ตอนที่ 17
ผู้หญิงร่างผอมสูงใบหน้าไม่คุ้นตาที่เดินตามหลังภาคินเข้ามาภายในห้องประชุมทำให้วรินทร์ต้องหรี่สายตามองเผื่อว่าตนจะดูผิด
ใครกัน? ไม่ยักจะคุ้นหน้า…แล้วนรีกมลไปไหน?
วรินทร์ครุ่นคิดอยู่ได้เพียงไม่นาน ผู้ร่วมประชุมทุกคนก็เข้าประจำที่นั่งเรียบร้อย หญิงสาวจึงจำใจละเรื่องนรีกมลไว้ทีหลังแล้วเอ่ยคำทักทายเป็นอย่างแรกก่อนจะเปิดประเด็นเข้าสู่หัวข้อการประชุม
แค่เริ่มต้นบรรยากาศก็ตึงเครียดอย่างเห็นได้ชัด ผู้ร่วมประชุมมองหน้ากันอย่างเลิ่กลั่กเพราะดูเหมือนวันนี้ประธานบริษัทของพวกเขาจะอารมณ์ไม่สู้ดีนัก น้ำเสียงทุ้มกังวานเอ่ยอย่างรวดเร็วและเด็ดขาดตำหนิงานของฝ่ายผลิตที่ยังไม่คืบหน้า ทำเอาหัวหน้าฝ่ายท่านนั้นถึงกับหน้าซีดเผือดเอ่ยระล่ำระลักเป็นการใหญ่
วรินทร์มองชายวัยกลางคนผู้นั้นก่อนระบายลมหายใจพลางระงับโทสะในอก ใบหน้างามเรียบตึงประกอบกับหัวคิ้วที่ขมวดแน่น ทำเอาทุกคนในห้องได้แต่ปิดปากเงียบ ไม่มีใครกล้าเอ่ยคำออกมาแต่ประการใด
หลายชั่วโมงผ่านไปการประชุมที่แสนจะตึงเครียดก็สิ้นสุดลง ยังไม่ทันที่ภาคินจะได้ก้าวขาพ้นธรณีประตู วรินทร์ก็ก้าวฉับๆ มาดักอยู่ตรงหน้า ถึงดวงหน้างามจะเรียบนิ่งจับอารมณ์ไม่ออก แต่ดวงตาสีนิลที่ตวัดไปมองหญิงสาวข้างตัวชายหนุ่มก็บ่งบอกอะไรหลายอย่าง ภาคินเลิกคิ้วกับปฏิกิริยานั้น
ท่าทีที่ดูไม่ทุกข์ร้อนของลูกพี่ลูกน้องหนุ่ม ทำให้คนที่กำลังร้อนใจด้วยความอยากรู้นึกอยากจะฟาดฝ่ามือใส่ต้นแขนแกร่งนั่นสักป๊าบสองป๊าบ
“พี่เปลี่ยนเลขาแล้วเหรอ” วรินทร์ถามพลางเบี่ยงหน้าไปทางอื่น ทำคล้ายกับว่าคำถามที่ถูกเอ่ยออกไปไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญเท่าใด
“ใช่”
สิ้นคำตอบวรินทร์ก็สะบัดหน้ามามอง พร้อมคิ้วเรียวสวยที่ขมวดแน่นจนเป็นปมยุ่งเหยิง
“ทำไมคะ?”
“ไม่รู้สิ” ภาคินลูบคางพลางทำหน้านึก “นรีกมลยื่นใบลาออกเมื่อสองสามวันที่แล้ว ดูเหมือนเธอจะมีปัญหาคับข้องใจบางอย่าง พี่ถามแล้วก็เอาแต่เงียบ”
“เหรอคะ”
“เป็นอะไรหรือเปล่า หน้าซีดเชียว”
“เปล่าค่ะ ไม่ได้เป็นอะไร” วรินทร์ยิ้มบางให้ชายผู้พี่ “งั้นรินทร์ขอตัวก่อนนะคะ ตอนบ่ายมีนัดกับลูกค้า”
“ดูแลตัวเองด้วยนะรินทร์”
ภาคินมองตามหลังไปด้วยตาแสดงความห่วงใย เขาถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่แล้วหันไปสั่งงานหญิงสาวข้างตัว เลขาคนใหม่ตอบรับสั้นๆ ก่อนจะเดินจากไป
เสียงรองเท้าส้นสูงกระทบพื้นดังแปลกไปจากเสียงฝีเท้าของเลขาของเขา ภาคินจึงมองหาที่มา ไล่ตั้งแต่รองเท้าส้นสูงสีแดงเพลิงมายังชุดเดรสตัวสั้นสีเดียวกัน ก่อนจะเจอะกับใบหน้าที่ตกแต่งเสียเฉียบคมรับกับผมสีบรอนด์คาราเมล
ภาคินพ่นลมออกทางจมูกพร้อมกับเอ่ยชื่อผู้มาเยือนอย่างเบื่อหน่าย
“พีชญา”
“อิ่มแล้วเหรอคะ”
วรินทร์ยิ้มบางให้กับคนตรงหน้า มือเรียวหยิบผ้าที่คลุมอยู่บนตักขึ้นมาเช็ดริมฝีปากเป็นการบอกเป็นนัย
“ทำไมเหรอคะ อาหารร้านนี้ไม่ถูกปากหรือเปล่า” อันนาถาม
“เปล่าค่ะ”
“แล้วทำไมถึงกินแค่คำสองคำเองล่ะคะ กินอย่างนี้ไม่ดีต่อสุขภาพนะ”
“รินทร์ไม่ค่อยหิวน่ะค่ะ”
อันนามองวรินทร์อย่างพิจารณา “มีปัญหาอะไรก็บอกพี่ได้นะ”
วรินทร์ส่ายหน้า “ไม่มีปัญหาอะไรหรอกค่ะ แค่เครียดเรื่องงานนิดหน่อย”
วรินทร์ลอบถอนลมหายใจเมื่ออันนาไม่ได้ถามอะไรต่อ เธอรู้ว่าคนตรงหน้ายังติดใจ แต่จะทำยังไงได้ เธอยังไม่อยากบอกเรื่องนี้กับใครนอกจากพีชญา ซึ่งตอนนี้ก็หายหน้าไปเป็นอาทิตย์ โทรไปก็บอกว่ายุ่งตลอด พีชญาบอกแค่ว่ากำลังศึกษางานจากแด๊ดอยู่ วรินทร์ได้ยิงอย่างนั้นก็ไม่อยากจะเล่าปัญหาของตนให้เพื่อนสาวฟังเพราะกลัวสาวเจ้าจะเสียสมาธิไม่เป็นอันทำงานทำการ ตอนนี้ตัวเธอจึงได้แต่กังวลและว้าวุ่นใจอย่างไม่รู้จะทำยังไงต่อไปดี…คิดแล้วมือเรียวก็คว้าโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดเช็คข้อความ
หัวใจสั่นไหวยามเมื่อเห็นว่าทุกอย่างว่างเปล่า ไม่มีข้อความใหม่จากเบอร์ที่คุ้นเคย ไม่รู้ทำไมวรินทร์ถึงเปิดอ่านข้อความเก่าๆ ให้เจ็บช้ำไปยิ่งกว่าเดิม
ไล่ไปทีละข้อความ ทีละข้อความ…จนถึงข้อความสุดท้าย
แล้ววรินทร์ก็คิดขึ้นมาได้ว่า ต่อจากนี้ถ้าไม่ได้เจอนรีกมลอีกเธอจะเป็นอย่างไร จะทำใจได้ไหมหากต้องคิดว่าคนๆ นั้นไม่เคยมีตัวตน เป็นเพียงสายลมที่พัดผ่านไป
และถึงแม้หากได้เจอกันอีกครั้ง วรินทร์ก็คงเป็นเพียงแค่คนแปลกหน้า เป็นคนที่นรีกมลเคยรู้จักและไม่หลงเหลือความรักให้อีกต่อไปแล้ว
ไม่รู้ทำไมน้ำตาถึงได้ไหลออกมา วรินทร์กำโทรศัพท์ในมือแน่นแล้วเริ่มสะอื้นออกมา ความเข้มแข็งที่เคยมีได้พังทลาย หัวใจบีบรัดหนักหน่วงจนต้องยกมือขึ้นมากุมเอาไว้ เธอร้องไห้โดยไม่สนใจคนมากมายที่อยู่รอบกาย ไม่สนใจว่าพวกเขาจะมองเธอแบบไหน ขอเพียงตอนนี้…ขอเพียงให้เธอได้ระบายความเจ็บปวดนี้ออกมา
“น้องรินทร์!”
อันนาตกใจที่อยู่ดีๆ วรินทร์ก็ร้องไห้ออกมา เธอไม่เคยเห็นวรินทร์ในมุมนี้มาก่อน ไม่นึกว่าผู้หญิงที่เข้มแข็งจะอ่อนแอราวกับแก้วที่เปราะบางได้ขนาดนี้
อันนาเดินอ้อมโต๊ะมาคว้าร่างคนที่ร้องไห้จนตัวโยนไปโอบกอด แรงสะอื้นที่ลำตัวทำให้อันนาต้องกัดริมฝีปากตนเองจนจ้ำแดงแล้วยกมือข้างหนึ่งขึ้นลูบศีรษะหมายปลอบประโลม
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรที่ทำให้หญิงสาวในอ้อมกอดร้องไห้โดยไม่แคร์สายตาผู้คนรอบกาย อันนาไม่อยากจะรู้…
ขอแค่ ณ ตอนนี้ที่เธอได้เป็นคนที่ดูแลและปกป้องวรินทร์ก็พอ
“หยุดดื่มได้แล้วนะ เดี๋ยวก็เมากันพอดี”
วรินทร์ละสายตาจากน้ำเมาสีสวยในแก้วใสเนื้อดีมาสบตาคนพูด อันนารู้สึกว่าใบหน้าของตัวเองเห่อร้อนขึ้นเล็กน้อยเมื่อได้สบนัยน์ตาสีดำสนิทที่เยิ้มพราวล้อกับแสงไฟ แต่อันนาก็ตีสีหน้านิ่งราวกับไม่ได้รู้สึกหวั่นไหวใดๆ แม้แต่น้อย
“เมาก็ดีสิคะ จะได้ลืมเรื่องที่ไม่อยากจำ” วรินทร์เหยียดยิ้ม “ทำไมกันคะพี่อัน ทำไมเรื่องดีๆ คนเราถึงไม่จำ แต่กับไอ้เรื่องแย่ๆ ถึงจำได้ไม่ลืมราวกับม้วนเทปที่เล่นซ้ำอยู่ในสมอง รินทร์จำได้ด้วยซ้ำว่าตอนนั้นรู้สึกอะไรบ้าง จำได้ด้วยซ้ำว่าเจ็บปวดแค่ไหน”
“พอจะเล่าให้พี่ฟังได้ไหมคะ เผื่อพี่จะช่วยอะไรน้องรินทร์ได้บ้าง”
“มันคงช่วยอะไรไม่ได้แล้วค่ะ คนๆ นั้นเขาไม่อยู่แล้ว รินทร์แก้ไขทุกอย่างให้ดีขึ้นไม่ได้แล้ว” ว่าจบวรินทร์ก็กระจกน้ำสีสวยจนหมดแก้ว ฤทธิ์แอลกอฮอล์กัดให้รู้สึกร้อนในลำคอจนใบหน้าเหยเก
“พี่รู้จักคนๆ นั้นไหม”
วรินทร์ชะงักไปเล็กน้อย หญิงสาวไม่ตอบแต่กลับหันไปสั่งเหล้าเพิ่มจากบาร์เทนเดอร์
“พี่อันไม่ดื่มเหรอคะ”
“พี่ไม่ดื่มแอลกอฮอล์น่ะ”
วรินทร์พยักหน้า “ดีจังนะคะ ถ้าได้พี่อันเป็นแฟนต้องมีความสุขมากๆ แน่ๆ เลย”
ใจของอันนาเต้นเป็นจังหวะรัวเร็วราวกับกระหน่ำกลอง ไม่ว่าที่วรินทร์พูดเช่นนั้นจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ จะด้วยเหตุผลหรือกลใดก็ตาม
แต่นาทีนี้…นาทีที่ได้มองดวงหน้าสวยจากด้านข้าง นั่งใกล้กันจนเรียวแขนนั้นเสียดสีกันจนรู้สึกถึงความร้อนจากร่างกายอีกคน
“น้องรินทร์เคยชมพี่ทีหนึ่งแล้วนะ อย่ามายอกันนักสิ”
วรินทร์หัวเราะพลางรับแก้วจากบาร์เทนเดอร์มาแกว่งเล็กน้อย “รินทร์คิดอย่างนั้นจริงๆ นะ”
นิ้วเรียวยาวสีน้ำผึ้งเคาะแก้วใบสวยเป็นจังหวะตามจังหวะการเต้นหัวใจของอันนาไม่ผิดเพี้ยน
เมื่อไม่มีใครพูดอะไรกัน ความเงียบทำให้ความคิดในหัวอันนาที่เคยกระจัดกระจายได้กลับมารวมกัน คนเป็นหมอลอบมองใบหน้าสวยคมอยู่เป็นระยะจนคนถูกมองต้องหันมาสายตาพร้อมกับเลิกคิ้วข้างหนึ่งราวกับจะถาม
“เหงื่อออกเยอะจัง ร้อนเหรอคะ”
วรินทร์ล้วงหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาบรรจงเช็ดที่ใบหน้าขาวจัดราวหิมะ อันนานั่งตัวแข็งอย่างทำอะไรไม่ถูกเมื่อเจอเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน ตอนนี้ในหัวสมองเธอนั้นโหวงเหวงว่างเปล่าจนคิดอะไรไม่ออก
ความเอาใจใส่ของวรินทร์ทำให้อันนาอยากคิดเข้าข้างตัวเอง แต่เมื่อคิดว่าวรินทร์อาจจะทำแบบนี้กับคนทุกคน ก็ทำให้หัวใจที่พองโตหดฟีบลงอย่างช่วยไม่ได้
“น้องรินทร์ใจดีอย่างนี้เสมอเลยเหรอคะ” อันนาถามเมื่ออีกคนละมือออกจากใบหน้าเธอ
รอยยิ้มที่อ่านไม่ออกถูกเผยออกมา พร้อมกับประกายตาที่เศร้าหมองราวกับเจ้าตัวจมลึกไปในเรื่องราวบางอย่างที่อันนาไม่สามารถเข้าถึง “ไม่ค่ะ รินทร์น่ะใจร้าย…ใจร้ายมากๆ เลยล่ะ”
“พอได้แล้วนะน้องรินทร์” อันนาคว้าข้อมือคนที่กระดกเหล้าเข้าปากไปอีกแก้ว
วรินทร์ส่ายหน้าแล้วสั่งเหล้ามาเพิ่มอีก อันนาจึงพ่มลมหายใจไปกับความดื้อรั้นของวรินทร์ เลยได้แต่นั่งมองเจ้าตัวกระดกเหล้าเข้าปากแก้วแล้วแก้วเล่าอย่างไม่รู้จะห้ามอย่างไร
“รินทร์!”
พีชญาถลาเข้ามานั่งคุกเข่ามองหน้าเพื่อนสาวที่นอนเมามายอยู่บนโซฟาตัวยาว อันนายิ้มบางมองพีชญาตบแก้มคนเมาซ้ายขวาหวังเรียกสติ แล้วจึงเดินมาทรุดนั่งลงข้างกัน
“พี่ห้ามแล้วนะ แต่น้องรินทร์น่ะดื้อ” อันนาเอ่ยอย่างติดกังวล “ดีที่ยังมีสติบอกทางกลับคอนโดได้”
“ค่ะ พอร์ชเข้าใจดี รินนี่น่ะดื้อที่สุดเลย” พีชญาลงฝ่ามือไปที่แก้มขวาของวรินทร์แรงขึ้นอย่างไม่รู้ตัว
อันนาลุกขึ้นผละออกไปแต่พีชญาไม่ได้สนใจแต่อย่างใด เพราะตอนนี้คนเมาเปิดปากตะโกนโหวกเหวกฟังไม่ได้ศัพท์ ส่วนมือก็ปัดป่ายไปมาจนพีชญาต้องยึดแขนทั้งสองข้างเอาไว้ พีชญาสบนัยน์ตาดำขลับที่ฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ทำให้ส่อประกายวาววับและเชื่อมหวานอย่างน่าประหลาด
“สายตาอย่างนี้ใช้ไม่ได้ผลกับพอร์ชหรอกนะ” พีชญาเอ่ยเสียงแผ่ว แล้วดันไหล่ให้คนเมาลงไปนอนบนโซฟาดีๆ
“เช็ดหน้าเช็ดตาน้องรินทร์หน่อยดีกว่า น้องพอร์ชหลบมาหน่อยค่ะ เดี๋ยวพี่…”
“ส่งกะละมังมาเถอะค่ะ พอร์ชเช็ดเองดีกว่า” พีชญากล่าวตัดประโยคของอันนาโดยใช้น้ำเสียงปกติ อันนาจึงจำใจต้องวางกะละมังลงข้างตัวหญิงสาวแล้วทรุดตัวลงนั่งข้างๆ แทน
“ทำไมถึงโทรเรียกพอร์ชมาล่ะคะ” ประโยคคำถามสั้นๆ แต่ทำเอาอันนาต้องนั่งคิดคำตอบอยู่นานสองนาน
“ก็…น้องพอร์ชน่าจะดูแลน้องรินทร์ได้ดีกว่าพี่”
คำตอบจากอันนาเรียกรอยยิ้มที่มุมปากของพีชญา
“แต่พี่อันเป็นหมอนะคะ พอร์ชจะไปดูแลรินทร์ได้ดีกว่าพี่ได้ยังไง” พีชญาสบตาคู่สนทนาแล้วหันไปเช็ดหน้าวรินทร์ต่อ
“หมายถึงในแง่ความรู้สึกน่ะค่ะ พี่แทบไม่รู้เลยว่าน้องรินทร์มีปัญหาอะไร เพราะเจ้าตัวไม่ยอมเปิดปากพูดเลย ที่บอกก็มีแค่เรื่องงาน”
“เรื่องงาน?” พีชญาทวนคำก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ “ก็จริงของเขานะคะ”
อันนาหรี่ตามองพีชญาที่ยังคงรอยยิ้มประดับมุมปากตลอด คำตอบชวนสงสัยสร้างความหงุดหงิดให้แก่เธอ
“ที่พี่อันโทรเรียกพอร์ชมา เป็นเพราะพี่อันไม่ไว้ใจตัวเองใช่ไหมคะ”
คำถามที่จู่ๆ ก็ถูกเอ่ยออกมา แทงทะลุใจคนฟังได้อย่างน่าประหลาด
“อะไรกันน้องพอร์ช พี่ไม่เข้าใจ”
พีชญาหยุดมือที่กำลังเช็ดหน้าวรินทร์ แล้วหันมายิ้มเจ้าเล่ห์ให้กับคุณหมอที่ยังตีสีหน้านิ่งอยู่ ทั้งที่ประกายตาในดวงตาเรียวยาวนั้นวูบไหวจนสังเกตได้ชัด
“นะ ไนน์”
อันนาที่กำลังลุ้นว่าพีชญาตั้งใจจะพูดอะไร ก็ต้องเบนความสนใจมาที่คนเมาบนโซฟา วรินทร์ขมวดคิ้วแน่นเริ่มปัดป่ายมือไปมาอีกครั้ง ริมฝีปากแดงกล่ำขยับเอ่ยคำสั้นๆ ซ้ำๆ กันอยู่คำเดียว
“ไนน์” พีชญาเอ่ยตามแล้วหัวเราะอย่างขบขัน “เพ้ออะไรแปลกๆ นะเพื่อนฉัน”
พีชญาชำเลืองมองคุณหมอข้างตัวเล็กน้อย แล้วเริ่มเช็ดตัววรินทร์ต่อ แต่ดูเหมือนจะไม่ได้รับความร่วมมือสักเท่าไหร่ พีชญาถลึงตาใส่คนเมาที่ยึดข้อมือเธอไว้แน่น
“เธอหายไปไหนมา”
“พอร์ชบอกแล้วไงว่าไปช่วยแด๊ดทำงาน” พีชญาพยายามแงะมือปลาหมึกออก
“เธอจะทิ้งฉันไปเหรอ” น้ำที่เอ่อคลอเต็มหน่วยตาทำคนที่ยังสติดีอยู่ทั้งสองทำอะไรไม่ถูก
ในที่สุดพีชญาก็หาเสียงของตัวเองเจอ “จะทิ้งรินนี่ไปได้ยังไง”
สิ้นคำริมฝีปากของวรินทร์ก็แย้มพรายเป็นรอยยิ้มกว้าง พีชญาอุทานเบาๆ เมื่อมองตามมือของตัวเองที่ถูกเพื่อนสาวกอบกุม ความร้อนจากมือวรินทร์แผ่เข้ามาที่มือของเธอจนรู้สึกได้
“จริงๆ นะ เธอจะไม่ทิ้งฉันไปไหนใช่ไหม…
ใช่ไหม…นรีกมล”
อันนารู้สึกชาวาบไปทั้งร่าง มือทั้งคู่เย็นเฉียบจนต้องเคลื่อนมาสอดบีบกัน สายตาจับจ้องคนเมาที่ยังคงเพ้ออีกสามสี่ประโยคแล้วก็หลับตาพริ้มพร้อมกับรอยยิ้มที่ยังคงประดับในหน้า
“พี่กลับก่อนนะ”
อันนาเอ่ยและผุดลุกขึ้นอย่างรวดเร็วโดยไม่สนใจว่าพีชญาจะว่าอย่างไร ทันทีที่ออกมาจากห้องหน้ากากแห่งความสงบนิ่งที่สร้างเอาไว้ก็มลายหายไป อันนาพิงหลังกับประตูแล้วหลับตาลงอย่างอ่อนล้า ความรู้สึกในห้วงลึกของจิตใจจมดิ่งจนยากที่จะหาอะไรมาฉุดรั้งให้ดีขึ้น
ถึงแม้จะเคยเจ็บปวดกับความรักมาหลายต่อหลายครั้ง แต่น้ำตาที่รื้นอยู่ตรงขอบตากลับบอกได้ว่าตัวเธอยังคงไม่ชินชาจนสามารถทานทนกับความรู้สึกเหล่านี้ได้ ไม่ต้องให้ความสำคัญและพยายามเดินหน้าต่อไปทั้งที่ความหวังที่เคยมีแทบจะกลายเป็นศูนย์
ความพยายามก่อนหน้าที่หลอกตัวเองว่าเรื่องของวรินทร์กับนรีกมลเป็นแค่ลางสังหรณ์และการคาดเดาที่ยังหาหลักฐานมาชี้วัดว่าเป็นจริงไม่ได้ อันนาไม่อยากจะให้เรื่องเหล่านี้มาบั่นทอนความรู้สึก
ริมฝีปากบิดโค้งเป็นรอยยิ้มแค่นรอยหนึ่งเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ก่อนหน้า
เหตุการณ์เพียงไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมาที่ทำให้เธอมีความสุขอยู่เพียงชั่วครู่
…ทุกอย่างเธอคิดไปเองทั้งนั้น
อันนาบอกตัวเองขณะตัดใจก้าวห่างออกมาจากห้องของวรินทร์ จากที่นึกเคืองเจ้าของห้องอยู่ชั่วครู่เพราะการกระทำที่ไม่ชัดเจน อันนารู้ว่าวรินทร์ทราบว่าตนคิดยังไงกับตัวเอง แต่การไม่เอ่ยปฏิเสธของวรินทร์เท่ากับเป็นการทำร้ายเธอทางอ้อม ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมาที่เธอเทียวเข้ามาห่วงหา คอยดูแล โดยอ้างเรื่องนั่นเรื่องนี่ตลอด ทั้งเรื่องแม่ของเธอหรือจะเรื่องสุขภาพของวรินทร์ รู้ตัวอีกทีการได้เห็นดวงหน้าสวยก็ถือเป็นความสุขของเธอแล้ว ทุกอย่างที่เป็นวรินทร์ทำให้เธอถลำลึกในห้วงเสน่หาจนถอนตัวไม่ขึ้น
สิ่งที่เจ็บปวดที่สุด คือการที่อีกฝ่ายไม่เคยคิดอะไรเกินเลยแม้แต่น้อย แต่เธอกลับคิดว่าวรินทร์รู้สึกดีกับตัวเอง จินตนาการไปว่าเราสองคนคิดตรงกัน
ทั้งที่ความจริงแล้ววรินทร์มีใครอีกคนในใจ
อีกคนที่มาก่อน
อีกคนที่ทำให้ต้องเจ็บปวดจนลืมไม่ได้
อันนาเช็ดน้ำตาตรงข้างแก้ม เธอเรียกความมั่นใจกลับมาเมื่อคิดถึงเรื่องบางอย่างได้ หญิงสาวกลืนก้อนแข็งๆ ในลำคอก่อนจะแค่นยิ้มพร้อมกับพ่มลมหายใจออกมาอย่างเสียไม่ได้
อันนาหมายมาดไว้ในใจ…
ถ้าเธอไม่กลับมาดูแลหัวใจของวรินทร์ให้ดีๆ ฉันจะขอรับหน้าที่เป็นคนเยียวยารักษาหัวใจดวงนี้ให้เอง รับรองว่าจะไม่บกพร่องในหน้าที่ และจะไม่ทำให้ดวงใจที่แสนเปราะบางดวงนี้ชอกช้ำเป็นอันขาด
สัญญาด้วยเกียรติของฉันเลย…นรีกมล