ตอนที่ 18
เพียงแค่ลืมตาตื่นขึ้นอาการปวดหัวจากการเมาค้างก็เป็นสิ่งแรกที่เข้ามาทักทาย วรินทร์ยกมือขึ้นกุมขมับขณะลุกขึ้นนั่ง ดวงตาเรียวคมหรี่มองไปรอบตัวอย่างสำรวจ ห้องนั่งเล่นที่แสนจะคุ้นตาปรากฏแก่สายตา
ยังไม่ทันที่จะได้เรียกคืนความทรงจำหรือย้อนความคิดลงในรายละเอียด เพื่อนสาวคนสนิทที่วรินทร์ไม่ได้เห็นหน้าค่าตามาเป็นอาทิตย์ก็เดินออกมาจากห้องนอนของเธอในสภาพที่ไม่เรียบร้อยนัก
“ตื่นแล้วเหรอรินนี่” พีชญาพาร่างสะโอดสะอง ที่สวมเพียงเสื้อเชิ้ตสีขาวตัวยาวของเจ้าของห้องเพียงตัวเดียวมานั่งข้างกัน
“แต่งตัวอย่างกับจะมายั่วใคร”
พีชญาตาโตเท่าไข่ห่าน คนช่างยั่วจัดการฟาดแขนคนปากดีไปหนึ่งที
“ปากอย่างนี้สินะถึงได้ถูกทิ้งน่ะ”
“อะไร!” วรินทร์แหวเสียงเขียว “พอร์ชเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า รินทร์ต่างหากที่เป็นฝ่ายทิ้ง”
“ถ้าเจ้าตัวมาได้ยินคงเสียใจแย่”
วรินทร์มองตามหลังพีชญาที่เดินหายลับเข้าห้องนอนไปด้วยสายตาเป็นคำถาม ตอนนี้สมองเธอไม่ค่อยแล่นสักเท่าไหร่ มันหนักอึ้งราวกับมีเหล็กเป็นตันมาถ่วงไว้
วรินทร์เดินไปโซนครัวแล้วเริ่มชงน้ำขิงร้อนๆ ดื่มสักแก้วเพื่อคลายอาการปวดหัวที่รุมเร้า หลังละเลียดดื่มอยู่ได้ไม่นาน พีชญาในร่างชุดทำงานก็เดินมาหา
“ยืมชุดใส่หน่อยนะรินนี่”
“อืม ไม่ให้ก็ไม่ได้ เล่นใส่ออกมาแล้วนี่” วรินทร์เอ่ยด้วยเสียงติดตลก “วันอาทิตย์ยังไปทำงานอีกเหรอ”
พีชญาพยักหน้า “พอร์ชต้องเรียนรู้อีกเยอะ แถมยังมีอีกหลายอย่างที่ไม่ลงตัว”
“มีอะไรปรึกษารินทร์ได้นะ”
“จ้ะ ขอบคุณมากนะ” พีชญายิ้มหวานก่อนจะเดินเข้ามาจับไหล่ ใบหน้างามที่ตกแต่งด้วยเครื่องสำอางติดจะจริงจังและเป็นกังวล “พอร์ชขอโทษนะที่ช่วงนี้ไม่มีเวลาให้เหมือนเก่า”
วรินทร์ยกยิ้มอ่อนก่อนจะส่ายหน้าบอกว่าไม่เป็นไร
“ไปทำงานเถอะ สายป่านนี้เดี๋ยวแด๊ดดุเอานะ”
พีชญาย่นจมูกอย่างขัดใจ แล้วผละตัวออกไปจากเพื่อนสาว วรินทร์จึงเดินไปส่งอีกคนจนถึงหน้าประตู
“ดะ เดี๋ยวสิพอร์ช!”
พีชญาหันกลับมาพลางเลิกคิ้วเป็นคำถาม
“ที่บอกว่ารินทร์โดนทิ้งน่ะ พอร์ชรู้ได้ยังไง”
“รินนี่คิดถึงใครกัน พอร์ชหมายถึงคนรักเก่าของรินนี่ต่างหาก”
วรินทร์ไม่อยากจะเชื่อในน้ำคำของพีชญาสักเท่าไหร่ มีที่ไหนพูดไปทำหน้าทำตาอย่างกับจะกลั้นขำไป
อยากจะคาดคั้นถามต่อ ถ้าพีชญาจะไม่ยกนาฬิกาข้อมูลขึ้นมาดูแล้วจงใจบ่นเสียงดังว่า ‘สายแล้วๆ’ วรินทร์จึงได้แต่ถอนหายใจและทำได้เพียงโบกมือลาอีกฝ่ายที่หน้าประตู
ร่วมสามเดือนที่วรินทร์นั่งจดจ้องเลขาคนใหม่ของภาคิน สายตาคู่งามเหม่อลอยราวกับนึกถึงใครบางคนที่คงอยู่ไกลแสนไกล เสร็จสิ้นการประชุมเธอจึงได้รู้สึกตัวและละสายตาออกมา ความรู้สึกหนักหน่วงที่อยู่ในอกทำให้วรินทร์ถอนหายใจ จังหวะนั้นวรินทร์ก็เห็นหญิงสาวคนหนึ่งที่เดินออกจากห้องไปก่อนหน้าเธอ
“คุณเอมิตา!”
เอมิตาสะดุ้งเมื่อจำเสียงของคนเรียกได้…เสียงของท่านประธานที่เพิ่งดุหัวหน้าแผนกเธอไปหยกๆ
“คะ ท่านประธาน” เอมิตาเอ่ยกับวรินทร์ที่สาวเท้ามาหยุดอยู่ตรงหน้า
วรินทร์มีทีท่าลังเลอยู่ชั่วครู่ แต่ในที่สุดก็เอ่ยปากถาม “ฉันจำได้ว่าคุณเอมเป็นเพื่อนกับนรีกมล คุณพอจะรู้ไหมว่าเขาลาออกไปไหน”
“ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ รู้แต่ว่ายังทำงานอยู่ในกรุงเทพฯ อาทิตย์ก่อนยังนัดเจอกันอยู่เลย”
ดวงตาของวรินทร์เบิกโตขึ้นเล็กน้อย จู่ๆ หัวใจที่เคยปกติก็เต้นระส่ำขึ้นมาอย่างประหลาด
“ท่านประธานลองโทรไปถามไนน์ดูสิคะ เขายังใช้เบอร์เดิมอยู่นี่นา”
สีหน้าที่หดหู่ไปของวรินทร์ทำให้เอมิตาอยากจะยกมือขึ้นกุมขมับเพราะนึกว่าตนเผลอไปพูดอะไรไม่เข้าท่ากับท่านประธาน เอมิตาจึงรีบกล่าวเสริมอย่างละล่ำละลัก
“น่าจะยังอยู่ที่คอนโดเดิมนะคะ ถ้าคุณรินทร์อยากเจอ เดี๋ยวเอมโทรตามให้”
“ไม่เป็นไรค่ะ ว่าแต่คุณเอมพอจะทราบไหมว่านรีกมลลาออกไปเพราะอะไร”
“พวกเราถามแล้วค่ะ แต่ไนน์เอาแต่ยิ้ม แล้วพูดเลี่ยงไปเรื่อย”
วรินทร์ลอบถอนลมหายใจก่อนจะเอ่ยขอบคุณ
วรินทร์นั่งอ่านแฟ้มเอกสารของฝ่ายการตลาดก็พอดีกับเสียงเคาะประตูที่ดังขึ้น วรินทร์คาดว่าคงเป็นเปรมจิตจึงเอ่ยเชิญโดยไม่ได้เงยหน้าขึ้นมอง
“ยุ่งขนาดนี้พี่มารบกวนหรือเปล่าคะ”
“อ้าว! พี่อัน” วรินทร์ละสายตาจากงาน “ไม่ได้รบกวนเลยค่ะ เชิญนั่งก่อน”
“ช่วงหลังๆ พี่ไม่ได้เจอหน้าน้องรินทร์เลย โทรมาทีไรก็ยุ่งตลอดจนได้คุยกันแค่แป๊บเดียว วันนี้มาเข้าเวรที่นี่ เห็นคุณแม่บอกคุณรินทร์ไม่ติดธุระอะไรเลยถือวิสาสะมาหา”
“ขอโทษค่ะที่ไม่ว่างเจอกัน พอดีมีหลายงานที่ติดพันอยู่”
“งานตลอดเลยนะคะ”
น้ำเสียงคล้ายประชดของอันนาทำให้วรินทร์ต้องขมวดคิ้วอย่างแปลกใจ “พี่อันว่าอะไรนะคะ”
“เปล่าค่ะ พี่แค่บ่นๆ เพราะทางฝั่งพี่ก็งานยุ่งเหมือนกัน”
“อ๋อค่ะ สู้ๆ นะคะรินทร์เอาใจช่วย”
อันนายิ้มรับก่อนจะจับจ้องดวงหน้าสวยที่ซูบตอบลงอย่างเห็นได้ชัด แม้จะนึกสงสารแต่อันนาก็เลือกที่บอก…บอกสิ่งที่อยู่ในใจมาตบอด
“น้องรินทร์จะว่ายังไง ถ้าพี่บอกว่า…พี่ชอบน้องรินทร์”
วรินทร์นิ่งอึ้งไปหลายวินาที และเมื่อรู้สึกตัวจึงเสมองไปทางอื่นคล้ายไม่กล้าจะสบตา จนเมื่อความเงียบทำให้บรรยากาศระหว่างคนสองคนยิ่งอึดอัด วรินทร์จึงตัดสินใจเอ่ยคำ
“รินทร์เสียใจค่ะ รินทร์คิดกับพี่อันแค่พี่สาว”
เอ่ยจบวรินทร์ก็ก้มมองพื้นไม่สบตากัน แต่สัมผัสหนักแน่นบนไหล่ข้างหนึ่งทำให้ต้องเงยหน้าขึ้นมาด้วยความแปลกใจ และรอยยิ้มจากคนเป็นหมอก็ทำให้ความรู้สึกผิดบรรเทาลงได้อย่างชะงัด
“น้องรินทร์รู้มานานแล้วใช่ไหมคะ” อันนาเอ่ยพลางถอยกลับไปนั่งที่เดิม แม้สีหน้าจะเรียบนิ่งแต่รอยยิ้มทบางที่ยังประดับบนริมฝีปากเรียวก็ทำให้วรินทร์กล้าที่จะสบตา
“ค่ะ รู้มานานพอควรแล้ว แต่…”
“เข้าใจว่าเกรงใจพี่ แต่เรื่องความรู้สึกน้องรินทร์ควรจะพูดออกมาตรงๆ มากกว่า” อันนาเอ่ยเสียงเรียบคล้ายจะตำหนิ “รู้ไหมคะว่าผู้หญิงเราเกิดมาพร้อมกับยีนเข้าข้างตัวเอง”
“ยีนเข้าข้างตัวเอง?”
“ใช่ค่ะ คิดเข้าข้างตัวเองว่าที่เขามาทำดีด้วยเพราะเขารู้สึกเดียวกันกับเรา ที่เขาไม่ปฏิเสธก็เพราะเขาใจตรงกับเรา ทั้งที่พี่รู้ดี แต่ก็เลือกที่จะทำตามความรู้สึกของตัวเอง”
วรินทร์นิ่งเงียบอย่างไม่รู้จะเอ่ยอะไร ความรู้สึกผิดท่วมท้นในใจจนระบายเป็นคำพูดไม่ถูก
“เรื่องนี้ไม่มีใครผิด น้องรินทร์อย่ากังวลไปเลย” อันนาเอ่ยคล้ายกับรู้ใจ “ที่พี่มาถามก็เพื่อความมั่นใจ เพื่อที่พี่จะได้ตัดใจเสียที”
“พี่อัน...”
อันนาระบายยิ้มอ่อนโยนทั้งที่ประกายในดวงตาเรียวเศร้าสร้อยยิ่งนัก
“แต่…” อันนาเอ่ยด้วยสีหน้าและน้ำเสียงจริงจัง “หากน้องรินทร์ลืมใครบางคนได้แล้ว ต้องให้โอกาสพี่ โอกาสพี่จะได้ดูแลน้องรินทร์ สัญญากับพี่ได้ไหมคะ”
“แต่พี่อัน…”
“ที่พูดอาจจะฟังเห็นแก่ตัว แต่พี่ไม่ใช่คนดีขนาดที่จะยอมเสียสละได้ขนาดนั้น ทุกคนมีความหวังค่ะ และพี่ก็ยังหวังไว้ลึกๆ ในใจ ขอได้ไหมคะ ขอให้มองมาที่พี่เป็นคนแรก”
วรินทร์เม้มปากจนเป็นเส้นตรง ดวงตาเรียวรีของอันนาที่เอ่อคลอไปด้วยหยาดน้ำตาทำให้วรินทร์ไม่กล้าที่จะปฏิเสธ ทั้งๆ ที่ในใจเธอรู้ดีว่าไม่อาจจะลืมเรื่องราวระหว่างเธอกับนรีกมลไปง่ายๆ
และที่สำคัญ…เธอก็คิดกับอันนาเพียงแค่พี่สาวเท่านั้น
“ขอโทษ รินทร์ขอโทษจริงๆค่ะ รินทร์ไม่อยากให้พี่อันรอ รินทร์รักเขา ทั้งรักทั้งเกลียดจนไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วควรจะทำยังไง”
อันนาเม้มริมฝีปากจนเป็นเส้นตรง ก่อนจะสูดลมหายใจลึกแล้วฝืนใจระบายยิ้มออกมา
“มีใครบางคนบอกพี่ ว่าความรักคือการได้เห็นคนที่เรารักมีความสุข พี่อยากเห็นน้องรินทร์มีความสุขค่ะ เพราะฉะนั้นทำเหมือนพี่…ทำตามที่ใจตัวเองต้องการสิคะ”
อันนามองตามหลังคนที่อยู่ๆ ก็ฉีกยิ้มกว้างอย่างเปล่งประกายแล้วกึ่งเดินกึ่งวิ่งออกจากห้องไปอย่างไม่รักษาอาการ คำพูดสุดท้ายที่ได้ยินคือคำขอบคุณที่อันนาฟังแล้วน้ำตาที่อุตส่าห์เก็บกักไว้พาลจะไหลออกมาเสียให้ได้
ไม่ใช่ว่าเธอไม่อยากจะแย่งวรินทร์มาจากนรีกมล แต่สามเดือนที่เพียรพยายามเข้าหา ก็ทำให้เธอได้รู้ว่า ไม่ว่าจะพยายามสักเท่าไหร่ ก็ไม่สามารถเปลี่ยนความรู้สึกของใครได้
ใช่! แม้ว่าจะทำดีสักเท่าไหร่
วรินทร์ในตอนนี้ราวกับร่างที่ไร้จิตใจ แม้จะยิ้มแย้มแต่ก็เพียงผิวเผิน ถึงเปลือกนอกจะเย็นชาแต่ข้างในกลับเปราะบาง อันนาเฝ้าถามกับตัวเองว่าสิ่งที่เธอต้องการเป็นแบบนี้จริงหรือ สมองเฝ้าคิดวกวน สับสนตีกันไปมา แต่สุดท้าย…จิตใจด้านดีก็เป็นฝ่ายชนะ
อันนาเลือกที่จะเห็นวรินทร์มีความสุขมากกว่าจะจมไปกับน้ำตา
วรินทร์บึ่งรถยนต์ยุโรปคันหรูของตัวเองไปตามทางที่เธอจำได้ขึ้นใจ ความรู้สึกในตอนนี้ปลอดโปร่งเหมือนเมฆหมอกที่เคยปกคลุมจิตใจได้เคลื่อนคลายเผยให้เห็นท้องฟ้าที่แสนสดใส
วรินทร์ยิ้มในหน้า ทิฐิในใจสลายไปเพราะคำพูดของอันนา
ทำไมกันนะ ทำไมเธอไม่ทำตามที่หัวใจเรียกร้อง
…พยายามก่อนที่จะไม่มีโอกาสอีกต่อไป
วรินทร์รู้สึกหงุดหงิดอยู่ไม่น้อย เมื่อไม่คาดคิดว่าการจราจรจะติดขัดในช่วงสายของวันทำงาน หญิงสาวล้วงมือหยิบโทรศัพท์ในกระเป๋าถือกดเบอร์ของคนที่แสนคิดถึงระหว่างจอดรถรอสัญญาณไฟจราจรเปลี่ยนเป็นสีเขียว
วรินทร์ขมวดคิ้วมุ่นเมื่ออีกฝ่ายปิดโทรศัพท์ หญิงสาวนึกอยากจะฝากข้อความเอาไว้ แต่ติดที่รถข้างหน้าได้เคลื่อนตัวออกไปแล้ว จึงจำต้องขับตามไปเพราะเกรงว่ารถคันที่ต่อหลังจะบีบแตรไล่
คอนโดมิเนียมความสูงไม่ถึงสิบชั้นปรากฏอยู่เบื้องหน้า วรินทร์ขับรถไปจอดยังโรงจอด ก่อนจะสาวเท้าเข้าไปด้านในอย่างรวดเร็ว
รู้ตัวอีกทีวรินทร์ก็มาหยุดอยู่หน้าห้องๆ หนึ่งบนชั้นสาม หมายเลขที่แสนคุ้นตาบนประตูบ่งบอกว่าเธอได้มาถูกที่ แต่ถึงกระนั้นวรินทร์ก็ยังไม่กล้าที่จะจรดมือลงบนลูกบิดประตู เมื่อคิดว่าจะได้เผชิญหน้ากับเจ้าของหัวใจในไม่กี่วินาที หัวใจก็สั่นไหวจนเหงื่อผุดซึมผ่านไรผมจนเปียกชื้น วรินทร์กัดริมฝีปากก่อนจะสูดลมหายใจ แล้วบรรจงเคาะประตูห้องไปสองสามที
ความเงียบที่ตอบกลับมาทำให้วรินทร์เคาะข้อนิ้วกับประตูไปอีกครั้ง ความผิดหวังฉายชัดบนใบหน้า แต่กระนั้นแววตาก็ยังฉายประกายกล้าและแสดงความมาดมั่นสมกับที่เป็นเธอ
วรินทร์ลงไปสอบถามกับผู้จัดการคอนโดก็ได้ความว่านรีกมลยังอยู่ที่นี่จริง จึงค่อยคลายใจจนถึงกับเผยรอยยิ้มที่ริมฝีปาก วรินทร์ยกโทรศัพท์ขึ้นโทรออกอีกครั้ง แต่ปลายสายก็ยังปิดเครื่องอยู่เช่นเดิม
วรินทร์ทรุดตัวลงนั่งที่เก้าอี้นวมในห้องรับรองเล็กๆ บนชั้นสองของคอนโด ระหว่างนั้นสายตาก็กวาดออกไปนอกกระจกใสที่เปิดให้เห็นทิวทัศน์ภายนอก รถราที่วิ่งอยู่เบื้องล่างแลดูบางตาเมื่อตอนนี้เป็นเวลาสาย
วรินทร์นั่งรอมาร่วมสองชั่วโมงก็ยังไร้วี่แววของนรีกมล โทรศัพท์ไปผลลัพธ์ก็เป็นเช่นเดิม นิ้วเรียวจึงบีบที่หัวตาเพื่อคลายความเมื่อยล้าจากการพักผ่อนน้อย วรินทร์ถอนหายใจอีกเฮือกใหญ่ก่อนจะทำใจละจากที่นั่งเพื่อออกไปทานมื้อกลางวัน
การจราจรที่ติดขัดหนักยิ่งกว่าเดิม ทำให้วรินทร์ถึงกับพ่นลมหายใจแล้วหมุนพวงมาลัย เลี้ยวรถเข้าไปจอดในพื้นที่ด้านข้างของร้านอาหารร้านหนึ่งที่เป็นลานโล่งกว้างพอสมควร
วรินทร์ก้มลงมองทางเท้าที่ปูด้วยกรวดสีขาวตัดกับก้อนอิฐสีขมุกขมัวอย่างเข้ากัน ก่อนจะเผยยิ้มออกมาเล็กน้อยราวกับนึกพอใจกับบรรยากาศของร้านที่โปร่งโล่งสบาย น้ำพุตรงปากทางเข้าร้านคงจะทำให้วรินทร์ดื่มด่ำกับความสวยของมันได้มากกว่านี้หากไม่ติดว่ามีเรื่องให้ต้องขบคิด
ยังไม่ทันจะผ่านธรณีประตูเข้าไป สายตาของวรินทร์ก็ถูกสะกดไว้ด้วยเงาร่างที่คุ้นตา ริมฝีปากสวยที่อ้าค้างเล็กน้อยคล้ายจะบิดเป็นรอยยิ้มด้วยความยินดี
เธอเพิ่งเข้าใจคำว่าโลกกลมพรหมลิขิตก็วันนี้แหละ
แต่ก็เพียงแค่นั้น วรินทร์ก้าวต่อไปได้เพียงสองสามก้าวก็ต้องหยุดยืนนิ่งพร้อมความรู้สึกใจหายวูบราวถูกใครผลักตกจากที่สูง ภาพบาดตาบาดใจตรงหน้าทำให้เธอก้าวขาไม่ออก
ภาพที่…นรีกมลถูกผู้ชายแปลกหน้าเอื้อมมือมาเช็ดปากให้อย่างสนิมสนม
ราวกับสวรรค์กลั่นแกล้ง เมื่อดวงหน้าหวานที่วรินทร์นึกถวิลหาหันมาสบตาเธอที่ยืนนิ่งค้างอยู่ตรงประตู วรินทร์ทำใจยกยิ้มบางให้กับอีกคนที่แสดงสีหน้าแปลกใจที่เห็นเธอ ก่อนจะเสใบหน้าไปด้านข้างแล้วหมุนตัวกลับไปทางเดิมพร้อมกับความรู้สึกที่ว่างเปล่า…ตอนนี้วรินทร์ไม่รู้จะจัดการกับความร้าวรานในอกนี้อย่างไรดี
“ว๊าย!”
แรงกระชากอย่างแรงจากด้านหลังทำให้วรินทร์เผลออุทานออกมาอย่างตกใจ มือที่กำลังจะเปิดประตูรถหมายจะปลดมือที่เกาะเกี่ยวเอวเธอไว้อย่างแน่นหนา แต่หญิงสาวก็ทำได้เพียงยืนนิ่งค้างอยู่อย่างนั้นเมื่อสัมผัสไออุ่นจากคนด้านหลังช่างคุ้นเคยเสียเหลือเกิน
“จะหนีไปไหนคะคุณรินทร์”
น้ำเสียงแสนหวานที่รำพันอยู่ข้างใบหูทำให้วรินทร์หมดแรงเอาเสียดื้อๆ มือที่จับซ้อนทับกับของอีกคนถูกปล่อยทิ้งอยู่ข้างลำตัวก่อนจะเปลี่ยนไปกำแน่น เมื่อภาพที่เห็นก่อนหน้าคล้ายจะสร้างกำแพงแห่งทิฐิขึ้นมาอีกรอบ
สมองไม่ทันได้คิด ปากก็พลันเอ่ยประโยคแสนร้ายกาจออกไปเสียแล้ว
“ไม่กลับไปอยู่กับแฟนเธอล่ะ”
แรงกระชับที่ลำตัวคลายลงเล็กน้อยจนวรินทร์ใจเสีย นึกอยากจะตีปากตัวเองขึ้นมาครามครัน
“คุณรินทร์หมายถึงใครคะ”
“ไนน์!” ทันทีที่ได้ยินเสียงเรียกจากชายหนุ่มแปลกหน้าดังมาจากหน้าร้าน นรีกมลก็คลายอ้อมกอดออกอย่างรวดเร็ว วรินทร์กำมือแน่นขึ้นอีกจนเล็บจิกเข้าไปในฝ่ามือ
“มีอะไรกันหรือเปล่า”
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ ไนน์เจอคนรู้จักที่ไม่ได้เจอกันนานแล้ว คุณตรีวิทย์กลับเข้าไปในร้านเถอะค่ะ”
คนรู้จัก…งั้นเหรอ
ยิ่งได้ยินก็ยิ่งปวดใจ วรินทร์ยิ้มหยันให้กับตัวเอง เธอไม่สนใจแล้วว่าทั้งสองจะคุยอะไรกันต่อ ตอนนี้ขอแค่ได้ไปไกลๆ จากที่ตรงนี้ก็พอ
วรินทร์สตาร์ทรถเตรียมจะขับออกไปอยู่แล้ว ถ้าไม่ติดว่าจะมีใครเดินมาขวางหน้ารถ วรินทร์จึงได้มีโอกาสมองคนที่ไม่ได้เจอกันนานหลายเดือนอย่างชัดๆ เต็มๆ ตา ดวงหน้าของนรีกมลยังคงหวานซึ้งเหมือนเดิม ผิดแผกก็ตรงที่ดูซูบตอบลงไปบ้างเท่านั้น
“คุณรินทร์” เสียงเรียกดังให้ได้ยิน เมื่อนรีกมลเดินมาเคาะกระจกฝั่งคนขับ “ลงมาคุยกันก่อนสิคะ”
วรินทร์ลดกระจกลงพอให้เสียงดังลอดออกไปได้ ก่อนจะเอ่ยออกไปด้วยความนิ่งเฉย
“เราไม่มีอะไรต้องคุยกันอีกต่อไปแล้ว”
“คุณยังโกรธฉันอยู่อีกเหรอคะ”
คำถามของนรีกมลทำให้วรินทร์มุ่นหัวคิ้วยามนึกทบทวนความรู้สึกของตัวเอง เมื่อรู้แล้ววรินทร์จึงส่ายหน้าน้อยๆ ให้เป็นคำตอบ
รอยยิ้มพิมพ์ใจของนรีกมลถูกส่งให้ ทำเอาคนที่ไม่ได้เห็นมานานเกือบกลั้นใจทำใจแข็งไว้ไม่อยู่
“แล้วทำไมถึงยังทำท่าโกรธอยู่ล่ะคะ”
“ฉันไม่ได้โกรธ หยุดถามคำถามได้แล้ว ฉันจะได้ไปเสียที”
“ไม่ถามแล้วก็ได้ค่ะ แต่เมื่อกี้นี้คุณรินทร์ติดค้างคำถามฉันอยู่”
“คำถามอะไร” วรินทร์ขมวดคิ้วอย่างสงสัย
“ที่ถามว่าทำไมฉันไม่กลับไปอยู่กับแฟน…แฟนของฉันน่ะ คุณรินทร์หมายถึงใครกันคะ” นรีกมลเอ่ยด้วยรอยยิ้มน้อยๆ ทำเอาคนมองอารมณ์เดือดขึ้นมาอีกรอบ
พูดถึงแฟนแล้วอมยิ้มแบบนั้น หมายความว่ายังไงกันนรีกมล
“คนเมื่อกี้ไง”
คำตอบนั้นเรียกเสียงหัวเราะจากคนฟังได้เป็นอย่างดี นัยน์ตาหวานของนรีกมลที่จับจ้องใบหน้าเธอไม่ยอมละไปไหน ทำให้วรินทร์รู้สึกร้อนวาบขึ้นมาในอก
“คุณตรีวิทย์เป็นลูกค้าของบริษัทค่ะ อันที่จริงเจ้านายของฉันก็มาด้วย”
วรินทร์เบิกตาโตก่อนจะหัวเราะแก้เก้ออย่างรู้สึกผิด ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่ามีอีกเรื่องที่ยังไม่เคลียร์
“แล้วทำไมถึงต้องเช็ดปากให้กันด้วย”
“ก็ฉันเช็ดไม่สะอาดสักที คุณตรีวิทย์เลยเช็ดให้น่ะค่ะ…นี่คุณรินทร์หึงฉันเหรอคะ”
“ใครหึง?”
นรีกมลอมยิ้มมองอาการคนหน้าสวยที่หน้าแดงเป็นลูกตำลึงอย่างพิจารณา
“หมดธุระแล้วก็กลับไปดูแลลูกค้าต่อสิ” วรินทร์ตัดบทด้วยไม่อยากถูกมองด้วยสายตารู้ทัน
“คุณรินทร์ทานข้าวหรือยังคะ”
วรินทร์เลิกคิ้วเมื่อได้รับคำถามแทนคำตอบ “ยัง”
“มาทานด้วยกันสิคะ ฉันจะได้แนะนำเจ้านายคนใหม่ให้รู้จัก”
วรินทร์จำได้ว่าตัวเองปฏิเสธแต่ไฉนถึงได้เดินตามหลังอดีตเลขาของตัวเองมาต้อยๆ อย่างนี้ก็ไม่รู้ แผ่นหลังเล็กๆ ที่อยู่เบื้องหน้ายังคงเหมือนเดิม วรินทร์ได้แต่เฝ้ามองอย่างเผลอไผล รู้ตัวอีกทีเธอก็เดินเข้ามาในร้านเสียแล้ว
ชายหนุ่มนามว่าตรีวิทย์นั่งหันหน้ามาทางเธอและนรีกมล ที่กำลังเดินไปยังโต๊ะอาหาร ถึงเขาจะส่งยิ้มมาให้เธออย่างเป็นมิตร แต่วรินทร์กลับไม่ชอบและรู้สึกไม่ถูกชะตาอย่างน่าประหลาด
ตรงข้ามกันเป็นที่นั่งของนรีกมล ส่วนเก้าอี้ถัดไปนั้นมีหญิงสาวผมสีน้ำตาลคาราเมลนั่งหันหลังอยู่
…คงจะเป็นเจ้านายของนรีกมล
วรินทร์รู้สึกสังหรณ์ใจแปลกๆ ยามหญิงสาวคนนั้นหันหน้ากลับมามองช้าๆ
…
..
“ยัยพอร์ช!”