-บทที่ ๑-
สายลมรำเพยยามเช้ามืด พลอยทำให้หญิงสาวร่างเล็กบอบบางที่เดินทอดฝีเท้าช้าๆ นั้นเผลอฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดี เธอเดินเตะก้อนหินก้อนเล็กๆ ก้อนหนึ่งมาตลอดทาง จนลืมระวังตัว กระทั่งได้ยินเสียงแตรยาวๆ ของรถหรูสีดำ ที่วิ่งสวนทางมา ซึ่งหยุดห่างจากตัวเธอไม่ไกล อะไรไม่ตกใจเท่าเสียงแว้ดของเจ้าของรถคันนั้น
เมื่อเธอเงยหน้าขึ้นก็สบสายตาของหญิงสาวรูปร่างสูงโปร่ง สวมกางเกงขาเดฟมีรอยขาดตรงหน้าขา กับเสื้อเชิ้ตตัวยาว และรองเท้าผ้าใบสีสันแสบตา สภาพของเธอบ่งชัดว่าน่าจะไปตระเวนราตรีมาอย่างแน่นอน ก้าวลงจากรถคันหรูมายืนต่อว่าเธอเสียงดัง
“เดินไม่ดูตาม้าตาเรืออย่างนี้ เดี๋ยวก็ได้นอนอ่านหนังสือพิมพ์ข้างถนนหรอกหนู”
แม้จะตกใจ และรู้ตัวว่าผิดที่เดินอยู่กลางถนน แต่นี่มันเป็นถนนในหมู่บ้านที่ไม่น่าจะมีใครขับรถเร็วแบบนี้นี่นา แล้วที่โกรธจี๊ดขึ้นสมองก็คือคำที่ถูกเรียกว่าหนู หญิงสาวเชิดหน้าคอแข็งมองเมินก่อนโต้ตอบ
“แล้วใครเค้าใช้ให้คุณขับเร็วขนาดนั้นด้วยล่ะ นี่มันในหมู่บ้านนะคุ๊ณ....” เถียงพร้อมกับคิดในใจอย่างดูแคลน ‘คนแบบนี้จะมีดีอาไร้ วันๆ คงจะผลาญเงินพ่อแม่เที่ยว เช้าแล้วเพิ่งจะกลับเข้าบ้าน’ ความคิดชิงชังคงส่งผลไปที่ดวงตา เพราะเธอเผลอค้อนขวับเข้าให้
“แต่ก็ไม่ใช่ที่ๆ จะให้ใครมาเดินเอ้อละเหยลอยชายรับลมยามเช้าแบบนี้นะ” มิรันตีต่อว่าอย่างเหลืออด แต่ก็ไม่ได้รุนแรงมากนัก เพราะเห็นว่ายังเด็ก ด้วยชุดนักศึกษาที่เธอสวมใส่
“ขอโทษ...แล้วไม่ต้องมาเรียกฉันว่าหนู” ดลยากระแทกเสียงใส่ แล้วเดินผ่านไปโดยเร็ว และไม่ได้ใส่ใจอีก แต่เสียงที่ดังไล่หลังมา กลับทำให้เธอหยุดชะงัก และหันไปทำดวงตาวาวอย่างโกรธจัด
“ขอโทษเหรอ... มันไม่ง่ายไปหน่อยเหรอไง แล้วถ้าฉันชนหนูเข้าเนี่ย คนที่เดือดร้อนก็คือฉัน กับคำว่าขอโทษฟังดูมันง่ายเกินไปนะ” กับท่าทางที่เชิดอวดดี ทำให้มิรันตีอยากต่อปากต่อคำด้วย ดลยาเองก็สุดที่จะกลั้นความโกรธ ที่ถูกต่อว่าไม่จบไม่สิ้นเช่นกัน
“แล้วคุณจะเอายังไง....” ดลยาถามออกไปด้วยท่าทางท้าทายอย่างเห็นได้ชัด ไม่มีท่าทีว่าจะกลัวอีกฝ่ายแม้แต่น้อย
“ฉันขอโทษแล้ว คุณยังไม่พอใจอีก หรือเป็นพวกสิบแปดมงกุฎที่ขับรถหรูตบตาชาวบ้าน แล้วเที่ยวเฉี่ยวชนคนเดินถนน เรียกค่าโน่นค่านี่”
“พูดให้มันน่าฟังหน่อยนะ” เสียงเริ่มแข็งบ่งบอกความไม่พอใจออกมาให้เห็น
“จะพูดแบบนี้ แล้วมันมีอะไรมั้ย”
“มีแน่...ถ้าพูดแบบนี้” มิรันตีสาวเท้าเข้าหาอย่างเอาเรื่อง ดลยาเห็นท่าไม่ดี ผละวิ่งหนีออกไปอย่างรวดเร็วทันที
‘ร้ายนักนะเด็กคนนี้ ลูกบ้านไหนนะ ดูสิมาว่าเราเป็นพวกสิบแปดมงกุฎ ฉันน่ะดีกรีโทจากออสเตรเลียเชียวนะ ตาช่างไม่มีแววเอาซะเลย ยายเด็กโง่’ มิรันตีได้แต่บ่นตามหลังหญิงสาว พร้อมกับส่ายหน้าอย่างไม่รู้จะทำอะไรได้ดีไปกว่านั้น
เธอจากบ้านไปอยู่ออสเตรเลียซะหลายปี กลับมาก็แทบจะไม่รู้จักเด็กรุ่นใหม่ๆ หรือบางทีคงจะมีคนใหม่ๆ เข้ามาอยู่ในหมู่บ้านนี้เพิ่มก็ได้ เมื่อคืนเธอนัดเจอเพื่อนสังสรรค์กัน หลังจากที่ไม่ได้เจอกันมานาน แล้วก็พากันไปต่อร้านข้าวต้ม คุยกันเพลินจนเช้า แล้วก็มาเจอดีเอาจวนจะถึงบ้านแค่ไม่กี่ร้อยเมตร
ช่วงเย็นหลังเลิกเรียน ดลยายังคงเอ้อละเหยอยู่กับเพื่อนฝูงจนมืดค่ำ หญิงสาวเพิ่งรู้สึกอ่อนใจ เมื่อนึกขึ้นได้ว่าต้องโดนท่านแม่บ่นให้อีกตามเคย ถึงแม้ว่าเธอเรียนจนปีสุดท้ายจะจบปริญญาตรีอยู่แล้วก็ตาม
“ดิว...ไปเร็วซิ เหม่อไรวะ?” เสียงเพื่อนในกลุ่มเอ่ยเรียก จากนั้นทั้งหมดก็ทยอยกันวิ่งขึ้นรถประจำทาง แม้จะค่อนข้างมืด แต่เพราะรถคันนี้วิ่งอีกในระยะสั้นผู้คนจึงบางตา เมื่อถึงหน้าปากซอยบ้าน ดลยาก็บอกลาเพื่อนๆ ก่อนจะกระโดดลงอย่างคล่องแคล่ว
“เอ... สิ...เราไปก่อนนะ”
“เออ...ดูแลตัวเองด้วยล่ะ พรุ่งนี้เจอกัน” เพื่อนๆ ส่งเสียงตามหลัง เธอหันไปยิ้มให้ ก่อนจะสาวเท้าเข้าไปในซอย เดินเรื่อยๆ อย่างคุ้นชิน จนกระทั่งรู้สึกเหมือนมีคนเดินตาม เธอเหลือบไปมอง เมื่อเห็นว่าเป็นใครที่เดินตามมา เธอถึงกับเบ้ปาก
'เฮ้อ...! เจอเช้าเจอเย็นซวยชิปเป๋งเลย' ได้แต่นึกอยู่ในใจ ขืนพูดออกไป จะเป็นการบั่นทอนชีวิตเสียเปล่าๆ ‘หรือว่าจะรอทำอะไรเรา’
“สาวน้อยเดินเร็วจัง รอพี่ก่อนสิ” เสียงผู้หญิงคนนั้นดังมาจากด้านหลัง เป็นเหตุให้เธอรีบก้าวเท้าเร็วขึ้นทันทีเมื่อได้ยิน
“เอ้า... เรียกแล้วไม่พูดไม่จา หยิ่งจังแฮะจะรีบไป ไหน คุยกันก่อนสิหนู” เธอร้องเรียกก่อนจะวิ่งเหยาะๆ ไม่กี่ก้าว ก็ตามมาทัน ดลยาซึ่งตัวเล็กกว่าพยายามก้าวยาวแค่ไหนก็ยังไม่พ้น พอถึงตอนนี้ดลยาเลยออกตัวใส่เกียร์ห้าวิ่งอย่างรวดเร็ว
‘อะไรของเค้าเนี่ย คนซอยเดียวกันคุยกันหน่อยก็ไม่ได้’ มิรันตีมองตามอย่างงงๆ แต่ก็ไม่ได้คิดจะตามไป เพราะเดินอีกไม่กี่ก้าวก็ถึงบ้านเธอ ซึ่งอยู่ไม่ไกลแล้ว ส่วนดลยาวิ่งอย่างรวดเร็วเท่าที่เธอจะมีแรง พอหันไปมองข้างหลังไม่เห็นมีใครตามเธอมาแล้ว เธอถึงได้หยุดหายใจหอบ ก่อนจะรีบเดินเข้าบ้านซึ่งอยู่ท้ายซอย ในสภาพเหนื่อยอ่อนแทบหมดแรง
“ไปทำอะไรมาดิว ถึงได้เหนื่อยหอบขนาดนั้น แล้วนี่ทำไมกลับซะมืดค่ำ ลูกเป็นผู้หญิงนะมันอันตราย บอกกี่ครั้งไม่เคยจำลูกคนนี้” แม่เอ่ยทัก พร้อมกับเสียงบ่นตามมาติดๆ
“อ่านหนังสือกับเพื่อนเย็นไปหน่อยค่ะแม่” เรื่องที่กำลังจะเล่า ถูกกลืนหายไปพร้อมๆ กับเสียงบ่นของแม่ ถ้าให้แม่รู้คงได้มีเรื่องบ่นอีกยาว ด้วยความเป็นห่วงอีกตามเคย เธอเลยเลือกที่จะไม่เล่าดีกว่า
“นี่อีกไม่กี่วัน พ่อก็จะย้ายไปจังหวัดตราดแล้วนะ แม่ล่ะเป็นห่วงลูกจริงๆ น้าพราวก็ยังเคลียร์งานไม่เสร็จ ลูกจะต้องอยู่คนเดียวนานเป็นเดือน หรือว่าแม่จะให้พ่อไปคนเดียวก่อน” แม่ยังบ่นด้วยความเป็นห่วงลูกสาวคนเดียว
“อย่าเลยค่ะคุณแม่ ดิวอยู่คนเดียวซะที่ไหน มีพี่ป๋อมอยู่ด้วยทั้งคน แม่ไปดูแลพ่อเถอะ พ่อไปเป็นนายอำเภอต้องมีคุณนายคอยดูแลนะคะ” อ้างถึงแม่บ้าน ก่อนจะเข้าไปคลอเคลียออดอ้อนผู้เป็นแม่ให้เห็นคล้อยตามเธอ
“จะไว้ใจให้ป๋อมมันดูแลลูกคนเดียวได้ยังไง แค่ทำงานบ้านมันยังรับผิดชอบไม่ค่อยจะได้ เฮ้อ...! ไปอาบน้ำอาบท่าก่อนไป จะได้มาทานข้าวกันพ่อรออยู่” แม่ตัดบทก่อนจะเดินเข้าครัวไป เธอเลยเดินเข้าห้องนอนตัวเอง อดคิดถึงใบหน้าผู้หญิงคนนั้นที่เธอเจอในวันนี้ จริงๆ แล้วก็หน้าตาดีไม่น้อย ไม่น่าเป็นคนไม่ดีเลย
“รัน...ไปไหนมาลูก แล้วทำไมไม่ขับรถไป เดินต๊อกๆ อยู่ได้ ดูซิเหงื่อไหลเต็มตัวไปหมด” สาวิตรีร้องทัก เมื่อเห็นมิรันตีลูกสาวเดินเข้าบ้านมา
“หนูก็แค่เดินเล่นดูอะไรแถวๆ หน้าปากซอยแค่นี้เองค่ะ หนูไม่ได้อยู่บ้านนาน พอกลับมาอะไรๆ มันเปลี่ยนไปหมดนะคะแม่” มิรันตีบอกแม่ยิ้มๆ
“แน่ซิ...ลูกไม่อยู่ตั้ง 7 ปีนะ แล้วดูซิกลับมาก็ตะลอนๆ ไปโน่นไปนี่ แม่ว่าจะพาไปหาป้ากัลยาเพื่อนแม่ เลยยังไม่ได้ไปสักที ได้ข่าวว่าเค้าจะตามสามีที่ย้ายไปเป็นนายอำเภอที่จังหวัดตราดไม่กี่วันแล้ว พรุ่งนี้แม่ขอสักวันนะลูกนะ” แม่เข้ามาลูบหลังลูบไหล่บอกลูกสาวอย่างอ่อนโยน
“ค่ะแม่” ซบหน้าลงไปบนแขนผู้เป็นแม่อย่างอ้อนๆ เหมือนตอนที่เคยทำเมื่อตอนเด็กๆ
“ลูกนี่น๊า โตจนทำงานทำการแล้วก็ยังอ้อนแม่ เหมือนเด็กๆ” สาวิตรีลูบลงไปบนผมยาวยักศกของลูกสาว อย่างรักใคร่เอ็นดู 7 ปีที่ลูกจากบ้านไปเรียนต่อ จนเรียนจบยังขอทำงานต่ออีกไม่ยอมกลับ เธอได้แต่คิดถึงและทนรอ พอลูกบอกจะกลับมาอยู่บ้านอย่างถาวร ทำเอาเธอดีใจยิ่งกว่าอะไร