ศศิมากอดอักษราเอาไว้พอให้อีกฝ่ายได้รับรู้ถึงความห่วงใยที่เธอมีอยู่เต็มหัวใจ หากแต่ในหัวใจของตัวเองก็กลับรู้สึกแปลกๆ อย่างไรชอบกลกับอาการของคนที่เธอกำลังโอบกอดอยู่ ผู้หญิงสักคนร้องไห้เอามากเอามายขนาดนี้ก็ไม่น่าจะพ้นไปจากเรื่องราวของความรัก ศศิมากอดกระชับอักษราให้แน่นขึ้นอีกเล็กน้อย คนที่ถูกโอบกอดก็เบียดตัวเข้าหาอ้อมกอดนั้นด้วยเช่นกัน
“แอบมีใครอยู่ในใจเมื่อไหร่กันนะ แล้วใครกันที่มีอำนาจในหัวใจของบุ๊คมากมายขนาดนี้ ตั้งแต่รู้จักกันมาไม่เคยได้เห็นน้ำตาเลยสักครั้ง และครั้งนี้ก็เป็นครั้งแรก พี่หวังว่าจะเป็นครั้งสุดท้ายนะบุ๊ค พี่ศศิของบุ๊คจะทำให้บุ๊คยิ้มอย่างมีความสุขพี่สัญญา” ทั้งหมดศศิมาคิดอยู่เพียงลำพัง เพราะคำพูดที่ได้พูดกับอักษราไปว่าเธอจะไม่ถามอะไรทั้งสิ้นหากยอมให้เธอโอบกอดเอาไว้ และศศิมาก็รักษาสัญญานั้น
พราวฟ้าเพิ่งจะรู้สึกว่าร่างกายตัวเองไม่ยอมเคลื่อนไหวไปตามคำสั่งของสมอง เธอยังคงยืนมองภาพของอักษราที่กำลังถูกศศิมาตระกองกอดอยู่ ไม่รู้เหมือน กันว่าจะยืนดูอยู่ทำไมทั้งๆ ที่ก็ไม่ได้อยากเห็น คำปลอบโยนของศศิมาถึงแม้จะได้ยินไม่ชัดนัก แต่ก็พอจะทำให้รู้ได้ว่ามันมาจากความรู้สึกดีดีที่มีให้กับอักษราอย่างมากมาย
“จะมายืนดูอยู่ทำไมกันนะ ไม่ใช่เรื่องของตัวเองสักหน่อย” พราวฟ้าบ่นกับตัวเองก่อนที่จะปาดน้ำตาซึ่งไม่รู้ว่าไหลรินมาตั้งแต่เมื่อไหร่ เธอพยายามรวบรวมจิตใจและบังคับความรู้สึกของตัวเองให้เดินจากมาและกลับมานั่งลงที่เก้าอี้ตัวเดิมซึ่งยัง คงมีสมุดบันทึกเปิดอยู่ หลังจากนั่งลงแล้วจึงรวบรวมกำลังใจสูดลมหายใจลึกๆ เพื่อ ที่จะขจัดน้ำตาให้หายไป และเธอจะต้องทำให้ได้ก่อนที่อักษราและศศิมาจะเดินกลับเข้ามาในบริเวณที่เธอนั่งอยู่ หลังจากได้เห็นภาพนั้น ทำให้เรื่องราวเก่าๆ ระหว่างเธอกับอักษราก็กลับเข้ามารบกวนจิตใจอีกครั้ง แต่อันที่จริงมันก็ไม่เคยห่างหายไปไหนยังคงอยู่ในหัวใจของเธอเสมอมา หากแต่ว่ามีเธอเพียงคนเดียวเท่านั้นที่คิดว่าจะสามารถลืมเลือนมันไปได้สักวัน ถ้าอยู่ห่างกันคนละซีกโลก แล้วคำถามของวิลาวัลย์ก็กลับเข้ามาในความคิดของพราวฟ้าอีกครั้ง
“ลองถามตัวเองดูว่าที่กลับมาเพราะอะไร อยากหรือไม่อยากพบกันแน่”
“พบแล้ว แต่มันกลับสร้างความเจ็บปวดให้มากกว่าเดิม ไม่รู้จะกลับมาทำไมนะพราวฟ้า” พราวฟ้าพูดกับตัวเอง
“รู้สึกไม่สบายหรือเปล่าคะ ทางรีสอร์ทของเรามีแพทย์ที่สามารถมาตรวจให้ได้นะคะ ถ้าหากรู้สึกว่ามีอาการป่วยหรือไม่สบายเกิดขึ้น” พนักงานของรีสอร์ทเดินเข้ามาถามเธออาจจะเพราะได้เห็นเธอแอบเช็ดน้ำตา
“ขอบคุณค่ะ พอดีฝุ่นเข้าตานิดหน่อยค่ะ ขอบคุณมากนะคะ” พราวฟ้าฝืนยิ้มให้กับพนักงานซึ่งแสดงความห่วงใยในตัวเธอ หลังจากพนักงานขอตัวกลับไปทำงานพราวฟ้าก็เปิดสมุดบันทึกดอกมะลิที่เหี่ยวแห้งซึ่งถูกทับไว้อยู่กับหนังสือและสมุดบันทึกซึ่งจะเปลี่ยนไปตามการพกพาของเธอ พราวฟ้ามักมีสมุดบันทึกหรือไม่ก็หนังสือติดกระเป๋าอยู่เสมอและดอกมะลิช่อนั้นก็จะติดตามเธอไปด้วยในทุกๆ ที่ที่ต้องเดินทาง พอนึกถึงกลิ่นหอมๆ ของดอกมะลิสีขาวสะอาดกับใบสีเขียวสดก็ทำให้เธอยิ้มได้ เพราะคำพูดของใครบางคนที่อยู่ในความทรงจำของเธอตลอดมา
“จากที่บ้านค่ะ เพิ่งบานเมื่อเช้านี้ หอมและสวยดี บุ๊คเลยเก็บมาฝาก เขาว่ากันว่ากลิ่นหอมๆ ของดอกไม้จะทำให้รู้สึกสดชื่นขึ้น หวังว่าจะช่วยเป็นกำลังใจในการทำงานให้พราวนะคะ” คำพูดของอักษราซึ่งมาพร้อมกับดอกมะลิช่อเล็กๆ ที่ส่งกลิ่นหอมฟุ้งไปทั่วห้องทั้งๆ ที่จำนวนดอกในหนึ่งช่อที่ได้รับจะมีแค่เพียงสามดอกเท่านั้น ยิ้มวันนั้นกับยิ้มในวันนี้ถึงแม้มันจะต่างกัน แต่ดอกมะลิช่อนี้ก็ได้สร้างรอยยิ้มให้กับเธอ
“ตื่นได้แล้ว พราวฟ้า ในเมื่อเธอเลือกเองก็ต้องยอมรับในสิ่งที่ตัวเองได้เลือก
ไปแล้ว เธอต้องรับผิดชอบสิ” พราวฟ้าอยากหยิกตัวเองเสียยิ่งนักที่มานั่งนึกถึงเรื่อง ราวในอดีตในเวลานี้
“อ้าวพราวมาได้อย่างไรกันคะ” เสียงของศศิมากำลังดึงพราวฟ้าให้กลับ มาสู่วันเวลาของปัจจุบัน
“ขับรถมาเรื่อยเปื่อยค่ะ พี่ศศิ ว่าแต่ว่าที่นี่คงเป็นรีสอร์ทของพี่ศศิอย่างนั้นใช่หรือเปล่าคะ” พราวฟ้าไม่รู้จะพูดคุยอะไรในเวลานี้ ทั้งๆ ที่ก็พอจะรู้อยู่ว่าสถานที่แห่งนี้ต้องเป็นของสาวสวยที่กำลังลงนั่งที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับเธอ
“แหมช่างบังเอิญเหลือเกินนะคะ แต่เอพราวกำลังจะบอกพี่ว่า ไม่รู้ว่าที่นี่คือรีสอร์ทของพี่หรือเปล่าคะ” ศศิมายิ้มสวยๆ ให้กับเพื่อนรุ่นน้องของเธอและตอนนี้กำลังเป็นแขกซึ่งถือเป็นลูกค้าอีกคนที่เธอต้องดูแลในฐานะเจ้าบ้าน
“วิบอกเหมือนกันค่ะ ว่าพี่ศศิทำรีสอร์ทอยู่ แต่ก็ไม่ได้ถามรายละเอียดว่าอยู่ที่ไหนอย่างไร แต่พราวขับรถผ่านที่นี่เห็นสวยดีก็เลยขับรถเข้ามาอากาศดีมากค่ะ คิดว่าน่าจะใช่รีสอร์ทพี่ศศิแน่ๆ ตอนที่เห็นพี่เดินเข้ามาทักพราว” พราวฟ้าพยายามทำให้ตัวเองดูเป็นปกติถึงแม้จะรู้สึกว่าศศิมากำลังจ้องมองเธอแปลกๆ ก็ตามที
“ไม่สบายหรือเปล่าพราว เหมือนคนเพิ่งร้องไห้มาเลยนะเราน่ะ” ศศิมาเห็นดวงตาที่แดงๆ ของพราวฟ้าจึงถามไปอย่างนั้น เพราะถ้าหากตาไม่ได้แดงเพราะผ่านการร้องไห้มาก็อาจจะคาดเดาได้ว่า เพื่อนรุ่นน้องของเธออาจจะกำลังป่วยและรู้สึกไม่สบายก็เป็นได้
“ฝุ่นเข้าตานิดหน่อยค่ะ พอดีพราวไปขยี้ตาเข้าก็เลยเป็นอย่างที่พี่ศศิเห็น น่ารักทั้งเจ้าของและพนักงานเลยนะคะ พนักงานของพี่ศศิก็เดินมาถามพราวเมื่อสักครู่นี้เองค่ะ” พราวฟ้ายิ้มกว้างเพื่อให้อีกฝ่ายสบายใจขึ้น
“ก็แล้วไป เป็นห่วงนึกว่าไม่สบายจะได้ให้หมอมาดู อ้อบุ๊คมาพอดีเชิญทางนี้หน่อยค่ะ พี่มีคนอยากแนะนำให้บุ๊ครู้จัก” เสียงเรียกของศศิมาทำเอาทั้งสองสาวก็คือพราวฟ้าและอักษรารู้สึกตกใจ ซึ่งฝ่ายหลังพยายามเดินเลี่ยงๆ ให้ห่างจากโต๊ะที่ศศิมากับพราวฟ้านั่งอยู่ อักษราคิดว่าเจ้าของรีสอร์ทคงเข้าไปพูดคุยกับพราวฟ้าซึ่งเป็นลูกค้าตามปกติ แต่ไม่คิดว่าจะเรียกเธอ เพื่อจะแนะนำและให้เธอทำความรู้จักกับพราวฟ้าซึ่งกำลังทำหน้าตาแปลกๆ เมื่อได้ยินศศิมาเรียกชื่อของเธอ
“ค่ะ” อักษราไม่รู้จะหลีกเลี่ยงอย่างไร จึงเดินเข้าไปที่โต๊ะซึ่งทั้งสองสาวนั่งอยู่ หากแต่ว่าก็ไม่รู้จะทำอย่างไรเช่นกัน เธอควรจะบอกกับศศิมาหรือไม่ว่าเธอกับพราวฟ้ารู้จักกันมาก่อน
“บุ๊คจ๊ะ นี่พราวรุ่นน้องมหาวิทยาลัยเดียวกับพี่ แล้วนี่บุ๊คเป็นผู้ช่วยพี่เองค่ะพราว” ศศิมาสังเกตดูสองสาวซึ่งยิ้มเจื่อนๆ ด้วยกันทั้งคู่ สำหรับอักษราเธอพอจะเข้าใจว่าเพิ่งผ่านการร้องไห้มาเมื่อสักครู่ จิตใจอาจจะยังไม่ค่อยสบายดีนัก แต่กับพราวฟ้าที่ดูจะหลบๆ สายตาของอักษราซึ่งศศิมาเองก็ไม่รู้ว่าทำไมหรือบางทีเธออาจ จะคิดมากเกินไปก็เป็นได้
“สวัสดีค่ะ คุณบุ๊ค ยินดีที่ได้รู้จัก” พราวฟ้าชิงทักทายขึ้นก่อนเพราะเธอก็สังเกตเห็นท่าทางแปลกๆ ของศศิมาเลยตัดสินใจที่จะทักทายอักษราเหมือนคนไม่ เคยรู้จักกัน หรือบางทีหัวใจของเธออาจจะไม่อยากเป็นคนรู้จักกับผู้หญิงที่กำลังนั่งลงข้างๆ ศศิมาก็เป็นได้
“ยินดีเช่นกันค่ะ” รอยยิ้มจางๆ ของอักษราพร้อมด้วยสายตาที่ดูเศร้าไปใน ทันทีที่ได้ยินคำทักทายจากคนที่เธอเคยรู้จักมานานแสนนาน แต่ตอนนี้ดูเหมือนเธอกำลังถูกหยิบยื่นความห่างไกลให้เพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม ระยะทางที่ห่างไกลโดยที่ไม่มีข่าวคราวอะไรเลยตลอดห้าปีกว่าๆ มันไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกว่าหัวใจของเธอห่าง ไกลจากผู้หญิงคนนี้มากเท่ากับการทักทายที่ได้ยินไปเมื่อสักครู่
“บุ๊ครู้ไหม พราวมาที่นี่ทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่าเป็นรีสอร์ทของพี่ มันบังเอิญมาเลยนะ ไอ้เรื่องบังเอิญบางทีมันก็เกิดขึ้นจนน่าแปลกใจบุ๊คว่าไหม” ศศิมาหันมายิ้มให้อักษราพร้อมกับโอบไปที่ไหล่เป็นการปลอบโยน เพราะรู้ดีว่าคนที่นั่งอยู่ข้างๆ กำลังต้องการ กำลังใจและการปลอบโยน
“เรื่องน่าแปลกใจมันเกิดขึ้นกับชีวิตคนเราอยู่ตลอดเวลาค่ะ บางทีก็อาจจะ มีเรื่องที่น่าแปลกใจกว่ากับการที่คุณพราวมาพบรีสอร์ทพี่ศศิโดยบังเอิญก็ได้นะคะ” อักษราสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพื่อเรียกกำลังใจและสติของตัวเองให้กลับคืนมา
“ใช่ ฟ้าคงอยากให้พวกเรามาพบกัน พาพราวมาหาพี่ถึงรีสอร์ท และทำให้บุ๊คกับพราวได้รู้จักกัน ถือเป็นเรื่องบังเอิญที่ดีสำหรับเราสามคนนะคะ” ศศิมายิ้มกว้างให้กับเพื่อนรุ่นน้องของเธอที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
“ขอบคุณค่ะ พี่ศศิ แต่พราวคงอยู่ที่นี่แค่คืนเดียว พรุ่งนี้คงออกเดินทางต่อ” พนักงานของร้านนำเครื่องดื่มมาให้ศศิมากับอักษรา
“ทำไมรีบล่ะคะ ตอนเข้ามายังบอกว่าจะพักอยู่หลายวันหน่อย คุณเขาบอก อย่างนี้จริงๆ นะคะ คุณศศิ” พนักงานของร้านทำให้พราวฟ้ายิ้มไม่ออก เพราะไม่ทันสังเกตว่าเป็นคนที่เธอได้พูดคุยทักทายกันตอนที่มาติดต่อขอเข้าพักที่นี่
“ทำไมเป็นอย่างนั้นล่ะคะ มีอะไรหรือเปล่าถึงจะรีบไป เที่ยวแถวนี้ให้ทั่วๆ ก่อนก็ได้มีที่เที่ยวเยอะเลยนะคะ มีฟาร์ม มีไร่ อยู่จำนวนไม่น้อยเหมาะกับการหาข้อมูลเขียนหนังสือนะ พี่ว่า” ศศิมาพูดยิ้มๆ เมื่อเห็นท่าทางแปลกใจของพราวฟ้า
“พี่ศศิทราบหรือคะ ว่าพราว”
“ยายวิเล่าให้ฟังเมื่อตอนงานเลี้ยงของมหาวิทยาลัย” ศศิมายิ้มให้พราวฟ้า
“ปากโป้งจริงๆ ยายวิ” พราวฟ้าบ่นพึมพำและคิดว่าเดี๋ยวจะต้องโทรไปจัด การเสียหน่อย
“เปล่าพี่ซักไซ้เองมากกว่าคะ เออนึกขึ้นได้ไม่ได้แนะนำให้บุ๊ครู้จักกับวิ พอดีวันนั้นคนเยอะมากเลยทักทายกันไม่ทั่วถึง” ศศิมาหันมายิ้มให้อักษราที่นั่งเงียบไม่ยอมพูดยอมจา ศศิมาจึงปล่อยมือออกจากการโอบไหล่ของอักษราแต่กลับดึงมือของอักษรามากุมไว้และวางไว้ที่ตักของเธอแทนแล้วหันมายิ้มให้อีกครั้ง
“บุ๊คขอตัวก่อนดีกว่าค่ะ พี่ศศิจะได้คุยกับเพื่อนเก่าได้สะดวกๆ หน่อย”
“อ้อเดี๋ยวมาทานกลางวันด้วยกันนะคะ จะได้คุยกันต่อ บุ๊คกับพราวรุ่นราวคราวเดียวกัน
น่าจะเป็นเพื่อนกันได้” ศศิมายิ้มให้กับทั้งสองสาว อักษรายิ้มจางๆ ก่อน ที่จะลุกออกไปจากโต๊ะ ซึ่งพราวฟ้าชายตามองแค่เพียงเล็กน้อย
หลังจากได้พูดคุยกับศศิมาอยู่พักใหญ่ พราวฟ้าก็เลือกที่จะมาเดินดูต้นไม้รอบๆ บริเวณรีสอร์ท ต้นไม้สูงใหญ่ตั้งตระหง่านนอยู่จำนวนไม่น้อย รวมถึงไม้ดอกนานาพันธ์ซึ่งกลิ่นหอมไปทั่วบริเวณนี้ ทำให้พราวฟ้ารู้สึกสดชื่นขึ้นแต่ความกังวลใจก็ยังไม่จางหายไปจากความบังเอิญที่ได้เกิดขึ้น
“รีสอร์ทมีตั้งมากมาย ทำไมถึงต้องเลือกที่นี่ด้วยนะ” พราวฟ้าพูดกับตัวเองและหวนนึกถึงคำพูดของวิลาวัลย์เพื่อนรักอีกครั้ง
“ไม่รู้พรหมลิขิตหรือเวรกรรม” เมื่อนึกถึงคำพูดของเพื่อนพราวฟ้าก็อมยิ้มขึ้นมาได้เล็กน้อยกับคำว่าพรหมลิขิตหรือเวรกรรม
“ตอนนี้คงจะเป็นเวรกรรมมากกว่าแล้วล่ะ วิ” พราวฟ้าพูดพึมพำโดยที่ไม่รู้ว่าอักษรายืนพิงต้นไม้อยู่อีกด้านเพราะลำต้นของต้นไม้ต้นนั้นใหญ่มากจนไม่สามารถ ที่จะรู้ได้เลยว่ามีใครยืนอยู่อีกด้านหนึ่ง
“เกลียดบุ๊คมากหรือพราว” เสียงนั้นทำให้พราวฟ้าหยุดชะงักและมองไปรอบๆ ก็เห็นอักษราเดินออกมาจากหลังต้นไม้ใหญ่ซึ่งลำต้นนั้นคนสองคนโอบกอดก็ไม่มิดแน่ๆ
“บุ๊ค” พราวฟ้าพูดเพียงแค่นั้น
“แค่คนรู้จักบุ๊คยังเป็นไม่ได้เลย นึกว่าพราวจะบอกพี่ศศิว่าเราเป็นเพื่อนกัน” อักษราพูดเสียงอ่อยๆ มองสบตากับพราวฟ้าที่มีสายตานิ่งๆ มองมาเช่นกัน
“มันคงดีกับเราทั้งสองคน สามมากกว่า พี่ศศิจะได้สบายใจด้วย” พราวฟ้าพูดจบก็จะเดินหนีไป
“คำทักทายของพราวในวันนี้ คงทำให้บุ๊คเกลียดตัวเองไปอีกนาน ขอโทษที่ทำให้รู้สึกอึดอัดกับการที่เราได้พบกัน เอาเป็นว่าระหว่างที่พราวพักอยู่ที่นี่บุ๊คจะไม่มาอยู่เกะกะให้พราวอึดอัดอีก จะได้ไม่ต้องหนีกันอีกต่อไป สถานะของคนรู้จักก็มากพอแล้วล่ะ สำหรับบุ๊ค ขอบคุณนะ” อักษราพูดจบก็เดินหายไปทางบริเวณห้อง พักของรีสอร์ท
“มันคงดีแล้วแบบนี้สำหรับบุ๊คและพี่ศศิ” พราวฟ้ามองไปทางที่อักษราเดินหายไปพร้อมกับถอนหายใจเล็กๆ ด้วยไม่รู้ว่าสิ่งที่พยายามบอกกับตัวเองกับหัวใจนั้นมันคิดตรงกันหรือไม่