web stats

ข่าว

+-User

Welcome, Guest.
Please login or register.
 
 
 
Forgot your password?
ปัญหาการสมัครสมาชิก
วิธีเปลี่ยนสถานะเป็นนักเขียน
วิธีลงนิยาย
วิธีใช้งานบอร์ด

+-สถิติการใช้งาน

Members
Total Members: 880
Latest: Levitra5a
New This Month: 0
New This Week: 0
New Today: 0
Stats
Total Posts: 1553
Total Topics: 886
Most Online Today: 153
Most Online Ever: 601
(21 กันยายน 2024 เวลา 08:04:58 )
Users Online
Members: 0
Guests: 140
Total: 140

ผู้เขียน หัวข้อ: แพร่งหัวใจ บทที่ 6  (อ่าน 1850 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ อาพัทธ์ อันธการ

  • Moderator
  • ขาจร
  • *****
  • กระทู้: 74
แพร่งหัวใจ บทที่ 6
« เมื่อ: 17 กุมภาพันธ์ 2014 เวลา 15:49:43 »





บทที่ 6


            ปองกานต์เปิดประตูห้องเข้ามาและพบกับสายตาที่ไม่ปิดบังเช่นเคย หล่อนพยายามไม่สนใจ วันนี้เธอรู้สึกเหนื่อยพอสมควร

            หญิงสาวเปิดพัดลมเพื่อเป่าผมหยักศกของตัวเองให้แห้ง ระหว่างนั้นนิ้วเรียวก็กดเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ขนาดพกพา ไม่นานนักหน้าจอก็พร้อมทำงาน คนจมูกโด่งเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตเพื่อปรับปรุงหน้าเว็บไซต์ของตัวเองให้สวยงามก่อนเปิดใช้จริงในอีกไม่กี่วันข้างหน้า หล่อนยังต้องทำอีกหลายอย่างกว่าจะเสร็จเรียบร้อย ทั้งลงสินค้า จัดการระบบขนส่ง ฯลฯ แต่เพราะยังมีเวลาอีกหลายวันก่อนจะเปิดเทอม สาวน้อยจึงไม่กังวลสักเท่าไหร่ หลังจากนี้ไม่มีการนัดทำกิจกรรมอะไรอีกแล้ว

            โทรศัพท์มือถือตกรุ่นถูกหยิบขึ้นมากดหมายเลขที่คุ้นเคย เสียงรอสายดังอยู่พักใหญ่ก่อนที่จะมีคนกดรับ น้ำหวานยิ้มเมื่อได้ยินเสียงทักทายจากปลายสาย

            "ฮัลโหลลล หวานเหรอลูก" แม่พูดด้วยน้ำเสียงไม่มั่นใจนัก เพราะไม่คุ้นเคยกับสิ่งของสมัยใหม่

            "ค่ะ แม่เป็นไงบ้าง หนูคิดถึง" หล่อนบอกออกมาจากใจจริง

            "ก็เหมือนเดิมแหละลูก ลูกล่ะอยู่ที่นู่นดีไหม มีปัญหาอะไรรึเปล่า"

            "ไม่มีค่ะแม่ หนูสบายดี" หญิงสาวชะงักไปเพียงครู่เดียวก่อนจะตอบออกไป ปองกานต์ไม่ต้องการให้แม่รู้สึกเป็นกังวลกับเธอ ถ้าจะต้องโกหกบ้างหล่อนก็จะทำ

            "ดีแล้วลูก" เสียงจากปลายทางฟังดูโล่งใจ

            "แม่อย่าทำงานหนักนะ เครื่องซักผ้าที่หนูซื้อให้แม่ได้ใช้รึเปล่า" คิ้วเรียวขมวดเมื่อนึกถึง สองปีที่แล้วเธอซื้อเครื่องทุ่นแรงให้กับแม่ เพื่อที่จะได้ไม่ต้องหลังขดหลังแข็งซักผ้าทีละชิ้นจนมือเปื่อย แต่แม่ก็มักจะไม่ค่อยใช้ เนื่องจากไม่สะอาดเท่าการซักมือนั่นเอง แม้ว่าจะประหยัดเวลามากกว่าก็ตาม

            "ใช้บ้างไม่ใช้บ้างแหละลูก" หญิงสาวส่ายหัว แม่หล่อนเป็นคนซื่อๆ โกหกไม่เป็น เป็นคนดีมาแต่ไหนแต่ไร

            "แม่ใช้เยอะๆ สิคะ เครื่องซักผ้าแพงนะ หนูซื้อมาตั้งหลายพัน อีกอย่างไม่เห็นต้องให้สะอาดขนาดนั้นเลยแม่ แถวนั้นเขาจ้างแม่ถูกจะตาย แล้วเสื้อผ้าก็สกปรกขนาดนั้น แม่จะซักโดยไม่ใช้เครื่องช่วยไหวได้ยังไง" เธอพยายามหว่านล้อม รู้สึกไม่สบายใจที่แม่ยังคงต้องทำงาน ตัวหล่อนเองก็ไม่สามารถบอกให้แม่หยุดได้ เพราะถ้าหยุดแม่ก็ไม่รู้จะทำอะไร คนเคยทำงานมาทั้งชีวิตให้อยู่นิ่งเฉยๆ ทั้งวันคงเป็นไปไม่ได้ อีกทั้งตอนนี้เงินเก็บของคนร่างบางก็มีไม่มากพอ หล่อนต้องมีมากกว่านี้ มากพอที่จะเลี้ยงแม่ไปตลอดชีวิตได้

            "แม่รู้ แม่ก็พยายามใช้อยู่ลูก คนแถวนี้เขาจ้างแม่ไม่แพงก็จริง แต่รวมๆ กันหลายคนก็พอเลี้ยงปากเลี้ยงท้องเรานะลูก เขาจ้างมาแล้วแม่ก็ต้องทำให้ดีที่สุด จะซักชุ่ยๆ ให้เขาได้ยังไง" ปองกานต์ถอนหายใจ เห็นนิ่งๆ อย่างนี้แม่เธอก็เป็นคนที่ยึดมั่นในความคิดของตัวเองเช่นกัน อะไรที่แม่คิดว่าดีก็จะไม่ยอมเปลี่ยนเลย แม้ว่าจะทำให้สบายขึ้นก็ตาม

            "หนูไม่พูดแล้ว แม่ดื้อ" สาวน้อยพูดแกล้งทำเสียงอ่อนอกอ่อนใจ

            "ลูกคนนี้นี่" น้ำเสียงเอ็นดูที่ตอบกลับมาทำให้ริมฝีปากสีชมพูดแย้มยิ้ม หล่อนอยากกอดแม่เหลือเกิน

            "บ่ายกว่าแล้วแม่ทานข้าวยัง" คนหน้ารูปหัวใจมองเวลาที่จอคอมพิวเตอร์แล้วถามด้วยความห่วงใย

            "เรียบร้อยแล้วลูก วันนี้แม่ทำน้ำพริกปลาทูของโปรดด้วยนะ" แค่คิดถึงฝีมือของแม่ ท้องก็ร้องขึ้นมาทันที เธอยังไม่ได้กินอาหารกลางวันเลย เพราะอยากล้างแป้งออกจากร่างกายเสียก่อน

            "แม่อ่ะ" น้ำหวานทำเสียงงอน

            "ทำเสียงเป็นเด็กๆ เชียว โตจนป่านนี้แล้ว เลิกอ้อนแม่ได้แล้ว" ปลายสายพูดอย่างไม่จริงจังมากนัก

            "ก็หนูรักแม่" นั่นคือคำตอบของทุกการกระทำ เธอคงไม่มีวันทำแบบนี้กับใครคนอื่น เป็นความจริงใจที่หล่อนมีให้คนๆ เดียว

            "แม่ก็รักลูก" น้ำเสียงที่ตอบกลับมาบ่งบอกความรู้สึกได้ดี

            "แม่ พรุ่งนี้หนูจะกลับบ้าน" เสียงใสบอกออกไป น้ำตาปริ่มเกือบจะหยด

            "กลับมาทำไมล่ะลูก เพิ่งไปได้ไม่กี่วันเอง อีกแปบเดียวก็เปิดเทอมแล้วไม่ใช่เหรอ" แม่ถามด้วยน้ำเสียงสงสัย แต่ลึกๆ แล้วข้างใจหล่อนรู้ว่ามารดาก็อยากเจอหน้าเธอเช่นกัน แต่เพราะเป็นห่วงจึงไม่ได้พูดออกมา

            "ก็หนูคิดถึงแม่" แม่คือคนๆ เดียวที่เหลืออยู่ในชีวิตของหญิงสาว หล่อนไม่เหลือใครอีกแล้ว

            "อดทนหน่อยนะลูก โตแล้วจะมาอ้อนแม่เหมือนเด็กๆ ไม่ได้แล้วนะ ลูกต้องอยู่ด้วยตัวเอง มีโอกาสเรียนสูงๆ ก็ต้องตั้งใจให้มาก จบมาจะได้ทำงานดีๆ ไม่ต้องมาลำบากเหมือนแม่กับพ่อไง" น้ำเสียงนั้นปลอบประโลมเธออย่างอ่อนโยน ปองกานต์รู้สึกรักแม่เหลือเกิน รักมากจนไม่รู้จะอธิบายความรู้สึกของตัวเองว่าอย่างไรให้ดีกว่านี้

            "ค่ะแม่ หนูจะไม่ทำให้แม่ต้องผิดหวัง" น้ำหวานพูดเสียงเบา หยาดน้ำจากดวงตาร่วงหล่น

            "แม่จะวางแล้วนะ คุยนานเดี๋ยวลูกเปลืองค่าโทรศัพท์" แล้วสายก็ถูกตัดไป หญิงสาวเช็ดน้ำตาของตัวเอง ไม่มีใครล่วงรู้ว่าความเป็นจริงในชีวิตหล่อนเพียงอย่างเดียวคือแม่ ที่เหลือนั้นล้วนเป็นสิ่งลวงตา ต้องปั้นหน้าตลอดเวลา เธอไม่เคยได้แสดงความรู้สึกที่แท้จริง บางครั้งมันก็เหนื่อย และบางครั้งก็ทำให้คนผมยาวสับสนว่าตัวตนไหนกันแน่ที่คือตัวตนที่แท้จริงของตัวเอง การกระทำแบบเดิมซ้ำๆ ทำให้ความเป็นตัวเองเริ่มพร่าเลือน แม่เป็นเหมือนเชือกเส้นเดียวที่บอกให้รู้ว่าความเป็นจริงคืออะไร

            คนผมหยักศกหลับตา พยายามควบคุมความรู้สึกของตัวเอง ช่วงเวลาแห่งความสุขที่แสนสั้นได้จบลงแล้ว และนี่คือละครที่เธอต้องเล่นต่อ
           


            สาวน้อยน่ารักตรงหน้านั่งทำอะไรสักอย่างอยู่ที่หน้าคอมพิวเตอร์ตั้งแต่บ่ายจนค่ำปารย์ไม่รู้ และไม่คิดที่จะสนใจด้วย หล่อนแค่รอเวลาที่เหมาะสม ภาพสิงโตหมอบจ้องเหยื่อแวบเข้ามาในความคิดทำให้เธอหัวเราะออกมาเบาๆ

            เพื่อนร่วมห้องก็น่ารักไม่น้อยเวลาทำน้ำเสียงแบบนั้น แบบที่คุยกับแม่เมื่อตอนกลาวงวัน ออดอ้อนยังกับลูกแมวตัวน้อยๆ ทั้งที่โตขนาดนี้แล้ว

            ปออดคิดถึงตัวเองไม่ได้ ครั้งสุดท้ายที่เธอคุยกับพ่อแม่นั้นคือเมื่อไหร่กันนะ  หล่อนรู้สึกนานมากจนจำเกือบไม่ได้ อาจจะสักสามปีที่แล้วหรือมากกว่านั้น ครั้งสุดท้ายพ่อโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ส่วนแม่ก็ไม่ได้ต่างกับพ่อสักเท่าไหร่นัก หญิงสาวเองก็กำลังเป็นวัยรุ่นจึงเถียงอย่างไม่ยอมแพ้ สุดท้ายพ่อก็เอ่ยปากไล่เธออกจากบ้านถ้ายังคงมีพฤติกรรมเช่นนี้อยู่ คำว่าวิปริตทำหล่อนเจ็บปวด คนตัวสูงอาจจะดูเหมือนไม่สนใจอะไร แต่จริงแล้วไม่เป็นเช่นนั้น เธออ่อนไหว และเพราะรู้ตัวเองจึงไม่ต้องการให้ใครเห็น ตัดปัญหาด้วยการไม่พันผูกกับใคร ให้ทุกคนเป็นเพียงแค่ผ่านมาและผ่านไป

            เมื่อพ่อไล่ คนผมสั้นก็ทำตาม เธอรู้สึกชาไปหมด หญิงสาวไปขออาศัยอยู่กับป้าซึ่งเป็นพี่สาวของแม่ ป้าจันทร์เป็นคนใจดี ตรงข้ามกับแม่ของปอลิบลับ อีกทั้งเมื่อเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้ฟังก็ไม่ได้มีทีท่ารังเกียจแต่อย่างใด แถมโทรไปบอกพ่อกับแม่ด้วยซ้ำว่าจะรับเลี้ยงดูเธอเอง

            เหตุนี้เองปารย์จึงไม่เคยพาใครเข้าบ้าน หล่อนเกรงใจ ไม่มีใคร ไม่มีคู่นอนคนไหนมีค่าพอที่จะได้รับเกียรตินั้น ทุกคนเหมือนๆ กันหมด...ทางผ่าน

            คนตัวเล็กน่ารักตรงหน้ากำลังจะไปอาบน้ำ และนั่นทำให้เธอลุกขึ้นยืนอัตโนมัติ สมองเจ้าเล่ห์คิดถึงการทำในห้องน้ำอย่างช่วยไม่ได้ คงเร้าใจน่าดู ติดอย่างเดียวคือที่นี่ไม่ใช่โรงแรมเหมือนเคย เป็นห้องน้ำสาธารณะที่นักศึกษาน้องใหม่ทุกคนที่อยู่ในตึกนี้สามารถใช้ได้ ปอยิ้มและหยิบข้าวของตัวเองตามหลังเพื่อนร่วมห้องไป



            หลังจากอาบน้ำเสร็จใหม่ๆ กลิ่นที่เธอชอบก็หอมฟุ้งกระจายไปทั่วห้อง เธอสูดดมกลิ่นอย่างหิวกระหายคล้ายคนขาดน้ำ

            หล่อนเดินเข้าไปหาทันทีที่ประตูห้องปิดลง นิ้วยาวลูบไล้ไหล่เนียนอย่างถือสิทธิ์ ปากหนาจูบต้นคอนั้นเบาๆ อย่างต้องการกระตุ้นอารมณ์

            "อื้อ" เสียงร้องที่เป็นเครื่องยืนยันว่าสิ่งที่ทำนั้นได้ผลเปล่งออกมา

            "หอมจัง" เธอชมเพื่อทำให้คล้อยตามมากยิ่งขึ้น

            "อย่าสิ" เสียงห้ามนั้นเบาแสนเบา เป็นเพียงแค่คำพูดติดปากที่ผู้หญิงมักพูดเหมือนไว้ตัว แต่จริงๆ แล้วเป็นการบอกว่ายินยอม เพราะไม่มีการปัดป้องแต่อย่างใด

            ปมผ้าขนหนูถูกปลดออกจากทรวงอกเล็กนุ่ม เนินเนื้อถูกปล่อยเป็นอิสระจากสิ่งที่ปิดบังความสวยงาม อากาศได้มีโอกาสแตะต้องเพียงไม่นานอุ้งมือนุ่มก็กอบกุมทั้งสองข้างไว้ ผิวที่เพิ่งผ่านการชำระล้างนั้นยังคงความชุ่มฉ่ำเพิ่มความปรารถนาให้กระทำมากขึ้น

            ปากของหล่อนยังคงฝากฝังร่องรอยไว้ที่ผิวขาวนั้น นิ้วมือยาวหยอกล้อ แกล้งให้อีกฝ่ายหอบหายใจเล่นเหมือนนักล่าเล่นกับเหยื่อก่อนจะกิน

            เธอพาร่างบางนั้นมานอนลงบนเตียงของตัวเอง ดวงตาสีน้ำตาอ่อนชอบที่จะมองร่างสวยต้องแสงไฟ ตาปรือฉ่ำหวาน ริมฝีปากสวยที่ถูกกัดไว้เพื่อสะกดกลั้นเสียง และร่างกายที่บิดรอการปรนเปรอ



            "บอกสิว่าต้องการ" คำพูดของคนตรงหน้าคล้ายเสียงปีศาจที่กำลังเชื้อเชิญให้ทำผิด

            "อื้อ" ปองกานต์ไม่อยากพูด แต่เบียดทุกส่วนเข้าหา แสดงออกทางร่างกายอย่างไม่ปิดบังแทน

            "พูดสิ" ปอยังคงนิ่งไม่ยอมกระทำสิ่งใด

            "อยาก" หล่อนยอม พ่ายแพ้อย่างหมดรูปกับความต้องการนี้ ณ เวลานี้ ไม่เหลือการไว้ตัวหรืออะไรทั้งสิ้น มีเพียงอารมณ์ที่แทบรอการปลดปล่อยไม่ไหวเท่านั้นที่สำคัญเหนือสิ่งใด


            มัจจุราชตรงหน้าเผยยิ้มอย่างสมใจ ดวงตาสีอ่อนนั้นผสมระหว่างความสุขจากชัยชนะกับอารมณ์ร้อนแรงตามธรรมชาติเช่นเดียวกับเธอ มันลามเลียความรู้สึกของหญิงสาวเหมือนไฟ และนิ้วนั้นก็ร้อนราวกับจะเผาไหม้ทุกสิ่งทุกอย่าง
---------------------------------------------
เอาไปสั้นๆ ก่อนนะคะ *-* เดี๋ยวตอนหน้ายาวแล้วค่ะ วันนี้คนเขียนปวดนิ้ว เลยพิมพ์ยาวๆ ไม่ค่อยได้
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17 กุมภาพันธ์ 2014 เวลา 15:51:59 อาพัทธ์ อันธการ »



email+facebook : N.Rattanawadikant@gmail.com
fanpage : www.facebook.com/อาพัทธ์-อันธการ/107884562739822

samuithai5

  • บุคคลทั่วไป
Re: แพร่งหัวใจ บทที่ 6
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: 17 กุมภาพันธ์ 2014 เวลา 22:19:22 »
สู้ๆๆ นะคะ  :18: :18:

 

Powered by EzPortal
    ต้นฉบับในเว็บไซต์เป็นลิขสิทธิ์ของผู้แต่งต้นฉบับที่นำมาลง
    copyright © Yuriread.com All rights reserved.