Illusion
พัดลมเพดานรูปทรงโบราณแทบจะหมดประโยชน์เมื่อเจอกับอากาศที่ร้อนอบอ้าวอย่างตอนนี้
ภายในอาคารหลังเล็ก ๆ ชั้นเดียวที่ทำจากไม้ค่อนข้างจะทึบแสงเต็มไปด้วยข้าวของมากมายวางเรียงรายอย่างเป็นหมวดหมู่เต็มพื้นที่ ของแต่ละชิ้นแม้จะมีร่องรอยแตกหักบิ่นเบี้ยวแต่หากประเมินเป็นเงินตราในปัจจุบันก็สามารถตีค่าได้เป็นจำนวนมหาศาล
เสียงจากกระดิ่งลมใบเล็กดังเบา ๆ เมื่อกระแสลมพัดแผ่วมาพร้อมกับกลิ่นของทะเล
ร่างสูงโปร่งยังคงนอนหงายเหยียดยาวอย่างเกียจคร้านบนโซฟาใหญ่ซึ่งเป็นเก้าอี้เพียงตัวเดียวของร้านโดยมีหนังสือเล่มหนาวางปิดใบหน้าเพื่อบังแสง ร่างนั้นสวมเสื้อฮาวายสีฉูดฉาดกับกางเกงเดินป่าที่มีกระเป๋าเล็กกระเป๋าน้อยหลายใบติดกับขากางเกง
เขาจ่อปลายเท้าเปลือยเปล่ากับพัดลมตั้งพื้นเก่า ๆ ที่ใบทำจากทองเหลืองราวกับว่ากำลังใช้มันบรรเทาอุณหภูมิของร่างกาย
เสียงกระดิ่งเงียบแล้ว...
แต่ไม่ทันที่กลิ่นอายท้องสมุทรจะจางหาย มือที่ประสานไว้บนท้องอยู่ของผู้ที่เหมือนจะหลับสนิทกลับล้วงปืนที่เหน็บไว้ตรงขอบกางเกงหน้าท้องชักขึ้นพร้อมจะยิงผู้ที่บุกรุก
“โอ... ที่นี่มันร้อนพอ ๆ กับทะเลทรายแล้วหรือนี่ถึงเห็นภาพหลอนเป็นสาวสวยกลางร้านโกโรโกโสได้”
ดวงตาสีเหล็กกล้ายอมโผล่ออกมาจากหลังหนังสือ ริมฝีปากบางเฉียบคลี่ยิ้มอย่างยียวน
ร่างระหงในชุดกระโปรงเข้ารูปยืนยกมือข้างหนึ่งเท้าสะเอว แต่มืออีกข้างของเธอกำลังเล็งปืนพกขนาดกะทัดรัดมายังเจ้าของร้านเช่นกัน
ใบหน้าที่ซ่อนอยู่ใต้แว่นกันแดดเชิดขึ้นเล็กน้อย
“ตื่นเร็วนี่.. ว่าจะปลุกซะหน่อย”
เธอกล่าวพลางกระชากสไลด์ให้ลูกที่ค้างในลำกล้องดีดออก นิ้วเรียวยาวดึงชายกระโปรงที่สั้นอยู่แล้วของเธอขึ้นเพื่อเก็บมันซ่อนไว้ในร่มผ้า
ผู้ที่นอนชันตัวขึ้นพร้อมกับผิวปากทันที
หญิงสาวปัดผมบลอนด์ยาวของเธอไปด้านหลังราวกับไม่สนใจเสียงแซวของเจ้าบ้าน เธอหยิบการ์ดใบเล็ก ๆ จากอกเสื้อดีดส่งให้คนที่มองอยู่
“หาให้หน่อย”
ดวงตาสีเข้มหรี่ลงเล็กน้อย เขาหยิบกระดาษแข็งขนาดเท่านามบัตรใบนั้นขึ้นอ่าน ตัวอักษรภาษาอังกฤษสลับกับตัวเลขที่ปรากฏบนกระดาษทำให้เขาหัวเราะออกมา
“นี่ร้านค้าของโบราณนะขอรับ ไม่ใช้ร้านค้าอาวุธสงคราม...”
“ถ้านายหาไม่ได้ก็ไม่ต้องไปหาที่ไหนแล้วล่ะ ซิล...วา...”
เจ้าของชื่อเหลือบมองเจ้าของการ์ดอีกครั้ง เป็นเรื่องที่ชินหูเสียแล้วที่จะถูกชาวต่างชาติออกเสียงชื่อตัวเองเพี้ยนไป แต่สำหรับผู้หญิงคนนี้เขารู้ดีว่านั่นเป็นการออกเสียงเน้นทีละพยางค์เพื่อประชดประชัน
ศิวะลุกขึ้นยืนพร้อมกับเสียบปืนของตนไว้ที่ขอบกางเกงด้านหลัง กระดาษใบนั้นถูกเขาโยนทิ้งอย่างไม่ใยดี
“กระผมต้องเป็นฝ่ายพูดประโยคนั้นมากกว่า ถ้าขนาดเจ้านายของคุณหนูยังหาไอ้นั่นให้ไม่ได้ ร้านเล็ก ๆ ของกระผมจะไปหาได้ยังไง”
คำพูดและน้ำเสียงเชิงเสียดสีกลับทำให้คิ้วเรียวบางขมวดอย่างไม่พอใจ
“งั้นแปลว่าฉันมาผิดที่ บาย...” หญิงสาวยักไหล่เล็ก ๆ
ต้นแขนของร่างผิวเนื้อละเอียดถูกคว้าไว้ก่อนที่เธอจะพลิกตัวหันหลัง
“มาไม่ทันไรก็จะกลับแล้วหรือ”
“ก็แค่แวะมาให้เจ้าถิ่นเห็นหน้า เสร็จแล้วจะอยู่ต่อทำไม”
ปลายนิ้วเรียวยาวปัดฝ่ามือที่จับแขนเธอแต่มือของฝ่ายตรงข้ามกลับเลื่อนขึ้นมาขยับแว่นกันแดดบนใบหน้าโค้งมนนั้นออกแทน
“ถ้ามาเพราะกระผมเป็นเจ้าถิ่น งั้นกระผมควรจะใช้วิธีเดิมเก็บค่าธรรมเนียมผ่านทางก่อนดีมั้ยขอรับ”
เจ้าของมือกล่าวพลางลูบไปตามพ่วงแก้มของแม่สาวต่างชาติที่อยู่ตรงหน้า
“ถ้าไม่จ่ายจะถูกนายวางยาอีกมั้ยล่ะ” ริมฝีปากสีแดงสดนั้นยิ้มอย่างชั่วร้าย
หลายครั้งที่รอยยิ้มเช่นนี้ปรากฏอยู่บนหน้าของเธอมักจะมีเสียงปืนและกลิ่นคาวเลือดตามมาเสมอ
“ถ้าคุณหนูไม่ง้างเล็บข่วน กระผมก็ไม่ใช้ให้เปลืองหรอก” เจ้าของเค้าหน้าคมขำนั้นส่งยิ้มที่รู้ทัน
เอวคอดกิ่วถูกรวบไว้ในวงแขนโดยง่าย ร่างบอบบางเองไม่ได้ขัดขืนที่อีกฝ่ายจะบดเบียดริมฝีปากบนตัว เธอขยุ้มไปตามบ่ากว้างนั้นและโอบกอดร่างกายสูงใหญ่ผิดกับผู้หญิงเอเชียโดยทั่วไป
“แต่คราวนี้ฉันอยากให้นายป้อนยา...” หญิงสาวเปรย
ผู้ที่กำลังซุกไซร้ไปตามลำคอชะงักเมื่อได้ยิน
เจ้าของดวงตาสีเหล็กกล้ายกหัวขึ้นมองใบหน้าผุดผาด เธอสบตากับเขาโดยไม่มีท่าทีลังเล
หากไม่เคยรู้จักกันมาก่อนคงไม่คิดจะเอ่ยปากถาม
“มาคนเดียวหรือไง แล้วปู่โสมมันไปไหน”
และเขาก็เดาความคิดของอีกฝ่ายได้ไม่มีผิด เพียงแค่เอ่ยถึงบุคคลที่สามลูกแมวที่เคยเชื่องก็ออกเขี้ยวเล็บกลายเป็นแม่เสือได้ทันที
มือเรียวบางเลื่อนคว้าปืนลูกโม่ที่เหน็บไว้หลังเอวของอีกฝ่ายแต่เจ้าของปืนนั้นเคลื่อนไหวเร็วกว่า เขาคว้ามือเธอไว้พร้อมกับพลิกตัวกดเธอนอนคว่ำลงกับพื้นเพื่อไม่ให้ร่างอ้อนแอ้นนี้ออกฤทธิ์ต่อ ถ้าเป็นคนอื่นเขาอาจจะแค่แย่งปืนกลับ แต่สำหรับผู้หญิงคนนี้หากปล่อยให้เธอขยับตัวได้ข้าวของในร้านที่อุตส่าห์สะสมมาคงพินาศไม่เหลือสภาพดีแม้แต่ชิ้นเดียว
อาวุธที่ซ่อนใต้กระโปรงสั้นถูกดึงขึ้นมาแล้วโยนออกไปให้ห่างจากมือเล็ก ๆ ที่ดูแล้วไม่น่าเชื่อว่าจะมีแรงยิงมัน เธอส่งเสียงสบถให้พรคนที่จับกุมตัวเธอดังลั่น
อีกชั่วครู่เจ้าของผมสีบลอนด์เข้มก็เลิกดิ้นรนให้เป็นอิสระ
ในระยะประชิดเช่นนี้คนตัวเล็กกว่ายอมรู้ดีว่าไม่มีทางสะบัดตัวให้หลุดพ้นจากข้อมือที่เหมือนคีมเหล็กคู่นั้นได้ ยิ่งไม่มีอาวุธด้วยแล้วยิ่งไม่ต้องคิดเลยว่าจะเอาคืนอีกฝ่ายได้อย่างไร
“ครอสซิโอน่า”
“นั่นไม่ใช่ชื่อฉัน...!” หญิงสาวตวาดก่อนที่อีกฝ่ายจะเอ่ยจบ
ร่างผิวสีเข้มชะงักไปเล็กน้อยก่อนเปลี่ยนไปเรียกชื่ออื่นของเธอที่เขารู้
“รีเบคก้า”
“หุบปาก...!”
เสียงที่เกรี้ยวกราดกว่าเดิมทำให้คนเรียกนิ่งเงียบไปอีกรอบ
“จะให้ฉันเรียกเธอว่าคุณพี่ค่ะคุณพี่ขาเหมือนเด็ก ๆ ในร้านของเธอหรือไง” เขากล่าวประชดด้วยน้ำเสียงที่บีบแหลมเล็กเหมือนกับสาว ๆ เวลาจีบปากจีบคอพูด
คนที่ถูกจับเอี้ยวตัวกลับมามองพักหนึ่งก่อนจะหัวเราะท้องคัดท้องแข็งโดยลืมความฉุนเฉียวเมื่อครู่ไปเสียสนิท
ร่างผิวสองสีส่ายหัวอย่างหน่ายใจ เขายอมปล่อยมือที่กดหัวไหล่และข้อมือของหญิงสาวออก
“เอ้า! สไนเปอร์ก็สไนเปอร์...”
“...”
เจ้าของชื่อที่ศิวะกล่าวมาทั้งหมดดันตัวขึ้นเมื่อได้ยิน เธอยกมือปิดริมฝีปากบางได้รูปของเขา
“นายไม่เคยเรียกฉันแบบนั้น” เธอพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง
“...”
ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนที่จ้องมาทำให้ผู้ที่ถูกมองตกตะลึงไปชั่วครู่
มีหรือที่เขาจะไม่รู้นัยของอีกฝ่าย
มีหรือที่เขาจะไม่รู้เหตุผลที่ทำให้ผู้หญิงคนนี้กำลังร้องขอ
เธอกำลังร้องขอกับคนที่เธอเคยปฏิเสธมาตลอด
“ฉันไม่ใช่คนดีซะด้วยสิ”
เจ้าของดวงตาสีเหล็กกล้ากล่าวพร้อมกับดึงมือคนที่อยู่ตรงหน้าออก เขาเบียดจูบประทับลงบนริมฝีปากที่เผยอรอ มือที่กว้างและใหญ่กดร่างที่เพรียวบางไว้กับตนเอง
“และนายก็ไม่ใช่คนโง่ด้วย”
หญิงสาวเอ่ยเบา ๆ ยามเมื่อริมฝีปากเธอเป็นอิสระ
หากเป็นอีกคนหนึ่งที่เธอกำลังคิดถึง แทนที่ร่างกายนี้จะถูกโอบกอดอาจกลับกลายเป็นถูกผลักไส
ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนดุจอำพันหรี่ลงทีละน้อย เจ้าของเรือนร่างอรชรตอบรับความรู้สึกที่รุนแรงเหมือนสัตว์ป่า
สัตว์ป่าที่แสนดุดันน่ายำเกรงแต่มีเสน่ห์เย้ายวน
แม้บุคคลทั้งสองจะทระนงและเย่อหยิ่งเช่นเดียวกัน แต่กลิ่นกาย จุมพิตและบทรักนั้นแตกต่างโดยสิ้นเชิง
ไม่มีสิ่งใดเลยที่คนตรงหน้าจะคล้ายคลึงราชันย์ผู้ยโสคนนั้น แต่เพราะเช่นนี้... จึงทำให้เธอดั้นด้นมาถึงที่นี่ แล้วเหตุใดเธอถึงยังปรารถนาภาพลวงตาที่จะล่อหลอกให้เพ้อไปกับความถวิลหาอีก
ชุดเข้ารูปเนื้อบางถูกถอดออกจากตัว สายรัดปืนถูกแกะออกแล้วผิวเนื้อข้างใต้ก็ถูกประทับรอยด้วยการขบเม้ม ชั้นในชิ้นสุดท้ายถูกกองทิ้งไว้ข้าง ๆ ผิวเนื้อละเอียดเรื่อแดงจากการสัมผัส เสียงครางดังแผ่วเบาและลมหายใจที่กระชั้นถี่นั้นกำลังเรียกร้องการครอบครอง
แต่สำหรับเจ้าของดวงตาสีดำสนิทนั้นมันกลับเหมือนคมอาวุธที่ถาโถมใส่เสาแห่งเกียรติยศในจิตใจ
มีหรือที่ตัวเขาจะไม่ตระหนัก
ยามลำแขนเรียวงามนี้กอดรัด จิตใจของเธอกลับล่องลอยคำนึงถึงผู้อื่น
ถ้ามิใช่เพราะความลุ่มหลงจนยากจะถอดถอนแล้ว เขาคงไม่ยินยอมเป็นแค่ตัวแทนเพียงครั้งคราวของคนผู้นั้น แต่ความพยศของตัวเขาเองยังไม่หมดสิ้น
ความรู้สึกที่ติดตรึงเธอกลับไปจะมีเพียงตัวตนของคนที่เธอเคยปฏิเสธเท่านั้น
ริมฝีปากเอิบอิ่มแทบจะบอบช้ำจากจุมพิตที่บดเบียดซ้ำแล้วซ้ำเหล่า ความชื้นหวานของมันถูกลิ้มชิมราวกับกลัวเกรงว่ารสชาตินี้จะหมดลง ทรวงอกได้รูปถูกเค้นคลึงปลุกเร้าอารมณ์ให้ลุกไหม้ กลิ่นอายของเรือนกายถูกเร่งความหอมจากบทเล้าโลมที่เร้าร้อน
ปฏิกิริยาของหญิงสาวบ่งบอกว่าเธอต้องการตัวเขามากแค่ไหน และเขาเองก็ไม่จำเป็นที่จะต้องรีรอ
เสียงครางและปลายเล็บที่จิกข่วนตามแผ่นหลังเร่งเร้าให้ผู้ล่วงล้ำโถมแรงทั้งหมดที่ตัวเองมี ร่างแบบบางนั้นกระตุกเกร็งทุกจังหวะที่ถูกนำเสนอ ความรัญจวนที่กระหน่ำซ้ำแล้วซ้ำเหล่าตอกย้ำความรู้สึกที่ปรารถนา
กลีบปากแดงเรื่อพ่นลมหายใจอย่างอ่อนโรย ดวงตาสีอำพันปิดสนิทนิ่ง
มือหยาบกว้างกวาดลูบไปตามร่างกายของหญิงสาว ทุกส่วนสัดของเธอถูกประทับร่องรอยไม่ว่างเว้น
เจ้าของฝ่ามือดันตัวขึ้นช้า ๆ ก่อนจะก้มลงอีกครั้งเพื่อจุมพิตบุปผาที่เอิบอาบด้วยรสหวาน ลิ้นร้อนลื่นแหวกสำรวจทุกองค์ประกอบของดอกไม้ ยอดเกสรถูกขบเม้มให้ชูช่อ ร่องหลีบที่ซ่อนเร้นน้ำทิพย์ถูกดูดดื่มทุกหยาดหยด
เพียงแค่การรุกเร้านี้ก็สามารถทำให้ผู้ถูกชื่นชมนั้นอ่อนสิ้นเรียวแรง
ดวงตากลมโตค่อย ๆ ลืมขึ้นทีละน้อย ความรู้สึกนั้นเหมือนม่านหมอกยังไม่สลายสิ้น นิ้วเรียวยาวของเธอขยุ้มไปตามศีรษะที่ปกคลุมด้วยผมสีดำเข้ม
สิ่งลื่นร้อนที่พยายามจะแทรกเข้ามาแต่ก็หยุดไว้เพียงรอบนอกนั้นแทบจะทำให้เธอขาดใจ
หญิงสาวดันอีกฝ่ายออกอย่างสิ้นความอดทน ริมฝีปากแดงจัดนั้นเป็นฝ่ายรุกไล่พรมจูบไปตามใบหน้าคู่ของเธอ ร่างปราดเปรียวร่างนี้สั่นเพื่อมไปด้วยความต้องการ เธอเบียดตัวนาบชิดเสียดสีเรือนกายเพื่อร้องขอการตอบสนอง
แต่เสื้อสีจัดจานนั้นเป็นสิ่งที่ขัดขวางเนื้อสัมผัส...
มือบอบบางพยายามทั้งปลดทั้งดึงราวกับมันเป็นส่วนเกินแต่เจ้าของเสื้อกลับยังคงดึงดันที่จะสวมใส่มันอยู่
ดวงตาสีน้ำตาลใสหรี่มองอย่างไม่พอใจ
“ไม่มีบุชคนไหนยอมให้เธอถอดง่าย ๆ หรอกนะ แม่เครื่องลายคราม” ผู้กล่าวยึดแขนกลมกลึงของเธอไว้แต่ริมฝีปากเขากำลังซอนไซ้ลิ้มรสทรวงอกที่นุ่มนิ่ม
ร่างเพรียวบางดันศีรษะนั้นออก เธอเป็นฝ่ายดึงใบหน้าคมเข้มนั้นขึ้นจูบเอง
“ฉันอยากเห็นรูปร่างนาย” เธอกล่าวยามเมื่อผละริมฝีปากออก
คน ๆ นั้นยิ้มกริ่ม ดวงตาสีนิลทั้งคู่ราวกับทอประกายแห่งชัยชนะออกมา
“แค่เสื้อตัวนี้ก็ได้...” น้ำเสียงเล็ก ๆ ที่แข็งกร้าวอ่อนลงเป็นเชิงเว้าวอน
นิ้วเรียวยาวขยุ้มไปตามปกเสื้อที่ยู่ยับก่อนจะกรีดปลายเล็บไล่ลงมาตามสาบเสื้อช้า ๆ
“ฉันอยากลูบไปตามเนื้อตัวของนาย”
ศิวะช้อนมือที่ลากวนไปตามหน้าท้องขึ้นจูบอย่างแผ่วเบา เขาขยับหญิงสาวให้ถอยห่างก่อนจะปลดกระดุมและดึงเสื้อตัวนั้นออก
ผิวสีน้ำตาลแดงตัดกับเสื้อกล้ามสีขาวเด่นชัด หัวไหล่และลำแขนนั้นกระชับด้วยกล้ามเนื้อที่ทรงพลัง
หญิงสาวประทับทุกส่วนที่เธอเห็นด้วยริมฝีปากสีกุหลาบ เธอลากไล้ไปตามร่างกายแข็งแกร่งชวนหลงใหล ร่างกายที่เปลือยเปล่าแนบชิดผิวเนื้อที่มีผ้าบางขวางกั้น ลำแขนกลมกลึงนั้นกอดรัดคู่ของเธอไว้แน่นราวกับอสรพิษ
ทุกอย่างที่เธอกระทำแสดงถึงอารมณ์ที่คุกรุ่น
และทุกอย่างที่เธอกระทำแสดงถึงความโหยหาผู้ที่อยู่ในห้วงคำนึงของเธอ
“นี่จะมายั่วให้ฉันกลับไปสู้รบกับปู่โสมอีกหรือไง” ผู้พูดแม้จะมีรอยยิ้มบนใบหน้าแต่น้ำเสียงที่กล่าวไม่ได้หยอกล้อด้วย “ถึงเธอจะปฏิเสธอีกแต่คราวนี้ฉันไม่ใจดีปล่อยให้เธอหลุดมือไปแบบครั้งก่อนแล้วนะ”
ร่างบอบบางหัวเราะออกมา
“อย่างที่นายพูดแหละศิวะ... ที่นี่ร้อนไม่ต่างจากทะเลทราย และฉันก็เป็นแค่ภาพลวงตาของนาย เท่านั้น...”
เจ้าของดวงตาสีเหล็กกล้ามองสีหน้าของเจ้าของเค้าหน้าที่คมหวาน
“มาเป็นผู้หญิงของฉันเถอะหน่า”
“นายยังไม่ยอมเป็นเด็กในสังกัดฉันเลยนี่” หญิงสาวตอบพร้อมกับรอยยิ้มที่แสนชั่วร้าย
มือบอบบางลูบไล้ใบหน้าคมสัน เธอเลิกผมที่ปิดหน้าผากนั้นขึ้นเผยให้เห็นรอยแดงจาง ๆ ที่ผ่ากลางราวกับดวงตาดวงที่สามที่ปิดอยู่ ริมฝีปากเอิบอิ่มก้มจูบปานนั้นก่อนเลื่อนกลีบปากมาตามสันจมูกที่ได้รูป
“แต่ถ้านายหาของที่ฉันอยากได้มาให้ มันก็อีกเรื่องหนึ่ง... “
เธอกระซิบเบา ๆ ยามที่จุมพิตมาถึงใบหู
“โห... บังคับกันแบบนี้อีกแล้วเหรอเนี่ย” เขาอุทธรณ์ “ปู่โสมมันเคยบอกมั้ยว่าเธอร้ายกาจขึ้น”
คนตัวสูงสะดุ้ง เมื่อลำคอของตนโดนฝังเขี้ยวเล็ก ๆ ลงไป
เจ้าของเขี้ยวหัวเราะในลำคอราวกับเยาะเย้ย
ลิ้นเล็ก ๆ ของอีกฝ่ายที่กำลังละเลงเล่นอยู่ทำให้เขารู้ว่าแผลนี้จะติดแน่นบนคอของเขาเป็นอาทิตย์
มือใหญ่กว้างลูบไปตามแผ่นหลังที่เนียนลื่นและขยุ้มไปตามสะโพกกลมกลึง เขาจูบไปตามหัวไหล่บอบบางและลำคอระหง
เสียงครางแหลมเล็กนั้นรับดังกับเสียงกระดิ่งที่ต้องลม
พัดลมโบราณที่หมุนอยู่กลางเพดานมิได้บรรเทาความร้อนลงได้เลย ที่นี่ยังคงอบอ้าว แต่คนที่อยู่ที่นี่รุ่มร้อนมากกว่า
เธอเป็นเพียงภาพมายาที่ฉันสร้างขึ้น …
......
“นาย...ของที่นายให้ไปเอา ผมเอาไปเก็บตามที่นายสั่งแล้วนาย”
“เออ... ขอบใจ”
ร่างสูงใหญ่กว่าผู้หญิงเอเชียทั่วไปตอบพลางเป่าฝุ่นจานกระเบื้องเก่า ๆ ในมือของตัวเอง บนโต๊ะไม้สักตัวใหญ่ยังเต็มไปด้วยเศษกระเบื้องเศษเล็กเศษน้อยว่างบนผ้ากำมะหยี่อย่างถนอม
“ว่าแต่เอาไปซ่อนมิดชิดแบบนั้น ถ้าไม่โทรถามนายอีกรอบใครจะไปหาเจอล่ะนาย”
ชายรูปร่างสันทัดเดินมายืนข้าง ๆ พลางจ้องมองของสิ่งนั้นไปด้วย
“ถ้าให้คนหาเจอมันจะเรียกว่าซ่อนเหรอวะ”
คนที่พูดกล่าวอย่างรำคาญพร้อมกับโบกมือไล่ให้อีกฝ่ายออกไปไกลมือไกลเท้า
ศิวะยกเศษกระเบื้องชิ้นเล็ก ๆ บรรจงวางบนรอยแตกของชิ้นแรกอย่างระวัง แต่ไม่ทันจะได้หยอดกาวเชื่อม มือเขาก็กระตุกเพราะเสียงจากโทรทัศน์ที่จู่ ๆ ก็ดังขึ้น
ชายคนเมื่อครู่ยืนดูโทรทัศน์ที่ตัวเองเปิด
ภาพที่ปรากฏเป็นรายงานข่าวของตัวแทนผู้นำตะวันออกกลางที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งถูกลอบยิงตายที่ขณะกำลังจะเข้าพักในโรงแรมห้าดาวท่ามกลางการอารักษ์ขาที่เข้มงวด
ดวงตาสีดำสนิทเหลือบมองเล็กน้อยก่อนละความสนใจกลับมายังของในมือตามเดิม
“มือปืนรอบนี้มันแน่นะนาย... ตำรวจตรวจค้นอาคารที่น่าสงสัยแล้วแต่ยังไม่เจอร่องรอย นี่ตอนเอาของไปส่งให้นายก็เห็นด่านตรวจปิดถนนเหมือนกัน”
“ตำรวจไทยมันก็แบบนี้ ตรวจค้นกิโลสองกิโลมันจะไปเจออะไร”
เจ้าของร้านขายของโบราณค่อย ๆ วางชิ้นส่วนเล็ก ๆ ประกบกันอีกครั้ง
“ปืนส่องมันก็แค่กิโลเดียวไม่ใช่เหรอนาย”
“ตำรวจทหารน่ะกิโลเดียว ผู้ก่อการร้ายสองกิโล แต่บางคนระยะหวังผลได้สามกิโล”
กาวแบบพิเศษถูกหยดลงบนรอยแตกเชื่อมกระเบื้องสีน้ำเงินเหลื่อมเทาให้ติดกันได้สำเร็จ เจ้าของจานกระเบื้องเริ่มมองหาเศษชิ้นต่อไปที่จะเอามาต่อกับมัน
ผู้ที่ฟังยืนมองนายของเขาอย่างงุนงง
“สามกิโลมันก็ไกลพอ ๆ กับตึกที่ผมไปเอาของให้นายแล้ว...นะ....นาย...” ชายรูปร่างสันทัดลดระดับเสียงของตัวเองลงทันที “ผมไปล้างรถนะนาย...”
“เออ... ก็ดี... จะได้ไม่ต้องพูดมากอีก”
เขาพยักหน้าพร้อมกับรีบเดินออกจากร้านเล็ก ๆ แห่งนั้นไปโดยเร็ว
เจ้าของร้านยกเครื่องกระเบื้องของตัวเองขึ้นส่องกับแสงไฟ สีน้ำเงินเหลื่อมเทาหม่นนั้น ๆ ส่องประกายราวกับสีท้องทะเล
“ถ้าไม่มีแสงนี่ ชิ้นนี้ไม่ได้เรื่องเลยแฮะ...” เขาพึมพำ “ไม่ใช่ของแท้... มันก็แค่เศษกระเบื้องไม่ใช่เครื่องลายครามอยู่ดี น่าเสียดาย…”