ในวันศุกร์สิ้นเดือนแบบนี้
หลายๆคนคงกำลังใช้ชีวิตให้มีความสุขให้สมชื่อวัน สี่สาวกลุ่มสวยก็เช่นกัน พวกเธอเองก็เลือกจะหาความสุขโดยเลือกผับดังย่านทองหล่อเป็นสถานที่นัดพบและทำตัวเองให้มีความสุขเช่นเดียวกับคนอื่นๆและนี่ก็เป็นการพบปะกันอย่างเป็นกิจจะลักษณะหลังจากที่พวกเธอแยกย้ายกันออกไปตามหาความฝันเมื่อจบจากสถาบันอุดมศึกษาโดยไม่ผ่านโปรแกรมต่างๆในโซเชียลมีเดียทั้งหลาย
ทุกคนต่างย่างเท้าเข้ามาในสถานเริงรมย์สุดฮิป ซึ่งเป็นที่นิยมกันอย่างมากย่างทองหล่อก่อนเวลาเที่ยงคืน โต๊ะยาวอยู่ติดประตูทางเข้าคือที่เสริมที่พวกเธอจับจองได้ในขณะที่โต๊ะหลักๆของร้านถูกจับจองไปได้ผู้คนจนเต็ม
“เฮ้ย!นี่ไม่มีใครลืมบอกไอ้ตางค์ใช่ไหมว่าวันนี้เรามีนัดแฮงค์เอ๊าท์กันน่ะ” ดรุณี หนึ่งในสมาชิกของกลุ่มตะโกนถามเพื่อนแข่งกับเสียงเพลงที่เปิดดังสนั่นจนเสียงของเธอเบาไปในบัดดล
“บอกแล้วแก ฉันนะทั้งแมสเสจ ทั้งไลน์ ทั้งวอท์ทแอพ ทั้งแทงโก้ โอ๊ย! สารพัดจะบอก”กริยาของเอริกาสาวน้อยร่างท้วม ที่ดูเหมือนเหนื่อยใจ เสียงถอนหายใจหลังประโยคบอกเล่าแสดงถึงออกเพื่อบอกว่าเธอพยายามทุกทางแล้วจริงๆ
“เออน่ะแก เข้าใจมันหน่อย ช่วงนี้มันคงเครียดน่ะ” น้ำเสียงของดรุณีอ่อนลงคล้ายๆกับการเห็นใจ การได้ข่าวไม่สู้จะดีของเพื่อนสาวมันเป็นสิ่งที่น่าหนักใจไม่น้อย และหากเธอเจอเรื่องเดียวกับเพื่อนรัก เธอจะยังเข้มแข็งได้เช่นนั้นหรือยังไม่? ก็ยังไม่รู้เลย
สิ่งที่เธอและเพื่อนสมาชิกในกลุ่มรู้มา
เพื่อนของเธอลาออกจากบริษัทโปรดักชั่นชื่อดังที่เธอได้เคยร่วมงานตั้งแต่เข้าไปฝึกงาน มันไม่น่าจะเป็นไปได้ ที่ผู้หญิงอย่างสิตางค์ ดำรงค์ชัย จะทิ้งงานที่พีอาร์ที่เธอรักในบริษัทที่เธอแทบจะถวายหัวให้ไปได้อย่างไร? ขนาดมีที่อื่นยื่นข้อเสนอที่ดีกว่าเธอยังไม่ไป และด้วยฝีมือการทำงานของเธอที่ไม่ใครเทียบเทียมได้ คงไม่มีบริษัทไหนยอมเสียบุคคลากรดีๆไปแน่นอน
ไม่อยากไปเริ่มต้นใหม่และชั้นก็มีความสุขดีกับที่นี่แล้ว
นี่คือคำตอบ…ที่บอกกับเพื่อนในกลุ่มกว่าสามปีที่แล้ว
การลาออกของเธอยังไม่น่าตกใจเท่ากับข่าวลือในเชิงลบทางด้านชู้สาว ที่ลือกันไปต่างๆนานาจนทำให้เพื่อนของพวกเธอเสียหาย คงจะดีกว่าถ้าได้ยินจากปากของสาวต้นเรื่องที่กำลังยิ้มแป้นและเดินมายังจุดที่พวกเธอยืนอยู่
“นั่นไง เซเลปของเรามาแล้ว” ดรุณีตะโกนแซวผู้ที่เพิ่งมาถึง
“โทษว่ะ ฉันวนหาที่จอดรถนานไปหน่อย” สิตางค์ยิ้มบางๆให้กับเพื่อนหลังจากฝ่ายฝูงชนที่เบียดเสียดจนมาถึงโต๊ะของเพื่อนของเธอที่กำลังยืนคุยกันอยู่
“นี่แกใส่ชุดนี้มาเที่ยวผับเหรอ?” เอริกาชี้ยังเพื่อนสาวผู้มาใหม่ จริงสิ ชุดของเธอก็ไม่เหมาะกับสถานที่แห่งนี้เลย ดูเรียบร้อยจนเหมือนจะเข้าไปปฏิบัติธรรมมากกว่ามาหาความบันเทิงในสถานที่อโคจร
“โทษทีว่ะแก ฉันเพิ่งกลับมาจากบ้านมาน่ะ รถก็ติด กลัวว่าถ้ากลับไปเปลี่ยนชุดที่คอนโด พวกแกคงเมาแล้วก็หนีกลับบ้านไปซะก่อน”
“กลับบ้าน ที่ปายน่ะเหรอ? เค้าอนุญาตให้แกพักร้อนได้แล้วเหรอ?” เจนจิราพยายามทำหน้าแบ๊ว ถามเพื่อนสาวที่ยื่นตรงหน้าด้วยน้ำเสียงใสซื่อ เหมือนจะไม่เคยรู้เรื่องอะไรมาก่อน แต่ดูเหมือนเธอจะไม่เชื่อ สิตางค์คิดว่า เพื่อนในแก๊งค์ต้องการทราบความจริงจากปากของเธอต่างหากแต่ไม่กล้าถามตรงๆ
“อย่ามาแกล้งทำเป็นไม่รู้หน่อยเลย ข่าวฉันออกงานน่ะดังจะตาย”
“ยังไงว๊ะ เล่าซิ พวกฉันอยากฟังความจริงจากปากแก”
“ได้ แต่ฉันขอดื่มแก้วนี้ให้หมดก่อน” สิตางค์กระดกไวน์แดงในแก้วรูปกุหลาบรินจากดรุณีรวดเดียวจนหมด ก่อนจะปริปากให้เหล่าก๊วนของเธอถึงสาเหตุที่ทำให้เธอตกงานเช่นตอนนี้
“ไอ้แดเนียลมันจะข่มขืนฉันน่ะ”
“เฮ้ย!” สามสาวพร้อมใจกันอุทาน หลังจากรู้เรื่อง แดเนียล ฝรั่งตาสีฟ้าสูงราวหกฟุต ที่สิตางค์พูดถึงคือเพื่อนร่วมงานชาวต่างชาติรุ่นราวคราวเดียวกับพี่ชายที่หญิงสาวนับถือ ผู้ที่เธอมองเห็นเป็นสุภาพบุรุษ และชมเขาไม่ขาดปากให้เพื่อนๆได้ฟังนับตั้งแต่เธอได้เริ่มงานกับที่นี่ ความใกล้ชิดและความสนิทสนมจากการร่วมงาน ทำให้ทุกคนมองออกว่าผู้ชายวัยกลางคนคนนี้คิดกับเธออย่างไร มีแต่สิตางค์นั่นแหละที่พยายามรักษาระยะห่าง จนทำให้เขาตัดสินใจใช้กำลังครอบครองเธอให้เป็นของเขาเพียงคนเดียว เมื่อการทำตัวเป็นสุภาพบุรุษที่แสดงออกมากว่าสามปีคงไม่อาจเปลี่ยนใจเธออย่างแน่นอน
แต่มีหรือที่ลูกสาวค่ายเจ้าของค่ายมวย พ.ดำรงค์ชัย น่ะเหรอที่จะยอม…งานนี้คงต้องแลกกันหน่อยและผลก็จริงตามคาด ไอ้ฝรั่งตาน้ำข้าวที่เป็นฝ่ายเพลี้ยงพล้ำและบอบช้ำเจ็บตัวเสียเอง
งานนี้ถึงไม่สาหัสปางตาย แต่อาจจะทำให้ไอ้หนุ่มหัวทองเข็ดขยาดจนไม่กล้ามาแหยมกับเธอเร็วๆนี้แน่ๆ
“เลวว่ะ แล้วทำไมแกไม่แจ้งความจับมันเลยว๊ะ?”
“แจ้งความยังไง? ฉันเป็นคนไปทำร้ายร่างกายเค้านะ กล้องวงจรปิดในห้องนั้นก็ไม่มี โชคดีที่หลายคนในแผนกเชื่อในสิ่งที่ฉันเล่า โชคดีที่บอสยังให้โอกาสฉันให้ไปทำตำแหน่งอื่น แต่ฉันเองนั่นแหละที่ไม่อยากร่วมสังฆะกรรมกับมันต่อไป กลัวจะเผลอเตะก้านคอมันหักคาที่”
“แล้วแกจะเอายังไงต่อวะ?”
“ฉันกำลังลังเลอยู่ ตอนนี้ฉันอยากเรียนต่อน่ะ แต่ตอนนี้ป๊ากับแม่ก็มีรายจ่ายเยอะ ฉันไม่อยากกวน” หญิงสาวกล่าวอย่างหนักใจ ถึงแม้ครอบครัวของเธอจะมีกิจการค่ายมวยและรีสอทร์ทเล็กๆในเมืองปาย แต่พ่อและแม่ก็ต้องจ่ายมากโขเพื่อส่งพี่ชายที่ได้ทุนไปศึกษาต่อในระดับปริญญาเอก ณ ประเทศอเมริกาถึงแม้จะเหลือเวลาเรียนอีกไม่ถึงปีก็ตาม หญิงสาวเกรงใจหากต้องพึ่งพาบุพการีของเธอซึ่งกลัวจะเป็นการเพิ่มภาระให้ท่านทั้งสองมากยิ่งขึ้น
“แล้วแกเอารีซูเม่ไปยื่นที่ไหนอีกบ้างไหม? เอางี้ลองไปยื่นบริษัทอื่นไหม? คอนเนคชั่นที่ฉันมีน่าจะจะช่วยแกได้” ดรุณีถามเชิงห่วงใย เธอเองก็เป็นคนนึงที่ทำงานในด้านดังกล่าวและเต็มใจช่วยเหลือเพื่อนเสมอหากสิตางค์ต้องการ
“ยังว่ะ ฉันอยากเปลี่ยนสายงาน วงการนี้มันแคบและฉันก็ไม่อยากจะวนกลับไปเจอมันอีก”
“หรือแกจะไปเป็นนางแบบแบบฉันไหม หุ่นแบบแก ลุคแบบแกเป็นนางแบบได้สบาย เดี๋ยวฉันพาไปฝากกับพี่มาม่า?” เจนจิราเสนออีกทางเลือกหนึ่งแก่เพื่อนสาวซึ่งเธอก็ปฏิเสธเช่นกัน
“ขอบใจพวกแกนะ เอาเป็นว่าขอเลือกงานต่อไปอีกสักพัก ถ้าไม่ไหวฉันอาจจะขอให้พวกแกช่วยโอเคไหม?”
“ได้สิ จะเอาไงก็บอกได้เลยนะ งั้นพวกเรามาฉลองล่วงหน้าให้กับการออกเดินทางอีกครั้งของยัยตางค์กันเหอะ” เมื่อเอริกายกแก้วไว้ชูแก้วไวน์ตรงหน้าขึ้นทุกคนก็พร้อมยกแก้วชนอย่างไม่รอรีรวมถึงสิตางค์ ที่ชูแก้วขึ้นพร้อมกับเปล่งเสียงดังไม่แพ้กัน…ขอให้มันเป็นการฉลองสำหรับการเดินทางอีกครั้งเหมือนที่เพื่อนของเธออวยพรด้วยเถอะ
“เอ้า….ว์ เชียร์ส!”
การได้พักผ่อนในช่วงเวลาที่ฝนตกตลอดทั้งวัน คือความสุขชนิดหนึ่งบรรยากาศเช่นนี้เหมาะสำหรับการพักผ่อนเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งร่างกายหลังจากผ่านการปาร์ตี้จนสุดเหวี่ยงจนเกือบรุ่งสาง
สิตางค์ไม่ได้ประพฤติตนเช่นนี้มานานมากแล้วนับตั้งแต่เริ่มทำงาน
ปริมาณแอลกอฮอล์ที่รับเข้าไปมากและการอ่อนเพลียจากการเดินทางกว่าสิบชั่วโมงทำให้เธอทิ้งตัวลงบนที่นอนจนตะวันเกือบจะลาลับจากท้องฟ้าไปอีกวัน ดวงตากลมโตลืมขึ้นช้าๆ ยังพอมีแสงที่เล็ดลอดผ่านม่านหน้าต่างในห้องเข้ามาทำให้รูม่านตาของเธอขยายได้อย่างเร็ว หญิงสาวใช้แขนยันตัวเอาไว้หันไปมองนาฬิกาที่อยู่บนหัวเตียงอีกด้าน
18.12 น. โฮ! นี่เธอใช้เวลานอนกว่าสิบห้าชั่วโมงเชียวเหรอ?
ด้วยสำนึกสุดท้ายก่อนปิดเปลือกตา เธอคุยโทรศัพท์กับเพื่อนสาวทั้งสาม เพื่อยืนยันว่าเธอกลับถึงบ้านอย่างปลอดภัยในขณะที่อีกสามคนขอสนุกสนานอยู่ในผับดังยันสว่างสองมือบางๆเริ่มค้นหาโทรศัพท์บนเตียง เมื่อเจอโทรศัพท์ที่อยู่ใต้หมอน เธอตกใจเล็กน้อยที่เห็นสายที่ไม่ได้รับร่วมสองร้อยสาย
“เฮ้ย!มีใครตายหรือเปล่าว๊ะ?” หญิงสาวพึมพำ เธอค่อยๆเลื่อนหน้าปัดด้วยมือน้อยๆ รายชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอมือถือที่โทรมาล้วนแต่เป็นคนในครอบครัวของเธอเกือบทั้งสิ้น คำตอบจากคำถามเมื่อกี้คงไม่ต้องบอกก็รู้
….คนที่ตายน่าจะเป็น “เธอ”
ปลายสายที่เธอเลือกโทรกลับจึงเป็นเบอร์ของคุณสุดา ผู้เป็นแม่ มากกว่า คุณพดด้วงผู้เป็นพ่อ และ ธนวัตรผู้เป็นพี่
ผู้หญิงคุยกันเองน่าจะเคลียร์ได้ง่ายกว่า (มั้ง?)
แต่ไม่ว่าจะกี่กดโทรศัพท์กี่ครั้ง ก็ไม่มีวี่แววว่าผู้เป็นแม่จะกดรับ สิตางค์ครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนเปลี่ยนเป้าหมายปลายทางเป็นเบอร์โทรศัพท์ของผู้เป็นพ่อ ซึ่งกว่าจะติดต่อได้เธอต้องกดโทรศัพท์ไปยังเลขหมายดังกล่าวถึงสามครั้งแต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่มีการตอบรับจากปลายสายอยู่ดี
สงสัยกำลังทานข้าว ก็นี่มันเวลาอาหารเย็นแล้วนี่
สิตางค์คิดในใจ กระเพาะของเธอเริ่มเรียกร้องประท้วงเสียงดังจ๊อกๆทำให้เธอนึกขึ้นได้ว่า เธอเองก็ควรจะพาร่างอันแสนจะบอบบางออกไปหาอาหารเพื่อเติมพลังงานแก่ร่างกายบ้างได้แล้ว
แต่เอ๊ะ! ทำไมเธอถึงได้กลิ่นอาหารที่หอมฉุยออกมาจากข้างนอกห้องนอน หรือนี่คืออาการของคนหิว กระเพาะของเธอว่างนานเกินไปจนทำให้เกิดมโนภาพไปเองจนหรือประสาทสัมผัสการรับกลิ่นผิดไปได้ถึงเพียงนี้?ยิ่งสูดกลิ่น…ความหอมของกลิ่นแกงส้ม และดูคล้ายจะเป็นไข่เจียวอีกอย่างที่ลอยเข้ามาปะทะกับจมูก
สิตางค์ชักหวั่นใจ แนบหูให้สนิทกับประตู เฮ้ย!ทำไมมีเสียงกุกกักๆดังจากข้างนอกด้วย และเหมือนเสียงนั้นกำลังเข้ามาใกล้ และยิ่งใกล้ตำแหน่งที่เธอยืนทุกที
เฮ้ย! ใครอยู่ในห้องกับเธอนะ
หรือว่าจะเป็น ขโมย?
คลิก!
ลูกบิดประตูที่กำลังหมุนทำให้หญิงสาวผงะ ร่างของตัวเองออกจากประตูเล็กน้อย ฉวยหมอนข้างบนเตียงมาเป็นอาวุธ เตรียมตั้งรับหากเกิดอะไรขึ้น
และเมื่อประตูนั้นเปิดออก…คนๆนั้นก็ปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน
“ป๊า”
“เออ…ก็ฉันเองน่ะซิ แล้วแกถือหมอนข้างไว้แบบนั้นทำไมห๊ะยัยสตางค์?” เสียงเข้มๆของผู้เป็นพ่อทำให้สิตางค์ที่ถือหมอนข้างในลักษณะพร้อมฟาดค่อยๆลดระดับและเอามากอดแทน เธอพยายามรวบรวมสติที่กระเจิดกระเจิงหายไปเมื่อเห็นหน้าคุณพดด้วงตั้งแต่เข้ามาในห้อง
“แล้วๆๆ ป๊ามาได้ไง แล้วๆๆแม่ล่ะ?”
“อยู่ข้างนอกโน่น ออกไปกินข้าวได้แล้ว ฉันยังไม่อยากคุยกับแกตอนนี้ แต่คืนนี้คงมีเรื่องต้องคุยกัน ยาว แน่ๆ”
รสชาติของอาหารน่าจะอร่อยกว่านี้ ถ้าบรรยากาศมื้อเย็นไม่ตึงเครียด ทั้งๆที่คุณสุดาจะพูดคุยถึงเรื่องจิปาถะและสิตางค์เองจะหยอดมุขเพื่อเรียกเสียงฮา แต่คุณพดด้วงกลับนั่งกินข้าวอย่างนิ่งเงียบและปลีกตัวไปดูทีวีทันทีที่รับประทานอาหารหมดจาน
“ถ้ารับสายตั้งแต่เช้า ป่านนี้ป๊ากับแม่ก็ไม่ต้องลงมากวนลูกหรอกนะ ป๊าเค้าห่วงเรามากถึงขนาดจองตั๋วเครื่องบินไฟว์เช้า ขอมาดูให้เห็นกับตา นี่ถ้ามาหาแล้วยังไม่เจอเรา ป๊าเค้าเตรียมตัวไปแจ้งความที่สถานทีตำรวจแล้วนะเนี่ย”
“ขอโทษทีค่ะ” สิตางค์ยิ้มเจื่อน รู้สึกผิดทันทีที่ทำให้บุพการีของเธอเป็นห่วงจนต้องรีบลงมาจากแม่ฮ่องสอนเพื่อมาดูให้เห็นกับตาว่าลูกสาวคนเล็กของท่านปลอดภัยดี
“รีบล้างจานให้เสร็จนะ แม่จะยกชาจีนไปให้ป๊าก่อน ส่วนเราค่อยหยิบขนมเปี๊ยที่อยู่ในกล่องไปให้ป๊าแล้วกัน” ผู้เป็นแม่ยิ้มบางๆและกอดเอวหลวมๆคล้ายการปลอบประโลม ตั้งแต่เล็กจนโตมารดาของเธอนี่แหละที่เปรียบเสมือนแม่พระ ยามที่มีปัญหาใดๆ เธอคนนี้นี่แหละที่คอยช่วยเหลือ ไกล่เกลี่ยและผ่อนหนักในเป็นเบาในทุกๆอย่าง
ขนมเปี๊ยและจานแบ่งถูกยกออกมาจากครัวหลังจากสิตางค์ล้างจานจนเสร็จ เธอค่อยตัดแบ่งขนมเป็นสามเหลี่ยมหน้าจั่วเล็กๆ เสิร์ฟใส่จานและวางตรงหน้าบุพการีทั้งสอง
“เฮีย กินขนมเปี๊ยซะหน่อยนะ ของหวานจะช่วยให้อารมณ์ดีขึ้น” คุณสุดาพยายามเอาใจสามีด้วยการชักชวนให้รับประทานของหวานสุดโปรด ในขณะที่คุณพดด้วงก็ฟอร์มจัด แม้ไส้ฟักไข่เค็มในขนมเปี๊ยที่ว่าอยู่ตรงหน้าจะชวนให้น้ำลายสอ แต่ก็ไม่มีวีแววว่าจะหยิบช้อนเพื่อตักมันเข้าปาก
“นะป๊านะคะ ขนมเปี๊ยร้านประจำที่ป๊าชอบเลยนะ ไม่ใช่ลองซักคำเลยเหรอ?”
“ไม่ต้องมาประจบฉัน บอกมาเดียวนี้ไอ้หื่นนั่นมันทำอะไรแกบ้าง?เล่ามาเดียวนี้!” คุณพดด้วงทำเสียงแข็งเค้นคำตอบจากลูกสาวที่คุกเข้าหน้าเหวออยู่บนพรหมตรงด้านหน้า
“ป๊า…อะไรนะคะ?”
“ไม่ต้องมาเฉไฉ ไอ้แบงค์มันบอกฉันหมดแล้ว”
ที่แท้ก็มาจากปากพี่ชายตัวดีของเธอนี่เองที่ทำให้พ่อกับแม่รู้เรื่องจนได้ หนอยยยย! ไอ้เฮียเราอุตส่าห์ไว้ใจเล่าให้ฟังนะ ขนาดกำชับว่าอย่าเล่าเรื่องนี้ให้พ่อกับแม่ฟังยังเอาความลับเราไปบอกซะได้ ผู้ชายนี่ไว้ใจไม่ได้เลย
“ก็…..ยังไม่ทันทำอะไรเลย มีแต่หนูนี่แหละเป็นฝ่ายไปทำเค้า”
“ห๊า!?!”
“ไม่ใช่อย่างนั้นค่ะ” สิตางค์รีบขัดขึ้นก่อนที่พ่อและแม่ของเธอจะยิ่งเข้าใจผิดไปมากกว่านี้ “คือแดเนียลจะขมขืนหนูก็จริง แต่ยังไม่ทันทำอะไรเลยหนูก็ชิงจิ้มไปที่ตา เตะผ่าหมากเขา ฟันซอกเข้าไปที่คาง กระทืบซ้ำที่น้องชายเขาตอนที่เขาดึงขาหนูไว้แล้วก็รีบวิ่งหนีออกมาซะก่อน”
โห่!โหดไม่เบาเลยนะลูกสาวอั๊ว (ผู้เป็นพ่อคิดในใจ)
“แล้วเรื่องงานล่ะ ทำไมไม่บอกป๊ากับแม่ซักคำ นี่กะว่าแกจะอมพะนำไปถึงไหน?เห็นพ่อแม่แกเป็นตัวอะไร เรื่องใหญ่ขนาดนี้ทำไมถึงไม่บอกกันบ้าง….ฮ๊า?”
“ก็หนูไม่อยากทำให้ป๊าไม่สบายใจนี่”
“แล้วนี่ได้งานใหม่หรือยัง?”
“ยังเลยค่ะ”
“งั้นก็ไม่ต้องหาแล้ว ไปเดี๋ยวคืนนี้แกไปเก็บของแล้วกลับไปอยู่ปายจะป๊าม๊าคืนนี้เลย”
“ไม่เอาอ่ะป๊า…งานที่บ้านไม่มีอะไรที่ตางค์ทำได้เลย ตางค์ไม่ชอบทำงานบ้าน ไม่ชอบจัดสวน ไม่ถนัดบัญชี ทำอาหารก็ไม่เป็น เบื่อการเป็นไกด์ ให้ไปคุมนักมวยก็ไม่ไหว”
“เถอน่ะเฮีย ใจเย็นๆก่อน” คุณสุดารีบปลามสามีที่กำลังจะพูดกับบุตรสาว เธอไม่อยากให้ทั้งคนที่เธอรักทั้งคู่ถกเถียงกันในเวลาที่ยังมีอารมณ์โกรธเข้ามาช่วยในการตัดสินใจ ซึ่งไม่มีปรโยชน์ต่อใครเลย
“ก่อนหน้านี้ลูกก็ใช้ชีวิตอยู่คนเดียวตั้งหลายปี แล้วลูกก็ใช้ชีวิตได้อย่างดี แม้กระทั่งเพิ่งจะเกิดเรื่องลูกสาวเราก็ยังมีสติ และแก้ปัญหาได้ ซ้ำยังกลับมาบ้านด้วยความสดใสเหมือนเคย เราลองปล่อยลูกอย่างที่เฮียบอกไว้สักพักก่อนดีไหม?”
“ก็ได้” คุณพดด้วงนิ่งไปซักพักก่อนตัดสินใจยอมรับข้อเสนอของภรรยา ยกช้อนเล็กๆที่เพิ่งพยิบขึ้นมาจากจานขนมเปี๊ยและชี้ไปยังลูกสาวที่ยังคงคุกเข่าอยู่ที่พื้น “นี่เป็นโอกาสสุดท้าย ฉันจะให้เวลาแกสิบวัน จากนี้จนถึงสิ้นเดือน ถ้าแกยังไม่ได้งาน แกต้องกลับไปอยู่ที่บ้านโดยไม่มีข้อแม้ เข้าใจไหม?” คุณพดด้วงเคี้ยวขนมเปี๊ยคำโตที่เพิ่งตัดเข้าปากมองลูกสาวที่หน้าบอกบุญไม่รับกับคำขาดของผู้เป็นพ่อที่ได้ยินเมื่อครู่นี่เอง
แต่ถึงจะกลุ้มใจแค่ไหนงานนี้ก็ไม่วายที่ลืมคิดบัญชีกับพี่ชายสุดแสบข้ามทวีปที่กล้าเผยความลับของเธอทั้งๆที่เธอกำชับไว้นักหนาว่าห้ามบอกเมื่อบุพการีของเธอทั้งสองเข้านอนแล้ว
“ฮาๆๆๆ”
“เราไม่ขำว่ะ ไอ้เฮีย” สิตางค์ไม่กล้าพูดดัง เธอจึงพูดเบาๆแต่ดุดันให้ธนวัตรพี่ชายคนเดียวของเธอรับรู้ถึงความไม่พอใจที่เขาทำแบบนี้
“แล้วนายคิดว่า ถ้าไม่บอกป๊ากับแม่ตอนนี้ ถ้าท่านมารู้ทีหลังจะสบายใจไหม?”
“ก็มันไม่เกิดอะไรขึ้น แล้วเฮียจะเล่าทำไมว๊ะ?”
“หรือต้องรอให้เกิดอะไรขึ้นก่อนเหรอว๊ะ?...นายน่ะเป็นผู้หญิงนะสตางค์ ถึงนายจะบอกว่านายสามารถซ้อมไอ้หื่นนั่นได้แต่เฮียก็มั่นใจว่านายคงไม่โชคดีแบบนี้ทุกครั้งหรอก และเฮียก็ยังยืนยันว่ายังไงก็ไม่มีวันที่ผู้หญิงจะชนะผู้ชายได้”
เบื่อคำนี้ของพี่ชายเธอจัง ชอบเอาคำว่าสิทธิทางเพศมาใช้ข่มเธอตลอด แต่คงป่วยการที่จะเถียงด้วย ยังไงพี่ชายของเธอก็จะหาเหตุผลมาทำให้เห็นว่า ผู้หญิงไม่มีวันจะสู้กับผู้ชายได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องไหนก็ตาม
และวันนึงเธอจะทำให้เขาเห็นว่าสิ่งที่คิด มันผิด
“แล้วนี่จะเอายังไงต่อไป? เฮียว่าถ้านายหางานไม่ได้ก็ถอดใจซะเหอะ กลับไปใช้ชีวิตและดูแลกิจการที่บ้านก็ไม่เลวนะ อย่างน้อยๆก้ได้อยู่ใกล้พ่อแม่ด้วย”
“โอเค แต่คงไม่ใช่ตอนนี้ แค่นี้นะเฮีย”
หญิงสาวชิงตัดสายไปดื้อๆทั้งๆที่พี่ชายยังสนทนาไม่จบด้วยซ้ำ ไม่ใช่เธอไม่อยากกลับบ้าน ไม่อยากกลับไปอยู่ใกล้บุพการี แต่เธออยากใช้ชีวิตให้คุ้มกับสิ่งที่เธอได้เลือกจะเป็นและอยากจะแสดงให้เห็นว่า เธอแกร่งพอจะยืนอยู่ได้เพียงลำพัง ถึงจะเพิ่งเกิดเหตุการณ์ร้ายๆขึ้นกับเธอ แม้ว่าสักวันจะไม่มีคนในครอบครัวเลยสักคนอยู่กับเธออีกแล้ว
เมื่อเวลามีไม่มากนัก สิตางค์จึงรีบลุกจากอย่างเร็วรี่ ตรงไปยังโน๊ตบุคตรงหน้าซึ่งวางอยู่บนโต๊ะหนังสือซึ่งอยู่ไม่ไกล
เว็บไซด์เพื่อการสมัครงานหลายๆบริษัทถูกเปิดขึ้น หญิงสาวมองหางานที่เธอพอจะทำได้และกรอกข้อมูลต่างๆให้ โดยไม่ลืมแนบรูปที่เพิ่งถ่ายจากสมาร์ทโฟนสดๆร้อนแนบลงไปในใบสมัครโดยไม่ลืมใช้โปรแกรมแต่งรูปให้ดูสดใสขึ้นเล็กน้อย
แค่สิบวัน…จะทันไหม? น่าจะมีบริษัทไหนๆที่สนใจเราบ้างล่ะน้า
ถ้าโชคและพระเจ้ายังเห็นใจ ขอให้เธอได้มีเวลาพิสูจน์ตัวเองต่อไปได้ด้วยเถิด!