นี่คืองานแรก บทบาทใหม่ที่สิตางค์ไม่เคยทำมาก่อน
มินิคูเปอร์สีดำคาดขาวนำเธอไปยังสถานที่ปลายทางในช่วงเช้ามืด ทะยานไปบนท้องถนนมุ่งตรงสู่สนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งตั้งอยู่ชานเมืองหลวงฝั่งตะวันออกคนละซีกกับที่พักของเธอ ใช้เวลากลับใช้เวลาไม่นานนัก ก็ถึงยังจุดหมายด้วยเวลาเพียงสี่สิบนาทีเศษ
กำหนดการที่ได้รับจากคุณศิรี เลขาส่วนตัวของคุณทรงยศผู้มีตำแหน่งซีอีโอของซินเทียโปรดักส์ชั่นเฮ้าส์และผู้ว่าจ้างหลังของเธอ แจ้งให้ทราบทางอีเมลล์ว่า หลานสาวคนเดียวของเขาจะบินตรงจากนิวยอร์กจะมาถึงเมืองไทยไม่เกินเจ็ดโมงเช้า
หญิงสาวเหลือบมองนาฬิกาข้อมือเมื่อถอยรถเข้าจอดที่ชั้นสามติดกับประตูทางเข้าสนามบินฝั่งขาเข้า
น่าจะยังพอมีเวลาหาอะไรรองท้องได้อย่างสบาย
เธอเก็บคว้ากระเป๋าสะพายใบเก๋า เอี้ยวตัวไปทางเบาะหลังเพื่อหยิบกระดาษแข็งแผ่นใหญ่ซึ่งเขียนชื่อผู้ที่เธอจะมารับเป็นภาษาอังกฤษตัวพิมพ์ใหญ่และหนาขนาดเจ็ดสิบสองนิ้ว
แต่แล้วสายตาก็พลันเหลือไปเห็นบางอย่างที่ช่องวางเท้าของผู้โดยสารฝั่งขวา กล่องกระดาษสีน้ำตาลถูกซ่อนอยู่อย่างมิดชิด
สิตางค์เอื้อมตัวมาหยิบกล่องและเปิดดูข้างใน นอกจากจดหมายน้อยที่แทรกตัวอยู่ในกล่อง อุปกรณ์ป้องกันตัวทั้งหลายแหล่ไม่ว่าจะเป็นเครื่องช็อตไฟฟ้าขนาดพกพา สเปรย์พริกไทย มีดคัตเตอร์เล่มจิ๋ว สนับมือ ซึ่งสิตางค์ก็พอเข้าใจ แต่ไอ้ยาคุมฉุกเฉิน แผ่นเทสตั้งครรภ์และถุงยางอนามัยกล่องเล็กๆที่ถูกใส่ลงมาในนั้นด้วยนี่มันใช่เครื่องป้องกันด้วยอย่างนั้นหรือ?
“เอาไว้ป้องกันตัวนะเพื่อน ทั้งต่อตัวแกเองและต่อเจ้านายของแก ^^ (ยามฉุกเฉิน)”
ขณะที่สิตางค์กำลังขำก๊ากของในกล่องที่เพื่อนกลุ่มสวยเตรียมไว้ให้หลังจากทัดทานความคิดของเธอไม่สำเร็จ โทรศัพท์สายด่วนที่เธอตั้งเสียงเรียกเข้าเฉพาะให้เป็นของศิรีก็ดังขึ้น
“คะ..ว่าไงนะคะ?”
“ขอโทษค่ะที่โทรมาช้า พี่จะบอกคุณสตางค์ว่าตารางบินของคุณอลิซที่เพิ่งได้อัพเดทมา ตอนนี้เครื่องแลนด์ดิ้งเรียบร้อยและคุณอลิซน่าจะอยู่ในสนามบินแล้วค่ะ”
“ค่ะๆ จะรีบไปค่ะ” สิตางค์รีบกดวางสาย ยัดกล่องไว้ดังกล่าวไว้ที่เดิม และรีบวิ่งหน้าตั้งพร้อมกับกระดาษแผ่นเบ้อเริ่มที่เตรียมมาในช่องผู้โดยสารขาเข้าประเทศ
ผู้คนทะยอยออกมากันแล้ว
“โอ๊ย! บ้าจริง” สิตางค์บ่นพึมพำ ไม่คิดเลยว่าวันแรกก็ต้องวุ่นวายจนหัวหมุนขนาดนี้
หญิงสาวชูป้ายกระดาษ พร้อมกับชะเง้อมองหาผู้หญิงที่หน้าตาเหมือนคนในรูป จนเวลาผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมงก็ยังไม่เห็นคนหน้าตาที่คล้ายคลืง หรือเจ้าตัวที่มีเดินมาหาเธอเลยแม้แต่คนเดียว
“ทำยังไงดีล่ะ?” หญิงสาวพยายามนึก มือข้างหนึ่งควานหาโทรศัพท์ลงในกระเป๋าสะพายเพื่อโทรหาเบอร์โทรศัพท์ของศิรี เธอน่าจะเป็นคนเดียวที่ให้ข้อมูลการติดต่อของเจ้านายของเธอได้ ขณะก้มกดเบอร์โทรศัพท์ จู่ๆก็เหมือนมีคนเข็นบางสิ่งมาไว้ตรงหน้าเธอภาพที่หญิงเห็นทอมบอยผมสั้นสุดเท่ห์ในแจ๊กเกตหนังสีน้ำตาลและกางเกงยีนส์ขาเดฟสีทึบ ดวงตาถูกปกปิดด้วยแว่นกันแดดเลนส์ดำสนิท
บร๊ะเจ้า!!!ทอมบอยอะไรจะหล่อได้ขนาดนี้? ผู้ชายแท้ๆยังแพ้เลยนะเนี่ย!
แต่..ตอนนี้ช่วยไปยืนไกลๆหน่อยได้ไหม? หล่อแค่ไหนฉันก็ไม่สน
“เอ่อ!.ประตูทางออกอยู่ด้านนั้นค่ะ” สิตางค์ชี้ไปทางด้านหลังและเรียกสติให้กลับมาสนใจกับโทรศัพท์ตรงหน้า
“คุณคะ” เสียงห้าวๆของสาวหล่อและรอยยิ้มของเธอฉุดให้สิตางค์เงยหน้าจากจอมือถือกลับขึ้นมาจ้องคนตรงหน้าแทน
อ๊ากส์!อย่ายิ้มได้ไหม? ..สติๆ อยู่ที่ไหนกลับมาด่วน
สิตางค์พยายามกลั้นยิ้มและพูดคุยกับคนตรงหน้าเธอด้วยท่าทีที่จริงจัง
“นี่! ถ้าคุณจะมาขอความช่วยเหลือจากฉันล่ะก็กรุณารอสักครู่นะคะ ดิฉันมีธุระด่วนต้องคุยโทรศัพท์แต่ถ้าหากรอไม่ได้ อิมฟอร์เมชั่นที่ด้านหน้าช่วยคุณได้ค่ะ”
“คุณตามหาคนชื่อนี้ใช่ไหม?” ทอมบอยร่างสูงชี้ไปยังแผ่นป้ายที่สิตางค์เหน็บเอาไว้ที่วงแขนข้างซ้าย
“ใช่ค่ะ”
“ฉันถึงเดินมาที่นี่ไง”
เป็นไปไม่ได้
ร่างและสติของสิตางค์สตันท์ไปเกือบสามวินาที
ข้อมูลที่ได้รับมา คนที่เธอต้องดูแลของเธอเป็นสาวหน้าหวาน ไม่ใช่ทอมบอยร่างโย่งคนนี้
“คุณนี่เหรอ อลิซเบซ หวัง?” สิตางค์ทำหน้างง ชี้ไปยังบุคคลตรงหน้าที่พยักหน้าอย่างงงๆ
“ไหนล่ะหลักฐาน?”
“หลักฐานอะไร?”
“อ้าว! ข้อมูลได้มา คนที่ฉันจะรับหน้าที่ไม่เห็นจะเหมือนกับคุณเลย แล้วชั้นจะมั่นใจได้ไงว่าคุณเป็นตัวจริง ไม่ใช่พวกมิจฉาชีพที่แอบอ้างมาสวมรอยแทน”
คำกล่าวหาของสิตางค์ทำให้ทอมบอยที่ยืนข้างหน้าเริ่มฉุน หนอยย! ยัยบ้องส์มาหาว่าเราเป็นมิจฉาชีพ มีอย่างที่ไหนถึงไดกล้ามากล่าวหากันแบบนี้?
หนังสือเดินทางและหนังสืออนุญาตทำงาน(work permit) ถูกยื่นให้กึ่งโยน สิตางค์รับไปดูก่อนมองคนตรงหน้าอีกครั้งด้วยความครางแครง
“นี่ก็ไม่เหมือน” สิตางค์เปิดพาสปอร์ตที่มีรูปขึ้นเทียบกับหน้าของสาวห้าว ผู้หญิงผมยาวตาโตและหน้ากลมกับคนตรงหน้านี่มันคนละคนชัดๆ อย่า !มาโมเมซะให้ยาก
ไม่มีคำพูดตอบโต้ สาวห้าวมองผู้หญิงที่ตัวเล็กกว่าด้วยความไม่เข้าใจ หยิบโทรศัพท์ตรงหน้าและคุยกับปลายสายก่อนจะส่งมือถือเครื่องนั้นแก่เธอ
“ค่ะ” สิตางค์รับโทรศัพท์นั้นอย่างงงงวย และทันทีที่ได้ยินเสียงของคนปลายสายความจริงก็ถูกเปิดเผย คนตรงหน้าคือ อลิซเบซ หวัง คนเดียวกับที่เธอตามหานั่นเอง
“ ได้เจอกับคุณอลิซแล้วใช่ไหมคะ?”
นี่มัน…เสียงคุณศิรีนี่นา
“ค่ะ..น่า...น่าจะได้เจอกันแล้ว” สิตางค์รีบหันกลับมาหาคนตรงหน้าที่กำลังจ้องมองมาด้วยความไม่พอใจส่งมือถือส่งคืนให้เจ้าของเครื่องเมื่อสนทนาเสร็จ
“ทีนี้เราจะไปกันได้หรือยังคะคุณสิตางค์?” สิตางค์พยักหน้าและยิ้มแหยๆในขณะที่อลิซเบซกลับเลือกที่จะไม่รอคำตอบใดๆเข็นรถเข็นซึ่งวางกระเป๋าใบใหญ่ของเธอออกไปทันที
“คุณอลิซ..รอฉันด้วย” สิตางค์พยายามก้าวเท้าให้ยาวกว่าเดิม หงุดหงิดไม่น้อยที่คนตัวสูงรีบจ้ำอ้าวไปยังที่จอดรถบริเวณชั้นสามเมื่อทราบพิกัดที่แน่นอนโดยไม่ยอมหันกลับมามองหรือให้ความสนใจผู้หญิงขาสั้นอย่างเธอสักนิด
“ขาไม่สั้นบ้างก็ให้มันรู้ไป!” สิตางค์แอบบ่นเบาๆ ในขณะเดียวกันก็รีบก้าวไปยังตำแหน่งที่คนตัวสูงจอดรถเข็นกระเป๋าและหันมองรถสองคันที่จอดตรงกันข้าม
ดูท่าทางของอลิซเบซจะลังเลไม่น้อย ไม่แน่ใจว่าคันไหนคือรถที่เธอสมควรเคลื่อนรถเข็นไปจอด?
ถ้าเดาไม่ผิดยัยบ๊องส์คงเอารถป๋องสีดำคาดขาวมารับ แทนที่จะเป็นเมอร์ซิเดสเบนซ์ ซีแอลคลาสสี บรอนซ์ตะกั่วที่จอดอยู่ทางฝั่งตรงข้าม
“ใช่คันนี้ไหม?” อลิเบซหันมามองผู้ที่กำลังเหนื่อยหอบขณะที่เธอเข้ามาเดินใกล้ๆ
“คุณรู้ได้ไงคะ?”
“โดยส่วนใหญ่ ผู้หญิงไม่ค่อยคิดอะไรมากหรอก ผู้หญิงทั่วไปมักจะให้ความสำคัญกับแฟชั่นมากกว่าความปลอดภัยเสมอ”อลิซเบซเคลื่อนรถเข็นไปยังจุดหมายทันทีที่ได้คำตอบ จึงไม่ทันมองสายตาขุ่นเคืองจากเจ้าของรถกับทัศนคติทางด้านลบของผู้เป็นนาย
ผู้หญิงแล้วไง..พูดยังกับตัวเองไม่ใช่ผู้หญิง?
“มาค่ะ..ฉันช่วย” สิตางค์พยายามข่มอารมณ์ปรับสีหน้าให้เริงร่า ขันอาสาเข้ามาช่วยยกกระเป๋าเดินทางสีแดงที่อยู่ข้างบนด้านบน แม้ขนาดกระเป๋าจะเล็ก แต่น้ำหนักของกระเป๋าไม่เล็กตาม ร่างบางเซไปเล็กน้อยเมื่อยกมันลงมาที่พื้น
“นี่คุณขนอิฐ หรือ หิน เข้าเมืองไทยหรือเปล่า? ทำไมถึงหนักแบบนี้”
“หนักที่ไหนกัน” อลิซเบซเดินเข้ามาแทนที่ จับหูกระเป๋าและยกมันวางไว้ที่ท้ายรถอย่างง่ายดาย
“ไปเปิดประตูด้านหลังซิ” สิตางค์ทำตามคำสั่งของผู้เป็นนายสั่ง เธอเดินไปเปิดประตูของผู้โดยสารฝั่งขวา แต่ท่าทางเธอจะประเมินพลาด เพราะดูจากท่าทางการออกแรงยกของอลิซเบซ น้ำหนักกระเป๋าที่อยู่ด้านล่างน่าจะมีน้ำหนักมากกว่า เธอจึงเลือกเดินอ้อมไปประตูผู้โดยสารฝั่งซ้ายซึ่งอยู่ใกล้ๆสาวหล่อแทน หญิงสาวอาสาอีกครั้งและครั้งนี้อลิซเบซก็ไม่ปฏิเสธที่จะให้เธอช่วยยกกระเป๋าร่วมกัน แต่ขอเป็นฝ่ายออกแรงเข็นให้มันเข้าไปสู่ด้านในเพียงลำพัง
พรวด!
เหมือนมีอะไรบางอย่างที่หล่นออกจากประตูอีกฝั่งเมื่อกระเป๋าเดินทางเคลื่อนตัวไปอยู่ตรงกลางของเบาะเป็นที่เรียบร้อย
“เฮ้ย!” สิตางค์ร้องอย่างตกใจเมื่อเธอเดินมาดู เธอรีบก้มลงเก็บอุปกรณป้องกันภัยที่เพื่อนๆกลุ่มสวยเตรียมไว้ใส่ลงในกล่องที่บุบบี้จากแรงผลักของกระเป๋าแต่มันไม่เร็วพอเพราะตอนนี้สาวหล่อก็เดินตามมาดูด้วยความสงสัยด้วยเช่นกัน
“คุณพกของพวกนี้ไว้ในรถด้วยเหรอ?”
“ค่ะ ก็เตรียมไว้ในกรณีฉุกเฉินน่ะค่ะ”
“รวมถึงถุงยางอนามัยชนิดผิวเรียบสามชิ้นนี้ด้วยหรือเปล่า?” ทันทีที่เห็นอลิซเบซชูอุปกรณ์ป้องกันอีกชนิดซึ่งกระจัดกระจายอยู่ใกล้ๆตัวเธอ
สิตางค์แทบอยากจะแปลงร่างเป็นนกกระจอกเทศที่พร้อมมุดหัวลงไปหลบอยู่ในดินทันที และไม่อยากจะโผล่ขึ้นมาให้พ้นดินอีกเลย
อุปกรณ์แบบนี้ผู้หญิงที่ไหนเขาจะหามาพกกันบ้างเล่า?
ถ้าจับได้ว่าใครเป็นคนต้นคิดนะ..จะเล่นงานให้น่วม โทษฐานที่ทำให้ฉันอับอายถึงเพียงนี้!
“เอิ่ม! ก็เผื่อมีคนมาขอ ฉันก็จะได้แจกให้ ไม่ต้องเปลืองตังไปซื้อไงคะ?” สิตางค์พยายามหาข้ออ้างให้สมเหตุสมผล รีบลุกขึ้นไปฉวยของดังกล่าวจากมือของสาวเท่ห์มาใส่ในกล่องและนำไปซุกไว้ที่ท้ายรถ ขณะที่อลิซเบซเองก็เผลออมยิ้ม รู้สึกเซอร์ไพรส์ไปพร้อมๆกันแทนที่อุปกรณ์ดังกล่าวจะเป็นของผู้ชายที่พกติดตัว แต่กลับมาเจอสิ่งนี้ในรถของผู้หญิงหน้าสวย
เมื่อของทุกอย่างทุกอย่างถูกจัดอยู่ในที่ทางของมัน รถมินิคันน้อยของผู้จัดการสาวก็พร้อมออกเดินทางอีกครั้ง
หญิงสาวนั่งนิ่ง บังคับรถให้ไปข้างหน้าโดยไม่ลืมที่จะเหลือบตาไปสังเกตคนที่นั่งมาด้วยกัน
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ทำให้เธอประหม่าและเขินไม่น้อยจนใบหน้าขาวๆแดงเถือกดังผลมะเขือเทศ ในขณะที่อีกคนก็นั่งนิ่งไร้ความรู้สึกใดๆตั้งแต่เริ่มออกเดินทาง
“เอิ่ม! แดดเริ่มส่องแล้วนะคะ คุณร้อนไหม? เดี๋ยวฉันเอาที่บังแดดลงให้นะ”
อลิซเบซก็ยังคงนิ่งดังรูปปั้น กอดอกและหลังตรงติดกับเบาะดังเดิม
เอาไงต่อนะ?
“ร้อนไหมคะ? ฉันปรับแอร์ให้นะ”
แม้จะปรับแอร์ให้เย็นลงและปรับช่องแอร์ให้แก่สัมผัสผิวกาย สาวห้าวก็ยังคงไม่ไหวติง อยู่ในท่าทางเดิมไม่ขยับเขยื่อนไปไหน
สิตางค์ถอยหลังออกมาจากพวงมาลัยเล็กน้อยและหันไปมอง สาวเท่ห์กำลังหลับ ดวงตาทั้งสองของเธอปิดสนิทที่อยู่ใต้แว่นดำที่สวมใส่
โถ!ที่นิ่งไปแบบนี้ก็เพราะหลับนี่เอง
เจตนาดีของสิตางค์ทำให้หญิงสาวเริ่มเคลื่อนตัวช้าๆไปยังบุคคลที่นั่งคู่หน้า มือขวาของเธอเอื้อมไปจับคันโยกข้างเบามือซ้ายจับที่ตัวเบาะด้านบนหวังจะให้เอนไปทางด้านหลัง ในขณะที่รถมินิของเธอจอดติดไฟแดงนานร่วมสิบนาที
แต่แล้วผู้ถูกกระทำจะรู้ตัว สาวเท่ห์ลืมตาตื่น และทันทีที่รู้สึกตัวเธอกลับเอื้อมมือไปจับที่แขนขวาของสิตางค์อย่างเร็ว แรงดังกล่าวกลับกระตุกร่างของทั้งสองเข้าหากัน ระยะของใบหน้าของคนทั้งคู่ห่างกันเพียงระดับลมหายใจ
สิตางค์เองก็ตกตะลึงกับปฏิกริยาของผู้เป็นนายไม่น้อย ใบหน้าของอลิซเบซที่อยู่ใกล้เพียงคืบและการมองในระยะประชิด ยิ่งทำให้อัตราการเต้นของหัวใจของเธอให้เร่งรัว
“ฉัน..ฉันขอโทษ..คือ..ฉันเห็นคุณหลับ..เลย เลยจะปรับเบาะให้ อยากให้คุณนอนหลับอย่างสบายๆ”
ร่างกายสิตางค์กระเด้งกลับไปยังตำแหน่งคนขับโดนอัตโนมัติเมื่อมือที่กำแน่นค่อยๆคลายลงทันที่ที่ได้ยินคำตอบของหญิงสาว เท้าขวาของสิตางค์เหยียบลงไปบนคันเร่งอย่างฉับพลันขับเคลื่อนเจ้าสีล้อไปข้างหน้าเมื่อสัญญาณไฟแดงเปลี่ยนเป็นสีเขียว
แม้แต่ผิวหน้าขาวๆของเธอนี่ซิกลับกลายเป็นสีแดงระเรื่ออีกครั้ง ต่างจากสาวเท่ห์ที่ปรับเบาะนอนด้วยตัวเอง ไม่สึกรู้สากับความผิดปกติใดๆที่เกิดขึ้นกับคนข้างๆเธอแม้แต่น้อย
หลังจากแจ้งกำหนดการใหม่แก่สิตางค์ให้ทราบในช่วงเช้า
ศิรีก็ออกจากบ้านและตรงมายังเคหะสถาน ย่านวัชรพล
บ้านเดี่ยวสองชั้นบนพื้นที่สี่สิบตารางวา ราคาห้าล้านบาท คือ บ้านที่คุณทรงชัยซื้อให้เป็นที่อยู่อาศัยของหลานสาวคนเดียวที่กำลังเดินทางมาเพื่อทำงานในไทย
เธอเดินดูตามจุดต่างๆของบ้าน และยิ้มอย่างพอใจเมื่อทุกอย่างจัดไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย เหลือบมองนาฬิกาบนผนัง..น่าจะใกล้เวลาที่จะได้พบกันแล้วซินะ คาดการณ์ไม่เคยจะผิดพลาด เสียงรถของสิตางค์เคลื่อนเข้ามาที่ลานจอดรถหลังจากนั้นไม่นานจริงๆ
รอยยิ้มที่เบิกกว้าง แสดงความเป็นมิตรเมื่ออลิซเบซและสิตางค์ก้าวลงจากรถ
“ยินดีต้อนรับค่ะ” ศิริเอ่ยปากทักทายผู้มาเยือนทั้งสองที่แสดงความเคารพตามแบบฉบับของคนไทย
“คุณคงเป็นคุณศิรี?” อลิซเบซจำน้ำเสียงของผู้หญิงมาดภูมิฐานได้ เธอคนนี้แหละที่เป็นคนติดต่อเธอให้มาทำงานที่เมืองไทยในฐานะช่างภาพเป็นเวลาสามเดือนตั้งแต่ต้นปี
“ค่ะ ดิฉันเอง..แต่เอ๊ะ! ผมคุณ” ศิรีทักท้วง กับความเปลี่ยนแปลงของหลานสาวของท่านประธาน ทั้งที่ภาพก่อนหน้านั้น เธอคือสาวผมยาวสลวย แล้วไยจึงตัดมันจนสั้นไม่เหลือเค้าโครงเดิม?
“ฉันอยากเปลี่ยนลุคน่ะค่ะ เพิ่งรู้สึกว่าผมยาวไม่เหมาะกับความห้าวของฉันเท่าไหร่ อีกอย่างผมสั้นก็ดูแลได้ง่ายกว่า”
“ก็จริงค่ะ เปลี่ยนบุคลิกได้พอสมควรเลย พอตัดผมสั้นแบบนี้ดูหล่อมากเลยนะคะ..เห็นด้วยไหมคะคุณสิตางค์?” คุณศิรีหันไปถามความคิดเห็นของสาวน้อยหน้าใสซึ่งนิ่งเงียบมาตั้งแต่ย่างเท้าเข้ามาในบ้าน สิ่งที่หญิงสาวทำคือการพยักหน้าและยิ้มบางๆแทนการแสดงความคิดเห็นแทนคำพูดใดๆ
“เกือบลืมค่ะ ขอแนะนำอย่างเป็นทางการเลยแล้วกันนะคะ” คุณศิรี โอบเอวของสิตางค์ที่ยืนอยู่ข้างๆของสาวหล่อ
“นี่คือ คุณสิตางค์ ดำรงค์ชัย ค่ะ ชื่อเล่นว่าน้องสตางค์ เธอคนนี้จะคอยมาดูแลคุณอลิซในทุกๆอย่างจนครบเวลา 3 เดือนนะคะ”
“ฉันไม่จำเป็นต้องมีคนมาดูแลหรอกค่ะ ให้คุณสิตางค์ไปดูแลคนอื่นเถอะ”
“ไม่ได้หรอกค่ะ..ไม่เฉพาะกับคุณหรอกนะคะ ไม่ว่าจะเป็น ดารา นางแบบ ตัวประกอบ หรือแม้แต่สตันท์แมนที่เข้ามาทำงานกับเรา ทุกคนจะต้องมีคนดูแลเป็นส่วนตัว ทั้งหมดนี่ก็เพื่อความสะดวกสบายแก่ผู้ที่เราซึ่งเนื้อหาที่ฉันกล่าวได้ระบุไว้หนังซื้อสัญญาข้อ 43 บรรทัดที่ 16 ของหน้าที่ 5ค่ะ”
มาดที่เด็ดขาด การใช้น้ำเสียงที่หนักแน่นยิ่งทำให้คำอธิบายของคุณศิรีดูมีน้ำหนักจนอลิซเบซไม่อาจหาข้ออ้างและปฏิเสธใดๆได้
“ดิฉันคงอยู่ที่นี่ได้ไม่นานนัก เพราะอีกสองชั่วโมงจะมีการประชุมผู้ถือหุ้นใหญ่ซึ่งดิฉันต้องเข้าร่วมด้วย” ศิรียิ้ม ขอตัวกลับไปยังสำนักงานใหญ่จึงส่งต่อหน้าที่การดูแลหลานสาวท่านประธานให้อยู่ในความดูแลของผู้จัดการส่วนตัว
ความเงียบเข้าปกคลุมบรรยากาศในบ้านตั้งแต่ศิรีกลับไป กระจายตัวเป็นหย่อมๆในบางที่ของบ้าน แต่มันกลับหนาแน่นที่ในห้องนอนของอลิซเบซ
ต่างฝ่ายต่างช่วยกันจัดของ ขณะที่สิตางค์ก็หยิบของออกจากกระเป๋าและยื่นส่งให้ อลิซเบซก็ทำหน้าที่เก็บสิ่งเหล่านั้นตามที่ที่มันสมควรจะอยู่
เสื้อผ้า และของใช้ส่วนตัวถูกจัดเก็บอย่างเป็นระเบียบ รวมถึงอุปกรณ์ถ่ายภาพบางส่วนก็ถูกจัดไว้เป็นสัดส่วนในช่องเก็บของซึ่งแยกจากตู้เสื้อผ้า
“คุณหิวอะไรไหม? เดี๋ยวฉันจะไปเตรียมมาให้” สิตางค์ตัดสินใจถามเมื่อเห็นว่าใกล้จะถึงเวลาอาหารกลางวันเต็มที
“ไม่เป็นไร” อลิซเบซปฏิเสธ โดยไม่คิดที่จะหันมามองผู้หญิงกำลังรอคำตอบของเธอ กลับให้ความสนใจกับรูปของผู้หญิงสองคนในกรอบสีขาวและกำลังหาตำแหน่งที่วางที่เหมาะสม
“ซุปร้อนๆซักถ้วยไหมคะ?”
“ก็บอกว่าไม่เป็นไรไง” อลิซเบซหันมาหาต้นเสียง ท่าทางขึงขังของเธอแสดงให้เห็นได้ชัดเจนว่าไม่พอใจ และไม่ต้องการในสิ่งที่สิตางค์เสนอสักนิด
“วันนี้พอเถอะคุณสิตางค์ กลับไปพักผ่อนได้แล้ว”
“ไม่ค่ะ..หน้าที่ของฉันยังไม่จบ” สิตางค์ปฏิเสธเสียงทัดทาน เธอหันหลังให้สาวหล่อที่ยังคงยืนยันความคิดเดิม มือบางของคนร่างสูงคว้าต้นแขนของหญิงสาวอย่างเร็วก่อนที่กำลังจะก้าวจากบันได
“กลับไปได้แล้ว”
“ฉันไม่กลับค่ะ” สิตางค์หันกลับมามองหน้าร่างสูงที่จ้องมองเธอด้วยความไม่พอใจ หญิงสาวพยายามข่มอารมณ์น้อยใจที่อยู่ข้างในเมื่อรู้สึกได้ว่าคนตรงหน้าพยายามผลักไสเธอออกไปจากชีวิตทั้งการกระทำและคำพูด
“ฉันไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดที่คุณไม่พอใจฉัน อาจจะป็นเพราะเหตุการณ์ที่ฉันเสียมารยาทที่สนามบิน ทำให้คุณตกใจเมื่ออยู่ด้วยกันบนรถ หรือแม้แต่จากหนังสัญญาที่บีบให้คุณต้องทำงานร่วมกับฉัน แต่ก็อยากให้คุณเข้าใจว่านี่คือหน้าที่ของฉัน ช่วยเคารพและเข้าใจในสิ่งที่จำเป็นต้องฉันทำด้วย” สิตางค์แกะมือที่กุมต้นแขนเธอออก เดินตรงรี่ไปยังห้องครัวด้านล่างปล่อยให้คนตัวสูงยืนคว้างอย่างหงุดหงิดและไม่เข้าใจอารมณ์ของตัวเองเช่นกัน
อาหารไทยง่ายๆถูกจัดเตรียมไว้บนโต๊ะอาหารในห้องโถง เพื่อรอผู้เป็นนายลงมารับประทาน สิตางค์ชะเง้อมองอยู่นานแต่ไม่มีวี่แววที่อยู่ด้านบนลงมา
“สงสัยจะหลับรึเปล่า?”
หญิงสาวเดินกลับไปยังห้องนอนด้านบนอีกครั้ง เมื่อเคาะประตูไม่มีการตอบรับ เธอจึงถือวิสาสะเข้าไปข้างในห้องนั้น สาวร่างสูงนอนเหยียดกายยาวบนเตียง การเดินทางข้ามทวีปคงทำให้เธออ่อนเพลียจนไม่รู้สึกถึงความปกติเมื่อมีใครอีกคนเดินเข้ามา และจ้องมองเธอจากปลายเตียง
สิตางค์มองหน้าคนร่างสูงที่กำลังหลับไหลด้วยความไม่เข้าใจ ทิฐิบางอย่างทำให้เธออยากถอนตัวในแวบแรกหลังจากได้ฟังคำพูดของอลิซเบซ อีกทั้งสีหน้าและแววตาของสาวหล่อทำให้เธอแทบอยากจะบอกเลิกสัญญาตั้งแต่ตอนนั้น ไม่ใช่เพราะเงินห้าล้าน ไม่ใช่เพราะกลัวคุณพดด้วงจะมารับตัวกลับ แต่นี่คือการรับปากทำในสิ่งที่เธอได้บอกกับคุณทรงชัย การอ้อนวอนและแววตาของเขา ทำให้ใจอ่อนทุกครั้งที่นึกถึง
ในเมื่อรับปากไปแล้ว ฉันจะทำให้ได้ ไม่ว่าคนบนเตียงจะพยายามผลักไสเธอออกไปจากชีวิตซักกี่ครั้ง หากไม่สำเร็จหรือตามที่ตั้งใจไว้ เธอก็จะไม่มีวันคิดที่จะ ถอย อีกเด็ดขาด
สิตางค์เลื่อนมือหยิบผ้าห่มที่อยู่ปลายเตียงขึ้นมาห่มร่างที่หลับไหลที่กำลังพลิกกายตะแคงหันหลังให้กับเธอ เธอเอ่ยคำร่ำลากับคนสาวหล่อที่หลับไหลอยู่บนเตียงนุ่ม
“ฉันกลับก็ได้แล้วพรุ่งนี้ค่อยพบกันนะคะ..เจ้านาย”