Chapter 12 : การลงโทษ
ดิออนทิ้งตัวลงนอนบนเตียงอย่างหมดแรง หลับตาลงหวังผ่อนคลายความตึงเครียดของสมอง วันนี้เป็นวันที่แย่มากของเธอ แต่จะโทษใคร ในเมื่อเธอเลือกมันเองทั้งหมดตั้งแต่เริ่มต้น เรียกคู่ขาของคู่หมั้นมา ปะทะคารมและกำลังกับหล่อนและก็ต้องแพ้อย่างหมดท่าแต่มาคิดไปคิดมา หากหล่อนเข้าข้างเธออย่างที่เธอคิดไว้ เรื่องมันคงไม่ออกมาในรูปแบบนี้
และหล่อนก็ยังไม่รับผิดในส่วนที่เธอคิดว่าหล่อนผิดเต็มประตู ยังทำไม่รู้ไม่ชี้ ยิ้มให้เธอ จูบเธอ ลวนลามทั้งคำพูดและการกระทำ ทำกับเธอเหมือนเธอเป็นแค่ของเล่น และพอไม่ได้อะไรอย่างที่อยากจะได้จากเธอก็ทำเหมือนเธอเป็นคนผิดที่..ไม่ให้ หรือ ไม่เต็มใจที่จะให้
“ยัยบ้า..ฉันเกลียดเธอที่สุด !” ดิออนตะโกนพร้อมกับปาหมอนที่ไปประตูอย่างเต็มแรง และก็ต้องตกใจที่ได้ยินเสียงร้องกรี๊ดดังมาจากตรงนั้น
“อลิสซ่า” เธอครางเบาๆเมื่อเห็นว่าใครเป็นผู้รับเคราะห์ ดิออนรีบลุกจากเตียงนอนเข้ามาหาน้องสาว ย่อตัวลงให้เท่าความสูงของเด็กวัยสิบปี
“Nee-chan” สาวน้อยผมบลอนด์เรียกคำแทนชื่อเธอด้วยท่าทางเหมือนอยากจะร้องไห้ เธอจึงรีบรวบตัวเขาเข้ามากอดปลอบ
“ขอโทษจ้ะ พี่ไม่ได้ตั้งใจ” เธอลูบศีรษะที่ปกคลุมไปด้วยเส้นผมสีบลอนด์นั้นเบาๆ จนกระทั่งรู้สึกว่า น้องสาวเริ่มอาการดีขึ้น
“Nee-chan โหด.. โกรธใครมาเหรอคะ” คำถามนี้เข้ามาสะกิดต่อมความหงุดหงิดให้เธออีกครั้ง ดิออนถึงกับทนไม่ไหวจึงผละตัวออกมาจากน้องสาว และไปทิ้งก้นลงอย่างไม่ไยดีบนโซฟา ซึ่งก็แน่นอนว่าอลิสซ่าจะต้องตามมานั่งด้วย
ดวงตาสีฟ้าครามมองเธออย่างสงสัย และเธออดไม่ได้ที่จะไม่ยิ้มให้กับความน่าเอ็นดูของน้องและดึงเขามานั่งบนตัก
“ไหนบอกมาซิว่า.. เข้ามาหาพี่มีเรื่องอะไร” ดิออนเลิกคิ้วเรียวทั้งสองข้างของเธอ เมื่อเจอกับสีหน้าไม่สบายใจของสาวน้อย
“บอกเถอะ.. เผื่อว่าพี่จะช่วยได้” อลิสซ่าหน้าตาสดใสขึ้นทันทีและมีท่าทางดีใจเกินกว่าที่เธอคิด แต่พอเขาขยับเข้ามาใกล้ๆและมองซ้ายทีขวาทีเหมือนกลัวว่าใครจะจับตาดูอยู่ เธอก็รู้สึกประหลาดใจ และเมื่อทำความเข้าใจได้ว่าน้องสาวของเธอชอบทำตัวเกินจริงเสมออยู่แล้ว จึงไม่ติดใจถามอะไร แต่ต่อมาเมื่อเสียงกระซิบของอลิสซ่าผ่านเข้ามาในหูมันก็เป็นเธอที่ต้องตกใจมากจนเป็นฝ่ายทำเสียงดัง ทำความลับนี้แตกเสียเอง
“อะไรนะ.. ลงโทษไปอยู่เกาะ 2 อาทิตย์.. เธอฟังผิดรึเปล่า..อลิสซ่า !”
--The bodyguard--
“จริง.. พ่อเป็นคนสั่งแบบนั้น” เฟอร์ริสตอบเสียงนิ่งเหมือนสีหน้าที่อ่านไม่ออกของเขา ดวงตาสีฟ้าครามมองลูกสาวคนโตอย่างพิจารณาและก็เห็นเพียงสีหน้าตกใจ อ้าปากค้าง เขายิ้มอบอุ่นให้ลูกสาวและค่อยๆขยับมือขึ้นสัมผัสศีรษะเหมือนต้องการจะปลอบใจ
ดิออนกระพริบตาและหันมามองหน้าผู้เป็นพ่อ “แต่คุณพ่อคะ--” เสียงของเธอที่ตั้งใจจะเอ่ยแย้งเงียบหายไปเมื่อเขาส่ายหน้ากลับมา
“พ่อทำเพื่อลูกนะ..ดิออน” เฟอร์ริสพยายามพูดให้ฟังนุ่มนวลที่สุด เขาหยุดลูบศีรษะลูกสาว และทำหน้าจริงจังหันไปหาอีกคนที่นั่งเงียบกริบเหมือนลืมเอาปากมา “แคล..?”
แคลลี่สะดุ้งและรีบเงยหน้าขึ้นทันที “คะ..?” เธอขานรับอย่างจำใจ และนิ่งฟังคำสั่งต่อไปของว่าที่พ่อตา แม้จะรู้สึกว่าตัวเองไม่อยากจะนั่งอยู่ตรงนี้เลยแม้สักนาที
แต่เมื่อคิดย้อนไปว่า ผู้ชายที่นั่งอยู่ตรงหน้ามีบุญคุณกับเธอมากมายเพียงใด เฟอร์ริสเป็นคนคนเดียวที่คอยดูแล ให้ความช่วยเหลือและเป็นที่ปรึกษาให้เธอเสมอมา นับตั้งแต่เธอกลับมารับงานต่อจากบุพการีที่เสียชีวิตไปแล้วทั้งสองคน ช่วยทำให้เธอกับบริษัทยังคงอยู่ได้ในทุกวันนี้ เขาเป็นเหมือนพ่อคนที่สองของเธอ และเมื่อเธอถือได้ว่า ตัวเองเป็นลูกคนหนึ่งของเขา เธอก็ควรจะทำตัวให้ดี พยายามไม่ทำความเสียใจให้กับเขา ถึงจะถูก
“รู้ใช่มั้ยว่า.. เธอผิดอะไร” ผู้เป็นใหญ่ที่สุดที่นี่ยิงคำถามเด็ดออกมาและมองดูทีท่าของคนฟัง แคลพยักหน้ารับแม้จะดูลังเล เฟอร์ริสถอนหายใจออกมาเบาๆและลุกขึ้นยืนอย่างสง่าผ่าเผย ก้มศีรษะลงเล็กน้อยเพื่อมองคนตัวสูงน้อยกว่าที่ลุกขึ้นตามด้วยความมีมารยาท จากนั้นก็เอ่ยพูดกับเขา “พ่อให้เวลาเธอเตรียมตัวหนึ่งคืน เตรียมของใช้ที่จำเป็นสำหรับที่นั่น และพรุ่งนี้ตื่นแต่เช้า พ่อจะให้มิเกลพาไปส่งที่ท่าเรือ เข้าใจนะ”
และเฟอร์ริสก็จากไปพร้อมรอยยิ้มอบอุ่นบนใบหน้าหล่อเหลานั่นเหมือนเคย ทิ้งให้สองสาวนั่งอยู่ภายใต้บรรยากาศอันน่าอึดอัดใจตามลำพัง
--The bodyguard--
ความเงียบเหมือนจะเป็นศัตรูที่ร้ายกาจของเธอ เมื่อต้องอยู่ตามลำพังกับหล่อน ดิออนคิดว่าเธอน่าจะพูดอะไรบ้าง อย่างน้อยก็แสดงความเห็นใจที่หล่อนถูกทำโทษ ต้องไปอยู่อาศัยที่เกาะเพียงคนเดียว เป็นเวลาถึง 2 สัปดาห์ แต่คิดไปคิดมากับทุกสิ่งที่หล่อนทำกับเธอไว้ การลงโทษเพียงเท่านี้ ยังถือว่า น้อยไปเสียด้วยซ้ำ
“ฉันขอไปเก็บของที่ห้องของเธอหน่อยได้มั้ย”
ดวงตาสีมรกตกะพริบถี่ๆเหมือนไม่แน่ใจว่าเธอได้ยินอะไรมา ดิออนเงยหน้าขึ้นมองหาเจ้าของเสียง หัวใจเธอเจ็บปวดแปลกๆเมื่อเห็นดวงตาสีแดงคู่นี้ที่มองเธออยู่ แววตาของหล่อนดูเป็นแคลคนเดิมที่เธอเคยรู้จัก นางฟ้าแสนดีคนนั้น
แต่ยังไงหล่อนก็เป็นคนเดียวกันกับ..ซาตาน..
“ได้สิ ตามสบาย” เธอตอบเสียงเรียบและมองดูสาวตัวสูงเดินจากไปเงียบๆหลังส่งยิ้มขอบคุณมาให้
เวลาแต่ละนาทีเหมือนจะผ่านไปอย่างเชื่องช้าขณะที่เธอนั่งอยู่ที่นี่คนเดียว แมกกาซีนที่หยิบเอามาอ่านไม่ได้ช่วยให้เธอหายวุ่นวายใจได้เลย หัวใจเธอเหมือนไม่ได้อยู่ที่ตัว มันไปอยู่ที่....
“ดิออน”
ดิออนกระพริบตาและเงยหน้าขึ้นจากหนังสือ เธอซ่อนยิ้มดีใจไว้ที่ในที่สุดก็ได้เห็นหล่อนอีกครั้ง แคลยิ้มอย่างสุภาพอยู่ตรงหน้าเหมือนจะกำลังรอฟังว่าจะพูดอะไรด้วยหรือไม่ แต่เธอก็ไม่ทำ เสียงถอนหายใจอย่างผิดหวังดังขึ้นและหล่อนก็หันจากไป
“ฉันจะออกไปซื้อของใช้ไปใช้ที่นู่นนะ คงจะกลับดึกสักนิด ถ้าเธอง่วงก็หลับไปก่อนก็ได้.. ไม่ต้องรอ..”
“เดี๋ยวสิ” ดิออนพูดโพล่งขึ้นมาหลังคำบอกกล่าวของคนตัวสูงที่กำลังจะเดินออกไป เธอลุกขึ้นยืนขณะที่แคลหันกลับมามองอย่างตั้งคำถาม เจ้าของร่างบางพยายามทำตัวให้เป็นปกติทั้งที่หัวใจเต้นแรงอย่างหาสาเหตุไม่ได้ เธอเดินเข้าไปใกล้เขาที่มองเธออยู่ทุกฝีก้าว “ฉันจะไปเป็นเพื่อน”
ในที่สุดเธอก็ทำมันได้ เธอพูดมันจนได้ เธอภูมิใจในตัวเอง เพราะตอนนี้เธอได้เห็นสีหน้าดีใจจากคนที่ดึงเธอเข้าไปกอดไว้จนแน่น และความอบอุ่น อ่อนโยนนี้แหละที่เธอคิดถึงมัน จนต้องกอดตอบกลับไป
“ขอบใจนะ.. ฉันดีใจจัง” แคลกระซิบเบาๆ และค่อยๆขยับตัวออกจากอีกคนอย่างสุภาพ มองดวงตาสีเขียวแสนสวยตรงหน้าด้วยความรู้สึกอาวรณ์ “แต่..ไม่ต้องหรอกนะ ฉันไปคนเดียวได้.. พักผ่อนเถอะ วันนี้เธอเหนื่อยมามากแล้ว” เสียงหวานเอ่ยต่อ และแคลก็จบคำพูดของเธอด้วยการมอบจุมพิตที่หน้าผากให้เด็กสาว คู่หมั้นของเธอ..
“แล้วจะรีบกลับมานะ”
ดิออนยืนมองร่างสูงที่กำลังค่อยๆเดินห่างไปทุกที และในที่สุดหล่อนก็หายเข้าไปในรถมัสแตงสีแดงเพลิงที่เป็นของเจ้าตัว และมันก็แล่นออกไปอย่างรวดเร็วและนิ่มนวล เธอมองตามการแล่นของมันไปจนมันหายลับไปกับสายตา นึกโกรธตัวเองเหลือเกินว่าทำไมถึงไม่ยอมขยับตัวและวิ่งตามไปขึ้นรถกับหล่อนด้วยตั้งแต่แรก ไปเป็นเพื่อนหล่อนอย่างที่อยากจะทำ เพราะนี่จะเป็นคืนสุดท้ายแล้วที่ผู้หญิงคนนี้จะอยู่กับเธอ เธอจะไม่ได้เจอหน้าหล่อนอีก 2 อาทิตย์ มันน่าดีใจใช่หรือไม่ ชีวิตของเธอจะได้สงบสุข แต่เปล่าเลย เธอคงจะไม่มีความสุขแน่ๆ แน่นอนที่สุด...
ทำไมนะ..แคล.. ทำไมเราสองคนต้องเป็นแบบนี้ด้วย..
แคลลี่กลับมาถึงคฤหาสน์สวอนส์พร้อมของหอบใหญ่ที่ส่วนใหญ่ก็เป็นสัมภาระที่จำเป็นจะต้องใช้และอาหารกระป๋องสำหรับทำรับประทานอย่างง่ายๆเหมาะกับการไปใช้ชีวิตอยู่ที่เกาะให้พอภายในระยะเวลาสองสัปดาห์ที่เธอถูกกักบริเวณ และสำหรับเธอมันก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะรู้ว่าการไปอยู่ที่นั่นจะต้องมีหรือต้องใช้อะไรบ้าง เพราะเธอเคยไปใช้ชีวิตเหมือนคนเกาะแบบนั้นมาแล้วหลายครั้ง ตั้งแต่อายุได้แปดปีด้วยซ้ำไป มันเป็นการลงโทษที่เธอคุ้นชินเพราะจะว่าไป เกาะนั้นก็เป็นเกาะของตระกูลของเธอเอง เป็นเกาะสำหรับลงโทษเด็กดื้อของตระกูล Punishment Island
ของที่เตรียมไว้ถูกขนไปใส่ไว้ในท้ายรถกระบะคันเดียวกับที่มิเกลจะใช้ไปส่งเธอที่ท่าเรือในวันพรุ่งนี้ และแน่นอนว่า ในตอนนี้มิเกลก็กำลังเป็นลูกมือช่วยเธอนำของใส่รถอย่างขะมักเขม้น ถึงหล่อนจะดูเป็นผู้หญิงเย็นชา มีลักษณะเหมือนหุ่นยนต์ แต่ก็เป็นคนมีน้ำใจเสมอให้ทุกคนเสมอ จิตใจดี เหมาะสมที่จะทำหน้าที่เป็นบอดี้การ์ดส่วนตัวให้เด็ก
“โอเค.. เสร็จแล้วล่ะ” แคลเอ่ยขึ้นอย่างโล่งใจหลังจากขนของกล่องสุดท้ายลงใส่รถเป็นที่เรียบร้อย เธอยกแขนขึ้นปาดเหงื่อที่หางคิ้วของตน ไม่สนใจว่ามันจะเป็นการกระทำที่ขัดกับความเป็นกุลสตรี เพราะตอนนี้ไม่ใช่เวลา เธอไม่ได้อยู่ต่อหน้าใครๆ มีแค่เธอกับลูกน้องเท่านั้นที่นี่
“ขอบใจนะ แต่ตอนนี้ เธอไปพักผ่อนเถอะ ดึกแล้ว พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้าอีก” แคลหันไปบอกมิเกล ที่พยักหน้ารับคำสั่งทันทีเหมือนหุ่นยนต์ที่ใส่แต่โปรแกรมยอมรับเอาไว้ ไม่มีคำโต้แย้งอะไรกลับมา
เมื่อได้อยู่ตามลำพังเสียที ร่างสูงก็ทรุดตัวลงนั่งกับพื้นปูนซีเมนต์ของโรงรถ พิงแผ่นหลังกับตัวรถและเหยียดสองขายาวออกไปข้างหน้า แหงนศีรษะขึ้นให้มันได้สัมผัสกับวัสดุที่ทำจากเหล็กเย็นๆของรถคันนี้ หลับตา วางสองแขนไว้ข้างตัว ปล่อยให้จิตใจได้อยู่กับความสงบเงียบของบรรยากาศที่นี่ เพราะไม่รู้ว่าเมื่อกลับไปในห้องนอนแล้ว เธอจะเจออะไรอีก
ดิออนหลับไปแล้วหรือยัง ถ้ายังหล่อนจะเป็นยังไงบ้างและจะทำท่าทางหน้าตาเช่นไร หากเห็นหน้าเธออีกครั้ง
ดวงตาสีแดงเปิดขึ้นใหม่และเหม่อมองไปยังท้องฟ้ามืดมิดที่อยู่นอกเขตของหลังคาโรงรถกลางแจ้ง แคลปล่อยตัวเองให้จมลงไปกับความเงียบสงบของที่นี่จนไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าของใครบางคนที่เดินเข้ามา จนกระทั่งได้ยินเสียง
“ง่วงแล้ว ทำไมไม่เข้าไปนอนในห้องล่ะ ไปนั่งให้ยุงกัดทำไม” ดิออนพูดขึ้นเมื่อมาถึงตัวของคนที่เธอต้องการมาหา หล่อนหันมามองหน้าเธออย่างประหลาดใจ แต่ไม่นานก็ยิ้มให้อย่างเคย
“ฉันแค่อยากนั่งซึมซับบรรยากาศของเมืองหลวง ก่อนจะไปอยู่เกาะน่ะ” แคลลี่ตอบด้วยน้ำเสียงขบขันและหัวเราะน้อยๆขณะลุกขึ้นจากพื้นและปัดฝุ่นออกจากกางเกง แล้วก็หันไปหาอีกคนที่ส่งเสียงฮัมเบาๆเป็นการรับรู้ออกมาและมองหน้าอย่างข้องใจ “แล้วนี่ทำไมยังไม่นอนล่ะ ฉันบอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าไม่ต้องรอ”
“ฉันไม่ได้รอ” ดิออนพูดออกมาอย่างไม่ได้คิดทบทวนให้ดี ตอนนี้เธอจึงเห็นแคลเปลี่ยนสีหน้าจากคนอ่อนโยนไปเป็นคนเย็นชา ดวงตาสีเลือดนั่นมันหม่นหมองลง ดูไร้แววของความสุขและเขาก็ถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยๆ
“ฉันก็รู้อยู่แล้ว” เสียงหล่อนพึมพำขึ้นมาอีก น้ำเสียงฟังเหมือนกำลังประชดประชันอยู่ในทีและตอนนี้หล่อนก็กำลังจะเดินผ่านหน้าเธอไป แต่ก็ไม่ได้ผ่านไปจริงๆ แคลลี่ยืนตัวสูงค้ำศีรษะเธออยู่ ทำให้เธอต้องเงยหน้าขึ้นมอง
“แคล.. ฉัน--” เธอไม่สามารถพูดอะไรต่อได้อีก คำพูดที่จะพูดถูกกักเก็บไว้ที่ลำคอ เมื่อหล่อนประทับริมฝีปากลงกับริมฝีปากของเธอ มันอ่อนโยนและอ่อนหวานเหมือนครั้งแรกที่ได้สัมผัส ครั้งแรกที่เธอคิดถึง แต่ก็น่าเสียดายที่เธอยังไม่ทันได้ตอบสนองกลับไป หล่อนก็ถอนตัวออกและมองตาเธอด้วยสายตาที่บอกได้ว่า ไม่อยากจะจากไป..
สองมืออุ่นที่ประคองใบหน้าให้ความรู้สึกที่อุ่นใจ จนอยากจะให้มันอยู่แบบนี้ไปตลอดกาล แต่คงเป็นไปไม่ได้ เมื่อหล่อนปล่อยมือออกจากสองแก้มของเธอ หลังเสียงกระซิบนี้
“ขอโทษนะ..สำหรับทุกอย่าง.. ขอโทษจริงๆ”
เพียงเท่านั้น หล่อนก็หันจากไป เดินออกห่างเธอไป ปล่อยให้เธอได้เห็นแค่เพียงแผ่นหลังและเส้นผมยาวสีน้ำตาลอ่อนที่พลิ้วสยายไปตามการเคลื่อนไหวอันสง่างาม
--The bodyguard--
ดิออนนอนกระสับกระส่ายอยู่บนเตียงของเธอ เธอนอนไม่หลับ แคลลี่ไม่ได้กลับเข้ามานอนในห้องกับเธอในคืนนี้ หล่อนเข้ามาแค่อาบน้ำและขอตัวไปนอนที่ห้องพักสำหรับแขก มันเป็นคืนแรกที่เธอต้องอยู่คนเดียวในห้องนี้ นับตั้งแต่ที่มีหล่อนเข้ามาในชีวิตในฐานะคู่หมั้น แต่ก็ไม่น่าเชื่อเลยว่า แค่เพียงไม่กี่คืนที่ผู้หญิงคนนั้นอยู่ด้วย มันจะทำให้เธอรู้สึกว้าเหว่ได้แบบนี้ในเวลาที่ต้องกลับมานอนคนเดียวอีกครั้ง อันที่จริงเธอน่าจะดีใจที่ไม่ต้องนอนระวังตัวตลอดคืนว่า จะมีใครแอบมาฉวยโอกาสทำอะไรในตอนที่เธอหลับ ไม่ต้องกลัวว่าจะนอนไม่สบายเพราะใช้พื้นที่บนเตียงไม่ได้เต็มที่อย่างที่เคยทำ
แล้วทำไมเธอถึงนอนไม่หลับ ทั้งที่น่าจะสบายใจได้ที่เรื่องน่ากลัวแบบนั้นจะไม่มีทางเกิดขึ้นอีกในคืนนี้และคงเป็นอีก 14 คืนต่อจากนี้ มันเพราะอะไร
เหงาหรือ..? คิดถึงเขา..? หรืออะไรกันแน่..?
แต่ที่แน่ๆ เธอผุดลุกขึ้นในที่สุดและเดินออกนอกประตูไป เดินตรงไปตามทางเดิน สู่ห้องนอนสำรองห้องนั้น ที่ใครคนนั้นอยู่ สองขามันพาเธอเดินไปจนถึง
ดิออนยืนอึ้งอยู่ห้องประตูห้องอยู่หลายนาทีและตัดสินใจว่าจะเคาะดีหรือไม่ หรือจะเปิดเข้าไปเลย แต่แคลจะล็อกประตูหรือเปล่า หล่อนหลับไปแล้วหรือยัง หล่อนจะดีใจมั้ย ถ้าเห็นเธอ เธอก็ไม่รู้ ไม่รู้อะไรเลย
แต่เธอคงไม่ต้องหาคำตอบอะไรอีกต่อไปแล้ว เมื่อประตูเปิดออกมา เผยให้เห็นร่างสูงในชุดนอน แคลลี่ดูตกใจที่เจอเธอแต่ไม่นานก็ยิ้มออกมา แววตาดูดีใจ ถ้าเธอไม่ได้คิดเข้าข้างตัวเอง และหล่อนเองก็คงเห็นแล้วว่า เธอกำลังยิ้มอยู่เหมือนกัน
“ฉันนอนไม่หลับ” สองเสียงพูดขึ้นพร้อมกัน จนต้องมองหน้ากันอย่างตกใจ และก็หัวเราะออกมาพร้อมๆกันในที่สุด
แต่ความเงียบอันน่าใจหายก็กลับมาอีกครั้ง พาความอึดอัดกลับมาด้วย แต่เธอจะทำให้มันหายไปเสียที
“จะนอนที่นี่จริงๆเหรอ” เธอถาม ทำให้ดวงตาสีแดงมองอย่างแคลงใจกลับมา แต่แคลก็ดูลังเลใจก่อนจะตอบออกมาได้
“อื้ม..ก็ว่าจะทำแบบนั้นแหละจ้ะ กำลังพยายามอยู่” สาวตัวสูงยิ้มเก้อเขินเหมือนไม่ค่อยเป็นตัวเองเลย มันทำให้เธออยากหัวเราะ แต่ก็ต้องกลั้นมันไว้
“พยายามเหรอ..?”
“ใช่..พยายาม”
ดิออนนิ่งไปนานกับคำตอบที่ได้มา เพราะไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อไปดี จะยืนคุยกับหล่อนอยู่ที่นี่ทั้งคืนไปจนกระทั่งถึงเวลาที่หล่อนจะไป ก็คงจะไม่ได้ และเธอก็ปฏิเสธไม่ได้ด้วยว่าเธออยากอยู่ใกล้ๆหล่อนแบบนี้ ใช้เวลาอยู่ด้วยกันให้นานที่สุด ก่อนที่หล่อนจะไม่อยู่อีกหลายวันและหลายคืน
“เอ่อ.. อืมม... ฉันขอไปนอนที่ห้องกับเธอด้วยได้มั้ย” แคลลี่พูดเสียงเบาจนเธอแทบจะไม่ได้ยิน
“อะไรนะ” ดิออนแกล้งทำเสียงดุ และคนตัวสูงกว่าก็ถอนหายใจออกมา ทำท่าเหมือนหาทางไปไม่เจอ สุดท้ายก็หันหลังกลับ
“โอเค.. ฉันจะอยู่ที่นี่ เธอไปเถอะ”
แต่ก่อนที่ประตูจะถูกปิดลง เธอก็เอื้อมมือไปดึงมันไว้ได้ทัน ดวงตาสีแดงมองเธออย่างไม่เข้าใจและเธอยิ้มจนแทบจะหัวเราะ “ออกมานี่..” แคลลี่กระพริบตาปริบๆเหมือนไม่เชื่อว่าได้ยินอะไร
“บอกให้ออกมาไงล่ะ พูดไม่รู้เรื่องเหรอ” ดิออนพูดเสียงดังและใช้แรงเกือบทั้งหมดของเธอดึงตัวอีกคนออกมาจากหลังประตู ลากแขนหล่อนอย่างทุลักทุเลตามทางเดินมา กลับมายังห้องของตัวเอง
ร่างบางปิดประตูห้องและล็อกมันอย่างดี โดยที่มีอีกคนยืนมองอย่างไม่เข้าใจอยู่ข้างๆ เธอหันมามองหน้าหล่อน “ยืนอยู่ทำไมล่ะ ไปนอนสิ” เสียงของเธอยังแข็งอยู่เหมือนเดิมไม่มีผิดเพี้ยน และแคลลี่คงเรียนรู้ที่จะทำความรู้จักกับมันดีแล้ว จึงยิ้มออกมาขณะพยักหน้าให้
คนตัวใหญ่นอนกินที่ของเตียงเธอไปมากพอสมควร แต่เธอก็ไม่ควรจะบ่นอะไรในเมื่อเป็นคนไปตามหล่อนกลับมาเอง เธอคงต้องทนให้ได้ ถึงจะต้องนอนไม่สบายตัวในที่คับแคบแบบนี้ก็ตาม
แต่เสียงการขยับตัวบนที่นอนของคนที่เธอนอนหันหลังให้ มันทำให้เธอไม่กล้าหลับตา เพราะคิดแล้วว่ามันจะต้องเป็นแบบนี้ แขนยาวๆแทรกเข้ามาใต้ตัวเธอด้านที่ติดกับที่นอนและดึงเธอเข้ามาหาตัว กอดเอาไว้แบบนั้น
“แคลลี่ !” เธอเตือนเสียงเข้ม แต่แคลก็แค่หัวเราะออกมาเบาๆก่อนจะกระซิบที่ข้างหู “กลัวเหรอ..”
ดิออนต้องกัดริมฝีปากล่างตัวเองเอาไว้เพื่อข่มใจไม่ให้สนใจกับความรู้สึกเสียวสันหลังเวลาที่ลมหายใจของแคลเป่ารดลงตรงใบหูและลำคอ เธอพยายามจะพูดตอบโต้ไป “ไม่.. ถ้าเธอทำอะไร.. ฉันจะสู้.. รู้ไว้ด้วย”
เสียงขู่ของเธอ ทำให้ได้ยินเสียงฮัมรับรู้ออกมาจากคนด้านหลังที่เธอยังยอมปล่อยให้หล่อนได้กอดเธอเอาไว้ ลมหายใจของแคลลี่ยังคงทำให้รู้สึกจั๊กจี๊ตรงจุดที่มันสัมผัสถึง แต่ก็รู้สึกดีไปด้วยที่ถูกกอดเพราะมันอุ่นดี และอีกอย่างเธอก็ยังเชื่อว่า กับครั้งนี้หล่อนจะรักษาสัญญาที่บอกกับเธอ
“ฉันขอแค่กอดเธอไว้แบบนี้เท่านั้น.. ไม่ต้องกลัวนะ..สัญญา”