Chapter 13 : เกาะแห่งการลงโทษ
ดวงตาสีมรกตกะพริบตาถี่ๆเธอไม่อยากจะเชื่อเลยว่า เธอเห็นอะไรอยู่ เด็กสาวรู้สึกได้ถึงความอัศจรรย์ใจในนาทีแรกที่ก้าวลงมาจากเรือ เมื่อได้เห็นเกาะที่เธอขอร้องคุณพ่อว่าขอตามมาส่งแคลด้วย ด้วยเหตุผลที่เธอเป็นห่วงและอยากจะรู้ว่าหล่อนจะกินอยู่หลับนอนอย่างไรที่นี่ แต่สิ่งที่เห็นอยู่นี้มันทำให้เธอรู้สึกยิ่งกว่าสบายใจ เพราะเกาะนี้ไม่ใช่เกาะร้าง มันสวยเหมือนสถานที่ท่องเที่ยว
ดิออนก้าวเดินเข้ามาเรื่อยๆในพื้นที่ของเกาะ โดยไม่รอให้ใครนำทางหรือไม่จำเป็นต้องมีใครเดินมาด้วยกับเธอ เธอเดินเหมือนคนละเมอหลงไปกับความพิศสมัยของสถานที่กับธรรมชาติที่เธอไม่เคยเห็นในเวลาที่ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองหลวง ก้าวเดินล่วงมาจนถึงสถานที่ที่คาดว่าน่าจะเป็นที่พักของคู่หมั้น ริมฝีปากของเธอก็เผยยิ้มอย่างพอใจ
บ้านพักของแคลลี่ มันมีทุกอย่างเหมือนเป็นบ้านพักตากอากาศ ผิดตรงที่ว่า มันไม่ได้ดูเลิศหรูอะไรเหมือนบ้านหลังอื่นๆที่เธอมีในสถานที่ท่องเที่ยวในที่อื่น ที่พักดูธรรมดาและไม่ได้ตกแต่งอะไรมากมาย เป็นแค่บังกะโลหลังเล็กๆมีพื้นที่ใช้สอยที่ถูกแบ่งให้เป็นห้องนอนเพียงหนึ่งห้องส่วนห้องครัวและห้องนั่งเล่นก็เห็นจะเป็นตรงส่วนที่เป็นระเบียงด้านหน้าใกล้กับประตูทางเข้า ดูแล้วเล็กมากจริงๆเมื่อเทียบกับคฤหาสน์ขนาดใหญ่ของเธอหรือของแคล แต่มองก็จากวัสดุที่ใช้ ก็รู้ได้ว่ามันถูกสร้างมาอย่างดีแข็งแรงเพียงพอที่จะต่อต้านแรงลมและแรงคลื่นได้ แม้ในฤดูมรสุม
“พ่อบอกแล้วว่า..แคลจะไม่ได้ลำบากอะไรหรอก ถ้าอยู่ที่นี่” เฟอร์ริสพูดขึ้นมาเมื่อมายืนอยู่ข้างๆลูกสาว ยิ้มอบอุ่นให้เหมือนเคย เด็กสาวดูตกใจเล็กน้อยที่มีคนย่องมาใกล้อย่างเงียบๆ แต่ก็หันมายิ้มบางๆให้ผู้เป็นบิดา
สายตาของดิออนมองไปเรื่อยๆภายในห้องที่คาดว่าจะเป็นห้องนอนที่แคลจะต้องอยู่อีก 2 อาทิตย์ต่อไปนี้ ดูจากของใช้ที่เป็นเครื่องนอนและอุปกรณ์ใช้สอยบางอย่างก็ทำให้ฉุกคิดอะไรขึ้นมา “ดูเหมือนที่นี่จะเคยมีคนอยู่มาก่อนนะคะ” เธอพึมพำขึ้นมาอย่างไม่ได้เป็นคำถาม แต่ก็กลับได้คำตอบที่ทำให้แปลกใจ
“มีสิลูก.. ก็ที่นี่เป็นบ้านหลังหนึ่งของแคล”
“บ้านเหรอคะ?” ดิออนย้อนถามอย่างงงๆ มองหน้าผู้เป็นบิดาอย่างหาคำตอบ เฟอร์ริสพยักหน้ารับด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่ผู้เป็นลูกไม่ทันได้สังเกต “บ้านของท่านประธานบริษัทใหญ่ยักษ์ขนาดนั้น เป็นแบบนี้เหรอคะ”
“โอ้..นี่พ่อไม่ได้บอกลูกแล้วหรือว่า บ้านหลังนี้ใช้เป็นบ้านสำหรับกักบริเวณของแคล” เฟอร์ริสเล่าด้วยสีหน้าประหลาดใจ แต่คนที่ประหลาดมากกว่าเห็นจะเป็นลูกสาวที่ยืนทำตาโตอยู่ตรงนี้
“นี่หมายความว่า ปกติแล้ว แคลจะมาที่นี่บ่อยๆอยู่แล้วเหรอคะ” ดิออนซักเพิ่มเพราะต้องการรู้จักคู่หมั้นให้มากกว่าที่เห็นแค่เพียงผิวเผิน เพราะดูท่าว่า ผู้เป็นพ่อของเธอจะรู้จักคู่หมั้นของเธอดีมากเหลือเกิน
เฟอร์ริสหัวเราะหึๆในลำคอและขยับแขนยาวข้างหนึ่งไปโอบบ่าลูกสาวเข้ามายืนใกล้ๆ เพราะเริ่มรู้สึกถึงอารมณ์กรุ่นๆของดิออน “แคลเป็นเด็กที่มีความคิดเป็นของตัวเองน่ะลูก เขารักอิสระ แต่ด้วยเป็นทายาทสายตรงคนเดียวของตระกูล เขาจึงต้องถูกเลี้ยงดูมาอย่างเข้มงวด และด้วยพื้นฐานที่เขาเป็นคนนิสัยแบบนั้น จึงบ่อยครั้งที่จะต้องขัดขืนคำสั่งของพ่อแม่ และก็ต้องมาอยู่ที่นี่แหละจ้ะ” ชายสูงวัยแต่ดูหนุ่มกว่าอายุจริงจบเรื่องเล่าเกี่ยวกับประวัติคร่าวๆของคู่หมั้นของลูกสาวด้วยรอยยิ้มอบอุ่นเช่นเคย
ดิออนพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ แล้วก็ถามสิ่งที่อยากรู้เพิ่มอีก “คุณพ่อรู้จักกันดีกับคุณพ่อคุณแม่ของแคล ใช่มั้ยคะ”
“ใช่จ้ะ เป็นเพื่อนรักกันเลยทีเดียว”
คนฟังมีสีหน้าพอใจ ดีใจที่ได้รับรู้ข้อมูลที่เธอควรรู้เกี่ยวกับคนที่เธอจะต้องอยู่ด้วยไปตลอดชีวิต แล้วก็ต้องเกิดความข้องใจขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อได้ฟังข้อมูลต่อมา
“แต่เขาก็ไม่ได้มาที่นี่มานานมากแล้วล่ะ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาจะต้องกลับมาอยู่อีกครั้ง หลังจากที่กลับมาจากอังกฤษ”
“แคลจบมาจากอังกฤษเหรอคะ เก่งจัง” ดิออนไม่รู้ตัวว่าเธอเผลอชมคนที่ตัวเองคิดว่าไม่ชอบหน้าด้วยอาการปลาบปลื้ม และเป็นเหตุให้ผู้เป็นพ่อหัวเราะน้อยๆออกมา
“จ้ะ.. แคลจบมาจากอังกฤษ โรงเรียนเตรียมทหารน่ะ จริงๆแล้วเขาก็ติดยศแล้วด้วย ตอนที่กลับมาที่นี่”
“ติดยศด้วยเหรอคะ ไม่น่าเชื่อ” ดวงตาสีเขียวลุกวาวด้วยความตื่นเต้นในความเป็นคนน่าทึ่งของคู่หมั้นคนสวยของตัวเอง เป็นทหารนี่เอง..มิน่าล่ะ..เก่งจังเรื่องใช้แรงเนี่ย...
“เป็นผู้กองแล้วล่ะ เป็นตั้งแต่อายุยังน้อย ผลงานดีน่าดูชมทีเดียว พ่อยังเสียดายแทนเขาที่ต้องลาออกจากราชการมา”
ท่าทางชื่นชมในตัวของผู้ที่ถูกอ้างถึง ทำให้ดิออนรู้สึกหมั่นไส้ขึ้นมาอย่างน่าประหลาด ทั้งที่ความจริง เธอก็ค่อนข้างจะปลื้มในตัวเขาอยู่มากเหมือนกัน แต่ก็รู้สึกว่ามีบางอย่างที่ผิดปกติ “แต่คุณพ่อคะ.. ที่หนูรู้แคลเป็นรัสเซียไม่ใช่เหรอคะ ทำไมเป็นทหารอังกฤษได้ด้วย” ดิออนขมวดคิ้วขณะที่ผู้บิดานิ่งไปเหมือนกำลังคิดหาคำตอบให้
“สงสัยเส้นคงใหญ่น่าดูเลยมั้งคะนั่น ถึงได้ไปทหารที่นั่นได้และยังเลื่อนขั้นจากพลทหารธรรมดาไปเป็นผู้กองได้เร็วขนาดนั้น เขาอายุแค่ยี่สิบหกเองไม่ใช่เหรอคะตอนนี้ แล้วตอนนั้นเขาอายุเท่าไหร่” เธอพูดต่อด้วยน้ำเสียงประชดประชันเล็กๆตามประสา ไม่รู้ตัวว่าจะทำให้คนที่สนทนาด้วยหัวเราะออกมาอีกได้
ดิออนยืนกลอกตาไปมา หงุดหงิดที่เห็นผู้เป็นบิดาของตนดูเข้าข้าง ว่าที่ลูกเขย(สะใภ้)มากเกินความจำเป็น แต่ทว่าสิ่งที่เธอได้ฟังต่อมา มันทำให้เธอถึงกับอึ้ง
“ก็ไม่น่าแปลกหรอกนะ ถ้าลูกจะบอกว่าแคลใช้เส้นที่ได้เป็นผู้กองตั้งแต่อายุยี่สิบสาม ใครๆก็คิดแบบนั้น พอรู้ว่าเขาเป็นลูกสะใภ้ของนายทหารระดับนายพลที่นั่น ไม่มีใครคิดหรอกว่า เพราะเขารอดมาได้จากไปรบ ถึงได้ติดยศใหม่” เฟอร์ริสเล่าไปเรื่อยเปื่อยจนลืมสังเกตว่า สีหน้าของลูกสาวเปลี่ยนไป จนกระทั่งได้ยินเสียงคำถาม
“ลูกสะใภ้นายพล.. หมายความว่ายังไงคะ..คุณพ่อ” ดิออนถามเสียงสั่น มันไม่ใช่แค่เธอตกใจมากกับการที่รู้ว่าแคลเคยมีใครมาก่อน เพราะเรื่องนี้มันรู้ๆกันอยู่ ถึงความเจ้าชู้ของเขา แต่การที่มารู้ว่า หล่อนถึงขั้นเคยผ่านการแต่งงานมาก่อนแบบนี้ มันมากเกินไป
..ลูกสะใภ้ หมายความว่า เขาแต่งงานกับผู้ชายมา ไม่ใช่เหรอ..
“แบบนี้นี่เอง ถึงได้เปลี่ยนสัญชาติได้..”เธอพึมพำขึ้นมาอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูแย่มากขึ้น ดวงตารู้สึกเหมือนมันเริ่มรื่นไปด้วยน้ำตาที่ตั้งท่าจะไหลได้ทุกนาที
เฟอร์ริสที่เพิ่งรู้ว่าตัวเองพูดอะไรผิดไปถึงกับหน้าซีดและรีบบอกขอโทษขอโพยลูกสาว “ไม่ใช่อย่างที่ลูกคิดหรอกนะลูก แคลยังไม่เคยแต่งงาน” แต่ดิออนมองหน้าตนกลับมาอย่างไม่เชื่อถือ “คือแบบว่า..ถึงเคย ก็ไม่ใช่แบบที่ลูกคิดน่ะ”
ดิออนยอมรับว่าเธอไม่เข้าใจสิ่งที่ผู้เป็นพ่อกำลังพยายามอธิบายอยู่ จึงพยายามจะใจเย็นและรอฟังโดยมีความแคลงใจระบายไปทั้งใบหน้า “แล้วมันเป็นยังไงกันล่ะคะ”
เฟอร์ริสพยายามตั้งสติใหม่และค่อยเริ่มอธิบายให้ดี “ก็คือว่า..ลูกของท่านนายพลก็เป็นผู้หญิงเหมือนกัน.. ฉะนั้น..ถึงแคลจะเคยแต่งงานมาแล้ว แต่ก็ทำไปเพราะความจำเป็นในเรื่องการทำงานที่นั่นน่ะ.. ลูกก็รู้นี่ว่า..เรื่องสัญชาติก็เรื่องใหญ่สำหรับทหาร”
ดิออนกระพริบตากับข้อมูลใหม่ ใจเธอเย็นลงและค่อยๆตั้งสติคิดทบทวนเรื่องราว เขาเคยบอกว่า “ไม่ชอบผู้ชาย” ฉันจำได้ แต่ผู้หญิงที่เป็นทหารมันจะเป็นคนนี้ทุกคนเลยหรือไงนะ และอะไรบางอย่างก็ทำให้เธอพูดโพล่งขึ้น “ลูกสาวท่านนายพลชื่อ ‘แอน’ ใช่มั้ยคะ”
เฟอร์ริสมีสีหน้าตกใจที่ได้ยินคำถามนี้ แต่ก็ควบคุมตัวเองได้ในเวลาต่อมา “คิดว่า..น่าจะใช่นะ แคลเคยบอก---”
“อ้อ..มิน่าล่ะ” ดิออนพึมพำขึ้นมาทั้งที่ยังไม่ทันได้ฟังคำของอีกคนจนจบ เธอก้มหน้าขมวดคิ้วและยืนนิ่งเหมือนก้อนหินไปนาน เพราะมัวแต่นึกถึงภาพเหตุการณ์ที่แคลนอนเพ้อเพราะพิษไข้และร้องเรียกชื่อของผู้หญิงคนนี้ มันทำให้เธอหงุดหงิดในใจอย่างบอกไม่ถูก โดยไม่รู้ว่าท่าทางที่เธอกำลังทำอยู่ มันทำให้คนมองต้องรู้สึกห่วงมากขึ้น
“แคลบอกลูกแล้วเหรอ..เรื่องนี้” เฟอร์ริสค่อยๆตะล่อมถาม เพราะกลัวว่าอาจจะทำให้ลูกสาวไม่สบายใจที่จะพูด แต่ก็เหมือนว่าตนจะคาดผิด เมื่อดิออนเงยหน้าขึ้นมาจ้องหน้าเขาด้วยท่าทางโกรธๆ
“นี่คุณพ่อไปแยกเขาสองคนออกจากกันมาเหรอคะ” เสียงห้าวยิ่งห้วนสั้นเหมือนไม่รู้ว่าตัวเองกำลังพูดอยู่กับใคร แต่เมื่อเห็นสีหน้าตกใจของบิดา เด็กสาวก็ลดแววตาโมโหของตัวเองลง “คุณพ่อไม่น่าทำแบบนั้นนะคะ ถ้าพวกเขารักกัน”
“ไม่ใช่หรอกลูก หนูเข้าใจผิดแล้ว แคลกับแอน หรือแองเจล่าน่ะ เขาเลิกกันตั้งแต่ก่อนที่แคลจะกลับมาที่นี่แล้วล่ะ” เฟอร์ริสพูดอย่างมั่นใจ แต่ดิออนกลับยืนตาโตไม่เลิกและยังไม่เลิกถามถึงเรื่องที่ตนไม่รู้
“เลิกกันก่อน.. เลิกได้ยังไงกันคะ แคลดูออกจะรักเขา..มาก” ท่าทางเศร้าๆที่ตัวเองไม่ทันสังเกตเห็น “แล้วพวกเขาหย่ากันแล้วเหรอคะ คุณพ่อถึงให้เขามาเป็นคู่หมั้นของหนู”
คำถามนี้ทำให้ดิออนถูกดึงเข้ามากอดไว้ มือใหญ่ลูบศีรษะเธอเบาๆราวกับกลับไปเป็นเด็กเล็กๆอีกครั้ง แล้วเธอก็ได้ฟังเสียงที่คุ้นหูนี้พูดปลอบเหมือนทุกทีที่เคยทำมาตั้งแต่ลืมตาดูโลก
“พ่อก็ไม่รู้หรอกนะลูก..เรื่องนี้ รู้แค่ว่า..ตอนนี้แคลเป็นของลูกแล้ว และจะเป็นตลอดไป ถ้าลูกต้องการ และถึงพวกเขาจะยังไม่ได้หย่ากันให้เป็นทางการ แต่พ่อก็เชื่อว่า แคลก็จะทำต้องแน่ๆล่ะจ้ะลูก ไม่ต้องห่วงไปหรอกนะ”
แต่เสียงในหัวของเธอก็บอกตอบกลับไปว่า... ไม่ใช่หรอกค่ะ คุณพ่อ เป็นไปไม่ได้...