เป็นเวลาหลายวันแล้วที่ไอฟ้าต้องนั่งรถมาทำงานกับคนหน้างอที่ไม่รู้ไปหารังแตนกินจากไหนทุกวัน บางวันก็พูดคุยกับเธอบ้างแต่แทบจะนับคำได้เพราะส่วนใหญ่พี่สาวตัวเล็กแทบจะไม่มองหน้าเธอเลยด้วยซ้ำ
วันนี้คงเป็นหนึ่งวันพิเศษที่ไอฟ้าได้ยินศิศิราพูดเรื่องลมฟ้าอากาศแบบลอยๆแต่ก็พอจะรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังคุยกับเธออยู่
"คนคุยด้วยทำไมเอาแต่เงียบเห็นฉันเป็นเพื่อนเล่นหรือไง"
นั่นไงหละหมัดแรกที่ฮุกเข้าท้องคนฟังอย่างจังจนต้องหันมาส่ายหน้าปฏิเสธอย่างเร็ว
"แล้วที่ฉันถามไปล่ะไหนคำตอบ"
"เอ่อ..."
ไอฟ้าได้แต่นึกทวนคำพูดของคนข้างๆในใจเธอไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายได้ถามอะไรมาอันที่จริงต้องบอกว่าเธอฟังบ้างไม่ฟังบ้างต่างหากถึงจะถูก
"นี่คงไม่ได้ฟังฉันจริงๆใช่มั้ย"
คนพูดเค้นเสียงในลำคอพร้อมกับสายตาที่แสดงออกถึงความไม่พอใจเป็นที่สุดถึงขนาดที่คนขับรถยังต้องแอบหันมามองอย่ากลัวๆ
"มีหน้าที่ขับรถก็ขับไป"
เท่านั้นแหละชายหนุ่มตัวใหญ่หดหัวแทบไม่ทันก่อนจะตั้งหน้าตั้งตาขับรถด้วยอาการสั่นไปทั้งตัว
"ส่วนเธอถ้าหูมีแล้วไม่ได้ใช้ประโยชน์อะไรไว้ว่างๆฉันจะตัดออกให้"
ศิศิราเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นๆก่อนจะหันไปมองนอกรถเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นส่วนคนถูกขู่ก็รีบยกมือทั่งสองข้างปิดหูทันทีเพราะไอฟ้ารู้ว่านี่ไม่ใช้แค่คำพูดเตือนแต่มันคือประโยคที่คนพูดหมายถึงอย่างนั้นจริงๆ
เมื่อมาถึงห้องศิศิราต้องพบกับความแปลกใจเพราะมีดอกไม้ช่อใหญ่วางอยู่ที่โต๊ะของตัวเอง หญิงสาวเดินเข้าไปหยิบขึ้นมาดูก็พบเข้ากับการ์ดที่ระบุชื่อคนรับอย่างชัดเจนว่าไม่ใช่เธอ
“เธอมานี่ซิ!”
ไอฟ้าหันซ้ายแลขวาก่อนจะชี้ที่ตัวเองอย่างงงๆทำเอาคนเรียกยิ่งหน้าตึงเข้าไปใหญ่
“ก็เธอนั่นแหละในห้องมีอยู่แค่สองคนจะให้ฉันไปเรียกผีที่ไหน”
“ชื่อก็มีไม่เรียกใครจะไปตรัสรู้ได้”
“พูดอะไร!”
“เปล่าค่ะ”
คนพูดต้องรีบยิ้มออกมากลบเกลื่อนนี่ขนาดเธอแค่บ่นเบาๆคนขี้โมโหยังอุตสาห์ได้ยินอีกหูจะดีไปไหน
“อะ”
ศิศิราพูดสั้นๆพร้อมกับยื่นดอกไม้ให้กับคนตรงหน้าแต่เพียงไม่นานก็ดึงกลับคืนจนคนที่กำลังยื่นมือออกมารับคว้าได้แค่เพียงอากาศ
“มีคนส่งมาให้เธอแต่ฉันว่าอย่างเธอคงไม่ชอบดอกไม้หรอกจริงมั้ย”
คนพูดมองดอกไม้ในมือสลับกับคนตรงหน้าครู่ใหญ่จากนั้นก็นำดอกไม้แสนสวยโยนทิ้งถังขยะด้วยใบหน้าที่เรียบเฉย
“ทิ้งเถอะเกะกะห้อง”
ไอฟ้ายืนมองช่อดอกไม้ที่ลงไปกองอยู่ในถังขยะตาละห้อยที่จริงเธอก็ไม่ได้อยากได้หรือพิสวาสอะไรดอกไม้ช่อนั้นเพียงแค่อยากรู้ว่าใครส่งมา
“แล้ว…”
“แล้วอะไรไปทำงานสิ! เลยเวลางานมานานแล้วนะอย่าอู้!”
ศิศิรามองคนที่เดินคอตกกลับโต๊ะอย่างหมั่นไส้มาทำงานไม่กี่วันก็ได้ดอกมงดอกไม้ หญิงสาวเอื้อมมือไปกดโทรศัพท์เรียกเลขาหน้าห้องเข้ามาก่อนจะจัดแจงชี้ไปที่ถังขยะของตัวเอง
“เอาไปโยนทิ้งให้หน่อย”
เลขาสาวมองช่อดอกไม้แสนสวยอย่างงงๆก่อนจะรีบดำเนินการตามที่เจ้านายสั่งด้วยความรู้สึกเย็นๆที่ต้นคอเพราะสายตาที่กำลังจ้องมองมาทางเธอ
“ปะปะไปแล้วค่ะ”
“เดี๋ยว”
“ค๊ะ”
“อย่าให้เห็นนะว่ามันไปตั้งอยู่ที่โต๊ะใคร เข้าใจใช่มั้ยคะคุณเลขา”
คนถูกสั่งได้แต่พยักหน้ารับก่อนจะรีบพาตัวเองออกไปให้เร็วที่สุดแม้จะไม่รู้เหตุผลว่าทำไมดอกไม้ช่อนี้ถึงได้มานอนในถังขยะแต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรเธอควรเอามันไปทิ้งให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้
ไอฟ้าแอบลอบสังเกตอาการแปลกๆของใครอีกคนมาพักใหญ่ เธอมั่นใจว่าตั้งแต่สภาพอากาศที่เปลี่ยนจากแสงเจิดจ้าของแดดเป็นความมืดมิดของเมฆฝนศิศิราก็ดูเหมือนกับกังวลใจอยู่ตลอดเวลาจนในที่สุดถึงกับลากเธอกลับบ้านทั้งๆที่ยังไม่เลิกงาน
ทันทีที่ถึงบ้านศิศิราก็เดินขึ้นห้องทันทีโดยไม่ยอมพูดอะไรเลยจนคนขี้สงสัยคิดที่จะเดินตามขึ้นไปเพื่อถามไถ่ให้รู้เรื่องแต่ยังไม่ทันที่จะก้าวไปอย่างใจคิดเสียงมือถือก็ดังขึ้นซะก่อน
เจ้าของมือถือมองชื่อของคนที่โทรมาอย่างแปลกใจเพราะตั้งแต่ได้เบอร์มาแม่เลี้ยงของเธอก็ไม่เคยจะโทรหาเลยสักครั้งแม้จะมีธุระด่วนเพียงใดก็จะฝากฝังให้พ่อของเธอเป็นคนบอก
“สวัสดีค่ะ”
“หนูอัยย์หรือเปล่าจ๊ะ”
“ค่ะ คุณแม่มีอะไรหรือเปล่าคะ”
ปลายสายเงียบไปครู่ใหญ่ก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความกังวลใจ
“พายุเข้าคืนนี้”
“งั้นมั้งค่ะที่นี่ก็มืดมาก”
“ยัยน้ำอยู่กับหนูใช่มั้ยลูก”
“เอ่อ…เปล่าค่ะพอดีอัยย์อยู่ข้างล่างส่วนพี่น้ำอยู่บนห้อง”
“วันนี้พ่อกับแม่ต้องไปค้างที่อื่นฝากดูแลพี่เค้าด้วยนะอัยย์ถ้าธุระไม่ด่วนจริงๆแม่ก็ไม่อยากทิ้งยัยน้ำไว้แบบนั้น”
ไอฟ้านิ่งฟังประโยคฝากฝังที่คนพูดทำราวกับว่าศิศิราเป็นเพียงเด็กน้อยอายุไม่กี่ขวบทั้งที่โตจนเตะเธอให้กระอักเลือดได้แบบสบายๆ
“อัยย์คงไม่คิดว่าแม่ฝากฝังเกินไปใช่มั้ย”
“เปล่าค่ะ ใครจะเป็นคิดแบบนั้น”
คนพูดหัวเราะออกมาน้อยๆเมื่อรู้สึกได้ว่าคนในสายจะรู้ทันความคิดของตัวเอง
ทางด้านเรณูทำไมจะไม่รู้ว่าคนพูดคิดอะไร ใช่แล้วเธอเป็นห่วงศิศิราตั้งแต่ได้ยินว่าบุตรสาวกลับมาฝันร้ายอีกครั้งเธอก็นึกห่วงอยู่ไม่น้อยและมาวันนี้ก็เหมือนความห่วงจะทวีเพิ่มมากขึ้นเป็นหลายเท่าเพราะสภาพอากาศแบบนี้มันคือฉากประกอบของอุบัติเหตุที่ทำให้ศิศิราเกิดฝันร้ายได้โดยไม่ต้องหลับตา!
ไอฟ้ามองประตูห้องที่ปิดสนิทของตัวเองก่อนจะก้มมองมือถือที่บัดนี้คนที่โทรมาได้วางไปแล้วแต่กระนั้นเรื่องราวต่างๆที่ได้ถูกบอกเล่าออกมาก็ทำให้เธอรู้สึกสงสารคนในห้องขึ้นมาจับใจ
การที่ต้องถูกเรื่องราวโหดร้ายคอยตามหลอกหลอนคงจะเจ็บปวดมากสินะ จู่ๆหัวใจของไอฟ้าก็เหมือนถูกบีบให้ต้องรู้สึกหายใจไม่ออกความสงสารบางครั้งมันก็รุนแรงจนทำให้เธอรู้สึกกระวนกระวายและอยากที่จะทำทุกวิถีทางเพื่อช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวดของศิศิราให้ดีขึ้น
ไอฟ้าเคาะประตูอยู่นานแต่ก็ไม่มีวี่แววว่าคนในห้องจะมาเปิด เธอจึงตัดสินใจเปิดประตูเองช้าๆ
ภาพแรกที่เห็นคือเตียงที่ว่างเปล่าไอฟ้ามองไปรอบๆห้องที่มืดสนิทด้วยสายตาที่เริ่มปรับแสงในการมองได้ดียิ่งขึ้นและในที่สุดก็เจอคนที่ตามหาจนได้แต่ภาพที่เห็นทำให้เธอต้องรีบเดินเข้าไปหาคนในห้องด้วยความเป็นห่วงที่เพิ่มมากขึ้นทุกที
ศิศิราปัดบางสิ่งที่เข้ามาแตะที่แขนของตัวเองออกก่อนจะเขยิบตัวหนีโดยไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมองเธอรู้ว่าเจ้าของมือนี้เป็นใครแต่เธอยังไม่พร้อมที่จะเจอหน้าใครในตอนนี้
“ออกไป”
“อัยย์ว่าตอนนี้คุณน่าจะมีใครอยู่ข้างๆ”
“ไม่! ฉันไม่ต้องการ”
“แต่ว่า…”
“บอกให้ออกไปไง!”
คนพูดเงยหน้าขึ้นจ้องตาคนตรงหน้าด้วยความโมโหก่อนจะซุกหน้าลงเข่าตัวเองอีกครั้งอย่างหมดแรง
นั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่ไอฟ้าจะทนนิ่งเฉยได้เพราะเธอตัดสินใจดึงศิศิราเข้ามากอดแม้อีกฝ่ายจะเกิดอาการต่อต้านทั้งทุบ ทั้งฟาดมือลงที่ตัวของเธอแต่ไอฟ้าก็หวังว่าการทำแบบนี้จะบรรเทาความกลัวของอีกฝ่ายได้ตามที่แม่ของศิศิราบอกไว้
“เธอทำบ้าอะไรปล่อยนะ”
ไร้เสียงตอบกลับเมื่อไอฟ้าเลือกที่จะเงียบเธอเพียงอยากใช้ภาษากายสื่อความหมายของคำว่าห่วงใยและหวังว่าคนในอ้อมกอดจะเข้าใจมันได้เช่นกัน
เวลาผ่านไปเนิ่นนานแต่ไอฟ้ายังคงโอบกอดคนตัวเล็กไว้ในอ้อมกอดไม่ยอมปล่อยและในที่สุดศิศิราก็เหมือนเป็นฝ่ายยอมแพ้ไปเองเพราะตอนนี้เธอกำลังรู้สึกว่าอ้อมกอดที่ได้รับมันอบอุ่นและปลอดภัยอย่างน่าประหลาด
เมื่อรู้สึกได้ว่าคนในอ้อมกอดหลับไปแล้วไอฟ้าจึงคอยๆประคองตัวอีกฝ่ายให้ขึ้นไปนอนบนเตียงเธอพยายามทำให้เบามือที่สุดเพราะกลัวเหลือเกินว่าจะทำให้อีกฝ่ายบอบช้ำไปมากกว่านี้
หญิงสาวนั่งลงข้างๆเตียงหลังจากที่จัดแจงห่มผ้าให้คนที่หลับเสร็จเรียบร้อยก่อนจะหันออกไปมองนอกหน้าต่างที่มีเม็ดฝนตกลงมาหนักขึ้นเรื่อยๆอีกทั้งยังมีเสียงฟ้าร้องดังมาเป็นระยะๆบ่งบอกได้ว่าพายุลูกนี้คงจะไม่พัดผ่านไปง่ายๆ
ไอฟ้าหันกลับมามองคนที่ยังคงหลับสนิทอีกครั้งก่อนจะเอื้อมมือไปกุมมือของอีกฝ่ายเอาไว้อย่างหลวมๆ
“อัยย์ไม่รู้ว่าเมื่อก่อนพี่น้ำผ่านเรื่องราวร้ายๆแบบนั้นมาได้ยังไงแต่ขอให้รู้เอาไว้ว่าจากนี้ไปพี่จะไม่ต้องเผชิญมันเพียงลำพังอีกแล้ว”
ไอฟ้าเปลี่ยนจากการเกาะกุมมือเป็นการแตะเบาๆที่แก้มขาวที่ตอนนี้เปอะเปี้อนไปด้วยคราบน้ำตา
“เราเป็นครอบครัวเดียวกันนะคะเพราะฉะนั้นต่อไปนี้ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นพี่น้ำจะมีอัยย์อยู่ข้างๆเสมอ”
หากศิศิราไม่หลับสนิทเพราะความอ่อนเพลียเธอคงได้รับฟังประโยคแสนอบอุ่นที่อาจช่วยคลายความเหน็บหนาวที่ฝังลึกในหัวใจของเธอมานานแสนนานแล้วไหนจะรอยยิ้มที่ไอฟ้าส่งมอบให้คนหลับสนิทนั่นอีก,,,มันช่างเต็มไปด้วยบางสิ่งที่แม้แต่เจ้าตัวยังไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะมอบมันให้กับผู้หญิงที่ร้ายกาจอย่างศิศิราได้…