บทที่ ๘
"ดิว พี่รันหายไปไหน เดี๋ยวนี้ไม่เห็นมารับมาส่งเธอเลย"
“ไม่รู้ แต่ก็ดีแล้วล่ะ สบายหูสบายตาดีออก" ตอบพร้อมกับยักไหล่ ทำท่าไม่สนใจ
"พี่เค้าจะรู้ไหมน้าว่ามีคนบางคนคิดถึง" เอมิกาพูดขึ้นมาลอยๆ ทำเอาสิตาหน้าแดง
"แหม...คนเคยรู้จักกัน หายไปก็ถามถึง เธอไม่คิดถึงหรือไงล่ะ" สิตาพูดแก้เก้อ ทั้งๆ ที่หน้ายังแดงไม่หาย
"คิดถึงสิ คนน่ารักแล้วก็ใจดีด้วย ใครจะไม่คิดถึงล่ะ เออ ดิว ถ้าเธอเจอพี่เค้าก็ฝากบอกด้วยนะว่าพวกเราคิดถึง แล้วก็ฝากชวนพี่เค้าไปงานรับปริญญาเราด้วยล่ะ เราคิดว่าคงมีคนอยากถ่ายรูปกับพี่เค้ามั๊ง" เอมิกาบอกดลยา แต่หันไปยักคิ้วให้สิตาอย่างล้อเลียน
"เออ...ถ้าเจอแล้วจะบอกให้ หมั่นไส้" ดลยาบอกเสียงห้วนๆ อย่างขัดเคืองใจ 'ไม่รู้ยัยบ้านั่นมีอะไรดี ถึงทำให้ใครๆ ชอบใจ' ดลยาได้แต่คิดแบบกระฟัดกระเฟียด แล้วพาลให้คิดถึงวันนั้นวันที่โดนเธอกัดปาก หลังจากทานข้าวกันเสร็จก็ยังไม่ยอมไปไหน คอยแต่จะป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้ๆ เธอตลอดเวลา ดีที่มีพี่ป๋อมอยู่ด้วยเธอเลยไม่ต้องกลัวจะโดนเอาคืนเหมือนที่เค้าขู่ แต่เธอก็ระวังตัวตลอดเวลาเหมือนกัน ไม่ให้เข้าใกล้เธอมากจนเกินไปนัก
จนตกเย็นป้าสาวิตรีโทรมาให้พาเธอไปทานข้าวที่บ้าน เธอเลยจำใจไปอย่างขัดไม่ได้ เมื่อทานเสร็จแล้วป้าสาวิตรีก็เอ่ยปากให้มิรันตีไปส่งเธอที่บ้านอีก พอออกจากบ้านมาได้ เธอก็เดินจ้ำนำหน้าไม่ยอมรอ ปล่อยให้อีกคนเดินเรื่อยๆ ทิ้งระยะห่าง อย่างสบายใจ สองมือล้วงกระเป๋าใบหน้ายิ้มกริ่มไม่ทุกข์ร้อน ดูน่าหมั่นไส้
จนถึงหน้าบ้านดลยากำลังจะปิดประตูรั้ว มือที่จับประตูไว้มาเร็วกว่าที่เธอจะปิดทัน ทั้งๆ ที่เมื่อกี้ยังเดินอยู่ตั้งห่าง เธอลืมคิดไปว่าอีกคนตัวสูงก้าวยาวกว่าเธอมาก
'จะรีบไปไหน ยังไม่ได้ขอบคุณพี่เลยที่เดินมาส่ง' ดันประตูไว้พร้อมทวงคำขอบคุณ
'ขอบคุณ...' เธอเอ่ยอย่างเสียไม่ได้
'หลับฝันดีนะคะ' น้ำเสียงอ่อนนุ่มนั้นทำเอาเธอเกือบหลงใหล
'ไม่เห็นหน้าคุณน่ะ หลับฝันดีอยู่แล้วล่ะ' น้ำเสียงอ่อนลง
'กู๊ดไนท์กันก่อน' มิรันตีอารมณ์ดีพอที่จะไม่ใส่ใจคำพูดของคนตรงหน้า
'กู๊ดไนท์ค่ะ' เธอว่าง่ายบ้าง เพราะหวังว่าจะได้รีบเข้าบ้านเร็วๆ
'ไม่ใช่แบบนี้จ๊ะสาวน้อย ต้องกู๊ดไนท์คิส แบบนี้' มิรันตีใช้ความว่องไว ขณะที่ดลยาไม่ทันระวังตัว จูบแก้มผ่องฟอดใหญ่ แล้วฉากหลบปิดประตูลง ก่อนหันหลังเดินยิ้มกริ่มจากไป ดลยาทำอะไรไม่ได้มากกว่ากระทืบเท้าขัดใจ คนที่ทำให้ไม่พอใจก็เดินห่างไปไกลเสียแล้ว
หลังจากวันนั้น ก็ไม่ได้เจอกันอีกเลย มีเพียงป้าสาวิตรีที่คอยเดินมาถามไถ่ คอยดูแลว่าเธอขาดเหลืออะไรไหม แล้วยังเล่าถึงลูกสาวให้ฟังว่ามัวแต่ยุ่งอยู่กับบริษัทที่เพิ่งเปิดตัว จนแทบไม่มีเวลาได้พัก
แรกๆ ดลยาก็รู้สึกดีที่ไม่มีคนมาคอยกวนใจ พอมาวันนี้ที่สิตาถามถึง มันกลับกวนให้เธอต้องนึกถึงคนที่คอยกวนประสาทเธอขึ้นมาอีกจนได้
"ดิว...ดิว มัวเหม่ออะไร เรียกตั้งนาน" เสียงเอมิกาที่ตะโกนอยู่ข้างหู ทำเอาดลยาตกใจตื่นจากความคิด หันมาหากลุ่มเพื่อน
"ก็คิดอะไรเพลินไปเรื่อย"
"อย่าลืมบอกพี่รันล่ะ" เอมิกาเน้นย้ำ
"เออ...ไม่ลืมหรอกน่า" กระแทกเสียงบอกด้วยสีหน้ารำคาญ
ตกตอนเย็นหลังจากแยกย้ายกันกับเพื่อนๆ แล้ว ดลยาก็มุ่งหน้ากลับบ้าน เพราะเธอตั้งใจไว้แล้วว่าจะแวะบ้านมิรันตี เพื่อบอกเรื่องที่สองเพื่อนซี้เน้นย้ำมา อันที่จริง2-3วันมานี้ เธอก็รู้สึกคิดถึงหน้ากวนๆ ของยัยนั่นไม่น้อยเหมือนกัน พอไม่ได้เห็นหน้าก็รู้สึกเงียบเหงา แต่เธอก็หยิ่งพอที่จะไม่ไปหา พอดีวันนี้มีข้ออ้างให้ได้แวะหา แต่คิดว่าคงได้แค่ฝากคุณป้าให้บอกยัยนั่นมากกว่า เพราะคงไม่น่าจะกลับมาแต่หัวค่ำแบบนี้
ดลยาครุ่นคิดจนเดินมาถึงหน้าบ้านของมิรันตี เธอเดินเข้าไปอย่างคุ้นชิน โดยที่ไม่ต้องรอให้ใครมาเปิดประตูให้ เดินเรื่อยเข้ามาภายในบ้านแล้วยังไม่เจอใคร
'คุณป้าน่าจะอยู่ในครัว' คิดได้เท้าเธอก็ก้าวเข้าไปยังห้องนั่งเล่น เพื่อจะทะลุไปยังห้องครัวที่อยู่ด้านหลังบ้าน ภาพตรงหน้าที่เธอมองเห็น ทำเอาตกใจจนตัวชา มิรันตียืนหันหลังมาทางเธอ ใบหน้าก้มลงไปหาใครอีกคนที่นั่งอยู่ที่โซฟา ที่เธอเห็นแค่เพียงด้านข้างแต่ก็พอรู้ว่าเป็นผู้หญิงผมยาว เหมือนว่ากำลังก้มลงไปทำอะไรกัน ดลยาชะงักเท้าที่ก้าวเดิน รู้สึกหัวใจชาวูบ ก่อนจะหมุนตัวหันหลังกลับ เดินออกจากที่ตรงนั้นอย่างรวดเร็ว
"คุณดิว...มาตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วจะกลับแล้วเหรอคะ" เสียงรุ้งดังอยู่หน้าบ้าน ทำให้มิรันตีที่กำลังก้มดูตาให้คีย์ตญา ที่เคืองตาด้วยคิดว่าขนตาจะร่วงเข้าไปในนั้น หันมาตามเสียงก่อนจะเอ่ยถามรุ้งที่เดินเข้ามา
"ใครมาเหรอรุ้ง"
"คุณดิวค่ะ เห็นว่าเพิ่งเข้ามาไม่เจอใคร รุ้งก็บอกว่าคุณรันอยู่ข้างใน แต่เธอบอกไม่เป็นไร เดินกลับบ้านไปแล้วค่ะ"
"เป็นอะไรของเค้านะ" พึมพำเบาๆ อย่างสงสัย
"ใครเหรอรัน" คีย์ตญาเอ่ยถาม
"ยัยเด็กที่รันเคยเล่าให้ฟังไง ที่แม่เค้าฝากให้ดูแลน่ะ เป็นยังงี้แหล่ะบ้าบอเอาแต่ใจตัวเอง อย่าไปสนใจเลย ว่าแต่ว่าเธอหายเคืองตาหรือยังล่ะ" มิรันตีบอกเพื่อนไม่ให้สนใจ แต่ใจเธอกลับรู้สึกกังวล
"อื้อ...ดีขึ้นแล้วล่ะ"
"งั้นดีเลยจะได้ไปกินข้าวเสียที แม่รออยู่นานแล้วไปกันเถอะ" ว่าพลางดึงแขนคนนั่งให้ลุกขึ้น ก่อนจะพากันเดินเข้าไปในครัว
"รัน...คีย์ มาๆ แม่ทำกับข้าวเสร็จแล้วลูกมาทานกัน รันไม่เจอน้องดิวเหรอลูก เห็นเจ้ารุ้งมันบอกว่าน้องมา น่าจะชวนมากินข้าวด้วยกัน"
"ไม่เจอค่ะ มาแล้วก็รีบกลับ ไม่รู้เค้าเป็นอะไรของเค้า สงสัยจะปวดท้องมั่งรีบขนาดนั้น" มิรันตีพูดปนหัวเราะ
"นั่นสิเป็นอะไรหรือเปล่าไม่รู้ เดี๋ยวกินข้าวเสร็จรันเดินไปดูน้องซะหน่อยนะลูกนะ" บอกอย่างเป็นห่วง
"ค่ะแม่" รับคำแต่โดยดี เพราะเธอก็รู้สึกเป็นห่วงอยู่เหมือนกัน
ดลยาเดินกลับบ้านอย่างเหม่อลอย ภาพที่เห็นเมื่อสักครู่ มันกระทบใจ เสียจนกระเทือนไปทั้งความรู้สึก เธอนั่งนิ่งอยู่หน้าบ้านเนิ่นนาน ริมฝีปากอ่อนบางถูกกัดจนรู้สึกเจ็บ ความรู้สึกมันวิ่งวนสับสนอย่างบอกไม่ถูก โกรธเหรอ? ทำไมต้องโกรธ น้อยใจหรือ? ก็ทำไมต้องน้อยใจ ช่างเถอะช่างมัน หัวใจหยุดสับสนเสียที บอกตัวเองก่อนจะสะบัดหน้าไปมา แล้วเดินเข้าบ้านร้องเรียกป๋อมให้ทำอาหารให้อย่างฝืนร่าเริง
“ขับรถดีๆ ล่ะไม่ต้องซิ่ง ไว้เจอกัน” มิรันตีเดินออกมาส่งคีย์ตญาขึ้นรถกลับพร้อมสั่งเสียงเข้ม เพราะรู้จักนิสัยเพื่อนที่ชอบขับรถเร็วเป็นประจำ
“จ้า...ไม่ต้องห่วง ว่าแต่เธอเถอะรีบๆ ไปดูสาวน้อยของเธอเถอะ” หันมาว่าอย่างล้อเลียน
“บ้าของฉันที่ไหนล่ะ ไปได้แล้ว” รู้สึกเขินแปลกๆ
“เนี่ย...ไอ้อาการแบบนี่ของเธอนี่แหล่ะ ไม่นานคงได้เป็นของเธอแน่ๆ ฉันดีใจนะที่เธอรู้จักมองคนใหม่บ้าง” ทิ้งท้ายไว้ด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะเคลื่อนรถออกไป มิรันตีมองตามทอดถอนใจ เมื่อคิดตามคำพูดของเพื่อน จริงสินะตั้งแต่พิจิกาทิ้งเธอไป เธอก็ไม่เคยมองใครอีกเลย ยิ้มน้อยๆ ให้กับตัวเอง ก่อนจะก้าวเดินไปตามถนนที่ทอดยาวไปยังบ้านของดลยา
“น้องดิวอยู่ไหนเหรอป๋อม” เจอแม่บ้านอยู่หน้าบ้านพอดี
“นั่งดูทีวีอยู่ข้างในค่ะ แต่ไม่รู้เป็นอะไรเห็นกดไปช่องโน้นช่องนี้เหมือนโมโหอะไรสักอย่าง ท่าทางจะอารมณ์ไม่ค่อยดีระวังหน่อยนะคะคุณรัน” แม่บ้านเตือนไว้ก่อนจะเดินเลี่ยงไปทางหลังบ้าน
มิรันตีเดินเข้าไปเห็นดลยานั่งหน้าบึ้ง มือกดรีโมททีวีเป็นพัลวันเหมือนกับที่ป๋อมบอกไม่มีผิด
“ไม่รู้จะดูช่องไหนก็ปิดซะสิ” ปากไวอีกตามเคย
“มาทำไม...?” หันมาถามแต่มือยังไม่เลิกกด
“แม่ให้มาดู เห็นรุ้งบอกว่าไปที่บ้าน แล้วทำไมรีบกลับ ไม่ สบายหรือเปล่า” ปากอ้างแม่ แต่มือเอื้อมมาอังตรงหน้าผากคนที่นั่งอยู่ ให้ได้อึ้งกับการกระทำนั้น ดลยานั่งนิ่งตัวแข็ง พยายามหลบเร้นไม่มองสบตาคนที่ชะโงกหน้าเข้ามาถาม เพราะหากมิรันตีได้สบตาเธอเพียงปราดเดียว ก็คงได้เห็นแววหวั่นไหว ตัดพ้ออย่างชัดเจน
“ตัวก็ไม่ร้อน หรือว่าปวดหัว ปวดท้อง ท้องเสีย...” เมื่อไม่ได้คำตอบก็เลยเดาไปเรื่อย
“ไม่ได้เป็นอะไรทั้งนั้นแหล่ะ ถ้าจะเป็นก็คงเป็นตอนที่คุณเข้ามานี่แหล่ะ” บอกเสียงเข้มบ่งบอกความไม่พอใจอย่างชัดเจน
“เป็นอะไรคะ หัวใจอ่อนไหวเหรอ...?” ยิ้มกริ่มแบบนี้แหล่ะที่ทำเอาคนมองมารู้สึกวูบไหว แต่ก็ยังเสียงแข็งใส่ขัดกับเสียงของหัวใจที่สั่นรอน
“เริ่มจะปวดหัวตั้งแต่คุณมานี่แหล่ะ วุ่นวาย...”
ต่อให้ใจแข็งขนาดไหนเมื่อได้ยินแบบนี้ก็หน้าชาได้เหมือนกัน น้ำเสียงที่ถามออกมาจึงซ่อนความรู้สึกหลากหลาย
“เกลียดพี่นักเหรอ?” คำถามที่ทั้งคนพูดและคนฟังไม่คาดคิดหลุดออกมา ใบหน้าของมิรันตีซึ่งเคยมีแต่รอยยิ้ม บัดนี้เข้มขรึม ดวงตาพราวใสฉายแววสลด เธอเพิ่งนึกได้ว่าดลยามีท่าทางเบื่อหน่ายทุกครั้งที่เจอหน้า เหมือนเกลียดชังกัน แต่ทำไมเธอไม่เคยรู้สึกมากเท่าวันนี้ พอคิดได้ก็หลุดปากถามออกไป แล้วก็อดใจหายไม่ได้ หากหญิงสาวตรงหน้าตอบมาว่า ‘ใช่’ ความรู้สึกของตัวเองจะเป็นอย่างไร...แต่นี่...เธอนิ่งเงียบ เธอคงไม่รู้หรอกว่า ไอ้ความเงียบมันก็กัดกร่อนความรู้สึกได้ไม่แพ้กัน
“ไม่เคยพูด...ว่าจะเกลียดตลอดไป” ดลยาเพิ่งเอ่ยตอบน้ำเสียงอ่อนลง ก่อนที่รอยยิ้มจะแต่งแต้มบนใบหน้าของคนที่รอฟัง เพียงแค่นี้แหล่ะที่เธอต้องการ...