ตอนที่ 10
นรีกมลมองสายฝนโปรยปรายที่ไหลลงไปตามหน้าต่างกระจก อากาศภายนอกคงหนาวเหน็บต่างจากภายในร้านที่บรรยากาศอุ่นสบาย นรีกมลสูดลมหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะหันไปเผชิญหน้ากับชายหนุ่มที่เพิ่งเอ่ยประโยคจบไป
“ไม่ให้พูดถึงอดีตงั้นเหรอคะ” เห็นหน้าที่ซีดเป็นไก่ต้มของภัทรพลแล้ว นรีกมลก็นึกสะใจจนต้องพูดต่อ “พี่ภัทรเป็นรักแรกของไนน์ คบกันมาไม่รู้ตั้งกี่ปี อยู่ๆ ก็มาทิ้งกันเพราะเจอคนที่ถูกใจกว่า
เอ๊ะ! ไม่ใช่สิ ฐานะคู่ควรกันมากกว่าอย่างคุณวรินทร์…เจ้านายของไนน์”
ภัทรพลนั่งนิ่ง ริมฝีปากเม้มแน่นจนเป็นเส้นตรง
“ขอร้อง” ชายหนุ่มเอ่ยเสียงแผ่ว “ที่นัดเจอกันก็เพื่อคุยเรื่องคนที่น้องรินทร์แอบชอบ ไนน์อย่าเปลี่ยนประเด็นให้เรื่องมันยืดเยื้อไปกว่านี้อีกเลย”
นรีกมลเชิดหน้าขึ้นหัวเราะ นัยน์ตาหวานเป็นประกายยามมองคนตรงหน้าด้วยสายตาของคนที่เหนือกว่า
“พี่ภัทรอยากรู้จริงๆ ใช่ไหมคะ ไนน์แนะนำนะ ถ้าไม่รู้จะดีต่อตัวพี่มากกว่า”
ภัทรพลขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ “พูดอย่างกับว่าพี่รู้จักคนๆ นั้น”
“รู้จักสิคะ รู้จักดีมากๆ ด้วย”
“ไนน์อย่าลีลา บอกมาสักที ผู้ชายคนนั้นจะเป็นใครก็แล้วแต่ พี่ไม่ยอมแพ้เขาหรอก”
ผู้ชาย…งั้นเหรอ
นรีกมลยิ้มที่มุมปากเมื่อเห็นสีหน้าอยากรู้ของอีกคน เธอจงใจเอ่ยลากเสียงช้าๆ ชัดๆ
“คุณวรินทร์น่ะ ชอบผู้หญิง”
ภัทรพลตกใจจนเผลอสะบัดมือไปโดนแก้วใบใสจนคว่ำกระแทกโต๊ะเสียงดัง ทำให้น้ำที่บรรจุอยู่ไหลนองไปทั่ว
“แล้วรู้มั้ยว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร” นรีกมลเร้าด้วยคำถามให้คนตรงหน้าอยากรู้เข้าไปอีก
ภัทรพลหยุดมือที่ลนลานหยิบแก้วขึ้นมาตั้งตรง แล้วเงยหน้าขึ้นมองคนร่างเล็กที่ยกมือชี้นิ้วไปที่ตัวเอง
“ผู้หญิงคนนั้นก็คือไนน์เอง” นรีกมลยิ้มบาง “พอใจรึยังคะพี่ภัทร พอใจรึยังที่รู้ว่าคุณรินทร์ชอบไนน์ คุณรินทร์เป็นเลสเบี้ยน ไม่มีทางจะชอบผู้ชายอย่างพี่…เขาชอบไนน์”
นรีกมลย้ำประโยคที่มีใจความเดิมๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่อย่างนั้น สิ่งที่นึกอยากเห็นมาตลอด ผลลัพธ์ของมันเกินกว่าที่เธอคาดคิด สีหน้าของภัทรพลแสดงอารมณ์มากมายจนบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้ไม่หมด
เห็นแล้ว สะใจชะมัด
ภัทรพลรวบรวมสติที่กระเจิดกระเจิงให้เข้าที่เข้าทาง ชายหนุ่มพยายามบังคับปากไม่ให้สั่นขณะพูดออกไป
“โกหก…ไนน์โกหก”
เสียงถอนลมหายใจพร้อมรอยยิ้มเยาะของหญิงสาวทำให้ภัทรพลต้องกำมือแน่น
“ไนน์จะโกหกเพื่ออะไร” นรีกมลพูดกลั้วหัวเราะ “พี่ภัทรลองคิดดูสิ ทำไมทั้งคุณรินทร์คุณพอร์ชถึงไม่ยอมปริปากบอกอะไร ถ้ามันเป็นความรักแบบปกติทั่วไป”
“ถ้าน้องรินทร์ชอบไนน์จริง แล้วไนน์ล่ะ” ภัทรพลกลืนน้ำลายเหนียวๆ ลงคอ “ชอบน้องรินทร์หรือปล่า”
คำถามนั้นไม่ได้ทำให้รอยยิ้มจางหายไปจากดวงหน้าหวาน กลับกัน รอยยิ้มนั้นกลับกว้างขึ้นเรื่อยๆ
เธอยังไม่สาแก่ใจ
…ถ้าจะขยี้ ก็ต้องขยี้ให้ถึงที่สุด
“พี่ภัทรคิดว่าไนน์ถูกพี่หักอกแล้วจะเปลี่ยนไปบริโภคผู้หญิงด้วยกันจริงๆ เหรอคะ เข้าข้างตัวเองไปหรือเปล่า ไนน์ก็แค่อยากแก้แค้น อยากดูว่าพี่จะทำหน้ายังไงเมื่อรู้ความจริงว่าคุณรินทร์เป็นเลสเบี้ยน แถมคนที่เธอชอบยังเป็นไนน์อีก…รู้ไหมคะ ว่ามันสะใจสุดๆ ที่พี่มารู้ทุกอย่างจากปากของไนน์เอง”
นรีกมลยิ้มมุมปากพลางยื่นหน้าไปพูดใกล้ๆ “ก็แค่ความชื่นชมในแบบเจ้านาย ไนน์ไม่เคยรู้สึกในแง่นั้นกับคุณรินทร์เลยแม้แต่นิดเดียว”
ภัทรพลกัดริมฝีปากจนรู้สึกเจ็บ มือหนาเผลอยกขึ้นลูบกระเป๋าเสื้อเบาๆ วัตถุแบนยาวตรงหน้าอกที่เสียดสีกับเนื้อผ้าทำให้รู้ว่ามันยังอยู่ตรงนั้น เขารู้สึกสงสารคนปลายสายขึ้นมาจับใจ
ถ้ารู้ว่าต้นเหตุที่ทำให้วรินทร์ต้องเจ็บปวดนั้นเป็นเพราะเขา ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ ภัทรพลจะไม่เข้าหาทำความรู้จักกับหญิงสาวเป็นอันขาด...ไม่น่าเลยจริงๆ
ภัทรพลนั่งนิ่งอึ้งอยู่อย่างนั้นคล้ายริมฝีปากถูกรูดปิด จึงได้แต่ฟังคนตรงหน้าพูดอย่างเดียว
“…รู้แล้วก็ช่วยห่างคุณรินทร์หน่อยนะคะ ไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วเธอรังเกียจผู้ชายอย่างพี่หรือเปล่า” นรีกมลหัวเราะเยาะ
ชายหนุ่มไม่ได้ฟังว่าตัวเองโดนหยามเหยียดยังไงบ้าง ใจเขายังสงสัยกับเรื่องบางเรื่องอยู่
“ไนน์รู้ทุกอย่างได้ยังไง” ในที่สุดความอยากรู้ก็ทำให้ภัทรพลเอ่ยถาม
“ตอนแรกยังไม่แน่ใจหรอกค่ะ เลยแกล้งหยอด แกล้งอ่อย แกล้งเขินไปสักพัก เห็นปฏิกิริยาของคุณรินทร์แล้วเลยมั่นใจ พอบอกชอบไปอีกฝ่ายก็ตอบรับมาเสียงหวานเชียว เป็นคำพูดน่าฟังที่พี่ภัทรคงไม่มีวันได้ยินจากปากคุณรินทร์”
ยิ่งฟังแล้วยิ่งตกใจกับการกระทำของคนร่างเล็ก “ไนน์ทำขนาดนี้ไปเพื่ออะไร เพื่อแก้แค้นพี่ที่ทิ้งไนน์ เหตุผลแค่นี้ถึงกับไปหลอกคนอื่นให้รัก น่าทุเรศจริงๆ”
นั่นสินะ ทำไมต้องทำถึงขนาดนี้ เธอก็ไม่เข้าใจ…เป็นเพราะอะไรกัน
นรีกมลขมวดคิ้วให้กับความคิดอันสับสนของตัวเอง แต่ประโยคถัดไปของอดีตคนรักทำให้เธอลืมเรื่องนี้ไปอย่างรวดเร็ว
“ถ้าเรากลับมาคบกันตามเดิม ไนน์จะยอมไปสารภาพกับน้องรินทร์ ขอให้อย่าโกรธอย่าเกลียดเราทั้งคู่จะได้มั้ย”
คำถามที่จู่โจมมาอย่างรวดเร็วเหมือนจะแทงทะลุเข้ามาถึงจิตใจคนฟัง นรีกมลแสร้งหัวเราะปิดบังในใจที่เย็นวาบกับความคิดที่ว่าหากวรินทร์รู้ความจริงว่าเธอ…หลอกลวง
“ให้กลับไปคบกับพี่เนี่ยนะคะ ไนน์ไม่เอาหรอก” ไม่รู้อะไรดลใจให้นรีกมลตอบตามที่ตัวเองรู้สึกจริงๆ “ไนน์พอใจกับทุกอย่างในตอนนี้”
โดยเฉพาะความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเจ้านายสาว…นรีกมลต่อประโยคนั้นในใจ
“งั้นพี่จะไปบอกเอง”
“ถึงจะพูดไปคุณรินทร์ก็ไม่เชื่อหรอกค่ะ พี่ภัทรไม่มีหลักฐาน แค่ไนน์ไปแสร้งบีบน้ำตาบอกว่าพี่โกหก บอกว่าคุณรินทร์ขา ไนน์โดนใส่ร้าย…พี่ภัทรคิดว่าคุณรินทร์จะเชื่อใคร”
“รินนี่!”
พีชญาเรียกชื่อคนที่กดตัดสายไปเสียเฉยๆ
“รินทร์ไม่อยากฟัง ไม่อยากฟังอีกต่อไปแล้ว”
หญิงสาวมองวรินทร์ที่นั่งก้มหน้าก้มตา หมวกแก๊ปที่ใส่อยู่นั้นบดบังทำให้เธอไม่เห็นสีหน้าของเพื่อนสาว แต่พีชญาเห็นน้ำตาหยดหนึ่งที่หยดลงบนโต๊ะ
จากที่ทำอะไรไม่ถูกอยู่แล้ว พีชญายิ่งทำอะไรไม่ถูกเข้าไปใหญ่ เมื่อน้ำตานั้นไหลลงมาทีละหยดๆ ถี่ขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดก็หยดลงมาไม่ขาดสาย
“วรินทร์” พีชญาเรียกชื่อเต็มของเพื่อนด้วยความเห็นใจ มือเรียวยื่นไปลูบศีรษะผ่านหมวกแก๊ปของคนตรงหน้าอย่างปลอบใจ
ผ่านไปหลายสิบนาที ในที่สุดการร้องไห้ที่ไร้เสียงสะอื้นก็หยุดลง ไหล่บางที่สั่นไหวทำให้พีชญาอยากจะเอื้อมมือไปจับ แต่ฉับพลันวรินทร์ลุกขึ้นยืนเสียดื้อๆ มือเรียวสีน้ำผึ้งดันปีกหมวกลงต่ำให้ปกปิดใบหน้าที่เต็มไปด้วยคราบน้ำตา เหมือนไม่อยากให้เพื่อนสาวเห็นสีหน้าตัวเองในตอนนี้
“เขาไปกันรึยัง”
“อืม กลับไปแล้ว”
วรินทร์พยักหน้าแล้วหมุนตัวกลับหลัง ริมฝีปากอิ่มนั้นเอื้อนเอ่ยประโยคอย่างรวดเร็ว
“รินทร์รู้ว่าพอร์ชจะถามอะไร แต่ขอหน่อยได้มั้ย อย่าเพิ่งถามอะไรตอนนี้”
พีชญายิ้มบางและจำต้องตอบรับประโยคขอร้องนั้น สายตาของเธอก็ได้แต่มองไอศกรีมสองถ้วยที่ละลายซะก่อนจะมีใครได้แตะลิ้มชิมรสแม้แต่น้อย
คงเหมือนความรู้สึกของเพื่อนเธอตอนนี้…
ทุกอย่างนั้นละลาย หายไปในพริบตา
“รินนี่ จะไปไหน!” คนตาหยีถามเมื่อเห็นวรินทร์ทำท่าจะก้าวเท้า
“รินทร์อยากอยู่คนเดียว”
“แต่ฝนยังตกหนักอยู่เลย รอให้พอร์ชโทรเรียงลุงสงวนให้ไปส่งที่คอน…”
“ขอโทษนะ”
คนหน้าสวยเอ่ยขัด แล้วก้าวขาฉับๆ ออกไปจากตรงนั้นอย่างรวดร็ว ปล่อยให้เพื่อนสาวได้แต่ตกใจ ตั้งสติจะลุกตามไปก็โดนพนักงานร้านฉุดตัวไว้ให้จ่ายค่าไอศกรีม พอเงยหน้าขึ้นไปอีกทีวรินทร์ก็เดินฝ่าฝนออกจากร้านไปเสียแล้ว
พีชญาวิ่งตามไปที่หน้าประตู หันหน้ามองซ้ายมองขวาก็ไม่เจอคนที่ต้องการ มือเรียวคว้าโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรอย่างรวดเร็ว
“ลุงสงวน! มารับฉันที่ร้านเดี๋ยวนี้”
พีชญาโทรศัพท์หาคนขับรถ แล้วก็ได้แต่ยืนขมวดคิ้วอยู่ตรงนั้นอย่างทำอะไรไม่ได้
คนหน้าหวานที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จก้มหน้าดูนาฬิกาตั้งโต๊ะเรือนเล็ก ที่บอกเวลาว่าอีกไม่นานเข็มสั้นจะย่างเข้าเลขแปด นรีกมลรูดม่านหน้าต่างปิดเพื่อกันเสียงฝนที่ตกไม่หยุดมาตั้งแต่ช่วงบ่าย ร่างเล็กกำลังจะหมุนตัวไปเปิดโทรทัศน์ หากไม่ติดว่ามีเสียงเคาะประตูจากแขกยามวิกาล
นรีกมลส่องผ่านตาแมวมองเห็นหญิงสาวคนหนึ่งยืนเปียกโชกไปทั้งตัว ใบหน้าที่ก้มต่ำประกอบกับหมวกแก๊ปใบสวยที่ใส่อยู่ ทำให้นรีกมลไม่รู้ว่าแขกผู้มาเยือนเป็นใคร แต่ด้วยรูปร่างลักษณะที่แสนคุ้นเคย ร่างเล็กจึงตัดสินใจตะโกนถามผ่านเนื้อประตูบานหนา
“ใครคะ”
“ฉันเอง” เสียงแหบพร่าที่ดังตอบกลับมานั้นเบาจนแทบไม่ได้ยิน
อยากจะถามเหลือเกินว่าฉันเองนี่ใครกัน แต่ทันทีที่อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมาใช้นัยน์ตาแดงกล่ำสบกับเธอผ่านทางตาแมว คนหน้าหวานแทบจะกระชากประตูให้เปิดออกในทันที
“อ๊ะ!”
แรงกระแทกจากอ้อมกอดของเจ้านายสาวทำร่างเล็กต้องผงะถอยหลังไปก้าวหนึ่ง ความชื้นจากเนื้อตัวอีกคนซึมผ่านชุดนอนเข้ามาให้ได้รู้สึก นรีกมลอยากจะเอ่ยปากถาม แต่แรงสะอื้นตรงหัวไหล่ ทำให้ต้องหยุดริมฝีปากแล้วเปลี่ยนมาลูบหลังคนที่ยืนตัวสั่นอยู่ในอ้อมกอด
นรีกมลดึงตัวออกห่างเล็กน้อยก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองดวงหน้าสวยจัดที่เปรอะเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตา คนหน้าหวานปาดน้ำตาใต้ดวงตาบวมช้ำให้อย่างไม่รังเกียจ แล้วใช้มือทั้งสองข้างโอบประคองใบหน้าเรียวเอาไว้
“คุณรินทร์ไปอาบน้ำก่อนนะคะ เดี๋ยวเป็นหวัดแล้วจะแย่เอา”
วรินทร์ส่ายหน้า แล้วปลดมือของเธอออก
“พี่ภัทรเล่าให้ฉันฟัง…หมดทุกอย่าง”
วรินทร์มองสีหน้านิ่งเฉยของคนฟัง คนหน้าหวานก้มหน้ายิ้มบางอย่างเศร้าสร้อย
“คุณรินทร์เชื่อเหรอคะ” คนหน้าสวยพยักหน้า นรีกมลจึงรีบเอ่ยต่อ “ทำไมคะคุณรินทร์ ทำไมถึงเชื่อเขามากกว่าไนน์”
“อย่างน้อยพี่ภัทรก็ไม่เคยโกหก ไม่เคยหลอกลวง แล้วก็ไม่เคย…”
วรินทร์หยุดคำพูดแล้วหลับตาแน่น ในอกบีบรัดให้รู้สึกเจ็บปวดอย่างประหลาด
“…หลอกให้รัก”
“ฟังไนน์อธิบายก่อนนะคะ” วรินทร์แค่นหัวเราะยามเห็นน้ำตาที่เอ่อคลอนัยน์ตาหวาน
“ก็แค่อยากแก้แค้น อยากดูว่าพี่ภัทรจะทำหน้ายังไงเมื่อรู้ว่าฉันเป็นเลสเบี้ยน…ประโยคนี้ใช่ไหมที่เธออยากอธิบาย”
“คุณวรินทร์!”
“แล้วไม่ต้องแสร้งร้องไห้หรอกนะ มันเปลืองน้ำตา” วรินทร์ยิ้มหยันจดจ้องใบหน้าหวาน “ฉันไม่เชื่อคนหลอกลวงอย่างเธอ”
นรีกมลดึงแขนเสื้อคนที่กำลังจะเดินจากไปด้วยความอ่อนแรง
“คุณรินทร์อย่าไป ฟังไนน์อธิบายก่อน”
ไม่รู้ทำไม เพียงแค่เห็นแผ่นหลังบางนั้นเดินจากไป ใจก็สั่งให้ริมฝีปากเอื้อนเอ่ยประโยคฉุดรั้งเอาไว้
…ทำไมกัน ทำไมวรินทร์ถึงเชื่อคนพรรค์นั้นมากกว่าเธอ
“ที่ฉันได้ยินก็เกินพอแล้ว ไม่อยากจะฟังอะไรจากปากของคนอย่างเธออีกแล้ว ที่มาหา…ที่มาก็แค่มาบอกลา เราคงไม่มีความจำเป็นต้องพบเจอกันอีก” วรินทร์เอ่ยเสียงพร่า “ไม่ต้องห่วงเรื่องที่บริษัท ฉันไม่ใจร้ายถึงขนาดจะไล่เธอออก ขอแค่อย่าเสนอหน้าไปให้ฉันเห็นนอกจากเวลางาน”
“คุณรินทร์ได้ยินอะไร” นรีกมลกอดร่างของเจ้านายสาวเอาไว้เมื่ออีกคนปลดมือของเธอออกได้สำเร็จ
“ทุกอย่าง…ที่ร้านนั่น” วรินทร์เอ่ยเพียงเท่านั้น
เท่านั้น…ที่ทำให้นรีกมลถึงกับมืออ่อนแรงจนคนในอ้อมกอดเป็นอิสระ
“แต่ไนน์ชอบ…ชอบคุณรินทร์จริงๆ นะคะ”
“เมื่อไหร่จะเลิกตอแหลสักที!” วรินทร์หันกลับมาตวาดเสียงดัง นัยน์ตาดำจัดจึงได้เห็นร่างเล็กอย่างเต็มตาเป็นครั้งแรกหลังจากเข้าห้องมา
คงเป็นเพราะตัวเธอที่เปียกปอน ทำให้ชุดกระโปรงสำหรับใส่นอนที่ยาวไม่เกินหัวเขาเปียกชื้นจนเห็นอะไรต่อมิอะไรภายใต้เนื้อผ้าบางเบา
แล้ววรินทร์ก็เห็นว่า คนตรงหน้าไม่ได้ใส่ชุดชั้นในส่วนบน
“เธอนี่มัน…”
วรินทร์ลืมคำที่อยากจะต่อว่าคนร่างเล็กแรงๆ เมื่อเห็นภาพตรงหน้า นัยน์ตาคมสวยเบนไปมองทางอื่นพร้อมสูดลมหายใจเข้าปอดอีกหลายที เมื่อภาพนั้นเริ่มจางลง จึงหันกลับมาหมายจะเอ่ยต่อ
แต่ไม่ทัน…เพราะริมฝีปากได้ถูกส่วนเดียวกันกับของนรีกมลครอบครองไปแล้ว
ทันใดนั้นหัวสมองก็ขาวโพลน ความยับยั้งชั่งใจทุกอย่างหายไปหมด เหลือเพียงอารมณ์บางอย่างที่ถูกจุดให้ลุกโชนด้วยความอ่อนนุ่มที่คลอเคลียอยู่กับริมฝีปากของเธอ
มือเรียวลูบไล้ไปตามเนื้อตัวของคนร่างเล็กที่ครางเสียงหวานออกมาเมื่อมือเธอลากผ่านร่างกายส่วนบน โดยเฉพาะบริเวณที่ไม่ได้รับการห่อหุ้ม
“อ๊ะ! คุณรินทร์”
นรีกมลเอ่ยเรียกชื่อคนที่คร่อมตัวเธออยู่บนเตียง ยามมือเย็นชืดด้วยฤทธิ์ของน้ำฝนสัมผัสตัวเธอตรงไหน ตรงนั้นจะร้อนรุ่มแตกต่างกับอุณหภูมิร่างกายของอีกคน หญิงสาวตัวสั่นจนต้องเอนขึ้นไปกอดคนหน้าสวย
รู้ตัวอีกทีชุดกระโปรงชื้นๆ ก็ถูกถอดออกไปเสียแล้ว วรินทร์ลูบท่อนขานวลเนียนของร่างเล็กไปมาอย่างหลงไหล ก่อนจะเลื่อนสัมผัสขึ้นไปเรื่อยๆ หมายจะปลดอาภรณ์ชิ้นสุดท้ายออก
เสียงครางหวานๆ ทำให้สติของเธอแทบจะหลุดลอย วรินทร์หายใจหอบหนักยามกวาดสายตามองไปทั่วร่างของคนร่างเล็ก ยิ่งเรียวขาที่บิดเข้าหากันเมื่อเธอสัมผัสใกล้ถึงจุดอ่อนไหว ยิ่งทำให้คนมองแทบจะระงับอารมณ์ไว้ไม่อยู่
“คุณ อ๊ะ! คุณรินทร์ ไนน์ชอบคุณจริงๆ” นัยน์ตาหวานสบตาคมสวยนั้นอย่างเผลอไผล “เชื่อไนน์นะคะคนดี”
วรินทร์ละมือที่กำลังจะปลดเนื้อผ้าชิ้นเล็กออก ในหัวอื้ออึงไปหมดด้วยประโยคที่ตามมาหลอกหลอน
“ตอนแรกยังไม่แน่ใจหรอกค่ะ เลยแกล้งหยอด แกล้งอ่อย แกล้งเขินไปซักพัก เห็นปฏิกิริยาของคุณรินทร์แล้วเลยมั่นใจ”
นรีกมลแทบจะหยุดหายใจเมื่อคนด้านบนผละตัวออกไปยืนอยู่ตรงปลายเตียง ความสับสนฉายชัดบนใบหน้าสวย แต่เพียงไม่กี่อึดใจ นัยน์ตาดำสนิทก็แปรเปลี่ยนเป็นเรียบนิ่ง ทำเอาคนมองถึงกับเย็นวาบไปทั้งตัว
“ต้องการอะไรอีก” เสียงทุ้มแหบเอ่ยอย่างตัดพ้อ “เธอต้องการเห็นฉันยอมให้เธอทั้งกายทั้งใจเลยใช่ไหม สนุกนักหรือไงกับการโกหกตอแหลปั่นหัวคนอื่น”
“ไม่ใช่นะคะ…คุณรินทร์คะ คุณวรินทร์” ท้ายประโยครีบเอ่ยเรียกคนหน้าสวยที่คว้าหมวกได้แล้วเดินจากไปอย่างรวดเร็ว
“อย่าทำอะไรให้ฉันเกลียดเธอไปมากกว่านี้อีกเลย ที่ผ่านมาจะถือว่าฉันโง่เอง โง่ที่คิดว่าเธอจะสามารรักผู้หญิงคนหนึ่งจากใจจริงได้ เป็นความผิดของฉันเองที่ทำให้เธอ…รักกันไม่ได้”
นรีกมลได้ยินเสียงสะอื้นของวรินทร์ในท้ายประโยค หญิงสาวทรุดตัวลงร้องไห้กับใจความของประโยคที่กัดกินหัวใจให้เจ็บปวดเพราะความรู้สึกผิดที่ล้นในอก เธอนึกเกลียดในความเห็นแก่ตัวของตัวเองเหลือเกิน
คุณรินทร์…ไนน์ขอโทษ
นรีกมลพร่ำพูดประโยคเดิมๆ ในใจซ้ำแล้วซ้ำเล่าราวกับว่ามันจะส่งผ่านไปถึงคนที่ออกจากห้องไป
วรินทร์เดินตากฝนไปเรื่อยๆ อย่างไร้จุดหมาย น้ำตาที่หยุดไหลไปแล้วก็พลาลไหลออกมาเสียดื้อๆ เมื่อนึกถึงคนที่ทำให้เสียใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า
บอกว่าไม่รัก ไม่ชอบกัน ยังจะดีซะกว่าไม่มีใจแล้วมาโกหกหลอกลวงกันแบบนี้
คนหน้าสวยยิ้มหยันพลางเงยหน้าขึ้นรับสายฝนที่โปรยปรายลงมาไม่ขาดสาย ราวกับจะให้ฝนชะล้างความอ่อนแอและหยดน้ำตาที่ไหลอาบใบหน้าอยู่ในตอนนี้
ร่างกายเริ่มหนาวจนต้องยกมือขึ้นมาโอบกอดตัวเองที่เริ่มสั่นเทา คนหน้าสวยจึงเดินมาหลบฝนอยู่หน้ามินิมาร์ทแห่งหนึ่งทันทีเมื่อเธอเดินผ่าน มือเรียวล้วงหาโทรศัพท์มือถือจากกระเป๋ากางเกง และเป็นโชคดีที่ยี่ห้อนี้ทนน้ำสมกับราคาแพงแสนแพงของมัน แต่แบตเตอร์รี่ที่ใกล้จะหมด ทำให้วรินทร์ต้องรีบทำการ
วรินทร์เปิดรายชื่อแล้วไล่ไปหาเบอร์ของคนที่ต้องการ เมื่อเห็นชื่อของพีชญาจึงกดส่งข้อความไปหา ใจความบอกว่าเธอยังไม่อยากคุยกับเจ้าตัวตอนนี้ ถ้าพ่อกับแม่โทรมาถามฝากบอกท่านด้วยว่าไม่ต้องเป็นห่วง เธอจะไปนอนที่คอนโด และยังกำชับด้วยว่าอย่าให้เรื่องนี้ไประคายหูพวกท่าน
หญิงสาวตัดสินใจเดินไปโบกรถแท๊กซี่ แต่ฝนตกขนาดนี้ก็ไม่มีรถสักคันที่จะจอดรับคนเปียกปอนอย่างเธอ วรินทร์เลยเดินกลับมาหน้ามินิมาร์ท แล้วกดโทรหาคนเพียงคนเดียวที่ในตอนนี้จะช่วยเธอได้ และจะไม่ซักไซ้ถามอะไรให้มากความ
อันนานั่งดูโทรทัศน์อย่างสบายใจหลังวันนี้เธอไม่มีเวรที่โรงพยาบาล แต่เสียงกรุ๊งกริ๊งของกุญแจรถในมือมารดา ทำให้ต้องหันมาถามอย่างแปลกใจ
“แม่จะไปไหนคะ”
เปรมจิตถอนหายใจยาว “เจ้านายแม่โทรมาบอกให้ไปรับน่ะ”
“วันเสาร์ตอนสามทุ่มเนี่ยนะคะ” อันนาเอ่ยเสียงดังอย่างลืมกิริยา “เลขานะไม่ใช่คนขับรถ จะให้ไปรับเมื่อไหร่ก็ได้”
“ปกติคุณวรินทร์ไม่ใช่คนแบบนี้นะ คุณเค้าไม่เคยให้แม่ออกไปในยามวิกาล”
“แต่ตอนนี้เค้าทำอย่างนั้น” อันนาเอ่ยอย่างไม่พอใจ “เอาอย่างนี้ดีกว่า เดี๋ยวอันไปรับเจ้านายของแม่เอง ดึกดื่นแถมฝนยังตกขนาดนี้ แม่ขับไปจะไม่ปลอดภัย”
เปรมจิตนิ่งคิด “ให้แม่นั่งไปด้วยดีไหมลูก”
“อย่าดีกว่าค่ะ แม่อยู่ที่บ้านดีกว่า” อันนาลุกขึ้นยืน “บอกเบอร์โทรกับสถานที่ที่คุณวรินทร์ของแม่ให้ไปรับกับอันหน่อยค่ะ เผื่อจำเป็นต้องโทรไปถาม”
เปรมจิตพยักหน้าแล้วทำตามที่ลูกสาวบอก อันนาบันทึกเบอร์ใส่โทรศัพท์ก่อนจะฟังมารดาเอ่ยถึงที่หมายอย่างตั้งใจ
อันนาคว้ากุญแจรถของตัวเองพร้อมกับใจที่หมายมาด
คุณวรินทร์…อย่าให้เจอตัวนะ จะเล่นซะให้เข็ด ข้อหาใช้งานแม่ของเธอหนักเกินไป