Chapter 17 : เจอตัวจริง
ดวงตาสีเขียวน้ำทะเลมองทอดออกไปนอกหน้าต่าง เธอต้องการมองดูทัศนียภาพของสถานที่ที่เครื่องบินลำนี้บินล่องลอยผ่านไป ภาพของมันไม่คุ้นตา เพราะนี่ก็เป็นเพียงครั้งที่สองของการมาเยี่ยมเยือนที่นี่ของเธอ แต่อย่างไร มันก็เป็นภาพที่เธอเฝ้าคิดถึงตลอดมา มันติดตรึงอยู่ในหัวใจ
“อีกไม่กี่นาทีเครื่องก็จะแลนดิ้งแล้วนะครับ..ผู้พัน” เสียงคุ้นหูเอ่ยเตือน คนริมหน้าต่างทำเพียงฮัมเบาๆตอบรับไปและให้ความสนใจกับสิ่งที่มองอยู่ต่อไปเหมือนอยากใช้เวลาแห่งความสงบตรงนี้ให้มากที่สุด ทำใจและทำสมาธิ
“แพททริค..” เสียงนุ่มเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบนี้ด้วยตัวเอง แต่เจ้าของเสียงก็ไม่ได้หันไปมองหน้าคนที่ตนพูดด้วย และไม่เห็นว่ามันเป็นเรื่องเสียมารยาทแต่อย่างใด
“ครับท่าน” ชายหนุ่มขานรับแข็งขัน
มือขาวผ่องถูกยกขึ้นมาใช้ปลายนิ้วจากนิ้วเรียวยาวบีบนวดขมับของตัวเองขณะหลับตาลง เรียวปากสวยเม้มลงเหมือนพยายามเก็บกดอะไรไว้สักอย่าง
“นายรู้ใช่มั้ยว่า.. เราจะไปที่ไหนเป็นที่แรก” เสียงที่เริ่มแข็งขึ้นถามออกมา
คนฟังไม่ลังเลใจที่จะตอบ “ครับ.. ผมรู้”
“ดี” เสียงเดิมตอบรับสั้นๆ และถอนหายใจออกมา เปิดดวงตาสีเหมือนท้องทะเลยามต้องแสงตะวันออกมารับแสงแห่งดวงตะวันใหม่อีกครั้ง และยิ้มให้มันอย่างฝืนๆ
“เราจะได้เจอกันอีกครั้งแล้วนะ.. ดีใจรึเปล่า..เจ้าหญิงของฉัน” เธอถามไปกับเมฆก้อนหนึ่งที่เครื่องบินผ่านไปเจอ
--The bodyguard--
“ทำไมฉันจะต้องไปประชุมที่นั่นด้วยล่ะ” เสียงบ่นอุบอิบดังขึ้นมาด้านหลังบานประตูตู้เสื้อผ้าขนาดใหญ่ที่ถูกเปิดไว้เพื่อใช้เป็นฉากกั้นสายตาของใครอีกคนที่อยู่ในห้องด้วยกันที่อาจจะกำลังมองหรือไม่มองเธออยู่ก็ได้ในตอนนี้ แต่ยังไงก็ต้องกันเอาไว้ก่อน เผื่อว่าเขาจะติดนิสัยของแฟนเธอมา ว่าไม่ได้หรอกนะ..สนิทกันขนาดนั้น..
“ก็แค่ให้ไปนั่งเป็นประธานรักษาการเท่านั้นเอง นั่งเฉยๆน่ะ..ยัยดิว เธอเข้าใจรึเปล่า” ไมชี้แจงอย่างอ่อนใจกลับมาขณะยืนเท้าสะเอวรอคนบ่นที่กำลังแต่งตัวอยู่ ซึ่งมันก็เป็นเวลาเกือบชั่วโมงแล้วที่เธอมายืนคะยั้นคะยอเขาอยู่ตรงนี้ มันเป็นหน้าที่ที่น่าเบื่อที่สุดที่เธอเคยทำมาตลอดเวลาในงานของเธอ
“แล้วทำไมคุณพ่อไม่ไปแทนล่ะ หรือเธอก็นั่งไปก็ได้นี่ ยัยเลขานั่นล่ะ และอีกอย่างนะ ฉันก็อายุไม่ถึงที่จะเซ็นต์อะไรได้ด้วย” อีกเสียงยังคงพยายามหาเหตุผลมาแย้ง แต่ก็เป็นเหตุผลที่ฟังไม่ขึ้น เสียงหัวเราะหึๆอย่างเบื่อหน่ายจึงตามหลังมา
“เธอก็พูดบ้าๆไปได้นะ..ยัยดิว ฉันมีอำนาจที่ไหนจะไปนั่งที่นั่งของท่านประธานได้ล่ะ ยัยเลขานั่นก็มีหน้าที่ของหล่อน ส่วนคุณพ่อของเธอ ท่านไม่ขอยุ่งเรื่องนี้ มีแค่เธอคนเดียวเท่านั้นแหละ แล้วเธอก็ไม่ได้มีหน้าที่ไปเซ็นต์อะไรด้วย เรื่องนั้น..เดี๋ยวคุณแคลเค้าก็จัดการเองแหละ” ไมทำเสียงดุเหมือนแม่ออกมา ดวงตาสีม่วงจ้องมองอีกคนผ่านบานประตูตู้ราวกับจะทำให้มันลุกเป็นไฟเสียให้ได้ และถ้าร่างบางนั่นยังไม่ยอมออกมาภายในสองนาทีเธอสาบานว่าจะทำ แต่โชคดีที่ดิออนออกมาแล้ว
“เข้าใจหรือยัง” สาวไฮเปอร์ถามย้ำเสียงเหมือนแม่ดุลูกอีกครั้ง ลูกที่ตัวโตและดื้อมากเสียด้วย ร่างบางนั่นยักไหล่เหมือนไม่รู้ไม่ชี้ ดีที่ว่ายังออกมาพร้อมเครื่องแต่งกายที่พร้อมจะไปทำงานแล้ว ไม่เช่นนั้น ห้องนอนห้องนี้คงจะระเบิด
“ไม่เข้าใจ..” ดิออนเอ่ยออกมาอย่างกวนๆแต่ก็เตรียมตัวจะเดินออกจากห้องโดยไม่รออีกคนที่เดินตามหลังมาติดๆ “แต่ไปก็ได้.. อยากเจอหน้ายัยนั่นอยู่เหมือนกัน”
ไมมองเหล่คนเดินข้างกันด้วยสายตาหวาดระแวงเมื่อได้ยินประโยคสุดท้าย “ยัยนั่น..ใคร?”
ร่างบางยิ้มชั่วร้ายออกมาอย่างไม่รู้ตัวเหมือนติดนิสัยใครบางคนมาโดยบังเอิญ เธอรีบก้าวเท้าเดินเหมือนกำลังจะรีบไปตามหาใคร แต่ไม่ได้ลืมตอบคำถามที่ทำให้อีกคนสะดุ้ง
“นางบำเรอ”
คนฟังทำหน้าเหวอกับคำๆนี้ และก็กระพริบตาเริ่มเข้าใจในความหมายของคำพูด เธอกระทุ้งศอกใส่สีข้างของคนเดินข้างกันเบาๆ “แรงนะยะ.. นางบำเรอเลยเหรอ.. ถ้ายัยนั่นรู้เข้า คงจะกรี๊ดบริษัทแตกแน่ๆ” รอยยิ้มอย่างรู้ทันกันส่งกลับมาให้จากอีกคน
“ฉันอยากเห็นอะไรแบบนั้นจริงๆ”
“แทบอดใจไม่ไหวเลยล่ะ”
สองคนส่งคำพูดโต้ตอบกันอย่างสนุกสนานไปตลอดทางโดยที่ไม่รู้ว่า สิ่งที่พวกเธอจะเจอจริงๆในที่ทำงาน มันแตกต่างกันกับที่พูดเล่นหัวกันอยู่ตรงนี้โดยสิ้นเชิง
ดิออนพบว่า เธอหาทางเข้าห้องประชุมไม่เจอ ทั้งที่แน่ใจว่าเธอจำมันได้อย่างแม่นยำว่ามันอยู่ตรงไหนของที่นี่ แม้แต่คนของที่นี่เองอย่างเพื่อนรักของเธอก็ยังต้องยืนขมวดคิ้วอยู่ตรงนี้อย่างหงุดหงิดใจ เพราะถ้าเธอไม่รีบหามันให้เจอแล้วล่ะก็ เธออาจจะต้องเข้าประชุมสายและมันไม่ใช่เรื่องดีเลยทีเดียว เมื่อนึกถึงว่า เจ้าของบริษัทตัวจริงจะต้องเสียชื่อเสียงมากขนาดไหนหากเป็นเช่นนั้น
“ฉันว่า คนพวกนั้นเกะกะชะมัด มามุงดูอะไรกันเนี่ย” ไมบ่นขึ้นมาในท่ายืนเท้าสะเอว ดวงตาสีม่วงแทบจะมองทะลุไปตามตัวของผู้คนตรงหน้า เพื่อจะรู้ว่ามันมีอะไรน่าสนใจอยู่ข้างในนั้น
“ฉันว่า.. เราคงจะต้องทำอะไรสักอย่างกันแล้วล่ะ” เธอพูดขึ้นอีกขณะที่อีกคนยืนงง แต่ต่อมาเหมือนตั้งสติได้จึงพูดขึ้นบ้าง
“ก็เอาสิ ฉันไม่อยากยืนตรงนี้นานเท่าไหร่นักหรอก”
ไมพยักหน้ารับและสูดลมหายใจเข้าปอดอย่างเต็มที่ “ไฟไหม้!!!!” เสียงของเธอดังก้องไปทั้งบริษัท ตามมาด้วยกรีดร้องอย่างตกใจของผู้คน บรรดาคนที่มุงอยู่ตรงหน้าห้องนั้นพากันหนีตายกันอย่างอลหม่าน และนั่นก็ทำให้ทางเปิดโล่งสำหรับพวกเธอ
สองสาวหันมายิ้มให้กันอย่างรู้ทันกัน และชักชวนกันเข้าไปในห้องประชุมอย่างไม่แคร์ใคร แม้จะได้ยินเสียงซุบซิบเข้าหูมาจากบรรดาคนที่เพิ่งแตกตื่นไปเมื่อครู่ และรู้ว่าพวกเขาแอบดูอยู่ตลอดเวลา
“คนพวกนี้ไม่รู้จักทำงานทำการกันนะ แค่ท่านประธานไม่อยู่เท่านั้น พวกเขาคิดว่าอยากจะทำอะไรก็จะทำได้งั้นเหรอ” ไมยังคงบ่นอุบอิบไปตลอดทางที่เดินเข้าประตูมา ไม่สนใจว่าจะมีใครฟังมันหรือไม่ ขอแค่ให้ได้บ่น แต่พอรู้สึกว่าเดินไปชนเข้ากับอะไรสักอย่างเธอก็ชะงักและหันไปมองดู
“หยุดเดินทำไมล่ะ” เธอถามอย่างอารมณ์ไม่ดี แต่เมื่ออีกคนพยักเพยิดหน้าไปยังโต๊ะประชุม เธอก็ได้เห็นอะไรที่ทำให้หงุดหงิดเพิ่มขึ้นอีก “โห..ยัยนั่น.. คิดว่ากำลังทำอะไรอยู่นะ” ไมบ่นขึ้นใหม่เพราะสายตาเธอเห็นว่าเลขาที่เธอกับเพื่อนนินทาอยู่เมื่อครู่กำลังพูดคุยกับใครบางคนอยู่อย่างสนิทสนม จนน่าหมั่นไส้ แต่ไมคงมัวสนใจแต่เซเลนมากเกินไปจึงไม่ได้เห็นใครอีกคนที่นั่งอยู่ด้วย แม้ว่าเขาจะตัวใหญ่มากก็ตาม
“นี่ไม.. อย่าบอกนะว่า..เธอไม่เห็นอะไรจริงๆ” ดิออนถามออกมาอย่างไม่เชื่อ ไมส่ายหน้าไปมา ทำให้เธอถอนหายใจแรง จากนั้นก็ชี้มือไปด้านหน้าตรงจุดที่เซเลนนั่งอยู่
ไมได้แต่ยืนตาโต พูดไม่ออกกับสิ่งที่เห็นคาตา ผิดกับดิออนที่เข้าไปหาใครบางคนที่อยู่ที่นั่น ซึ่งเขาหันมาเห็นพวกเธอพอดีจึงได้หยุดบทสนทนากับเลขา และหันมาหาพวกเธออย่างเต็มตัว เรียวปากสวยยิ้มทักทายอย่างไม่เป็นทางการ ก่อนการลุกขึ้นยืนเต็มความสูงที่เขามี
และในตอนนี้เองที่ดิออนได้เห็นแล้วว่า คนที่ตัวสูงกว่าแคลคือใคร ...เขา...
หัวใจของเธอเต้นระทึกเมื่อนึกไปว่า เขามาทำไมที่นี่ แต่พอคิดได้ว่า ที่ตรงนี้หากใครจะเข้ามาได้ จะต้องมาติดต่องานเท่านั้น และเขาก็คงจะเป็นคนคนนั้นที่จะมาเป็นลูกค้าใหม่ให้กับบริษัท ดิออนคิดว่าเธออาจจะเป็นลมเมื่อไหร่ก็ได้ทุกเวลา หากเขาพูดอะไรออกมาสักคำที่ไม่เกี่ยวกับเรื่องงาน สมองของเธอฟุ้งซ่านน่าดูชม
“สวัสดีค่ะ ดิฉัน ดิออน สวอนส์ ดูแลที่นี่แทนท่านประธานดารอฟสกี้ค่ะ ตอนนี้ท่านไม่อยู่” ดิออนแนะนำตัวอย่างเป็นทางการเมื่อเดินมาถึงตัวคนที่ลุกขึ้นให้เธออย่างมีมารยาท เธอมองหน้าเขาด้วยความพยายามจะไม่หลุดอาการหวาดกลัวหรือตื่นเต้นตกใจให้เขารู้ แต่พอเห็นเรียวปากสวยนั่นเริ่มขยับจะพูด เธอก็แทบอยากจะยกมือขึ้นอุดหูไม่ให้ได้ยิน แต่ยังดีที่ไม่ได้ทำ
“เรื่องนี้ฉันรู้จากเลขาแล้วล่ะจ้ะ” เสียงนุ่มกลับพูดจาเป็นกันเองจนคนฟังชักสีหน้าประหลาดใจขึ้นมาใส่
ดิออนคิดว่าเธอแทบจะตกไปสู่ภวังค์แค่เพียงฟังเสียงเขาพูด เสียงนุ่มละมุนหูแต่ดูมีอำนาจอยู่ในที ต่างจากแคล รายนั้นเสียงหวานไพเราะเหมือนเสียงดนตรีไม่มีผิด ฟังแล้วเคลิ้มตัวลอย
“และฉันก็รู้แล้วว่า..เธอเป็นใคร.. และฉันก็ขอเดาว่า..เธอรู้จักฉันแล้วเหมือนกัน”
ยิ่งฟังถ้อยคำที่เขาพูดออกมา ยิ่งรู้สึกว่าเขาไม่ใช่ธรรมดาจริงๆ มันน่าทึ่งเหมือนรอยยิ้มที่มุมปากนั่น ที่เหมือนต้องการจะกระชากหัวใจเธอให้หลุดลอยตามไปด้วย
“ค่ะ.. คิดว่ารู้จัก” เธอตอบอย่างไม่แน่ใจและยิ้มบางๆอย่างผู้มีมารยาท ส่วนคนตัวสูงนั่นยิ้มหวาน ดวงตาสีเขียวน้ำทะเลกำลังเต้นระริก ..เจ้าชู้.. เธอประเมินเขาได้ทันที
“แต่ฉันอยากจะแนะนำตัวอย่างเป็นทางการ.. หวังว่าเธอคงจะไม่ว่าอะไร” เสียงนุ่มเอ่ยขึ้นมาด้วยถ้อยคำเหมือนว่ากำลังอยากจะเล่นลิ้นกับเธอ และเธอก็คิดว่า ลองดูก็ได้ ไม่เสียหาย เธออยากรู้จักเขานี่นา ก็เอาสิ เสียงในหัวของเธอยุส่ง
“ได้สิคะ เชิญ” ดิออนพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม พยายามเอาสิ่งที่เธอจำจากแคลมาได้มาใช้ให้เป็นประโยชน์ อย่างน้อยก็การสงวนท่าทีและเก็บอารมณ์ต่อหน้าคนไม่รู้จักมักคุ้น
แต่เธอกลับมาหลุดอาการตอนที่เขาขยับมือเรียวสวยและขาวผ่องนั่นขึ้นมาสัมผัสมือเธอ สัมผัสแรกมันทำให้เธอประหลาดใจถึงที่สุด เพราะมันเหมือนถูกกระแสไฟฟ้าแล่นจากจุดที่เขาสัมผัสพุ่งตรงไปสู่หัวใจ ทำให้เธอตาโตโดยไม่รู้ตัว
และยิ่งรู้สึกกลัวยิ่งไปกว่าเมื่อดวงตาสีเขียวอันคมกริบจ้องมองดวงตาของเธอกลับมาอย่างไม่ละวางขณะก้มหน้าลงและประทับริมฝีปากลงกับหลังมือ ซึ่งในนาทีนี้เองที่ดิออนคิดว่าเธอไม่ได้ยินเสียงอะไรอีกเลย หูของเธออื้ออึง
“ฉันชื่อ ‘แองเจล่า มิลเลอร์’ จ้ะ ยินดีที่ได้รู้จักและดีใจที่ได้เจอตัวจริงของเธอเสียที”
แต่อย่างไรก็ตาม เธอรู้แล้วว่า.. ผู้หญิงตรงหน้า..มีดียังไง..
แล้วเธอล่ะ.. เธอยังเห็นว่าเขาดีอยู่หรือเปล่า..แคล...