ตอนที่ 17
ช่วงเย็นของวันพฤหัสบดี...
ประธานสาวคนสวยของบริษัทนำเข้าและจัดจำหน่ายอุปกรณ์ไอทีก้าวเดินผ่านประตูหน้าของตึก พอดีกันกับที่รถยนต์ส่วนตัวสีดำเป็นเงามันปลาบแล่นมาจอดเทียบตรงบันไดทางขึ้นลง ปณิตาไม่รีรอให้คนขับรถมาบริการเปิดประตูให้เสียเวลา หญิงสาวเปิดประตูด้วยตนเอง ดันหลังให้กระเป๋าโน้ตบุ้คและแฟ้มเอกสารขยับเข้าไปนั่งด้านใน ร่างสูงโปร่งแบบบางของเธอมุดตามเข้าไปนั่งเคียงข้างกระเป๋า ประตูรถยังไม่ทันได้ปิด แต่ปณิตาขอพูดเสียงดัง บอกให้คนขับรถได้รับรู้ก่อนเลยว่า...
“ไปรับน้องอินที่โรงเรียนค่ะพี่เก้า”
คนขับรับคำว่าครับผม รอให้เจ้านายสาวคนสวยปิดประตูรถ ก่อนจะบังคับให้พาหนะสี่ล้อคันใหญ่เคลื่อนตัวไปข้างหน้า ระหว่างการเดินทาง นพเก้าชวนเจ้านายพูดคุย
“ตอนนี้ปิดเทอมไม่ใช่เหรอ? น้องอินไปทำอะไรที่โรงเรียนครับ?”
“ไปช่วยงานชมรมจิตอาสาทำเสื้อขาย ระดมทุนเอาเงินไปซื้อหนังสือเข้าห้องสมุดของโรงเรียนที่ขาดแคลน พี่เก้าก็ช่วยน้องซื้อเสื้อสักตัวสิ มีหลายลายให้เลือก หรือว่าจะสั่งให้เพ้นท์ลายเป็นพิเศษก็ได้นะคะ”
“อยู่ชมรมจิตอาสาเหรอ? น้องอินนี่เป็นเด็กดี มีน้ำใจดีนะครับ”
ปณิตาได้ยินดังนั้นก็ยิ้มกว้าง คนขับรถเหล่ตามองผ่านกระจก เห็นเจ้านายสาวยิ้มหน้าบานเป็นจานดาวเทียมไทยคมอย่างนั้นก็หัวเราะขำ อดจะเอ่ยปากแซวไม่ได้
“ปริมเข้าใจอะไรผิดไปรึเปล่า?... เมื่อกี้พี่พูดชมน้องอินนะครับ”
“แหม... มีคนพูดชมแฟนของปริมแบบนี้ ปริมจะยิ้มปลื้มแทนแฟนก็ไม่เห็นแปลกเลยนิ่”
“โฮ่!... เดี๋ยวนี้เรียกกันว่าแฟนแบบเต็มปากเต็มคำแล้วเหรอ!?”
ปณิตาลอยหน้าลอยตาที่เปื้อนยิ้ม ตอบเสียงใสว่า “ช่ายแล้ว~”
“บอกให้คุณท่านรู้รึยังครับ?”
“!!”
รอยยิ้มที่เปื้อนใบหน้าสวยคมอมหวานของเจ้านายสาวหายวับ โดนคำถามของคนขับรถเช็ดซะหายเกลี้ยงภายในเวลาสองวินาที ปณิตาทำหน้านิ่ว ขมวดคิ้วพลางพูดเสียงอ่อย
“ยังไม่ได้บอกเลยค่ะ”
“แล้วคุณท่านรู้เรื่องที่ปริมรับอุปการะ ช่วยเหลือน้องอินกับคุณอรรึเปล่าครับ?”
“รู้ค่ะ”
“พวกคุณท่านว่ายังไงบ้าง?”
“ท่านไม่ได้ว่าอะไรค่ะ คุณพ่อบอกว่าเราอยู่ในฐานะที่ช่วยเหลือคนอื่นได้ ถ้าช่วยแล้วไม่เดือดร้อนเบียดเบียนตัวเราเอง ก็ช่วยไปเถอะ ได้บุญ ส่วนคุณแม่นี่ยิ่งแล้วใหญ่ ฟังเรื่องของน้องอินแล้วร้องโถ ๆ ๆ ๆ ยกมือขึ้นมาเช็ดน้ำตาป้อย ๆ”
“ฮะ ๆ ๆ... คุณผู้หญิงท่านเป็นคนอารมณ์อ่อนไหวม้ากมากกก... มาแต่ไหนแต่ไรแล้วนี่นะ”
“ก็เพราะท่านอารมณ์อ่อนไหวม้ากมากกก... นี่แหละค่ะ ปริมล่ะกลั๊วกลัวค่ะพี่เก้า ถ้าบอกท่านไปว่าลูกสาวคนเดียวไม่ได้หาลูกเขยให้ แต่จะพาลูกสะใภ้ที่อายุอ่อนกว่าตัวเองตั้งสิบปีเข้าบ้านแทน คุณแม่ท่านจะไม่ช็อกตาตั้ง หัวใจวายตายไปเลยเหรอ... เฮ้อ~”
“นอกจากคุณผู้หญิงแล้ว... ถ้าหนุ่มหน้าตี๋เหมือนดาราเกาหลีรู้ว่าปริมมีแฟนแล้ว และแฟนปริมเป็นใคร รับรองว่า “คุณโจ” คงช็อกจนตาตี่กลายเป็นตาโต ไม่ต้องไปทำศัลยกรรมเลยล่ะ”
ปณิตาส่งเสียงหัวเราะแบบแกน ๆ “แค่ช็อกจนตาโตเองเหรอ ปริมนึกว่าพี่จะช่วยแช่งให้เขาช็อกตาย”
“ฮ่า ๆ ๆ... อะไรก๊านนน? ไม่ชอบเขาขนาดนั้นเลยเหรอครับ? แล้วทำไมถึงยอมให้เขาพาไปกินข้าวด้วยบ่อย ๆ ล่ะ?”
“เพราะเรื่องงานต่างหากล่ะคะ เรื่องงาน... พ่อของคุณโจเขาเป็นถึงรัฐมนตรี กระทรวงจะมีการเปิดประมูล ประกวดราคา จัดซื้อคอมพิวเตอร์ใหม่ไปติดตั้งในทุกตำบล... ทุกตำบลนะพี่! พี่คิดดูละกัน ถ้าเราประมูลได้ เสร็จจากงานนี้แล้ว ปริมปิดบริษัททิ้งยังเหลือกำไรไปนอนกินสบายใจเฉิบไปทั้งชาติเลย”
“ถ้าพลาดงานนี้ไป เงินทองที่มีอยู่ก็มากพอให้ปริมนอนกินจนสบายใจไปทั้งชาติอยู่แล้วไม่ใช่เหรอครับ? จะเอาตัวเข้าไปเสี่ยงทำไม?”
“เฮ้อ... ก็คุณพ่อน่ะซี้~... อันที่จริงท่านรัฐมนตรีพิสุทธิ์ พ่อของคุณโจเขาเป็นเพื่อนซี้กับคุณพ่อ ท่านกระซิบหลังไมค์มา บอกว่างานนี้น่ะได้แน่ งานนี้งานใหญ่ ขอให้ปริมตามเรื่องนี้ด้วยตัวเอง บอกว่ายังไงบริษัทเราก็ได้แน่นอน ไม่มีพลาด... แต่ไป ๆ มา ๆ คุณโจที่มีตำแหน่งเป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีชอบมาขอเข้าพบปริมบ่อย ๆ... เมื่อวานขอให้แก้รายละเอียดตรงนั้นนิด วันนี้ขอให้แก้ตรงนี้หน่อย บอกว่าเดี๋ยวจะแพ้ประมูล แล้วเขาก็เข้าใจเลือกเวลานัดนะพี่ มาตอนสิบเอ็ดโมงกว่าทุกทีเลย สุดท้ายปริมก็ต้องยอมไปกินข้าวกับเขา”
นพเก้าฟังคำบอกเล่ากึ่งบ่นยาวเฟื้อยของเจ้านายสาวแล้วก็ยิ้มขำ
“เอางานเป็นข้ออ้างมาใช้จีบกันแบบเห็น ๆ”
“ก็เห็น ๆ กันอยู่ค่ะ แต่ทำอะไรไม่ได้... เฮ้อ~ ปริมคงต้องทนต่อไปอีกหน่อย ถ้าสิ้นสุดการประมูลเมื่อไหร่ เขาก็ไม่มีอะไรใช้เป็นข้ออ้างมาขอพบปริมแล้ว”
“พี่กลัวว่ามันจะไม่เป็นอย่างนั้นน่ะสิ”
“ถ้าเขามีข้ออ้างใหม่มา ปริมก็... คงต้องหาวิธีรับมือไปตามสถานการณ์แหละค่ะ... เฮ้อ~”
“เฮ้อ~ เกิดมาหน้าตาดีก็ลำบากแบบนี้ล่ะน้า พี่เข้าใจครับ พี่เข้าใจ เพราะพี่เองก็หน้าตาดีเหมือนกัน อิอิ”
ปณิตาทำปากเบะเป็นรูปสระอิ รู้สึกหมั่นไส้คนหน้าตาดีที่กำลังขับรถเป็นอย่างมาก แต่ก็ไม่กล้าพูดอะไรโต้ตอบ เพราะถ้าเอาไมค์ไปจ่อปากสาว ๆ ถามว่าพี่เก้าหล่อไหม คงมีผู้หญิงสักประมาณหกในสิบคนตอบว่าหล่อล่ะนะ
ครึ่งชั่วโมงต่อมา...
เบาะหลังของรถยนต์สีดำคันหรูมีผู้โดยสารเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคน ปณิตารับข้าวของจากเด็กน้อยมา รีบเอี้ยวตัวพาพวกมันไปนั่งรวมกับสัมภาระของตนที่นั่งรออยู่ก่อน หญิงสาวจับจัดถุงผ้าใส่หนังสือของเด็กสาวให้นั่งทับกระเป๋าโน้ตบุ้คของเธอ บอกพวกมันว่าอย่ามานั่งเกะกะคั่นกลางเป็น ก ข ค เลยน่า ข้าวของก็นั่งสุมหัวคุยกันไป ส่วนทางด้านเจ้าของ คนอายุมากกว่าโอบไหล่เด็กน้อยให้มานั่งเสียชิด แอบคิดในใจว่าถ้าพี่เก้าไม่อยู่ด้วยนี่จะจับเด็กน้อยให้มานั่งตัก เหมือนกับถุงหนังสือนั่งบนตักของกระเป๋าโน้ตบุ้ค ปณิตานึกอิจฉาข้าวของที่ทำเป็นสวีทหวานกันเกินหน้าเกินตาเจ้าของ เธอกลัวว่าจะแพ้ ก็เลยขอเพิ่มความสวีทขึ้นอีกระดับ หญิงสาวยื่นจมูกไปแตะตรงแก้มเนียนใสของเด็กน้อย พอผละถอยใบหน้าออกมา ปณิตาก็ส่งสายตาหวานหยด มุมของริมฝีปากขยายออกจากกันจนแก้มปรากฏหลุมลักยิ้ม ผู้ใหญ่พูดกระซิบถามเปรย ๆ
“เด็กน้อยคนนี้แฟนใครน้อ~ น่ารักจังเลย”
“...>/////<...”
คนโดนถามว่าแฟนใครน้อไม่ยอมตอบคำถาม นั่งก้มหน้า กัดริมฝีปากล่างด้านในและยิ้มเขิน ๆ ปณิตาเห็นเด็กน้อยแสดงอาการเขินจนแก้มแดง ก็อมยิ้มชอบใจ ขอยื่นจมูกไปแตะแก้มดูอีกทีซิ ขอทำการทดลองดูหน่อยว่าสีของแก้มจะแดงขึ้นได้อีกไหม ผลการทดลองพบว่าแก้มของเด็กน้อยยังคงเป็นสีแดงเฉดเดิม แต่อาณาเขตความแดงแผ่ขยายลุกลาม กินพื้นที่ไปถึงส่วนใบหูขาว ๆ ด้วย ปณิตาจดผลการทดลองลงในใจพลางส่งเสียงหัวเราะขำเด็กขี้เขิน
“นี่โดนพี่หอมแก้มเกินร้อยครั้งไปแล้วมั้งคะ น้องอินยังไม่ชินอีกเหรอ?”
“...>///////<...” ก้มหน้าก้มตา อมยิ้ม อมยิ้ม
“แบบนี้พี่คงต้องหอมแก้มน้องอินให้บ่อยขึ้นอีก เอาให้เกินพันครั้งต่อเดือนเลยดีไหม? จะได้ชินสักที”
“...>///////<...” ก้มหน้าก้มตา อมยิ้ม อมยิ้ม ยกไหล่ขึ้นนิดหนึ่ง
“เสื้อคู่ลายแมวที่พี่สั่งซื้อทำเสร็จรึยังคะ?”
คำตอบคือ... หงึก หงัก พยักหน้า ปณิตาจึงหัวเราะเสียงใส
“เอ๊... แฟนของพี่ปริมเป็นใบ้รึไงเนี่ย?”
ทางด้านแฟนของพี่ปริม อรินทิพย์นั่งก้มหน้า เกร็งกล้ามเนื้อแก้มกักความเขินระลอกใหม่ ถึงจะโดนหอมแก้มมาเกินร้อยครั้งอย่างที่พี่สาวคนสวยแซว เธอก็ยังไม่ชิน พอคิดว่าจะโดนหอมแก้มถี่ขึ้นจนถึงพันครั้ง เธอกลับยิ่งรู้สึกเขิน แล้วนี่พี่ปริมยังจะใช้เครื่องสร้างความเขินรุ่นใหม่ล่าสุดที่ชื่อว่า “แฟน” มาก่อกวนเธอได้อีก ถ้าอาการเขินฆ่าคนได้ อรินทิพย์คิดว่าเธอคงตายแล้วเกิดใหม่เป็นพันหนแล้วละมั้ง คนที่ฆ่าเธอก็ไม่ใช่ใคร...
“พี่ปริมอ่า...” คนนี้แหละ ฆาตกร...
“อะไรค้า~ เรียกพี่ทำไมคะหื้ม?”
“...>//////<...” มาพูดซะชิดติดใบหูเชียว พี่ปริมอ่า เด็กน้อยจั๊กจี้ เขิน ขนลุก พูดไม่ออก
“อ่าว... เรียกพี่แล้วทำไมไม่พูดล่ะคะ?”
อรินทิพย์พยายามตั้งสติ ถอยหน้าพาหูให้ออกห่าง ออกมาให้พ้นระยะลมหายใจของฆาตกรที่ชอบใช้ความเขินของเธอเป็นอาวุธสังหาร ฆ่ากันแบบเลือดอุ่น ไม่ใช่เลือดเย็น เพราะพอโดนความเขินทำร้ายทีไร เลือดอุ่น ๆ ถูกดันให้มากองรวมกันที่ใบหน้าใบหูของเธอจนร้อนระอุ เด็กน้อยรู้สึกเหมือนหน้าเธอกำลังจะระเบิด อรินทิพย์กัดริมฝีปากล่าง บังคับสมองให้นึกถึงธุระที่ตนอยากจะพูดกับพี่สาวคนสวย หาเส้นสายชนวนระเบิดเวลาความเขินที่พี่ปริมจุด รีบทำให้มันดับก่อนที่ระเบิดจะทำงาน
“เอ่อ... คือว่า... เพื่อนของอินฝากมาถามพี่ปริมค่ะ”
“ถามพี่เหรอ?... ถามเรื่องอะไรคะ?”
“มือถือรุ่นใหม่ที่กำลังจะออกวางขายน่ะค่ะ เพื่อน ๆ หลายคนบอกว่าจะซื้อ อินเลยบอกไปว่าบริษัทของพี่ปริมขายมือถือ เพื่อน ๆ ฝากอินให้มาถามค่ะว่าพี่มีโปรโมชันพิเศษให้รึเปล่า?”
“แหม... น้องอินของพี่น่ารักจัง ช่วยพี่ทำมาหากินด้วย แบบนี้จะไม่ให้พี่รักได้ยังไง”
พี่ปริมพูดไปอีกอย่าง และส่งเสียงตอบแบบไม่ตรงคำถาม แต่ตรงแก้มของเธอ ดังฟอด ฟอด จุ๊บ อรินทิพย์จึงอมยิ้ม เอียงหน้าเข้าหาหัวไหล่ของตัวเอง ป้องกันไม่ให้ผู้ใหญ่ตอบคำถามตรงแก้ม เมื่อกี้กว่าจะหายเขิน สั่งให้ปากพูดคุยธุระได้ ไม่ทันไรพี่ปริมก็ก่อการเขินอีกครั้ง ใช้จมูกฝังกับระเบิดสองลูกตรงแก้ม แถมด้วยระเบิดแสวงเครื่อง จุดชนวนด้วยริมฝีปากอีกหนึ่งจุ๊บ...
ปุ้ง! ปุ้ง! ตู้ม!!
ระเบิดความเขินสามลูกระเบิดดังตูมตามจนใบหน้าเธอร้อนผ่าวแดงแจ๋ อรินทิพย์ต้องส่งเสียงงอแงพูดทวงคำตอบ เบี่ยงเบนความสนใจของผู้ก่อการเขินออกจากแก้มของเธอ
“พี่ปริมอ่า... ตอบคำถามอินซะทีสิคะ”
“อืม... น้องอินลองไปจดมานะคะว่าเพื่อน ๆ อยากได้มือถือยี่ห้ออะไร รุ่นไหนบ้าง เดี๋ยวพี่จะลดราคาให้เป็นพิเศษละกัน”
“อินจดมาแล้วค่ะ”
อรินทิพย์พูดยิ้ม ๆ ล้วงมือหยิบกระดาษใบเล็กออกมาจากกระเป๋ากางเกงยีนส์ ส่งมันให้พี่สาวคนสวยดู พี่ปริมรับไปอ่านแล้วทำตาโต
“โอ้โห! เยอะขนาดนี้เชียวเหรอ! รวมทุกรุ่นแล้วนี่ก็เกือบสามสิบเครื่องเลยนะคะเนี่ย”
“ค่ะ”
“อืม... กลุ่มตลาดผู้ซื้อที่เป็นวัยรุ่นวัยเรียนนี่ใหญ่กว่าที่พี่คิดไว้นะ”
“เดี๋ยวนี้เด็กอนุบาลยังพกมือถือเลยค่ะพี่ปริม”
“ฮ่า ๆ ๆ... จริงด้วย ถ้าพี่สามารถหาวิธี คิดโปรโมชันมาดึงดูดให้คนกลุ่มนี้ หรือให้พ่อแม่ผู้ปกครองของเด็กสนใจมาซื้อของบริษัทพี่ได้ละก็...”
“พี่ปริมน่าจะให้เด็ก นิสิต นักศึกษา ใช้บัตรนักเรียนนักศึกษาเป็นส่วนลดหรือจะได้ของแถมเพิ่ม อะไรแบบนี้...”
“โอ้ว! น้องอินของพี่ ฉลาดมาก... กำไรต่อเครื่องอาจจะลดลงมาหน่อย แต่ถ้าเน้นจำนวนเครื่องที่ขาย ก็น่าจะได้กำไรมากขึ้นนะ... น้องอินเก่งกว่าพวกฝ่ายการตลาดที่บริษัทพี่เสียอีก ไอเดียเยี่ยมมากค่ะ... มามะ เอียงหน้ามาใกล้ ๆ พี่หน่อยสิคะ ขอพี่จุ๊บทีนึงซิ”
อรินทิพย์ยิ้มเขิน ทำในสิ่งตรงกันข้าม เธอเอียงใบหน้าไปอีกทาง เอนตัวหนี “เกี่ยวอะไรกับจุ๊บละคะ?”
“ก็... พี่จะจุ๊บขอบคุณน้องอินไงคะ”
จบประโยคปุ๊บ เสียงจุ๊บก็ตามมา แต่ไม่ใช่แค่หนึ่งทีตามที่พูดขอ พี่ปริมจุ๊บแก้มเธอต่อเนื่องตั้งสามครั้ง อรินทิพย์จึงทำท่าหดคอยกไหล่ ยิ้มเอียงอายอยู่สามวินาที พอพี่สาวคนสวยผละใบหน้าออก เด็กน้อยก็แกล้งถาม
“พี่พูดว่าขอจุ๊บขอบคุณทีนึง แล้วอีกสองทีที่ตามมานี่จุ๊บเนื่องในโอกาสอะไรคะ?”
“จุ๊บครั้งที่สองกับสาม เป็นจุ๊บเนื่องในโอกาสที่... พี่อยากให้น้องอินรู้ว่าพี่รักน้องอินไงคะ อันที่จริง... แค่สองทีก็ยังไม่พอ...”
อรินทิพย์ยิ้มเอียงอาย เบี่ยงหน้าหนี “พอแล้ว... อินรู้แล้วค่ะว่ารัก”
“แต่พี่ยังไม่รู้เลยว่าวันนี้น้องอินยังรักพี่เหมือนเดิมไหม จุ๊บบอกรักให้พี่แน่ใจหน่อยสิคะ”
ผู้ใหญ่พูดเสียงอ้อนอ่อนหวาน เอียงแก้มซ้ายมาทางเธอ รอรับจูบบอกรัก อรินทิพย์จึงยิ้มเขิน ขอเวลารวบรวมคำรักไว้ที่ริมฝีปากครู่หนึ่ง เธอยื่นหน้าเข้าไปใกล้ จะพาริมฝีปากไปส่งคำรักให้พี่ปริมผ่านผิวแก้มเนียนอยู่แล้วเชียว แต่ก็ไม่ได้ทำอย่างนั้น เพราะเธอปรายตามองไปเห็นอะไรบางอย่างเข้าเสียก่อน อรินทิพย์รีบดึงหน้ากลับมา นั่งตัวตรงอย่างเดิม เธอยิ้มอาย ๆ พลางชี้ไปที่กระจกมองหลัง พี่สาวคนสวยมองตามนิ้วเธอไป พอเห็นดวงตาของคนขับรถซึ่งสะท้อนอยู่บนกระจกนั้นจ้องเป๋งมาทางนี้ พี่ปริมก็โวยทันที
“พี่เก้า!... ขับรถก็มองทางข้างหน้าสิคะ มาเหล่มองผู้โดยสารทำไม?”
“ก็ผู้โดยสารทำตัวรบกวนสมาธิของคนขับนี่ สวีทกันจ๊างงง~ อึ๋ย~ พี่มองแล้วเขินแทนจนหูแดงเลย อิจฉาด้วย ตาร้อนผ่าว ๆ จนจะพ่นไฟได้อยู่แล้วนะ”
นพเก้าทำเสียงอึ๋ยพร้อมกับยกไหล่ทั้งสองข้างขึ้น ปณิตาเห็นอย่างนั้นก็หัวเราะขำ พูดกับคนขับรถด้วยน้ำเสียงเจือขบขัน
“แล้วพี่จะมาแอบมองปริมกับน้องทำไมเล่า ก็ขับรถไปสิ... บกพร่องต่อหน้าที่แบบนี้ต้องโดนหักเงินเดือน”
นพเก้าทำปากจู๋ ส่งเสียงโห่หู่ ต่อว่าเจ้านายสาวคนสวยว่าใจร้าย ใจร้าย อย่าหักเงินพี่นะ กำลังเก็บตังค์เอาไปสู่ขอแฟนสาว คนขับรถหนุ่มรีบยกมือซ้ายขึ้นมา ทำท่าสาบาน สัญญาว่าจะไม่แอบมอง
ปณิตายิ้มกริ่ม ละสายตาจากคนขับรถมามองเด็กน้อย เอียงแก้มซ้ายข้างเดิมไปหาคนนั่งข้างกันพลางพูดกระซิบ
“อ่ะ... พี่เก้าไม่มองแล้ว จุ๊บบอกรักพี่ปริมหน่อยเร้ว”
“หึ”
“น่า... นะ”
“ไม่เอาอ่ะ... อินเขิน >//////<...”
“เขินอะไร? เมื่อกี้ยังทำท่าว่าจะจุ๊บพี่อยู่เลยนี่นา”
“ก็... ตอนนี้อินเขินมากกว่าเมื่อกี้อีกอ่า ไม่เอา ๆ ไม่จุ๊บแล้ว”
ลูกแมวน้อยก้มหน้าก้มตา ร้องบอกพี่แมวใหญ่ว่า มะอาว มะอาว ทั้งแก้มทั้งหูซับสีเลือดจนแดงก่ำ พี่แมวตัวโตสังเกตเห็นแมวตัวเล็กออกอาการอย่างนั้นก็แอบยิ้มขำ อ้อมขาหน้าโอบไหล่รั้งแมวน้อยเขินมากอดแน่น ๆ ด้วยความหมั่นเขี้ยว แมวโตเต็มวัยกดจมูกสามเหลี่ยมตรงขมับแมววัยแรกแย้ม รู้สึกทั้งรักทั้งเอ็นดูแมวเด็กหน้าใสตัวนี้แบบสุดหัวใจ ปณิตากอดเด็กน้อยนิ่ง ๆ แล้วหลับตาลง ลอบผ่อนลมออกจากปอดยาว ๆ หญิงสาวแอบบ่นอะไรงุบงิบอุบอิบอยู่ในใจ...
ลูกแมวน้อยของพี่ เมื่อไหร่จะโตซะทีน้า~
พี่ต้องรอตั้งสองปีกว่าเลยเหรอ
แค่สองวันพี่ยังคิดว่านานเลย
รักเด็กก็ต้องอดทนสินะ เฮ้อ...
.
.
เก้าโมงเช้าของวันเสาร์
ปณิตาถอดเสื้อยืดคอวีสีขาวที่สกรีนลายแมวยิ้มออกจากไม้แขวน หญิงสาวจับตรงไหล่เสื้อแล้วกางมันออกเพื่อดูลายแมวให้ชัด ๆ เธอยิ้มแฉ่งจนตาปิดตาโค้งเลียนแบบรอยยิ้มของการ์ตูนแมวน่ารักบนเสื้อ ปณิตาสวมใส่มันปกปิดร่างกายท่อนบน ต่อด้วยการหยิบกางเกงยีนส์สีควันบุหรี่มาสวมใส่ปกปิดขาเรียวท่อนล่าง แมวใหญ่มองภาพสะท้อนของตัวเองในกระจก ใช้อุ้งเท้าหน้าเขี่ยจัดขน เอ้ย! จัดปอยผมหน้ากับผมด้านข้างที่ยาวตรงให้ปะบ่าปรกไหล่ ดูดีเข้าที่เข้าทาง แมวตัวโตยิ้มกว้างยิ้มหวาน วันนี้จะพาลูกแมวน้อยไปดูหนัง กินข้าว เดินห้าง ควงแมวเด็กไปเที่ยวไปเดท ตามประสาคนเป็นแฟนกัน พอคิดมาถึงตรงนี้ แมวใหญ่ก็เอาอุ้งเท้าปิดหน้า ตะโกนในใจว่า...
อ๊า... ไปเดทครั้งแรกกับน้องแมวน้อย
แมวใหญ่ตื่นเต้น แมวใหญ่ตื่นเต้น /(*≧ω≦)\
ภาพตัดมาที่ภายในห้องนอนชั้นล่าง
อรินทิพย์หยิบเสื้อสีขาวลายการ์ตูนแมวออกมาจากตู้ เด็กสาวมองจ้องหน้าแมวอยู่ครู่หนึ่งแล้วยิ้มเขินหน้าแดง เจ้าแมวตัวเล็กบนเสื้อเหมือนกับจะยิ้มล้อเลียน ส่งเสียงเหมียวเหมียวมี้มี้พูดแซวเธอว่า...
แน่ะ ๆ... อินจะใส่เสื้อตัวนี้ไปเดินคู่กับพี่ปริมกลางห้างดังเลยน้า~ คิคิ
>///////<
เด็กน้อยยิ้มอาย ๆ พลางหลับตาปี๋ รีบสวมเสื้อให้มาอยู่บนตัวเธอทันที อรินทิพย์ไม่อยากมองหน้าแมวตัวเล็กบนเสื้อที่กำลังส่งยิ้มทำตาหยี พูดจาแซวเธอ พอสวมใส่เสื้อผ้าท่อนบนเรียบร้อย เด็กน้อยก็หยิบกางเกงยีนส์ยืดสีดำมาสวมใส่ตกแต่งร่างกายท่อนล่าง ผมยาวตรงสีน้ำตาลไหม้ที่มักจะถูกผูกมัดเป็นหางม้า วันนี้อรินทิพย์ขอเปลี่ยนทรง เกล้าผมแค่ครึ่งศีรษะ เก็บรวบผมหน้าซึ่งมักจะตกลงมาปิดแก้มปรกตาให้เรียบร้อย เผยใบหน้ารูปไข่เนียนใสสมวัยให้คุณพี่สาวคนสวยได้พิศมองแบบเต็มตา หรือถ้าจะให้พูดจำเพาะเจาะจงลงไปอีกว่าพี่สาวคนสวยที่ว่าน่ะคนไหน อรินทิพย์ก้มหน้าก้มตา ตอบเสียงอุบอิบว่าก็พี่ปริมไง พี่ปริมคนที่เรียกเธอว่าแฟนคนนั้นน่ะ...
อ๊าย... พี่แมวใหญ่จะพาเค้าไปเดทล่ะ
เดทครั้งแรกในชีวิตของอินเลยนะ
ลูกแมวน้อยเขิน /(>///ω///<)\ ลูกแมวน้อยตื่นเต้น /(*≧ω≦)\
ก๊อก ก๊อก
“น้องอินจ๋า แต่งตัวเสร็จรึยังเอ่ย?”
เสียงเคาะประตูดัง ตามมาด้วยเสียงตะโกนถาม อรินทิพย์รีบหันไปยิ้มให้ประตูพร้อมกับส่งเสียงตอบ
“เสร็จแล้วค่า”
โปรแกรมเดทแรกของคู่รัก คนที่ตั้งฉายาตัวเองเป็นแมว สวมเสื้อคู่รักลายแมว เริ่มต้นด้วยการดูหนังแนวรักโรแมนติค อรินทิพย์นั่งแอบอิงอยู่กับพี่สาวคนสวยบนโซฟาสีแดงในโรงหนัง ในมือถือภาชนะใส่ป๊อปคอร์น เธอมีหน้าที่ถืออย่างเดียว เพราะของทานเล่นโรยเกลือถูกคนที่นั่งดูหนังด้วยกันหยิบมาจ่อตรงปากเธอเรื่อย ๆ เด็กน้อยรับมันมาเคี้ยวแล้วอมยิ้ม เอ... ข้าวโพดคั่วโรยเกลือแทนที่จะมีรสเค็ม ทำไมถึงมีรสหวานแบบนี้ รึว่าความหวานจะติดมาจากนิ้วของคนป้อนก็ไม่รู้
หลังจากดูหนังรักเนื้อหาซาบซึ้งกินใจจบ ออกจากโรงภาพยนต์มาก็ได้เวลาทานอาหารเที่ยงพอดี คนอายุมากกว่าถามเธอว่าอยากทานอะไร อรินทิพย์บอกว่าแล้วแต่พี่ปริมจะพาไปทานร้านไหน เธอทานได้ทั้งนั้น พี่สาวคนสวยจึงจับจูงมือเธอ พาเข้าไปนั่งในร้านอาหารอิตาลี พี่ปริมสั่งอาหารชื่อแปลกหูไปสามอย่าง แนะนำให้เธอได้ลองทานดู รสชาติอาหารนั้นอร่อยถูกปากจนเธอทานหมดเกลี้ยงจาน อรินทิพย์แอบสงสัยเล็กน้อย ที่เธอรู้สึกว่าอาหารรสชาติดีอร่อยเหาะนั้น เป็นเพราะฝีมือของเชฟชาวอิตาเลียน หรือเป็นเพราะคนนั่งทานด้วยกัน พี่ปริมขยันส่งตาหวานมาให้เธอทานเป็นเครื่องเคียงตลอดมื้ออาหาร อรินทิพย์แอบยิ้มขำ เนื่องจากสมองเธอคิดเปรียบเทียบฟุ้งซ่านอะไรไปเรื่อย และเพราะอยู่ดี ๆ เธอก็ส่งเสียงหัวเราะ ผู้ใหญ่จึงถาม
“ขำอะไรคะ? บอกให้พี่รู้มั่งสิ อย่าเก็บไว้ขำคนเดียวไม่เผื่อแผ่”
“อินกำลังคิดว่า... ถ้าตาของพี่เป็นอาหารที่สามารถกินได้จริง ๆ ละก็นะ มันคงจะมีรสชาติหวานมากจนน้ำตาลขอยอมแพ้”
“เอ๊ย! น้องอินคิดอะไรเนี่ย!? อยากจะกินตาพี่เหรอ!?”
พี่ปริมทำตาหวานให้มีขนาดโตขึ้น แกล้งทำหน้าตาตื่นตระหนกตกใจ ผู้ใหญ่ทานอาหารต่อไปโดยยกมือซ้ายขึ้นมาปิดตา แอบแหวกนิ้วเป็นช่อง เล็ก ๆ ปิดป้องตาหวานเอาไว้ กลัวว่าจะโดนเธอกิน อรินทิพย์จะทำยังได้ นอกจากเอามือซ้ายปิดปากอุดเสียงหัวเราะที่เร่งระดับดังขึ้น เด็กน้อยต้องรีบพูดปรามคุณแฟนผู้ใหญ่ขี้เล่นให้เลิกทำหน้าตลก เธอไม่อยากจะขำจนสำลักอาหารตายตั้งแต่เดทแรกยังไม่ทันจบ
เมื่อทานอาหารกันอิ่มแล้ว สองแมวก็พากันไปเดินช้อปปิ้งย่อยอาหาร อรินทิพย์รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นตุ๊กตาของพี่ปริม เพราะคุณพี่สาวคนสวยแฟนของเธอพาแวะเข้าร้านเสื้อผ้าตั้งหลายร้าน หยิบเดรสชุดนี้มาทาบตัว ส่งชุดแซคชุดนั้นให้เธอถือ รุนหลังดันเธอให้เข้าไปในห้องลองเสื้อ พอเธอเปิดประตูออกมา คนเลือกเสื้อผ้าให้เธอลองก็จะส่งยิ้มหวานทำตาเชื่อมใส่ พูดวิจารณ์แสดงความคิดเห็นอะไรไม่เป็นนอกจากคำว่า สวยจังกับน่ารักจริง เล่นเอาเธอเขินแล้วเขินอีกจนแก้มร้อนแก้มแดง
เวลาประมาณบ่ายสามโมงครึ่ง แมวที่เดินช้อปปิ้งกันเพลินจนท้องยุบก็เริ่มบ่ายหน้าออกจากโซนเสื้อผ้าและเครื่องประดับ หันเหเข้าสู่ร้านของกิน อรินทิพย์เดินตามผู้ใหญ่เข้าไปนั่งในร้านไอศครีมชื่อดัง สั่งขนมหวานเย็นมาทานกันคนละถ้วยคนละรส แต่ทั้งเธอและพี่ปริมก็ได้ทานไอศครีมครบทุกรสที่มีอยู่บนโต๊ะ สาวน้อยอมยิ้มอมไอศครีมที่ผู้ใหญ่ป้อนให้จากช้อนของพี่ปริมเอง กว่าจะกล้าอ้าปากรับของหวานที่แฟนป้อน เธอก็ใช้เวลาคิดชั่งใจนานอยู่ แต่เท่านั้นยังไม่พอ พี่สาวคนสวยร้องขอให้เธอทำอย่างเดียวกัน
“น้องอินจ๋า... ป้อนไอติมให้พี่กินมั่งสิ”
“อินเขินอ่า... คนเยอะแยะเลยเห็นไหม หนูอายเค้า >/////<”
“ไม่มีใครสนใจพวกเราหรอกค่ะ หรือถึงแม้จะมีใครเห็น มีคนสนใจ พี่ก็ไม่แคร์หรอกนะ”
“...>/////<...”
“นะคะ... น้า~ ป้อนพี่หน่อยนะ”
สุดท้ายอรินทิพย์ก็ทนลูกอ้อนของพี่ปริมไม่ไหว ส่งช้อนบรรทุกไอศครีมรสสตรอเบอรี่สีชมพูหวานไปป้อนให้ผู้ใหญ่ขี้อ้อนได้ทานสมใจ
ร้านไอศครีมเป็นสถานที่เดทแห่งสุดท้ายของวันนี้ พอเข็มสั้นของนาฬิกาชี้ที่เลข 5 พี่ปริมก็พาเธอกลับมายืนตรงหน้าบ้านหลังใหญ่ พี่ปริมจูงมือเธอไปส่งถึงห้องพักส่วนตัว มีการพูดขออนุญาตว่าพี่เข้าไปได้ไหม อรินทิพย์อมยิ้มและพยักหน้า เปิดประตูอ้าค้างไว้ให้คุณแฟนเดินเข้ามาในห้อง พี่ปริมวางถุงข้าวของเสื้อผ้าที่ซื้อให้เธอลงบนเตียง เด็กน้อยเดินเข้าไปใกล้ผู้ใหญ่แล้วพูดเสียงอ่อย
“พี่ปริมเป็นฝ่ายให้อะไรต่อมิอะไรกับอินตลอดเลย อินเกรงใจจัง ไม่อยากรบกวนพี่ไปมากกว่านี้”
ทางด้านปณิตา พอได้ยินคุณแฟนเด็กน้อยพูดอย่างนั้นก็รีบหันขวับมามองและพูดชี้แจง
“อย่าคิดมากสิคะ น้องอินไม่ได้รบกวนอะไรเสียหน่อย พี่ไม่ได้รู้สึกเดือดร้อนรำคาญอะไรเลย อืม... อันที่จริงพี่ไม่ได้เป็นฝ่ายให้อยู่คนเดียวนะคะ น้องอินก็ให้อะไรพี่ตั้งหลายอย่างน้า~”
เด็กน้อยขมวดคิ้ว เอียงคอทำหน้าฉงน นึกไม่ออกว่าตนทำอะไร เป็นฝ่ายให้ตอนไหน ปณิตาจึงส่งยิ้มหวานให้ เธอเดินเข้าไปใกล้ พูดกับแฟนเด็กด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล จารไนยสิ่งที่เด็กน้อยทำให้เธอ
“น้องอินทำคุกกี้ให้พี่ ทำกับข้าวให้พี่ นวดหลังให้พี่ ช่วยขายมือถือให้พี่ ทำให้พี่ยิ้ม ทำให้พี่หัวเราะ ทำให้พี่มีความสุข... เห็นไหม? น้องอินก็ให้พี่ตั้งหลายอย่างนะคะ อ่อ... ยังมีอีกอย่างที่น้องอินให้พี่ อันนี้สำคัญที่สุด เพราะพี่อยากได้มาก ได้รับมันมาจากน้องอินแล้วพี่มีความสุขมากเลย”
“อะไรคะ?”
ปณิตาเลื่อนใบหน้าเข้าไปใกล้เด็กสาวมากขึ้นอีกนิด กระซิบตอบคำถาม เอื้อนเอ่ยเฉลยความ ทำให้เด็กน้อยหายงุนงง ผู้ใหญ่บอกกับเด็กน้อยว่าสิ่งสำคัญที่อรินทิพย์ให้เธอก็คือ...
“น้องอิน... ให้ความรักกับพี่ปริมไงคะ”
“...>///////<...”
ปณิตายิ้มกริ่ม เพราะเด็กน้อยฟังคำพูดของเธอแล้วกะพริบตาปริบ ๆ สองที จากนั้นใบหน้าเนียนขาวใสก็เปลี่ยนเป็นสีแดง และแล้วหญิงสาวก็ต้องเปลี่ยนจากยิ้มกริ่มเป็นยิ้มกว้าง สืบเท้าขวาไปด้านหลัง ขืนตัวของเธอรับแรงกระแทกจากร่างบางของสาวน้อยที่พุ่งตัวเข้ามากอด ปณิตาหัวเราะขำเมื่อหูได้ยินเสียงอู้อี้ดังมาจากตรงไหล่ของเธอ
“พี่ปริมอ่า... จะทำตัวน่ารักไปถึงไหน อินรักพี่จนไม่รู้จะรักยังไงแล้ว”
ปณิตาหัวเราะเบา ๆ เอียงหน้าไปฝากรอยจุมพิตตรงไรผมของเด็กน้อย ต่อด้วยการขยับริมฝีปาก ส่งเสียงนุ่มเสียงหวาน
“น้องอินไม่ต้องคิดหรอกค่ะว่าจะรักยังไง... ก็รักพี่เท่านี้ รักพี่เท่าที่เป็นอยู่นี่ พี่ก็พอใจแล้วค่ะ”
จุ๊บ!
“...>//////<...”
สิ้นเสียงจุ๊บ ปณิตาก็ยืนนิ่ง ยิ้มเขินทำหน้าแดง เพราะเมื่อครู่เด็กน้อยขี้เขินผละหน้าออกจากไหล่เธอ ยื่นริมฝีปากจิ้มลิ้มมาสัมผัสกับอวัยวะเดียวกันของเธอเบา ๆ แล้วก้มหน้ากลับไปซุกตรงไหล่เหมือนเดิม ปณิตากอดเด็กน้อยเอาไว้จนแน่นแล้วพูดเสียงอู้อี้
“น้องอินอ่า... จะจุ๊บกันก็ไม่บอกไม่เตือนกันก่อน พี่ปริมเขินน้า~”
เด็กน้อยรีบพาหน้าตัวเองออกห่างจากไหล่ของเธอแล้วถาม
“ไหนคะ? พี่ปริมเขินเป็นด้วยเหรอ?”
“...>///////<...”
“พี่ปริมแก้มแดงด้วยอ่า... น่ารักจัง... จุ๊บ”
แฟนเด็กได้ที จุ๊บแก้มเธออีกครั้งแบบไม่ให้ทันได้ตั้งตัว ปณิตาจึงออกอาการยิ้มเขิน แต่มีหรือที่เธอจะยอมเป็นฝ่ายหน้าร้อนแก้มแดงอยู่คนเดียว
“มามะ มาเขินเป็นเพื่อนพี่หน่อย”
พูดจบปุ๊บ แมวใหญ่ก็หาเพื่อนเขินได้ทันที
ฟอด ฟอด จุ๊บ จุ๊บ
แมวใหญ่กดจมูกไปบนแก้มเนียนของลูกแมว
หอมแก้มข้างซ้าย แล้วย้ายมาหอมแก้มข้างขวา
ส่วนเสียงจุ๊บ จุ๊บที่ดังตามมา
แมวใหญ่จูจุ๊บริมฝีปากสีชมพูของลูกแมวสองที
มามะ มามา มาเขินเป็นเพื่อนพี่แมวใหญ่ซะดี ๆ
เขินจนแก้มแดงหูแดงแบบนี้ ลูกแมวน้อยของพี่น่ารักจัง
“พี่ขอจูบน้องอินอีกทีเถอะ... จุ๊บ
ขออีกจุ๊บเถอะนะ... จุ๊บ
ให้พี่บอกรักผ่านจูบอีกทีนะคะ... จุ๊บ
อืม... พี่ขี้เกียจพูดขอแล้ว จูบเลยละกัน... จุ๊บ จุ๊บ จุ๊บ (ɔˆ ³(>/////<)”
ปณิตาบดจูบส่งคำรักให้ซึมลงไปบนริมฝีปากสีชมพูจิ้มลิ้มของเด็กสาว บางคราวก็เปลี่ยนเป็นดูดเม้ม ขอรับคำรักจากริมฝีปากของเด็กน้อยมาเก็บเอาไว้บ้าง พอจูบบอกรักรับรักจนพอใจ ปณิตาก็เบี่ยงใบหน้าไปด้านข้าง คนอายุมากกว่าหลับตาปี๋ รัดอ้อมแขนกอดแฟนเด็กอายุยังไม่ถึงสิบหกปีดีจนแน่น ส่งเสียงร้องตะโกนในใจดังลั่น
โอ๊ย!... เด็กน้อยของพี่ เมื่อไหร่จะโตซะที้~
รักเด็กก็ต้องอดทนนะปริม...
อดทนเอาไว้ อดทน อดทน
เลี้ยงเด็กให้โตก่อน แล้วค่อยกิน
รอให้น้องโตก่อน เวลากินจะได้อิ่ม ๆ ไง
แมวใหญ่ได้แต่ร้องหง่าวแง้วเหมียวเหมียวอยู่ในใจ คิดหาเหตุผลดี ๆ มาปลุกปลอบใจตัวเอง
............