!!” ตรัสตอบพร้อมทรงเรียกหาทหารให้มาชุมนุมกันหน้าพระตำหนัก
“ทรงพระทัยเย็นก่อนเพคะเจ้าชาย พระธิดาทรงเสด็จพระดำเนินพระตำหนักพระมารดากระมังเพคะ”
เจ้าชายอติรัณณ์กะเกณฑ์ไพร่พลติดตามหาเจ้าหญิงนลินยุพาทั่วทั้งพระราชวังแต่ไม่พบ อีกทั้งเจ้าหญิงมณีจันทร์ก็ยังหายไปด้วย พระพี่เลี้ยงกันตาตกใจแทบสิ้นสติ หรือว่าพระธิดาจะทรงหนีไป หนีไปกับใคร เจ้าหญิงมณีจันทร์ฤๅ
“ทหารไปค้นหานางให้ทั่วเมือง...” เจ้าชายอติรัณณ์ตรัสด้วยไฟโทสะที่กำลังโหมไหม้...
เจ้าหญิงนลินยุพาและเจ้าหญิงมณีจันทร์ทรงม้ามาถึงชายป่า รอยต่อระหว่างเมืองต่างๆ ทรงผินพระพักตร์ไปยังนครพินทุปุระ ทั้งสององค์ทรงทอดพระเนตรพบว่าทั่วทั้งนครสว่างไสวด้วยแสงไฟ เสียงฝีเท้าของอาชาไนยดังทั่วทั้งนคร
“เจ้าพี่...เราจะไปทางไหนดีเพคะ ป่านนี้เสด็จพี่อติรัณณ์คงจะทรงทราบแล้วว่าเราหนีมา...น้องกลัวเพคะเจ้าพี่” เจ้าหญิงมณีจันทร์ตรัสด้วยพระสุระเสียงเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น
“ไม่ต้องกลัวไปหรอกน้องหญิง...พี่จะปกป้องเจ้าด้วยชีวิต....” ตรัสพร้อมกระชับเรือนร่างบอบบางของนางอันเป็นที่รักไว้ในวงพระกรก่อนจะควบม้าไปทางด้านหนึ่งของชายป่า
เจ้าหญิงทั้งสองพระองค์ทรงม้ามาจนถึงผาน้ำตกแห่งหนึ่ง ที่คล้ายม่านน้ำขนาดมหึมา สายน้ำไหลจากที่สูงสาดกระเซ็นกระทบหินแตกเป็นละอองพราวระยับสวยงาม เสียงน้ำปริมาณมหาศาลที่โถมกระแกก้อนหินใหญ่น้อยเคล้าเสียงนกน้อยขับขานช่วยให้ผืนป่าเขียวขจีดูมีชีวิตชีวา
ฝูงปลาเล็กใหญ่หลากสีสันแหวกว่ายธารน้ำดูงดงามล้ำค่าน้ำในธารใสแลเห็นกรวดหินและผืนทราย ดอกบัวหลากหลายพรรณบานชูช่ออยู่รอบๆธารน้ำ ผีเสื้อพากันบินว่อนเชยชมปทุมมาทำให้เจ้าหญิงทั้งสององค์นิ่งตะลึงในความงดงามราวแดนสวรรค์ อินทรอาชาย่อตัวลง เจ้าหญิงนลินยุพาทรงลงจากหลังของมัน พร้อมกับทรงอุ้มพระวรกายบอบบางของพระน้องนางลงจากหลังม้าทรงอย่างทะนุถนอม
เสียงควบอาชาไนยดังแว่วมาแต่ไกลและใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ทำให้เจ้าหญิงทั้งสององค์ทรงได้สติขึ้นมา... ทั้งสององค์ต่างโอบกอดกันกันและกันเอาไว้
“น้องหญิงเราไม่มีทางเลือกแล้วเจ้าจะว่ากระไร”
“เจ้าพี่จะกระโดดลงไป ฤๅเพคะ”
“ใช่”
“หม่อนฉันยินดีตามเจ้าพี่ไปทุกหนทุกแห่งเพคะ...”
เจ้าหญิงมณีจันทร์และเจ้าหญิงนลินยุพาเสด็จพระราชดำเนินไปริมผาน้ำตก โอบกอดพระวรกายของกันและกันไว้ก่อนตัดสินพระทัยกระโดดลงไปเบื้องล่าง พระวรกายบองบางหมุนคว้างก่อนจมดิ่งลงไปในห้วงวารี...
เจ้าชายอติรัณณ์ติดตามมาไม่ทันเพียงเสี้ยววินาที พระองค์ทรงพบเพียงอินทรอาชาเดินเล็มหญ้าอยู่บริเวณนั้น ทำเอาพระทัยของเจ้าชายอติรัณณ์เดือดพล่านจนแทบคลั่ง พระพักตร์แปรเปลี่ยนเป็นสีแดงด้วยความพิโรธ
........................................................
๑ พระแกล หมายถึง หน้าต่าง