ตอนที่ 16
พีชญาส่งสายตาขุ่นเคืองมองเพื่อนสาวในอ้อมกอดของอันนาอย่างไม่ปิดบัง แต่เพียงชั่วครู่ก็เบี่ยงสายตากลับมาอีกทาง เมื่อตอนนี้ความสนใจของเธออยู่ที่หญิงสาวข้างตัว
พีชญาไม่รู้จะเอ่ยกับนรีกมลอย่างไร ยิ่งคิดว่าเธอเป็นคนพามาให้เห็นภาพบาดตาบาดใจ ก็ยิ่งเอ่ยคำพูดปลอบประโลมไม่ออก
“ที่คุณพอร์ชบอกว่าคุณรินทร์อยากเจอไนน์ อย่างนี้ใช่มั้ยคะที่อยากให้เจอ” ถึงน้ำเสียงจะฟังเรียบนิ่งแลดูปกติ แต่พีชญาจับได้ถึงความสั่นเครือในประโยค
“ไม่ใช่นะ ฉัน…” พีชญานึกโกรธตัวเองตอนนี้ที่ไม่รู้จะหาคำแก้ตัวแทนเพื่อนสาว ทำได้เพียงอ้ำๆ อึ้งๆ มองสลับไปมาระหว่างนรีกมลและหญิงสาวสองคนในห้องที่ยังคงกอดกันอยู่ ก่อนสายตาจะเหลือบไปเห็นเปรมจิตที่หันมามองด้วยความสนใจ เลขาหน้าห้องของวรินทร์ไม่มีโอกาสได้เห็นเหตุการณ์เพราะเธอและนรีกมลยืนบังประตูหน้าห้องเอาไว้ พีชญาครุ่นคิดเพียงชั่วครู่ก่อนจะตัดสินใจถามออกไป
“คุณหมอมานานหรือยังคะ”
“อันมาได้ครึ่งชั่วโมงแล้วค่ะคุณพอร์ช”
“เหรอคะ แล้วคุณเปรมจิตพอจะรู้หรือเปล่าว่า…” ยังไม่ทันจะถามได้จบประโยค นรีกมลก็ขยับตัวทำท่าจะเดินจากไป พีชญาจึงจิ๊ปากแล้วยื้อแขนหญิงสาวเอาไว้ รีบเอ่ยปากขอตัวกับเปรมจิต แล้วลากนรีกมลเข้าห้องของวรินทร์โดยไม่สนใจหน้าอินทร์หน้าพรหมใดๆ ทั้งสิ้น
ประตูถูกกระชากปิดเสียงดังสนั่นเรียกความสนใจจากวรินทร์ อาการหน้ามืดเริ่มบรรเทาให้ผละตัวออกมาจากอ้อมกอดช้าๆ หญิงสาวมองผู้มาเยือนทั้งสองที่ฉุดกระชากกันอยู่ด้วยความงุนงง
“ทำอะไรน่ะพอร์ช”
อันนาทำท่าจะมาประคองเจ้าของห้องที่กำลังจะทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้หลังโต๊ะทำงาน วรินทร์ส่ายหน้าว่าไม่เป็นไร ก่อนจะหันไปรอฟังคำตอบจากพีชญาที่ยืนส่งสายตาไม่พอใจกลับมาให้ ประกอบกับหญิงสาวอีกคนที่ก้มหน้าก้มตามองพื้นท่าเดียว
‘นรีกมล’
“ก็…รินนี่บอกว่าอยากจะคุยกับนรีกมล พอร์ชก็เลยพามาหา ขอโทษนะ ไม่นึกว่าจะมีแขก”
น้ำเสียงในท้ายประโยคที่ออกแนวประชดประชันเล็กน้อย ทำให้อันนาต้องกระแอมในลำคอก่อนจะเอ่ยขอตัวจากไป
“น้องรินทร์อย่าลืมดูแลตัวเองด้วยนะ เป็นอย่างนี้แล้วจะไม่ให้พี่เป็นห่วงได้ยังไง…ไว้วันหลังเจอกันนะคะ”
นรีกมลบีบฝ่ามือตัวเองแน่นเมื่อได้ยินประโยคแสดงความห่วงใยนั่น ในใจนึกอยากให้ตัวเองได้เป็นฝ่ายได้พูดประโยคเหล่านี้กับวรินทร์
ทันทีที่ประตูห้องถูกปิดลง พีชญาก็หันขวับมามองเพื่อนสาวอย่างไม่เข้าใจ
ไหนบอกว่ารักอดีตเลขานักหนา ไหนหันไปซบอกคุณหมอหน้าขาวซะแล้ว…พีชญาไม่เข้าใจเลยจริงๆ
เงียบกันไปร่วมนาที วรินทร์จึงทำหน้าที่ทำลายความเงียบที่แสนน่าอึดอัดนี้
“รินทร์บอกไปตอนไหนว่าอยากจะคุยกับ…นรีกมล” ท้ายประโยควรินทร์จงใจทิ้งจังหวะแล้วหันไปมองหน้าหวานแวบหนึ่ง
นรีกมลสบตากลับ พยายามค้นหาแววบางอย่างในดวงตาคู่สวยนั้น แต่กลับไม่พบสิ่งใดนอกจากใบหน้าเรียบเฉยอย่างไม่แยแสตอบกลับมา
“เอาเถอะ! อันที่จริงพอร์ชปั้นเรื่องโกหกน่ะ” พีชญาเอ่ย “รินนี่อย่ามองด้วยสายตาอย่างนั้นสิ พอร์ชหวังดีนะ”
นรีกมลรู้สึกสะท้านในอกอย่างประหลาด เมื่อได้รู้ว่าแท้ที่จริงแล้ววรินทร์ไม่ได้อยากเจอเธอแม้แต่น้อย เป็นพีชญาเองที่มาฉุดเธอมาจากห้องรองประธาน จนเจ้าตัวโดนภาคินดุไปเสียขนานใหญ่ แต่มีหรือพีชญาจะแคร์ หญิงสาวให้เหตุผลว่าวรินทร์อยากพบอดีตเลขาอย่างด่วน แม้ภาคินจะคลางแคลงใจแต่ก็ยอมปล่อยให้เธอออกมาทั้งที่ยังคุยเรื่องงานกันไม่เสร็จ แต่นาทีนั้นนรีกมลไม่สนใจสิ่งใดแล้ว
ไม่สนว่าจะถูกเรียกไปคุยเรื่องอะไร
ไม่สนว่าจะโดนมองด้วยสีหน้าแบบไหน
ไม่สนว่าที่พีชญาเอ่ยจะเป็นเรื่องจริงหรือลวง
เธอสนใจเพียงแค่คนๆ เดียว
คนที่เธอรัก…คุณวรินทร์
“หวังดีเหรอ ไหนพอร์ชบอกจะไม่ก้าวก่ายเรื่องของรินทร์ไง”
“ได้…พอร์ชจะไปเดี๋ยวนี้ จะได้ไม่ทำตัวก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของรินนี่เพราะความหวังดีจากเพื่อนคนหนึ่ง อ้อ! ถึงจะไม่อยากคุยกับนรีกมล แต่ในเมื่อพอร์ชพามาหาถึงที่แล้ว ก็คุยกันให้เรียบร้อยนะ”
พีชญาเชิดหน้าแล้วกระแทกเท้าตึงๆ จากไป ในใจกรุ่นโกรธเพราะการกระทำของเพื่อนสาว นึกแปลกใจที่วรินทร์นั้นช่างปากไม่ตรงกับใจมากกว่าที่เธอคิด
เชอะ! ตรอมใจอยู่นานว่าเขาหายหน้าไป พอพาเขามาตัวเองกลับไปกอดกับผู้หญิงอีกคน
…ช่วยถึงขนาดพามาถึงที่แล้ว ถ้าเคลียร์กันไม่ได้เธอก็คงช่วยอะไรนรีกมลไม่ได้อีกแล้วเหมือนกัน
พีชญาหันไปย่นจมูกใส่เจ้าของห้องแล้วเหวี่ยงประตูปิดตามหลังเสียงดังสนั่น
นรีกมลมองซ้ายมองขวาอย่างไม่รู้จะทำอย่างไร และถึงกับสะดุ้งโหยงเมื่อจู่ๆ วรินทร์ก็เอ่ยบอกให้มานั่งยังเก้าอี้ตรงข้ามกัน หญิงสาวก่นด่าตัวเองในใจที่เผลอทำกิริยาน่าขันให้ผู้เป็นนายเห็น
นัยน์ตาดำจัดจับจ้องมาที่ใบหน้าของเธอไม่วางตา นรีกมลกัดริมฝีปาก ภาพเหตุการณ์ที่เห็นเมื่อครู่ยังติดตา อยากจะถามให้หายข้องใจแต่ปากมันหนักเกินกว่าจะเอ่ยออกไป รวมไปถึงใจที่ยังไม่กล้าพอ
ไม่สิ! บางทีอาจเป็นเพราะตัวเธอเองที่ไม่อยากฟังคำตอบจริงๆ ก็เป็นได้
“อย่าเข้าใจผิดนะ ฉันไม่ได้อยากจะเจอเธอ พอร์ชต่างหากที่เป็นคนจัดการ”
“ดิฉันทราบแล้วค่ะ” สรรพนามที่เปลี่ยนไปทำให้วรินทร์ถึงกับหายใจติดขัด ความไม่พอใจฉายชัดออกมาในแววตา
“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ดิฉันขอตัวก่อนนะคะ พอดียังคุยงานติดพันกับท่านรองประธาน”
“อึดอัดนักหรือไงที่อยู่กับฉัน”
นรีกมลส่ายหน้าให้เป็นคำตอบ
“ตอบคำถาม…ฉันเคยบอกแล้วไงว่าเวลาคุยให้เงยหน้ามองคู่สนทนา”
นรีกมลกำกระโปรงบนหน้าตักแน่นจนมันยับยู่ไปตามฝ่ามือ ริมฝีปากขยับตอบกลับอย่างที่อีกฝ่ายต้องการ
“ดิฉันไม่กล้ารู้สึกอย่างนั้นกับท่านประธานหรอกค่ะ”
“ไม่กล้ารู้สึกอย่างนั้นเหรอ” วรินทร์ขยับตัวเข้าไปใกล้โต๊ะทำงานมากขึ้น “แล้วตอนนี้ล่ะ เธอรู้สึกยังไงที่อยู่ต่อหน้าฉัน”
นิ้วเรียวยื่นไปแตะที่ริมฝีปากบางของอีกคนก่อนจะไล้ลงมาจนถึงคางแล้วดันเชิดขึ้น
วรินทร์ยื่นหน้าเข้าไปใกล้คนที่ตัวแข็งไปแล้ว ริมฝีปากเอ่ยกระซิบเสียงแผ่ว
“ตอบมาสิ”
วรินทร์รู้สึกขัดใจที่นรีกมลไม่ยอมตอบ นัยน์ตาหวานที่สบตาเธอดูล่องลอยไปไกลแสนไกล จึงนึกอยากลงโทษโดยการขยับตัวยื่นหน้าเข้าไปหา
ใกล้จนได้กลิ่นหอมบางๆ จากพวงแก้มใส
ใกล้จนปลายจมูกจะได้สัมผัส
…ใกล้เข้าไปเรื่อยๆ
“ทะ ท่านประธาน!”
นรีกมลหลุดจากภวังค์เพราะลมหายใจอ่อนๆ ที่เป่ารดอยู่บนพวงแก้ม หญิงสาวหน้าแดงแปร๊ดเป็นลูกตำลึง รีบยกมือดันไหล่บางของวรินทร์ให้ถอยห่างออกไป
เมื่อกี้คุณยังกอดกับพี่อันอยู่เลย ตอนนี้คุณยังจะกล้ามาฉกฉวยหาโอกาสกับฉัน
นรีกมลสะบัดหัวไล่ภาพบาดตาให้ออกไปจากสมอง สิ่งที่เธอต้องรับมือตอนนี้คือคนตรงหน้าต่างหากที่ไม่รู้จะมาไม้ไหน เธอไม่เคยเดาทางคนอย่างวรินทร์ถูกแม้แต่ครั้งเดียว
“ตอบคำถามฉันมาสิ” วรินทร์เปลี่ยนเป้าหมายของมือทั้งสองข้างไปวางลงบนที่วางแขนของเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม คั่นกลางระหว่างคนร่างเล็กพอดิบพอดี
“คำถามอะไรคะ”
“ตอนนี้รู้สึกยังไงกับฉัน”
“ระ รู้สึกเหรอคะ” นรีกมลผินหน้าไปทางอื่นอย่างไม่กล้าสบตา “ดิฉันไม่กล้ารู้สึกไม่ดีกับท่านประธานอยู่แล้วล่ะค่ะ อย่าทำอย่างนี้เลยนะคะ เดี๋ยวใครมาเห็นเข้ามันจะไม่ดี”
“ไม่มีใครเข้ามาโดยไม่เคาะประตูหรอก ยกเว้นยัยพอร์ชไว้คนหนึ่ง”
นัยน์ตาสีดำจัดจ้องเข้ามาในดวงตาเธอ ไหนจะริมฝีปากอวบอิ่มที่บิดโค้งเป็นรอยหยักเผยให้เห็นรอยยิ้มลึกลับที่คาดเดาไม่ได้ว่าผู้เป็นเจ้าของนั้นรู้สึกอย่างไร ดึงดูดและมีเสน่ห์จนเธอไม่อาจละสายตาออกไปได้
“ตอบมาเถอะ ฉันไม่กัดเธอหรอกนะ หรือว่า…เธออยากจะให้ฉันกัดล่ะ”
น้ำเสียงทุ้มนุ่มเอ่ยทีเล่นที่จริงจนนรีกมลรู้สึกหวิวในอก
“มะ ไม่ค่ะ ขอ ตะ ตอบดีกว่า” นรีกมลรีบตอบกลับอย่างระล่ำระลัก หลังเห็นอีกคนจับจ้องที่ริมฝีปากของเธอด้วยแววตาเจ้าเล่ห์
“รู้สึกว่าท่านประธานขยันขันแข็ง สมควรที่พนักงานควรเอาเป็นแบบอย่างค่ะ”
วรินทร์เหยียดยิ้มที่มุมปาก “ถ้าตอบแบบนั้นอย่าตอบเลยดีกว่า นี่เธอแสร้งไม่รู้เหรอว่าฉันหมายความว่ายังไง หรือว่าจริงๆ แล้ว…เธอต้องการแบบนี้”
ริมฝีปากอิ่มฉกจูบที่ริมฝีปากเธออย่างฉาบฉวย นรีกมลตกใจจนเผลอป้องกันตัวเองโดยการกัดริมฝีปากของผู้รุกรานเข้าให้จนปลายลิ้นสัมผัสถึงคาวเลือด
“โอ้ย! ทำอะไรของเธอเนี่ย” วรินทร์โอดแล้วถอยกลับไปยืนหลังโต๊ะทำงาน
“ขะ ขอโทษค่ะท่านประธาน ดิฉันไม่ได้ตั้งใจ”
“เธอมาดูแผลให้ฉันเลย เร็วๆ เข้า”
นรีกมลกุลีกุจอวิ่งอ้อมโต๊ะทำงานไปดูริมฝีปากของเจ้านาย ริมฝีปากล่างบริเวณที่โดนกัดนั้นห้อเลือดและบวมตุ่ยเล็กน้อย
นรีกมลอาการไปแล้วรีบถอยกลับมานั่งที่เดิม ใจคิดว่าหากยังยืนอยู่ตรงนั้น ด้วยความใกล้ชิดอาจก่อให้เกิดความไม่ปลอดภัยต่อร่างกายและหัวใจเธอได้
“กลัวกันนักหรือไง! ฉันไม่ได้พิศวาสเธอขนาดนั้น อย่าสำคัญตัวผิด”
…แต่ดูเหมือนอีกคนจะไม่ได้คิดเช่นนั้น
นรีกมลสะดุ้งอย่างตกใจ มือเล็กจับที่วางแขนแน่นจนฝ่ามือนั้นซีดจัด
ราวกับเขื่อนแห่งอารมณ์แตก วรินทร์พ่นคำพูดออกมาราวกับสายธารเชี่ยวกรากที่ไหลทั้งเร็วและแรง
“หึ! เธอน่ะเป็นคนหลอกลวง หลอกลวงฉันซ้ำแล้วซ้ำเล่า เธอบอกให้ฉันเชื่อเธองั้นเหรอ แล้วเธอเคยทำอะไรให้ฉันมั่นใจในตัวเธอจนถึงขนาดยอมให้อภัยในทุกๆ เรื่องหรือเปล่า…ก็ไม่…เธอปั่นหัวฉัน ทำให้ฉันกระวนกระวายใจเพราะความไม่รู้ ไม่รู้ว่าทำไมเธอถึง…”
คนหน้าสวยพูดเพียงเท่านั้นก็หันหลังไปมองนอกหน้าต่าง นรีกมลได้ยินเสียงพ่นลมหายใจแรงราวกับเบื่อหน่ายเสียเต็มประดา แผ่นหลังบอบบางที่อยู่ตรงหน้าช่างดูห่างไกลและเย็นชาในความรู้สึก นรีกมลกัดริมฝีปากอย่างพยายามห้ามน้ำตาที่คลอหน่วยไม่ให้ไหลเอ่อออกมา เมื่อคิดว่าบางทีวรินทร์อาจจะเกลียดเธอแล้วจริงๆ
…เกลียดจนถึงขั้นที่ไม่อยากจะมองหน้ากัน
แต่ถึงกระนั้นนรีกมลก็ยังไม่เข้าใจในประโยคหลังที่ได้ฟัง
ปั่นหัว ทำให้กระวนกระวายใจ…เธอไปทำอย่างนั้นตั้งแต่ตอนไหนกัน ที่ผ่านมาเธอก็ทำตามความต้องการของอีกฝ่ายทุกอย่าง ไม่อยากเจอหน้ากันเธอก็พยายามเลี่ยง ข้อความที่วรินทร์รำคาญเธอก็เลิกส่งไปหา
ตั้งแต่วันนั้น…วันที่นรีกมลรู้ว่าเพราะเหตุใดวรินทร์ถึงเมินเฉยกับเธอ
จนวันนี้ที่รู้ว่าวรินทร์อยากพบ เธอถึงได้ดีใจที่อีกฝ่ายอาจคิดถึงเธอ ยอมให้โอกาสแก้ตัว
แต่แล้ว…
ภาพคนสองคนที่ยืนตระกองกอดกันก่อนหน้า ผลักดันให้นรีกมลเป็นฝ่ายถามกลับไปบ้าง
“กับคุณหมออันนา คุณรินทร์รู้สึกยังไงกับเธอคะ”
“ทำไมฉันต้องตอบ ฉันกับพี่อันจะรู้สึกยังไงต่อกันมันไปเกี่ยวข้องอะไรกับเธอด้วย” วรินทร์นิ่งไปหลายวินาทีก่อนจะตอบประโยคต่อมาด้วยน้ำเสียงที่ฟังสดใสกว่าปกติ “แต่ถ้าจำเป็นต้องตอบ ก็คงรู้สึกดีล่ะมั้ง”
คำตอบกระทบจิตใจคนฟังอย่างร้ายกาจ นรีกมลก้มหน้ามองหน้าตักตัวเอง น้ำตาไหลพรั่งพรูลงบนกระโปรงเนื้อดีอย่างไม่อาจอดกลั้น เธอนึกดีใจอยู่เหมือนกันที่วรินทร์ยังหันหลังอยู่ เธอไม่อยากเห็นแววตาที่แสดงความสงสารหรือเวทนาจากดวงหน้างดงามนั้น
ได้ยินคำตอบชัดหรือยัง คำตอบที่เธออยากฟังไงนรีกมล
พอสักที! เขาพูดขนาดนี้แล้ว เลิกหวังลมๆ แล้งๆ ได้หรือยัง
นรีกมลสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ เพื่อบรรเทาอาการเจ็บแน่นที่หน้าอก พยายามกลั้นน้ำตาแล้วเช็ดคราบที่เปรอะอยู่อย่างลวกๆ ดวงหน้าหวานเงยขึ้นมาส่งยิ้มเศร้าๆ ให้กับแผ่นหลังบอบบางของคนตรงหน้า
“ดิฉันเข้าใจแล้วค่ะ”
“เข้าใจ? เธอเข้าใจอะไร”
“เข้าใจว่าคุณรินทร์คงเกลียดคนหลอกลวงอย่างดิฉันมาก บางทีถ้าคุณไม่ได้พบเจอฉันตั้งแต่แรกมันคงจะดีซะกว่า”
นรีกมลเห็นวรินทร์ไม่เอ่ยอะไรออกมา จึงกล่าวต่อโดยพยายามข่มก้อนสะอื้นไม่ให้หลุดออกมา
“ถ้าคุณไม่ต้องเจอหน้าฉัน คุณคงไม่ต้องเจ็บปวด เหนื่อยกาย เหนื่อยใจที่มีฉันคอยรังควาน คุณคงมีความสุขกับคนที่ดี รักคุณด้วยความจริงใจ…รักที่ไม่ได้เริ่มจากความหลอกลวง”
นรีกมลกัดฟันพูดต่อจนจบประโยคพร้อมกับน้ำตาที่คลอหน่วย “ต่อจากนี้ฉันจะไม่มาให้คุณเห็นหน้าอีกตามที่คุณต้องการ”
นรีกมลกลั้นใจรอฟังคำตอบร่วมนาที แต่ในที่สุดความหวังของเธอก็ไม่เป็นจริง ไม่มีประโยคห้าม ฉุดรั้ง หรือขอร้อง มีเพียงประโยคง่ายๆ สั้นๆ แค่เพียงประโยคเดียว
“ตามใจเธอสิ”
แค่เท่านั้นนรีกมลก็ไม่อาจเก็บกั้นทำนบน้ำตาไม่ให้ไหลออกมาอีกครั้งได้ หญิงสาวเอ่ยขอตัวด้วยเสียงสั่นเครือก่อนจะออกจากห้องมาอย่างเงียบๆ กล้ามเนื้อในอกคล้ายเต้นช้าลงเรื่อยๆ ในทุกจังหวะที่ก้าวเดิน หัวใจเหมือนถูกมือที่มองไม่เห็นมาบีบรัดให้รู้สึกเจ็บปวด
นรีกมลหันไปมองเป็นครั้งสุดท้าย วรินทร์ยังยืนหันหลังมองทิวทัศน์นอกหน้าต่างราวกับไม่สนใจสิ่งใด คนหน้าหวานนึกน้อยใจอย่างที่สุด ริมฝีปากขบกันแน่นพยายามห้ามเสียงสะอื้น ในขณะที่สายตาก็กวาดเก็บทุกรายละเอียดบนร่างกายที่แสนสมบูรณ์แบบของผู้หญิงที่เธอห้ามใจรักไม่ได้
บางที…เธออาจจะไม่มีโอกาสเห็นอีกแล้วก็เป็นได้
นรีกมลรู้สึกคล้ายหัวใจสลายยามมองผ่านประตูที่ค่อยๆ ปิดจนบดบังร่างของเจ้าของห้องไปในที่สุด หญิงสาวหันกลับมาก้าวเดินต่อไปพร้อมน้ำตาที่ไหลออกมาไม่ขาดสาย
เสียงนาฬิกาตั้งพื้นเรือนใหญ่ที่อยู่ชิดผนังห้องร้องส่งเสียงบอกเวลาว่าได้ข้ามเข้าสู่วันใหม่ ชายหนุ่มเพียงหนึ่งเดียวที่อยู่ในห้องทำได้เพียงถอนหายใจอย่างอดทนรอ ถ้าภายในสิบนาทีอีกฝ่ายยังไม่มา เขาคงขอยอมแพ้
ภาคินนั่งรอมาตั้งแต่ช่วงเย็น คุณอาทั้งสองก็แสนใจดีมานั่งคุยเป็นเพื่อน จนชั่วโมงก่อนถึงได้พากันเข้านอน ชายหนุ่มถอนหายใจอีกเฮือกพลางคิดว่าบางทีวรินทร์อาจไปค้างคืนที่คอนโด
เสียงเคลื่อนไหวที่ทางเข้าห้องนั่งเล่นทำให้ภาคินต้องหันไปมอง
“วรินทร์!”
วรินทร์ที่หน้าตาแดงกล่ำหรี่ตามอง พลางเดินโซซัดโซเซไปทรุดตัวลงนั่งที่โซฟาข้างเจ้าของเสียงเรียก
“นึกว่าใคร พี่ภาคนั่นเอง”
“ดื่มมาเหรอ?”
ประโยคบอกเล่ากึ่งคำถามถูกเอ่ยออกมาอย่างไม่ได้ต้องการคำตอบจริงจังนัก ตั้งแต่วรินทร์เดินเข้ามากลิ่นแอลกอฮอล์ก็ลอยคุ้งมาต้องจมูก ภาคินรู้อยู่แล้วว่าลูกพี่ลูกน้องสาวคงจะดื่มมาอยู่ไม่น้อย แต่การที่สามารถขับรถกลับมาได้โดยไม่เกิดอุบัติเหตุ แสดงว่าคงจะมีสติรับฟังอยู่…ภาคินนึกชื่นชมในการรู้จักยับยั้งชั่งใจของหญิงสาว
วรินทร์ได้ยินคำถามก็ขานรับสั้นๆ ก่อนจะพิงหัวกับพนักโซฟาพลางหลับตาลง
“พี่ภาคมาหารินทร์ถึงที่บ้าน แสดงว่าต้องมีเรื่องด่วน”
“ไม่ใช่เรื่องด่วนอะไรขนาดนั้น”
“แต่ก็มานั่งรอจนดึกดื่น” วรินทร์สวนกลับ “ทำไมไม่โทรมาล่ะคะ”
ถ้าวรินทร์ลืมตาคงได้เห็นสีหน้าหงุดหงิดของชายหนุ่ม
“ถ้าโทรติดจะมาหาไหมครับคุณน้องรินทร์” ภาคินประชด “ตอนเย็นก็ออกไปประชุมกับลูกค้า ค่ำมืดก็ออกไปดื่ม”
“ขอโทษค่า…” วรินทร์ยกมือขึ้นท่วมหัว “รินทร์ไม่มีกะจิตกะใจจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู ข้อความยิ่งไม่อยากจะเปิด”
ท้ายประโยควรินทร์เอ่ยเสียงเบาจนแทบจะเป็นการกระซิบ ภาคินขมวดคิ้วแต่ก็ไม่ได้สงสัยในประโยคนั้นแต่อย่างใด เพราะตอนนี้เขาสงสัยเรื่องอื่นมากกว่า
ในที่สุดภาคินก็เกริ่นเข้าเรื่อง
“จริงๆ มันก็ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของพี่หรอกนะ แต่ช่วงบ่ายยัยพอร์ชเพื่อนที่แสนน่ารักของรินทร์เข้ามาฉุดเลขาพี่ออกจากห้องไปเสียเฉยๆ เจ้าตัวอ้างว่ารินทร์เรียกไปพบ มันจริงหรือเปล่า?”
วรินทร์ลืมตาแล้วยืดตัวขึ้นมานั่งหลังตรง หญิงสาวไม่ตอบคำถามในทันที แต่นั่งเงียบเหมือนกำลังคิดไตร่ตรองอยู่หลายวินาที
“จริงค่ะ”
วรินทร์ตัดสินใจโกหก ถ้าเธอตอบความจริง คงโดนซักไซ้ไล่เรียงต่อเป็นแน่
ภาคินเลิกคิ้วพลางพยักหน้า…ถ้าอย่างนั้นเขาก็หาเรื่องเพื่อนสาวของวรินทร์ไม่ได้ล่ะสิ
“แล้วทำไมตอนกลับมาที่ห้องนรีกมลถึงร้องไห้ รินทร์ทำอะไรเธอหรือเปล่า?”
คราวนี้เป็นฝ่ายหญิงสาวที่เลิกคิ้วบ้าง
“ร้องไห้เหรอคะ ใครจะไปทำอะไรอย่างนั้นกับนรีกมลกัน นอกจากเขาจะทำตัวเอง” วรินทร์เสหน้าไปมองทางอื่นอย่างไม่อยากจะสบสายตาลูกพี่ลูกน้องตอนนี้
เธอกลัว…กลัวว่าภาคินจะเห็นบางอย่างในแววตา
“พูดอะไรเนี่ย พี่งงไปหมดแล้ว”
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ ตอนเขาออกจากห้องก็เห็นปกติดี ไม่เห็นจะร้องไห้สะอึกสะอื้นอะไรสักหน่อย”
“แล้วนรีกมลร้องไห้เพราะอะไรกันนะ”
“ทำไมคะ พี่ห่วงเลขาตัวเองมากจนถึงขนาดมานั่งรอฟังคำตอบจากรินทร์เลย?”
ไม่รู้ทำไมวรินทร์ถึงนึกกรุ่นโกรธในอก พอรู้สึกตัวอีกทีก็ตอนพูดประโยคที่ไม่สมควรพูดออกไปพร้อมกับน้ำเสียงที่กวนชวนหาเรื่อง วรินทร์ยกมือขึ้นมากุมขมับอย่างปลงไม่ตก
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ หรือเพราะใจเธอที่มีหญิงสาวอีกคนมาครอบครอง และมีอิทธิพลเหนือหัวใจจนเผลอทำอะไรไม่ยั้งคิดออกไป…วรินทร์หาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้
“พูดอย่างนี้เดี๋ยวก็โดนโบกหรอก” ภาคินเอ่ยอย่างไม่ได้โกรธเคืองเพราะรู้ว่าอีกคนอยู่ในสภาพไม่ปกติ แล้วจึงเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงจริงจัง “พี่ไม่คิดอะไรอย่างนั้นกับเลขา ไม่นิยมเป็นสมภารกินไก่วัดหรอกนะ รินทร์ก็น่าจะรู้ดี”
ประโยคนั้นทำเอาคนฟังถึงกับสะอึกจนเผลอกลืนน้ำลายลงคอ วรินทร์สำลักจนไอค่อกแค่กออกมาหลายที
“ไออย่างนี้เหมือนต้องการจะประชดพี่นะ”
“เปล่าค่ะ แค่กๆ รินทร์แค่เผลอ…กลืนน้ำลายลงคอ” วรินทร์ตอบไปไอไปจนหน้าแดงกล่ำยิ่งกว่าเดิม
ภาคินรอจนอีกฝ่ายพร้อมที่จะฟังแล้ว จึงกล่าวต่อ
“พี่ต้องรู้สิว่าลูกน้องของตัวเองเป็นอะไร จะได้เข้าใจและแก้ปัญหาให้เขาได้ถูก ยิ่งต้องทำงานใกล้ชิดอยู่ด้วยกันทุกวัน อาจเกิดผลกระทบต่องานก็ได้ ทีเราเป็นอะไรพวกเขายังรู้หมดทุกอย่าง ขนาดเรื่องส่วนตัวยังรู้เลย ถึงพี่กับรินทร์จะเป็นเจ้านายแต่ก็ต้องสนใจและเอาใจใส่ลูกน้องด้วย”
“พี่ภาคเป็นคนดีจังนะคะ” วรินทร์พิงท้ายทอยกับพนักโซฟา หงายหน้ามองเพดานพร้อมความคิดที่ล่องลอยไปไกลในขณะที่ปากก็เอ่ยไปด้วย “เป็นคนดี…ไม่เหมือนคนอย่างรินทร์”
“เป็นอะไรไป ฮึ!”
รู้สึกตัวอีกทีศีรษะมนก็ถูกมือหนาสัมผัสอย่างแผ่วเบา ภาคินเดินมาหยุดอยู่ข้างหลังวรินทร์ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
“มีอะไรก็ปรึกษาพี่ได้นะ อย่ามัวแต่เก็บไปคิดเองคนเดียว แล้วยัยพอร์ชรู้ไหมว่ารินทร์กำลังทุกข์ใจอยู่ตอนนี้”
“รู้ค่ะ พอร์ชรู้ทุกอย่างนั่นแหละ” วรินทร์หัวเราะเบาๆ เมื่อนึกถึงเพื่อน “ป่านนี้ก็คงรู้แล้ว”
“พูดอะไรให้พี่สงสัยอีกแล้ว” ภาคินละมือออก แล้วเดินไปหยิบเสื้อสูทที่พาดอยู่ตรงพนัก “เอาเป็นว่ารินทร์ไม่ใช่ต้นเหตุที่ทำให้เลขาพี่ร้องไห้ พักผ่อนเถอะนะ พรุ่งนี้มีประชุมแต่เช้า”